คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 3 : คาถาบทแรก
3
คาถาบทแรก
“นี่แกจะหลบไปมาหาแมวอะไรย่ะ” ซีนัสที่ถูกฉันลากตัวบ่นอุบอิบ เมื่อฉันพาเธอเลี้ยวนู่นเลี้ยวนี่ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นมันไม่มีอะไรสำหรับเธอ แต่สำหรับฉันมันมี!!!!
“ก็แกมองไม่เห็นเหมือนฉันนี่!!” ฉันยังคงพาซีนัสเลี้ยวหลบผีมากมาย ทำไมมันเยอะอย่างนี้นะ นี่ฉันแถมแยกไม่ออกเลยนะว่าไหนคนว่าไหนผี ดังนั้นทางที่ดีหลบมันทุกคนเลยซะ
“นี่หนู”
เสียงทักโผล่ออกมาจากมุมเลี้ยวเข้าทางตึกวิชาการดังขึ้น มือนั้นมาสะกิเเข้าที่หลังฉัน ซึ่งทำให้ฉันตกใจเล็กน้อยก่อนจะมองเห็นว่าเป็นอาจารย์สายวัน
“คะ...ค่ะ” ฉันตอบ
“หนูเห็นมันใช่ไหม”
“เอ๋?”
“หนูสัมผัสและมองเห็นมันได้ใช่ไหม”
“ค่ะ” ฉันตอบ เพราะฉันรู้ว่าอาจารย์สายวัน เป็นอาจารย์ที่มีสมาธิสูงสามารถมองเห็นวิญญาณได้เหมือนกับฉัน แต่ฉันไม่อาจรู้ได้ว่าอาจารย์แกสามารถมองเห็นอนาคตได้รึเปล่า แต่อาจารย์แกสามารถไปนรกสวรรค์ได้ผ่านทางจิตและสอนฝึกสมาธิให้กับนักเรียนหลายคนมาแล้ว
“มากับครูสิ” อาจารย์สายวันยิ้มก่อนจะเดินนำหน้าไป ฉันหันมองดูยัยซีนัสข้างๆ พลางพยักหน้าเป็นเชิงไปกันเถอะ
ฉันกับยัยซีนัสตกลงกันได้แล้วจึงรีบเดินตามอาจารย์สายวันไปในทันที
“อาจารย์รู้ไหมค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ฉันเปิดประเด็นถามทันทีที่มาถึงห้องประชุมที่ตึกวิชาการ ห้องนี้ฉันสามารถการันตีได้เลยว่าปลอดคนและวิญญาณ เนื่องจากว่าที่นี่มีพระพุทธรูปองค์งามตั้งตระงานบนหิ้งพระ ส่วนยัยซีนัสนั่งอยู่ข้างฉัน เตรียมท่าจะฟังอย่างเดียว เนื่องจากเธอแทบไม่รู้อะไรเลย
“ไม่เชิงรู้หรอก” อาจารย์แกตอบ
“...” ฉันจึงเงียบทันที เตรียมตัวเก็บเก็บความรู้ตรงนี้ไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะจำได้
“อาจารย์ถามเทพเทวดาแถวนี้มาแล้ว จึงพอรู้ว่าตอนนี้ทำไมวิญญาณเร่ร่อนถึงได้เดินกันให้ว่อนทั่วโรงเรียนแบบนี้ คำตอบง่ายๆ คือพวกมันได้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการจองจำกันแล้ว”
“หลุดจากเครื่องพันธนาการ?” ฉันทวนคำพูดก่อนจะคิดอะไรในหัว แต่มันยังคงตื้ออยู่นะ ไม่ค่อยเข้าใจเลยแหะ
“ใช่แล้ว! มันได้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการแห่งการจองจำ ในอดีตกาลโรงเรียนนี้เคยเป็นสนามรบและหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีคนติดเชื้อร้ายจนตายกันหมดหมู่บ้าน วิญญาณเหล่านี้ไม่ยอมไม่ผุดไปเกิด เนื่องจากมีความโหยหาและบุญกุศลไม่พอที่จะไปเกิดใหม่ ยังไม่พอ...วิญญาณเหล่านี้ที่อาจารย์สัมผัสได้ มันจะมีความอาฆาตแค้นสูงจากอะไรบ้างอย่างที่อาจารย์ก็ไม่รู้”
“ค่ะ ...แต่ว่าเมื่อก่อนมันไม่มีวิญญาณออกมาเดินอย่างนี้นี่ค่ะ”
“ใช่...แต่ก่อนมันไม่มีแม้สักตัว แต่ว่าตอนนี้มันได้หลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการจากอะไรสักอย่างที่มีอำนาจมหาศาลและน่ากลัว ซึ่งอาจารย์เองก็ไม่รู้ แต่ว่าสิ่งนั้นมันได้สะกดวิญญาณอาฆาตแค้นพวกนี้ไว้มาเป็นพันๆ ปี ถ้าให้อาจารย์เดามันคงถูกทำลายหรือถูกขโมยไปด้วยคนโลภ”
“สิ่งนั้น? อาจารย์พอจะทราบไหมค่ะว่ามันคืออะไร?”
“ไม่รู้สักนิด เพียงแต่รู้ว่าเมื่อคืนนี้มีคนได้มาเอามันไปจากที่ไหนสักแห่งของโรงเรียนนี้แล้ว เทพแถวที่อยู่แถวนี้ก็ไม่สามารถบอกอะไรได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นจะผิดกฎธรรมชาติขั้นรุนแรง แต่ว่าสิ่งนั้นมันมีอำนาจมหาศาล แม้แต่เทพทั้งมวลยังเกรงกลัวต่อสิ่งนั้น และอีกไม่นานมันต้องเกิดอะไรขึ้นกับโลกเราอย่างแน่นอน!!!”
“อาจารย์ค่ะ อาจารย์ล้อพวกหนูเล่นรึเปล่าค่ะ” ซีนัสแทรกขึ้น หลังจากที่นั่งเงียบฟังมานานหลายนาที
“ไม่! อาจารย์ไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด เชื่อเถอะ! ว่าต้องมีคนตายอีกนอกจากเด็กผู้หญิงเมื่อเช้านี้”
“...” ยัยซีนัสถึงกับเงียบ ก่อนจะก้มมองดูเท้าตัวเองต่อไป
“อาจารย์ค่ะ แล้วมันพอจะมีทางแก้ไขไหมค่ะ”
“ไม่รู้ อาจารย์ไม่รู้อะไรอีกแล้ว เพียงขอให้หนูสองคนรู้ว่า จงดูแลตัวเองให้ดีที่สุด”
“พวกแกเห็นกันมั้ย เมื่อเช้านี้มีเด็กผู้หญิงที่เข้าแถวข้างๆ ห้องเราตายด้วยละ” พอฉันเข้ามาในห้องได้เพียงก้าวเดียวเสียงอันเจื้อยแจ้วของจินก็ดังทะลุเข้ามาในแก้วหูฉันทันที
“นั่น!! ยัยลันลามาแล้ว!!” เสียงขององุ่นดังขึ้นอีกคน
“มานี่เลย แกมานี่เลยลันลา” จินลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินเข้ามาจับที่แขนฉันแล้วลากไปยังกลุ่มนักเรียนกลุ่มใหญ่ที่กำลังนั่งเมาส์เรื่องอะไรสักอย่าง ถ้าให้ฉันเดาคงเป็นเรื่องเมื่อเช้านี้ละ ฉันถูกลากมาที่กลางวงก่อนที่ฉันจะหันไปมองยัยซีนัส ยัยนั่นเล่นเกาหัวอย่าเดียวเลย มิทราบว่าเธอจะหาเหาอีกนานมั้ย มาช่วยกันหน่อยสิยะ!
“มีอะไรกันหรอ?” ฉันถามด้วยสีหน้าสงสัย จริงๆ แล้วในห้องนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าฉันมีดวงพิเศษนอกจากยัยซีนัสเพื่อนที่ฉันรักที่สุด
ฉันค่อยๆ นั่งลงเก้าอี้ที่อยู่ตรงกลางวงก่อนจะถูกสายตามากมายจ้องมาที่ฉันด้วยแววตาที่อยากรู้อยากเห็นกันเต็มที่
“แกเป็นนักเรียนที่ออกจากเหตุการณ์เมื่อเช้านี้คนสุดท้าย” พริ้งแทรกขึ้น เธอจ้องหน้าฉันโดยไม่กระพริบเลยสักนิด
“แล้วไง” ฉันถาม
“ยังจะมาถามอีก” จินที่เงียบไป พูดขึ้นอีกครั้ง “แกพอจะรู้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ก็มีเด็กตายนะ” ฉันตอบอย่างกวนประสาท พวกที่ห้อมล้อมกันอยู่ถึงกับทำหน้าประมาณว่าเซ็งเป็ดวะ อะไรประมาณก่อนจะมีคนทักท้วงขึ้นมาใหม่
“พวกฉันรู้กันอยู่ว่ามีคนตาย แต่อยากรู้ว่าทำไมยัยเด็กคนนั้นถึงได้ตายละ”
“เป็นไข้หวัด 2009 มั้ง... นี่พวกแกก็น่าจะรู้นิ ว่าโลกเรามีโรคมากมาย ยัยเด็กคนนั้นอาจจะตายด้วยโรคประจำตัวก็ได้นี่” ฉันโกหกยัยพวกบ้านี่ แต่พวกหล่อนก็เริ่มมีสีหน้าที่เชื่อกันว่าตายด้วยโรคประจำตัวกันบ้างแล้วละ “โอเคยัง”
“จริงอะ” กิ๊กสาวสวยประจำห้องถามในสิ่งที่ฉันบอก
“ไม่จริงมั้ง”
“อ้าว! ยัยคนนี้ ทำไมแกกวนประสาทกันอย่างนี้วะ” องุ่นเบะหน้าก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินหนีออกไปจากวง “เลิกๆ จบข่าว” แต่ก็มิวายจะทิ้งท้ายฝากบอกคำพูดกับเพื่อนๆ
ว่าแล้วฉันก็กระเด้งตัวลุกจากเก้าอี้เพื่อมานั่งที่โต๊ะเรียนประจำของฉันที่อยู่ข้างๆ ยัยซีนัส แต่พระเจ้าเถอะฉันนั่งไม่ได้ละ!
ทำไมนะหรอ!! ใช่แล้ว!! มันมีวิญญาณผู้หญิงที่เคยผูกคอตายในห้องนี้นั่งอยู่ที่ฉันนะสิ เธอหันมามองหน้าฉันซึ่งฉันก็ทำเป็นไม่เห็น แต่ว่าตามตัวยัยนี่ มีเลือดเยอะเป็นบ้าเลยแหะ
“ลันลาแกได้กลิ่นอะไรเหม็นๆ แถวนี้มั้ย” ซีนัสหันหน้ามาถามฉันก่อนจะทำจมูกฟุตฟิตไปตามโต๊ะเธอ เหอๆ ข้างโต๊ะแกนั่นแหละต้นตอเลยละ “ทำไมแกไม่นั่งละ จะยืนเอาโล่หรือไง”
“เออ...ฉันจะยืนเอาโล่ นี่ซีนัสพาฉันไปฉี่หน่อยสิ ฉันปวดฉี่วะ” ฉันพูดพลางเหลือบตามองที่ยัยผีบ้าที่นั่งอยู่ที่ฉัน แต่ยัยผีนี่ยังคงมองหน้าฉัน ฉันเลยต้องทำเป็นไม่เห็นต่อไป
“ก่อนขึ้นมาแกก็ฉี่ไปแล้วนิ” ซีนัสยังคงหาของใต้โต๊ะต่อไป เธอคงหาอะไรที่เป็นสาเหตุของความเหม็นสินะ
“คือ...ประจำเดือนฉันมานะ” นี่คือข้ออ้างที่สอง
“แกเพิ่งเป็นไป 2 อาทิตย์ที่แล้วไม่ใช่หรอ” โอ้ยยย! ยัยเพื่อนบ้าเอ๊ย แกช่างโง่อะไรขนาดนี้ ฉันชวนไปขนาดนี้แล้วน่าจะรู้สึกตัวได้แล้วยัยผีนี่ก็ไม่ยอมลุกซักที แถมยังมองกันอยู่ได้
“เออ...ฉันจะโทรหาแม่ให้เอาหนังสือมาให้หน่อนอะ พาไปห้องน้ำหน่อยดิ” แต่ฉันยังคงไม่ละความพยายาม ยังจะชวนยัยซีนัสไปห้องน้ำให้ได้
“โทรตอนนี้เลยเลยสิ อาจารย์ยังไม่เข้า” ซีนัส! แกทำโง่อย่างนี้ นี่แกน่าจะรู้สึกตัวได้แล้วนะว่าฉันต้องการให้แกไปห้องน้ำมาก ทำไมแกโง่อย่างนี้ ฮึ๋ม!
ฉันกระทืบเท้าโมโหเพราะความโง่ของยัยซีนัส ก่อนที่มือจะไปถูกเข้าที่กระเป๋านักเรียนของฉันที่เปิดวางอยู่บนโต๊ะเรียน ทำให้ข้าวของมากมายที่อยู่ในกระเป๋าทะลักออกมาจากกระเป๋า ฉันค่อยๆ นั่งลงก่อนจะลงมือเก็บ แต่ก็ยังคงโมโหกับความโง่ของยัยซีนัส เอ้าเวร! อีผีนี่มันจะเอามือลงมาทำกระรอกอะไรวะ แล้วฉันจะหยิบหนังสือเคมีได้ยังละทีนี้ ก็ยัยผีนั่นเล่นเอามือคลุมไว้กับหนังสือเคมีอะ อ๊าๆ ไม่กล้าเอา
ฉันเลยต้องทำท่าหยิบหนังสือสีดำที่หน้าปกทำจากผ้ากำมะยี่มาพลิกอ่านเล่นๆ ไปเรื่อยๆ ดีแล้วจะได้เป็นการศึกษาหนังสือเล่มนี้ด้วยว่ามันเกี่ยวกับอะไร
แต่ก็มิวายจะพ้นจากเคราะห์ร้ายเมื่อยัยผีที่ผูกคอตายในห้องนี้ก้มหน้าต่ำลงมามองที่ฉัน เธอเอียงคอซ้ายทีขวาทีก่อนที่จะ
พลวะ!!
คอยัยผีเวรนี่หลุดจากลำตัวกลิ้งมาอยู่ตรงหัวเข่าฉัน ทำให้ฉันต้องแหล่ตามองน้อยๆ ก่อนจะพบยัยผีนี่ยังคงมองฉันต่อไป ฉันค่อยๆ เอามือเช็ดเหงื่อตามใบหน้าที่ไหลย้อย แล้วเหล่มองยัยผีอีกครั้ง และยังคงพบว่าใบหน้าอันเละเทะกับดวงตาแดงฉานยังคงมองที่หน้าฉัน มิทราบว่าแกจะมองอีกนานมั้ย ฉันรู้ตัวหรอกว่าสวยนะ!!
ด้วยเหตุการณ์นี้เอง ฉันเลยต้องตั้งสมาธิทั้งหมดมาที่หนังสือก่อนที่สายตาจะพบกับหัวข้อว่า ‘คาถาไล่ผี’
เอ๊ะ!! หนังสือวิชาอะไรเนี่ยมีคาถาไล่ผีด้วย ฉันไม่เห็นมาก่อนเลย อ๊ะ! นี่มันหนังสือที่คุณปู่ให้มานี่นา ทำไมมันมีแบบนี้ด้วยหรอ แต่ช่างเถอะ! ลองท่องมนต์วรรคข้างล่างมันคงช่วยผ่อนคลายได้บ้างหละนะ
“เดวา อหิภรา สุยัตทิมา ข้าแด่พระผู้เป็นใหญ่ใต้หล้ามหาจักรวาล ด้วยอำนาจใดทั้งปวงบนโลกใบนี้จงสลายสิ้นวิญญาณร้ายอาฆาตเหล่านี้ไปด้วยเถิด” ฉันท่องคาถาเบาๆ ตามที่เห็นในหนังสือก่อนที่จะ...
‘กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!’ เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นในห้องเรียน ทำให้ผู้คนมากมายเริ่มแตกตื่นก่อนจะเงียบเสียงลงด้วยความกลัว คอยฟังว่ามันเกิออะไรขึ้นกันแน่
ยัยซีนัสที่อยู่ใกล้ฉันมากที่สุดก้มหน้ามาหาฉันที่นั่งอยู่กับพื้น คอยเอาศอกเท้าไว้กับอี้ของฉันแล้วเอนตัวมาหาฉัน เธอจึงค่อยๆ กระซิบถามว่า
“เกิดอะไรขึ้น”
“แล้วฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ!” ว่าแล้วฉันก็ลุกขึ้นก่อนจะใช้ฝีมือแสดงบทบาทตบตาเพื่อนๆ ในห้อง “กรีด! กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!! อนาคอนด้า ช่วยด้วย กรี๊ดด! ฉันเห็นมันอยู่ใต้กระเป๋าเรียน”
เวรกรรม! การแสดงของฉันมันก็สมบทบาทดีอยู่หรอกนะ แต่ว่าข้ออ้างของฉันนี่สิ รู้สึกว่ามันจะฟงัไม่ค่อยเชื่อถือเลยแหะ
“ยัยบ้า! จะเล่นอะไรก็ให้มันเบาๆ หน่อย รู้มั้ยเพื่อนตกใจกันหมดแล้ว!” เมล์หัวหน้าตั้งสติจึงเริ่มตวาดใส่ฉันเป็นคนแรกก่อนจะตามด้วยเสียงนินทาของคนอื่นๆ ในห้อง
“ลันลาเธอเป็นอะไรหรอ” บอย...ชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวเนียนหน้าใสรีบวิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ก่อนจะถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“ไม่เป็นไรมากหรอกบอย ขอบคุณนะ”
“อืม” บอยตอบรับก่อนจะยิ้มให้ฉัน ก่อนจะเดินออกไปคุยกะเพื่อนผู้ชายต่อ
อันที่จริงนะ ถ้าให้ฉันเดานายบอยเนี่ยต้องแอบชอบฉันแน่ๆ เลย ดูจากท่าทางแล้วการประพฤติที่ทำกับฉันแล้ว แต่ฉันไม่รู้หรอกนะว่าฉันชอบนายบอยรึเปล่า เพราะนายคนนี้อ่ะ ดีเกินไปจริงๆ แต่ไม่รู้ละเรื่องของหวัใจใครจะไปรู้เนอะ
“อ๊ะ! ขอโทษนะ ฉันแค่จะแกล้งยัยซีนัสนะ ไม่รู้ว่าพวกเธอจะซีเรียกกันขนาดนี้” ฉันแก้ตัวพลางลูบหัวตัวเองพล่อยๆ ส่วนยัยซีนัสที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็ยังคงทำหน้างงตลอดเวลา หล่อนๆ จึงค่อยๆ ลุกมาจากโต๊ะตัวเองแล้วมุ่งมายังที่ฉัน
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น!” เธอยังคงกระซิบฉันเบาๆ
“แกนะสินั่งโง่อยู่ได้! เมื่อกี้เนี่ย! มีผีที่เคยผูกคอตายในห้องนี้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ฉันนะสิ นั่นมันก็หมายความว่า มันนั่งอยู่ข้างเธอนะสิ!”
“แกว่าไงนะ!!!” ซีนัสร้องเสียงสูงทำให้พวกเราสองคนตกเป็นเป้านิ่งของคนทั้งห้องอีกครั้ง
“แกจะร้องทำซากอะไรยะ ก็เมื่อกี้เนี่ยฉันพยายามจะชวนแกไปห้องน้ำเพื่อบอกเรื่องนี้แหละ แค่แกดิ ดันตบปัดนู่นปักนี่อยู่ได้” ฉันบอกยัยซีนัสพลางทำท่างอน ส่วนคนทั้งห้องยังคงมองพลางวิจารณ์นิสัยที่เปลี่ยนของฉัน
"ก็ฉันไม่รู้นี่! เออ...ขอโทษละกัน คราวหลังก็ช่วยทำอะไรให้มันเข้าใจกวานี้หน่อยสิ”
“แต่มันแปลกมากเลยนะ”
“แปลกอะไร??” ซีนัสมองหน้าฉันด้วยสีหน้างุนงงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“ก็หนังสือเล่มนี้นะสิ เมื่อกี้นี้...” ฉันหยิบหนังสือเล่มสีดำขึ้นมาก่อนจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ยัยซีนัสฟัง
“แกพูดจริงหรอ!” จากที่ซีนัสได้ฟังฉันเล่า เธอก็ถึงกับตาโตกระโดดลุกพรวดทันที่ฉันเล่าจบ ฉันจึงพยักหน้าตอบรับไป
“...”
“ขอดูหนังสือนี่หน่อยนะ!!” ซีนัสไม่ได้พูดธรรมดานะ แต่กลับกระชากหนังสือสีดำที่อยู่ในมือฉันไปด้วยแรงมหาศาล
“เห้ย! เบาๆ หน่อยดิ เดี๋ยวมันก็ขาดกันพอดี” ฉันห้ามเล็กน้อย เพราะเห็นมันกระชากหนังสือแรงเกินไป ฉันไม่อยากให้มันขาด อย่างน้อยมันก็เป็นสมบัติที่ปู่ให้ฉันก่อนปู่ฉันจะตาย
“อืมๆ ขอโทษที เออแล้วหน้าไหนวะ ที่แกบอกว่ามันมีคาถาไล่ผีอะไรนั่น” ซีนัสถามก่อนที่เธอจะเปิดไปหน้าที่สองของหนังสือแล้วเจอเข้า ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ได้ทันตอบอะไรเลย “อ๋า! เจอแล้วละ”
“อืม...แล้วมันมีอะไรแปลกๆ อีกไหมวะ” ฉันถามแล้วรีบขยับเกาอี้ไปชิดกับยัยซีนัสแล้วชะโงกดูที่หนังสือเล่มนั้นทันที
“นี่ลันลา แกดูดิ ใต้อักษรมนต์ นี่มีคำอธิบายคาถาที่แกท่องไปเมื่อกี้ด้วยละ”
“จริงอะ! แกรีบอ่านเร็วๆ ดิ แต่อย่าดังมากนะ เดี๋ยวคนอื่นได้ยินหมด” ฉันเร่งเล่าก่อนจะตั้งสติทั้งหมดไปกับการฟังของซีนัส
“อืม... มนต์คาถาบทนี้ เป็นคาถาไล่ภูตผีปีศาจที่มีอำนาจไม่กล้าแกร่ง หรือมีแรงอาฆาตต่อมนุษย์เพียงน้อยนิด คาถาบทนี้จะทำให้ภูตผีปีศาจที่มาทำร้ายผู้ท่องหรือผู้อื่นหายสิ้นไปจากโลกนี้ หรืออธิบายง่ายๆ จะทำให้ดวงวิญญาณนั้นแตกสลายไปไม่มีตัวตนบนโลกใบนี้
จบแล้ว”
“อืม” ฉันตอบรับก่อนจะนั่งคิดอะไรในหัวเล่นๆ
คาถาไล่ผีงั้นหรอ.... มันมาได้ยังไงละ ใช่แล้ว! ฉันได้มันมาจากคุณปู่ แต่ปู่ฉันได้มากจากใครละเนี่ย อ๊า! คิดแล้วปวดหัวชะมัด
“เห้ยๆๆ!! ลันลาที่หน้าแรกมีอะไรเขียนไว้ด้วยละ!”
“ไหนๆๆ!” ฉันเลิกคิดก่อนจะวกกลับไปที่ยัยซีนัส ก่อนจะมองหัวข้อที่ว่า ‘บทนำ’
“แกจะอ่านรึว่าฉันอ่าน” ซีนัสถาม
“แกก็ได้”
“โอเค เริ่มละนะ!...ในยามยุคสมัยสงคราม มีผู้คนมากมายต้องล้มตายกับเหตุการณ์ลุกลานของแต่ละเผ่าพันธุ์ และในช่วงยุคกาลหนึ่ง ได้มีผู้ค้นพบอวิชชาขั้นสูงที่สามารถทำลายล้างโลกได้ คนผู้นั้นได้บันทึกอวิชชาทั้งปวงลงในตำราที่มีชื่อว่า ‘ตำราบลาย’ และได้นำตำรานั้นมาใช้ในทางที่ผิด อันประกอบด้วย ฆ่าเข็ญผู้คนหรือกระทำชำเราผู้อื่นจนได้รับความเดือดร้อน เขาคนนั้นได้ตกเป็นผู้ที่น่าเกรงกลัวที่สุดในโลก แม้แต่เทพมากมายยังคงต้องยอมสยบในคาถาของคนผู้นั้น
และในเวลานั้นเอง ข้าได้ค้นหาวิชามากมายอันเป็นธรรมและเป็นอธรรม ถึงแม้บางคาถาจะเป็นคาถาในทางศาสตร์มืด แต่ก็ไม่ร้ายแรงถึงขั้นมนุษย์ต้องเสียชีวิต ข้าได้ให้ชื่อหนังสือนี้ว่า ‘ตำราเทลกิซ’ ข้าได้หวังไว้ว่าตำราเล่มนี้จะสามารถต้านทานอวิชชาของคนผู้นั้นได้ จึงไปท้าประลองสู้ จนถึงวินาทีสุดท้ายข้ากำลังจะเสียท่าให้แกคนผู้นั้น
แต่กลับมีเทพมากมายมาช่วยข้า ในขณะนั้นคนผู้มีคาถาอวิชชาก็ได้อ่อนแรงไปตามการต่อสู้ของข้า ทำให้เทพมากมายที่มาช่วยข้าสามารถทำลายดวงวิญญาณของคนผู้ค้นพบคาถาอวิชชาได้ แต่กลับพบว่าตำราบลายนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และได้มีนักปราชญ์ได้ให้คำทำนายไว้ว่าในช่วงยุคสมัยต่อๆ ไป ตำราทั้งสองจะกลับมาและหายไปและจะกลับมาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ! แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นช่วงยุคสมัยใด ข้าผู้นี้หวังไว้ว่าผู้ถือตำราเทสกิซคงเป็นผู้มีคุณธรรมใฝ่ธรรมะ เพราะได้ถูกเลือกจากตำราแล้วว่ามีคุณสมบัติพอที่จะครอบครองตำราเทลกิซ และท่านผู้ครองตำราเทลกิซอย่าได้ให้ตำราเทลกิซเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือของคนชั่วเป็นอันขาด!
ลงชื่อ...เทลกิซ มากิซ...”
“หมดแล้วหรอ?” ฉันถามขณะที่ซีนัสหยุดไปได้พักหนึ่ง
“หมดแล้ว...แต่ฉันว่าตำราเล่มนี้ที่แกได้มากจากปู่แก คงมีปริศนาอีกมากมายเลยวะ แล้วอีกอย่างตำราบลายที่ว่ามันอยู่ไหนละตอนนี้?”
“ไม่...ฉันไม่รู้ รู้แต่ว่าตำราเทลกิซในตำนานตอนนี้มันได้มาอยู่กับเราแล้วละ!”
ความคิดเห็น