ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Kill Ruthless : ตำราอาถรรพ์ กระชากวิญญาณหลอน

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 3 : คาถาบทแรก

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 52


    3
    คาถาบทแรก

         “นี่แกจะหลบไปมาหาแมวอะไรย่ะ”  ซีนัสที่ถูกฉันลากตัวบ่นอุบอิบ  เมื่อฉันพาเธอเลี้ยวนู่นเลี้ยวนี่  ทั้งๆ ที่ตรงนั้นมันไม่มีอะไรสำหรับเธอ   แต่สำหรับฉันมันมี!!!!
         “ก็แกมองไม่เห็นเหมือนฉันนี่!!”  ฉันยังคงพาซีนัสเลี้ยวหลบผีมากมาย  ทำไมมันเยอะอย่างนี้นะ  นี่ฉันแถมแยกไม่ออกเลยนะว่าไหนคนว่าไหนผี  ดังนั้นทางที่ดีหลบมันทุกคนเลยซะ
         “นี่หนู”
         เสียงทักโผล่ออกมาจากมุมเลี้ยวเข้าทางตึกวิชาการดังขึ้น  มือนั้นมาสะกิเเข้าที่หลังฉัน  ซึ่งทำให้ฉันตกใจเล็กน้อยก่อนจะมองเห็นว่าเป็นอาจารย์สายวัน
         “คะ...ค่ะ”  ฉันตอบ
         “หนูเห็นมันใช่ไหม”
         “เอ๋?”
         “หนูสัมผัสและมองเห็นมันได้ใช่ไหม” 
         “ค่ะ” ฉันตอบ  เพราะฉันรู้ว่าอาจารย์สายวัน  เป็นอาจารย์ที่มีสมาธิสูงสามารถมองเห็นวิญญาณได้เหมือนกับฉัน  แต่ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าอาจารย์แกสามารถมองเห็นอนาคตได้รึเปล่า   แต่อาจารย์แกสามารถไปนรกสวรรค์ได้ผ่านทางจิตและสอนฝึกสมาธิให้กับนักเรียนหลายคนมาแล้ว
         “มากับครูสิ” อาจารย์สายวันยิ้มก่อนจะเดินนำหน้าไป  ฉันหันมองดูยัยซีนัสข้างๆ พลางพยักหน้าเป็นเชิงไปกันเถอะ
         ฉันกับยัยซีนัสตกลงกันได้แล้วจึงรีบเดินตามอาจารย์สายวันไปในทันที

         “อาจารย์รู้ไหมค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น”  ฉันเปิดประเด็นถามทันทีที่มาถึงห้องประชุมที่ตึกวิชาการ   ห้องนี้ฉันสามารถการันตีได้เลยว่าปลอดคนและวิญญาณ  เนื่องจากว่าที่นี่มีพระพุทธรูปองค์งามตั้งตระงานบนหิ้งพระ   ส่วนยัยซีนัสนั่งอยู่ข้างฉัน   เตรียมท่าจะฟังอย่างเดียว  เนื่องจากเธอแทบไม่รู้อะไรเลย
         “ไม่เชิงรู้หรอก”  อาจารย์แกตอบ
         “...”  ฉันจึงเงียบทันที  เตรียมตัวเก็บเก็บความรู้ตรงนี้ไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะจำได้
         “อาจารย์ถามเทพเทวดาแถวนี้มาแล้ว   จึงพอรู้ว่าตอนนี้ทำไมวิญญาณเร่ร่อนถึงได้เดินกันให้ว่อนทั่วโรงเรียนแบบนี้   คำตอบง่ายๆ คือพวกมันได้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการจองจำกันแล้ว”
         “หลุดจากเครื่องพันธนาการ?” ฉันทวนคำพูดก่อนจะคิดอะไรในหัว  แต่มันยังคงตื้ออยู่นะ  ไม่ค่อยเข้าใจเลยแหะ
         “ใช่แล้ว!  มันได้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการแห่งการจองจำ  ในอดีตกาลโรงเรียนนี้เคยเป็นสนามรบและหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีคนติดเชื้อร้ายจนตายกันหมดหมู่บ้าน  วิญญาณเหล่านี้ไม่ยอมไม่ผุดไปเกิด  เนื่องจากมีความโหยหาและบุญกุศลไม่พอที่จะไปเกิดใหม่  ยังไม่พอ...วิญญาณเหล่านี้ที่อาจารย์สัมผัสได้   มันจะมีความอาฆาตแค้นสูงจากอะไรบ้างอย่างที่อาจารย์ก็ไม่รู้”
         “ค่ะ  ...แต่ว่าเมื่อก่อนมันไม่มีวิญญาณออกมาเดินอย่างนี้นี่ค่ะ”
         “ใช่...แต่ก่อนมันไม่มีแม้สักตัว  แต่ว่าตอนนี้มันได้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการจากอะไรสักอย่างที่มีอำนาจมหาศาลและน่ากลัว   ซึ่งอาจารย์เองก็ไม่รู้   แต่ว่าสิ่งนั้นมันได้สะกดวิญญาณอาฆาตแค้นพวกนี้ไว้มาเป็นพันๆ ปี  ถ้าให้อาจารย์เดามันคงถูกทำลายหรือถูกขโมยไปด้วยคนโลภ”
         “สิ่งนั้น?  อาจารย์พอจะทราบไหมค่ะว่ามันคืออะไร?”
         “ไม่รู้สักนิด  เพียงแต่รู้ว่าเมื่อคืนนี้มีคนได้มาเอามันไปจากที่ไหนสักแห่งของโรงเรียนนี้แล้ว   เทพแถวที่อยู่แถวนี้ก็ไม่สามารถบอกอะไรได้อีกแล้ว   มิเช่นนั้นจะผิดกฎธรรมชาติขั้นรุนแรง  แต่ว่าสิ่งนั้นมันมีอำนาจมหาศาล   แม้แต่เทพทั้งมวลยังเกรงกลัวต่อสิ่งนั้น  และอีกไม่นานมันต้องเกิดอะไรขึ้นกับโลกเราอย่างแน่นอน!!!”
         “อาจารย์ค่ะ  อาจารย์ล้อพวกหนูเล่นรึเปล่าค่ะ”  ซีนัสแทรกขึ้น  หลังจากที่นั่งเงียบฟังมานานหลายนาที
         “ไม่!  อาจารย์ไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด  เชื่อเถอะ!  ว่าต้องมีคนตายอีกนอกจากเด็กผู้หญิงเมื่อเช้านี้”
         “...”  ยัยซีนัสถึงกับเงียบ  ก่อนจะก้มมองดูเท้าตัวเองต่อไป
         “อาจารย์ค่ะ  แล้วมันพอจะมีทางแก้ไขไหมค่ะ”
         “ไม่รู้  อาจารย์ไม่รู้อะไรอีกแล้ว  เพียงขอให้หนูสองคนรู้ว่า  จงดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”

         “พวกแกเห็นกันมั้ย  เมื่อเช้านี้มีเด็กผู้หญิงที่เข้าแถวข้างๆ ห้องเราตายด้วยละ”  พอฉันเข้ามาในห้องได้เพียงก้าวเดียวเสียงอันเจื้อยแจ้วของจินก็ดังทะลุเข้ามาในแก้วหูฉันทันที
         “นั่น!! ยัยลันลามาแล้ว!!”  เสียงขององุ่นดังขึ้นอีกคน
         “มานี่เลย  แกมานี่เลยลันลา”  จินลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินเข้ามาจับที่แขนฉันแล้วลากไปยังกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่กำลังนั่งเมาส์เรื่องอะไรสักอย่าง  ถ้าให้ฉันเดาคงเป็นเรื่องเมื่อเช้านี้ละ  ฉันถูกลากมาที่กลางวงก่อนที่ฉันจะหันไปมองยัยซีนัส  ยัยนั่นเล่นเกาหัวอย่าเดียวเลย  มิทราบว่าเธอจะหาเหาอีกนานมั้ย  มาช่วยกันหน่อยสิยะ!
         “มีอะไรกันหรอ?”  ฉันถามด้วยสีหน้าสงสัย  จริงๆ  แล้วในห้องนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันมีดวงพิเศษนอกจากยัยซีนัสเพื่อนที่ฉันรักที่สุด
    ฉันค่อยๆ นั่งลงเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางวงก่อนจะถูกสายตามากมายจ้องมาที่ฉันด้วยแววตาที่อยากรู้อยากเห็นกันเต็มที่
         “แกเป็นนักเรียนที่ออกจากเหตุการณ์เมื่อเช้านี้คนสุดท้าย”  พริ้งแทรกขึ้น  เธอจ้องหน้าฉันโดยไม่กระพริบเลยสักนิด
         “แล้วไง”  ฉันถาม
         “ยังจะมาถามอีก” จินที่เงียบไป  พูดขึ้นอีกครั้ง “แกพอจะรู้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
         “ก็มีเด็กตายนะ”  ฉันตอบอย่างกวนประสาท  พวกที่ห้อมล้อมกันอยู่ถึงกับทำหน้าประมาณว่าเซ็งเป็ดวะ  อะไรประมาณก่อนจะมีคนทักท้วงขึ้นมาใหม่
         “พวกฉันรู้กันอยู่ว่ามีคนตาย  แต่อยากรู้ว่าทำไมยัยเด็กคนนั้นถึงได้ตายละ”
         “เป็นไข้หวัด 2009 มั้ง...  นี่พวกแกก็น่าจะรู้นิ  ว่าโลกเรามีโรคมากมาย  ยัยเด็กคนนั้นอาจจะตายด้วยโรคประจำตัวก็ได้นี่”  ฉันโกหกยัยพวกบ้านี่  แต่พวกหล่อนก็เริ่มมีสีหน้าที่เชื่อกันว่าตายด้วยโรคประจำตัวกันบ้างแล้วละ “โอเคยัง”
         “จริงอะ”  กิ๊กสาวสวยประจำห้องถามในสิ่งที่ฉันบอก
         “ไม่จริงมั้ง”
         “อ้าว! ยัยคนนี้  ทำไมแกกวนประสาทกันอย่างนี้วะ” องุ่นเบะหน้าก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกไปจากวง “เลิกๆ จบข่าว”  แต่ก็มิวายจะทิ้งท้ายฝากบอกคำพูดกับเพื่อนๆ
         ว่าแล้วฉันก็กระเด้งตัวลุกจากเก้าอี้เพื่อมานั่งที่โต๊ะเรียนประจำของฉันที่อยู่ข้างๆ  ยัยซีนัส  แต่พระเจ้าเถอะฉันนั่งไม่ได้ละ!
          ทำไมนะหรอ!! ใช่แล้ว!!  มันมีวิญญาณผู้หญิงที่เคยผูกคอตายในห้องนี้นั่งอยู่ที่ฉันนะสิ  เธอหันมามองหน้าฉันซึ่งฉันก็ทำเป็นไม่เห็น  แต่ว่าตามตัวยัยนี่  มีเลือดเยอะเป็นบ้าเลยแหะ
         “ลันลาแกได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ แถวนี้มั้ย”  ซีนัสหันหน้ามาถามฉันก่อนจะทำจมูกฟุตฟิตไปตามโต๊ะเธอ  เหอๆ ข้างโต๊ะแกนั่นแหละต้นตอเลยละ “ทำไมแกไม่นั่งละ  จะยืนเอาโล่หรือไง”
         “เออ...ฉันจะยืนเอาโล่  นี่ซีนัสพาฉันไปฉี่หน่อยสิ  ฉันปวดฉี่วะ” ฉันพูดพลางเหลือบตามองที่ยัยผีบ้าที่นั่งอยู่ที่ฉัน  แต่ยัยผีนี่ยังคงมองหน้าฉัน  ฉันเลยต้องทำเป็นไม่เห็นต่อไป
         “ก่อนขึ้นมาแกก็ฉี่ไปแล้วนิ”  ซีนัสยังคงหาของใต้โต๊ะต่อไป   เธอคงหาอะไรที่เป็นสาเหตุของความเหม็นสินะ
         “คือ...ประจำเดือนฉันมานะ”  นี่คือข้ออ้างที่สอง
         “แกเพิ่งเป็นไป 2 อาทิตย์ที่แล้วไม่ใช่หรอ”  โอ้ยยย!  ยัยเพื่อนบ้าเอ๊ย แกช่างโง่อะไรขนาดนี้  ฉันชวนไปขนาดนี้แล้วน่าจะรู้สึกตัวได้แล้วยัยผีนี่ก็ไม่ยอมลุกซักที  แถมยังมองกันอยู่ได้
         “เออ...ฉันจะโทรหาแม่ให้เอาหนังสือมาให้หน่อนอะ  พาไปห้องน้ำหน่อยดิ” แต่ฉันยังคงไม่ละความพยายาม  ยังจะชวนยัยซีนัสไปห้องน้ำให้ได้
         “โทรตอนนี้เลยเลยสิ  อาจารย์ยังไม่เข้า”  ซีนัส!  แกทำโง่อย่างนี้  นี่แกน่าจะรู้สึกตัวได้แล้วนะว่าฉันต้องการให้แกไปห้องน้ำมาก  ทำไมแกโง่อย่างนี้ ฮึ๋ม!
         ฉันกระทืบเท้าโมโหเพราะความโง่ของยัยซีนัส  ก่อนที่มือจะไปถูกเข้าที่กระเป๋านักเรียนของฉันที่เปิดวางอยู่บนโต๊ะเรียน  ทำให้ข้าวของมากมายที่อยู่ในกระเป๋าทะลักออกมาจากกระเป๋า  ฉันค่อยๆ นั่งลงก่อนจะลงมือเก็บ  แต่ก็ยังคงโมโหกับความโง่ของยัยซีนัส  เอ้าเวร! อีผีนี่มันจะเอามือลงมาทำกระรอกอะไรวะ  แล้วฉันจะหยิบหนังสือเคมีได้ยังละทีนี้  ก็ยัยผีนั่นเล่นเอามือคลุมไว้กับหนังสือเคมีอะ  อ๊าๆ ไม่กล้าเอา
         ฉันเลยต้องทำท่าหยิบหนังสือสีดำที่หน้าปกทำจากผ้ากำมะยี่มาพลิกอ่านเล่นๆ  ไปเรื่อยๆ ดีแล้วจะได้เป็นการศึกษาหนังสือเล่มนี้ด้วยว่ามันเกี่ยวกับอะไร
         แต่ก็มิวายจะพ้นจากเคราะห์ร้ายเมื่อยัยผีที่ผูกคอตายในห้องนี้ก้มหน้าต่ำลงมามองที่ฉัน  เธอเอียงคอซ้ายทีขวาทีก่อนที่จะ
         พลวะ!!
         คอยัยผีเวรนี่หลุดจากลำตัวกลิ้งมาอยู่ตรงหัวเข่าฉัน  ทำให้ฉันต้องแหล่ตามองน้อยๆ  ก่อนจะพบยัยผีนี่ยังคงมองฉันต่อไป  ฉันค่อยๆ เอามือเช็ดเหงื่อตามใบหน้าที่ไหลย้อย แล้วเหล่มองยัยผีอีกครั้ง  และยังคงพบว่าใบหน้าอันเละเทะกับดวงตาแดงฉานยังคงมองที่หน้าฉัน  มิทราบว่าแกจะมองอีกนานมั้ย  ฉันรู้ตัวหรอกว่าสวยนะ!!
         ด้วยเหตุการณ์นี้เอง  ฉันเลยต้องตั้งสมาธิทั้งหมดมาที่หนังสือก่อนที่สายตาจะพบกับหัวข้อว่า ‘คาถาไล่ผี’
    เอ๊ะ!!  หนังสือวิชาอะไรเนี่ยมีคาถาไล่ผีด้วย  ฉันไม่เห็นมาก่อนเลย  อ๊ะ!  นี่มันหนังสือที่คุณปู่ให้มานี่นา  ทำไมมันมีแบบนี้ด้วยหรอ  แต่ช่างเถอะ! ลองท่องมนต์วรรคข้างล่างมันคงช่วยผ่อนคลายได้บ้างหละนะ
         “เดวา อหิภรา สุยัตทิมา  ข้าแด่พระผู้เป็นใหญ่ใต้หล้ามหาจักรวาล  ด้วยอำนาจใดทั้งปวงบนโลกใบนี้จงสลายสิ้นวิญญาณร้ายอาฆาตเหล่านี้ไปด้วยเถิด”  ฉันท่องคาถาเบาๆ ตามที่เห็นในหนังสือก่อนที่จะ...
         ‘กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!’  เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นในห้องเรียน  ทำให้ผู้คนมากมายเริ่มแตกตื่นก่อนจะเงียบเสียงลงด้วยความกลัว  คอยฟังว่ามันเกิออะไรขึ้นกันแน่
         ยัยซีนัสที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุดก้มหน้ามาหาฉันที่นั่งอยู่กับพื้น  คอยเอาศอกเท้าไว้กับอี้ของฉันแล้วเอนตัวมาหาฉัน  เธอจึงค่อยๆ กระซิบถามว่า
         “เกิดอะไรขึ้น”
         “แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ!”  ว่าแล้วฉันก็ลุกขึ้นก่อนจะใช้ฝีมือแสดงบทบาทตบตาเพื่อนๆ ในห้อง “กรีด!  กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!  อนาคอนด้า ช่วยด้วย กรี๊ดด!  ฉันเห็นมันอยู่ใต้กระเป๋าเรียน” 
         เวรกรรม! การแสดงของฉันมันก็สมบทบาทดีอยู่หรอกนะ  แต่ว่าข้ออ้างของฉันนี่สิ  รู้สึกว่ามันจะฟงัไม่ค่อยเชื่อถือเลยแหะ
         “ยัยบ้า!  จะเล่นอะไรก็ให้มันเบาๆ หน่อย รู้มั้ยเพื่อนตกใจกันหมดแล้ว!” เมล์หัวหน้าตั้งสติจึงเริ่มตวาดใส่ฉันเป็นคนแรกก่อนจะตามด้วยเสียงนินทาของคนอื่นๆ ในห้อง
         “ลันลาเธอเป็นอะไรหรอ”  บอย...ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวเนียนหน้าใสรีบวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
         “ไม่เป็นไรมากหรอกบอย  ขอบคุณนะ” 
         “อืม”  บอยตอบรับก่อนจะยิ้มให้ฉัน  ก่อนจะเดินออกไปคุยกะเพื่อนผู้ชายต่อ
         อันที่จริงนะ   ถ้าให้ฉันเดานายบอยเนี่ยต้องแอบชอบฉันแน่ๆ เลย  ดูจากท่าทางแล้วการประพฤติที่ทำกับฉันแล้ว  แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฉันชอบนายบอยรึเปล่า  เพราะนายคนนี้อ่ะ  ดีเกินไปจริงๆ  แต่ไม่รู้ละเรื่องของหวัใจใครจะไปรู้เนอะ
         “อ๊ะ! ขอโทษนะ  ฉันแค่จะแกล้งยัยซีนัสนะ  ไม่รู้ว่าพวกเธอจะซีเรียกกันขนาดนี้”  ฉันแก้ตัวพลางลูบหัวตัวเองพล่อยๆ ส่วนยัยซีนัสที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยังคงทำหน้างงตลอดเวลา  หล่อนๆ จึงค่อยๆ ลุกมาจากโต๊ะตัวเองแล้วมุ่งมายังที่ฉัน
         “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น!” เธอยังคงกระซิบฉันเบาๆ
         “แกนะสินั่งโง่อยู่ได้!  เมื่อกี้เนี่ย! มีผีที่เคยผูกคอตายในห้องนี้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฉันนะสิ  นั่นมันก็หมายความว่า  มันนั่งอยู่ข้างเธอนะสิ!”
         “แกว่าไงนะ!!!”  ซีนัสร้องเสียงสูงทำให้พวกเราสองคนตกเป็นเป้านิ่งของคนทั้งห้องอีกครั้ง
         “แกจะร้องทำซากอะไรยะ  ก็เมื่อกี้เนี่ยฉันพยายามจะชวนแกไปห้องน้ำเพื่อบอกเรื่องนี้แหละ  แค่แกดิ  ดันตบปัดนู่นปักนี่อยู่ได้”  ฉันบอกยัยซีนัสพลางทำท่างอน  ส่วนคนทั้งห้องยังคงมองพลางวิจารณ์นิสัยที่เปลี่ยนของฉัน
         "ก็ฉันไม่รู้นี่!  เออ...ขอโทษละกัน  คราวหลังก็ช่วยทำอะไรให้มันเข้าใจกวานี้หน่อยสิ”
         “แต่มันแปลกมากเลยนะ”
         “แปลกอะไร??”  ซีนัสมองหน้าฉันด้วยสีหน้างุนงงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
         “ก็หนังสือเล่มนี้นะสิ  เมื่อกี้นี้...”  ฉันหยิบหนังสือเล่มสีดำขึ้นมาก่อนจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ยัยซีนัสฟัง

         “แกพูดจริงหรอ!”  จากที่ซีนัสได้ฟังฉันเล่า  เธอก็ถึงกับตาโตกระโดดลุกพรวดทันที่ฉันเล่าจบ  ฉันจึงพยักหน้าตอบรับไป
         “...”
         “ขอดูหนังสือนี่หน่อยนะ!!”  ซีนัสไม่ได้พูดธรรมดานะ  แต่กลับกระชากหนังสือสีดำที่อยู่ในมือฉันไปด้วยแรงมหาศาล
         “เห้ย! เบาๆ หน่อยดิ  เดี๋ยวมันก็ขาดกันพอดี”  ฉันห้ามเล็กน้อย  เพราะเห็นมันกระชากหนังสือแรงเกินไป  ฉันไม่อยากให้มันขาด  อย่างน้อยมันก็เป็นสมบัติที่ปู่ให้ฉันก่อนปู่ฉันจะตาย
         “อืมๆ  ขอโทษที  เออแล้วหน้าไหนวะ ที่แกบอกว่ามันมีคาถาไล่ผีอะไรนั่น” ซีนัสถามก่อนที่เธอจะเปิดไปหน้าที่สองของหนังสือแล้วเจอเข้า  ทั้งๆ  ที่ฉันยังไม่ได้ทันตอบอะไรเลย “อ๋า! เจอแล้วละ”
         “อืม...แล้วมันมีอะไรแปลกๆ อีกไหมวะ”  ฉันถามแล้วรีบขยับเกาอี้ไปชิดกับยัยซีนัสแล้วชะโงกดูที่หนังสือเล่มนั้นทันที
         “นี่ลันลา  แกดูดิ  ใต้อักษรมนต์  นี่มีคำอธิบายคาถาที่แกท่องไปเมื่อกี้ด้วยละ” 
         “จริงอะ!  แกรีบอ่านเร็วๆ ดิ  แต่อย่าดังมากนะ  เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหมด”  ฉันเร่งเล่าก่อนจะตั้งสติทั้งหมดไปกับการฟังของซีนัส
         “อืม...  มนต์คาถาบทนี้  เป็นคาถาไล่ภูตผีปีศาจที่มีอำนาจไม่กล้าแกร่ง  หรือมีแรงอาฆาตต่อมนุษย์เพียงน้อยนิด  คาถาบทนี้จะทำให้ภูตผีปีศาจที่มาทำร้ายผู้ท่องหรือผู้อื่นหายสิ้นไปจากโลกนี้  หรืออธิบายง่ายๆ จะทำให้ดวงวิญญาณนั้นแตกสลายไปไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้…จบแล้ว”
         “อืม”  ฉันตอบรับก่อนจะนั่งคิดอะไรในหัวเล่นๆ
         คาถาไล่ผีงั้นหรอ....  มันมาได้ยังไงละ  ใช่แล้ว!  ฉันได้มันมาจากคุณปู่  แต่ปู่ฉันได้มากจากใครละเนี่ย  อ๊า! คิดแล้วปวดหัวชะมัด
         “เห้ยๆๆ!! ลันลาที่หน้าแรกมีอะไรเขียนไว้ด้วยละ!” 
         “ไหนๆๆ!”  ฉันเลิกคิดก่อนจะวกกลับไปที่ยัยซีนัส  ก่อนจะมองหัวข้อที่ว่า ‘บทนำ’ 
         “แกจะอ่านรึว่าฉันอ่าน” ซีนัสถาม
         “แกก็ได้”
         “โอเค เริ่มละนะ!...ในยามยุคสมัยสงคราม  มีผู้คนมากมายต้องล้มตายกับเหตุการณ์ลุกลานของแต่ละเผ่าพันธุ์   และในช่วงยุคกาลหนึ่ง  ได้มีผู้ค้นพบอวิชชาขั้นสูงที่สามารถทำลายล้างโลกได้  คนผู้นั้นได้บันทึกอวิชชาทั้งปวงลงในตำราที่มีชื่อว่า ‘ตำราบลาย’  และได้นำตำรานั้นมาใช้ในทางที่ผิด  อันประกอบด้วย  ฆ่าเข็ญผู้คนหรือกระทำชำเราผู้อื่นจนได้รับความเดือดร้อน  เขาคนนั้นได้ตกเป็นผู้ที่น่าเกรงกลัวที่สุดในโลก   แม้แต่เทพมากมายยังคงต้องยอมสยบในคาถาของคนผู้นั้น
         และในเวลานั้นเอง   ข้าได้ค้นหาวิชามากมายอันเป็นธรรมและเป็นอธรรม  ถึงแม้บางคาถาจะเป็นคาถาในทางศาสตร์มืด   แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นมนุษย์ต้องเสียชีวิต  ข้าได้ให้ชื่อหนังสือนี้ว่า ‘ตำราเทลกิซ’ ข้าได้หวังไว้ว่าตำราเล่มนี้จะสามารถต้านทานอวิชชาของคนผู้นั้นได้  จึงไปท้าประลองสู้  จนถึงวินาทีสุดท้ายข้ากำลังจะเสียท่าให้แกคนผู้นั้น
         แต่กลับมีเทพมากมายมาช่วยข้า  ในขณะนั้นคนผู้มีคาถาอวิชชาก็ได้อ่อนแรงไปตามการต่อสู้ของข้า  ทำให้เทพมากมายที่มาช่วยข้าสามารถทำลายดวงวิญญาณของคนผู้ค้นพบคาถาอวิชชาได้  แต่กลับพบว่าตำราบลายนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย  และได้มีนักปราชญ์ได้ให้คำทำนายไว้ว่าในช่วงยุคสมัยต่อๆ  ไป  ตำราทั้งสองจะกลับมาและหายไปและจะกลับมาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ! แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นช่วงยุคสมัยใด  ข้าผู้นี้หวังไว้ว่าผู้ถือตำราเทสกิซคงเป็นผู้มีคุณธรรมใฝ่ธรรมะ  เพราะได้ถูกเลือกจากตำราแล้วว่ามีคุณสมบัติพอที่จะครอบครองตำราเทลกิซ  และท่านผู้ครองตำราเทลกิซอย่าได้ให้ตำราเทลกิซเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือของคนชั่วเป็นอันขาด!
                                                                                                             ลงชื่อ...เทลกิซ   มากิซ...”
         “หมดแล้วหรอ?”  ฉันถามขณะที่ซีนัสหยุดไปได้พักหนึ่ง
         “หมดแล้ว...แต่ฉันว่าตำราเล่มนี้ที่แกได้มากจากปู่แก  คงมีปริศนาอีกมากมายเลยวะ   แล้วอีกอย่างตำราบลายที่ว่ามันอยู่ไหนละตอนนี้?”
         “ไม่...ฉันไม่รู้  รู้แต่ว่าตำราเทลกิซในตำนานตอนนี้มันได้มาอยู่กับเราแล้วละ!”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×