ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    A Chirstmas Carol อาถรรพ์วันคริสต์มาส Ver จิ้นแหลกแหวกกระจาย

    ลำดับตอนที่ #2 : Part II (The End)

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 54


             “อย่าทำเกินเลยกับคุณหนูนะเฮ้ย ตาแก่ลามก” ใครพูดอยู่นะ? คาสเตอร์
               “ให้ตายเหอะ เห็นฉันเป็นคนยังไงกันเนี่ย คุณหนูของนายเป็นผู้ชายนะ อีกอย่าง ฉันยังไม่แก่ซะหน่อย” อีกแล้ว เสียงไม่คุ้นหูนี่ใคร? ใครอยู่ในห้องของผมกัน?
                “เงียบไปเลยแก ฟาดไม่เลือกเพศอย่างแกมีสิทธิ์มาพูดว่าโวลเป็นผู้ชายอีกหรอ... แย่ล่ะ โวลตื่นแล้ว งั้นฉันไปล่ะ ฝากด้วยละกัน” เสียงแบบนี้คาสเตอร์แน่ๆ เหมือนผมจะรู้สึกถึงแรงลมบางอย่างก่อนที่เสียงทั้งสองจะเงียบหายไป ผมที่เพิ่งตื่นนอนจากการหลับรอวิญญาณดวงต่อไปมาหาพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งแล้วขยี้ตาเบาๆ พลางลืมตาขึ้น แต่ก็ต้องผงะ เมื่อมีใบหน้าของชายคนหนึ่งอยู่ห่างจากหน้าผมไม่ถึงคืบ
                “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณหนู” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงมาดเท่ห์ ก่อนจะใช้นิ้วเรียวยาวเชยคางผมขึ้นมา แล้วปาดที่ริมฝีปากของผมเบาๆ “ฮะฮ้า ตื่นรึยังครับคุณหนูของผม”
                คะ... คุณหนู.. ของผม
    !!
                ผมปัดมือของคนวิตถารตรงหน้าออกจากใบหน้าของผมและถีบเขาลงจากเตียงในตอนที่เขายังไม่ได้ทันตั้งตัวทันที ผลลัพธ์ที่ได้คือ ชายหนุ่มคนนั้นหน้ากระแทกพื้นเสียงดังโครมสนั่นลั่นบ้านและแน่นิ่งไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
                “โวล มีอะไรรึเปล่า” คาสเตอร์ที่อยู่ข้างนอกตะโกนถามผมแล้วไขประตูเข้ามาในห้องของผม เอ่อ... คาสเตอร์ ถ้านายจะเข้ามา ไม่ต้องตะโกนให้เสียเวลาก็ได้นะ
                “ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นอะไรแวบๆเลยตกใจเผลอปาของใส่น่ะ” ผมพูดโกหก เพราะพูดความจริงไปคาสเตอร์คงไม่เชื่อ สายตาผมตอนนี้มองไปที่ร่างที่นอนเดี้ยงอยู่บนพื้นซึ่งคาสเตอร์คงจะมองไม่เห็น
                “หรอ ดูท่านายจะตกใจมากนะนั่น ฮ่าๆๆ” คาสเตอร์หัวเราะผมที่อยู่ในสภาพเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้เหมือนป้องกันตัวเองจากอะไรสักอย่างมากกว่าที่จะตกใจ
                “ขำอะไรของนาย รีบๆกลับไปนอนเลยไป” ผมพูดพลางเบนหน้าไปอีกทาง เห็นดังนั้นเจ้าตัวเลยเดินเข้ามาโอ๋ผม
                “โอ๋ๆ เด็กน้อย อย่างอนสิจ๊ะ มาๆ เดี๋ยวคืนนี้พี่ชายนอนกอดเอง ฮ่าๆๆ” ผมเขวี้ยงหมอนใส่หน้าคาสเตอร์ทันทีเมื่อเขาทำท่าจะเข้ามากอดจริงๆ
                “ออกไปเลยนะ ฉันจะนอนแล้ว” ผมพูดพลางล้มตัวลงนอน คาสเตอร์พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเดินออกไปทางประตูโดยไม่ลืมที่จะหันมากล่าวราตรีสวัสดิ์ผม
                “ฝันดีนะจ๊ะน้องหนู และก็...” คาสเตอร์ละสายตาจากผมที่นอนอยู่บนเตียงไปที่พื้นแทน จะว่าพื้นเฉยๆก็ไม่ได้ พอดีว่าตรงนั้นมีร่างแน่นิ่งของชายแก่ตัณหากลับนอนอยู่เพียงแค่ว่าคาสเตอร์น่าจะไม่เห็นเท่านั้นเอง
                “โชคดีล่ะกันนะ” คาสเตอร์แสยะยิ้มพลางปิดประตูออกไป ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า เพราะผมรู้สึกว่าประโยคเมื่อกี้เขาไม่ได้พูดกับผมยิ่งรอยยิ้มแสยะดูน่ากลัวนั่นไม่ใช่แน่ๆ แต่.. ถ้าไม่ได้พูดกับผมแล้วคาสเตอร์พูดกับใครล่ะ คงไม่ใช่ตาแก่บ้านั่นหรอกนะ เพราะนอกจากผมแล้วก็ไม่น่าจะมีใครเห็นวิญญาณได้ เอ๊ะ.. หรือมี?
                “เฮ้อ ไปแล้วสินะ อันตรายชะมัด” เสียงพึมพัมเบาๆเรียกความสนใจของผมให้กลับไปอยู่ที่ตาแก่โฮโมอีกครั้ง ผมเลิกคิ้วสงสัยในสิ่งที่ตาแก่พูดออกมา
                “อันตราย? หมายความว่าไงตาแก่ นี่ตารู้จักกับคาสเตอร์ด้วยรึไงหะ” ผมถามสิ่งที่ผมคาใจที่สุดออกมา ตลอดทุกครั้งที่มีวิญญาณออกมาจะต้องมีการพูดถึงบุคคลคนหนึ่งอยู่เสมออย่างที่พาสพูดถึง
    นายท่านและที่เพลสเซ่นหลุดปากออกมาว่า ไอ้พี่บ้า
                ทำไมนะ ผมถึงรู้สึกคุ้นเคยกับบุคคลที่พาสกับเพลสเซ่นเอ่ยออกมาเหลือเกิน หรือว่าคนคนนั้นจะเป็นคนใกล้ตัวผม อย่างนั้นแล้ว เป็นใครกันล่ะ..?
                “ใจเย็นสิครับคุณหนู กระผมเองไม่ได้รู้จักอะไรกับคนที่คุณหนูเอ่ยชื่อมาหรอก ไม่สิ ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อมาก่อนเลยมั้งเนี่ย แต่ว่า... โปรดอย่าเรียกผมว่าตาแก่ได้ไหมครับ ผมไม่แก่ขนาดนั้นนะครับ คุณหนู”
    ตาแก่ที่ว่านั่นทำหน้าคล้ายจะสิ้นใจตายถ้าหากผมยังไม่ยอมหยุดเรียกเขาว่าตาแก่อีก บรรยากาศดูหดหู่น่าขนลุก ผมเลยต้องจำใจถามชื่อเขาไปแบบปลงๆ
                “นายชื่ออะไรล่ะ เดาไม่ผิดคงจะเป็น
    ฟิวเจอร์สินะ” เหมือนบรรยกาศกลับมาแจ่มใจกระทันหัน ตาแก่... ไม่สิ ฟิวเจอร์ลุกขึ้นมาทำเก็กหน้าหล่ออีกครั้งแล้วเดินมาหาผมด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะสง่างาม แต่สำหรับผมนะ มันน่าหมั่นไส้มากเลยล่ะ
                “ว่าไงครับคุณหนู จะให้ผมรับใช้อะไรหรือขอรับ” พูดจบก็ยิ้มมาดขรึมใส่ผมพอเป็นพิธี ผมว่ามันไม่น่าหมั่นไส้แล้วล่ะ มันน่ารำคาญเลยตังหาก
                “นายมาเพื่อจะพาผมไปดูละครชีวิตไม่ใช่รึไง ลืมหน้าที่ตัวเองรึไงกัน” ผมพูดพลางยืดตัวกอดอก ฟิวเจอร์หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงขรึม
                “ไม่ลืมหรอกครับ” ฉับพลัน รอบตัวผมก็เกิดเป็นสีดำสนิท ผมที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเกือบจะหล่นก้นกระแทกพื้นอีกรอบแล้วถ้าหากฟิวเจอร์ไม่มารับเอาไว้ ผมหันไปเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆแล้วทรงตัวยืนขึ้น
                “ที่นี่ที่ไหน ฟิว...” คำพูดของผมขาดหายไปเมื่อผมกำลังจะหันไปถามฟิเจอร์ แต่เขาไม่อยู่แล้ว
    ! รอบตัวผมตอนนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากสีดำสนิท ผมกู่ร้องตะโกนเรียกชื่อของฟิวเจอร์หลายครั้งแต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา ผมเริ่มวิ่ง วิ่งไปเรื่อยๆพร้อมกับตะโกนไม่หยุดจนกระทั่งเห็นแสงสีขาวเป็นจุดเล็กๆอยู่ข้างหน้าของผม ผมหยุดวิ่งแล้วตะโกนชื่อฟิวเจอร์อีกครั้ง
                “ฟิวเจอร์
    !!” แสงสีขาวนั่น เริ่มขยายตัวออกเป็นวงกว้างเมื่อสิ้นสุดเสียงตะโกนของผม แสงมันจ้าแสบตามากจนผมต้องใช้มือบังแสงเอาไว้ จู่ๆก็เกิดมีแรงสะกิดที่ข้างหลังผมขึ้น
                “แสงหายไปแล้ว ลืมตาได้แล้วล่ะ” เสียงกระซิบที่แผ่วเบาแฝงความอ่อนโยนดังขึ้นข้างหูของผม ผมทำตามคำพูดนั้นโดยลดมือลงช้าๆแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น
                “เห็นไหม บอกแล้ว” คำพูดนั้นพูดขึ้นเหมือนจะยืนยันความจริงในคำพูดแรก ที่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจไม่ใช่คำพูดนั่น แต่เป็นคนพูดตังหาก
    !!
                “ฟิวจอร์!!” ผมตะโกน แล้วโผเข้ากอดคนตรงหน้าทันที อาจเป็นเพราะผมเตี้ยหรือฟิวเจอร์สูงเกินไปหรือไงไม่ทราบ หน้าของผมจึงซุกอยู่ที่แถวหน้าท้องของเขา ฟิวเจอร์ดูเหมือนจะตกใจนิดๆ แต่ก็ยิ้มอ่อนโยนแล้วลูบหัวของผมแผ่วเบา
                “โอ๋ๆ จากลูกเสือจอมหยิ่งกลายเป็นลูกแมวขี้กลัวไปตั้งแต่เมื่อไรกันเนี่ย” เมื่อได้ยินดังนั้น ผมเลยรีบผลักตัวเองออกจากฟิวเจอร์ทันที
                “อะไรของนาย ผมแค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง ใครกลัว?” ผมพูดพลางยืดตัวกอดอกแล้วหันหน้าไปทางอื่น มีเสียงฟิวเจอร์ฟิวเจอร์หัวเราะเป็นดังเป็นฉากหลังอยู่นานสองนาน จนกระทั่งผมต้องทวงเรื่องที่เขาจะพาผมไปดูนี่แหละ เขาถึงได้หยุดหัวเราะ
                “ไม่กลัวก็ดีแล้ว คุณหนูคงต้องไปดูเองคนเดียวแล้วล่ะ มีธุระด่วนจากน้องชายเข้ามาหาผมน่ะ”
                “หมายความว่ายังไง ให้ไปดูคนเดียว แล้วผมจะทำยังไงล่ะ ผมไม่ใช่วิญญาณแบบพวกนายนะ” ผมเถียงกลับทันทีที่ฟิวเจอร์พูดจบ  เขายกมือปรามผมเหมือนจะบอกว่าให้หยุดเถียงก่อน
                “ฟังก่อนสิคุณหนู ผมรับรองว่าเมื่อถึงเวลามันจะเป็นไปตามที่ผมกำหนดไว้เอง ไม่ต้องห่วงนะ ผมรับประกันได้” ฟิวเจอร์ทำหน้าเหมือนจะบอกว่า
    ไม่ตายร้อยเปอร์เซ็นมันทำให้ผมสบายใจไปเปราะหนึ่ง ผมยอมพยักหน้ารับคำสั่งโดยดีนั่นทำให้ฟิวเจอร์ยิ้มกว้าง
                “ดีมาก ลูกแมวน้อย ว่าง่ายๆโตเป็นลูกเสือไวๆนะ ฮ่าๆๆ” ไม่รู้เพราะอะไร ผมถึงรู้สึกอบอุ่นกับคนคนนี้อย่างประหลาด แม้ว่าตอนเจอกันครั้งแรกมันจะไม่ค่อยดีเท่าไรก็เถอะ แต่ว่านะ ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับ... คาสเตอร์
                “งั้นผมไปนะ ดูแลตัวเองด้วย” ว่าจบฟิวเจอร์ก็หายไปพร้อมกับฉากที่เปลี่ยนมาเป็นที่ที่หนึ่ง ผมมองไปรอบๆเพื่อตรวงดูสถานที่ ก่อนจะพึมพัมกับตัวเองเบาๆ
                “หน้าบ้านของเรา..?” สภาพบ้านในตอนนี้นั้นยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบัน ผมยืนคิดอะไรสักพักก่อนจะตัดสินใจนั่งลงที่ฟุตบาทข้างประตูรั้ว ผมมองไปรอบๆ ที่นี่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลนและไม่ค่อยมีคนเดินเท่าไร เพราะมีบ้านคนน้อยล่ะมั้ง ผมมองเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งสายตาไปหยุดอยู่ที่จุดจุดหนึ่ง จุดนั้นมีรูปร่างเหมือนคนจนกระทั่งมันเริ่มเข้าใกล้มาเรื่อยๆ และดูเหมือนจะเดินตรงมาที่ผมซะด้วยสิ
                “ฌอน?” ผมเอ่ยอย่างงุนงง สีหน้าของเขาตอนนี้ดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำทั้งตัวซึ่งมันตัดกับสีขาวของดอกลิลลี่ดอกใหญ่ในมือของเขา ฌอนเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าผมแล้วค่อยๆลดตัวนั่งยองๆเสมอผม
                “สุดท้ายก็ไม่ได้เห็นสินะ ความสุขของนาย” น้ำเสียงของฌอนตอนนี้ทั้งเศร้าทั้งแผ่วเบาจนผมเริ่มรู้สึกใจไม่ดี “วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ฉันไม่อยากเศร้าไปมากกว่านี้แล้ว เพราะอย่างนั้น.. ฉันไม่ไปนะ งานของนาย และก็ ฉันอยากเอาดอกไม้ที่นายชอบมาให้นายอย่างสงบดีกว่าให้ต่อหน้าคนเยอะๆ หวังว่านายคงเข้าใจนะ.. ไม่สิ นายเข้าใจเลยตังหาก” เขาค่อยๆวางดอกลิลลี่ไว้ข้างๆที่ผมนั่งแล้วลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
                “นายสบายแล้วนะ ลาก่อนโวล” กล่าวจบแล้วเดินจากไป ทิ้งให้ผมนั่งขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม ผมมองไปที่ดอกลิลลี่ขาวข้างตัวแล้วคิดอย่างไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจที่ฌอนพูดสักนิด ไม่สิ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ไม่อยากเข้าใจตังหาก ผมไม่อยากคิดเรื่องที่จะเกิดกับวันนี้ในตอนเช้า.. หวังว่ามันคงจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดนะ
                “ไง คาสเตอร์” เสียงของฌอนเรียกความสนใจจากผมให้หันไปมอง ผมเห็นฌอนยืนประจันหน้ากับคาสเตอร์ที่เพิ่งออกจากบ้านมา คาสเตอร์ดูงุนงงเมื่อเห็นฌอนยืนอยู่หน้าบ้านของผม แต่ก็ถามด้วยเสียงที่ไม่เป็นมิตร
                “แก มาทำอะไรที่นี่ ช่างเถอะ ฉันกำลังรีบ” คาสเตอร์พูดพลางเดินกระแทกไหล่ฌอนออกไป แต่ก็ถูกฌอนหยุดด้วยคำถามของเขา “นั่นแกกำลังจะไปไหน”
                “ตามหาโวล หายไปไหนไม่รู้ตั้งแต่เช้า ว่าแต่แกมายุ่งอะไรด้วย” คาสเตอร์พูดพลางจ้องหน้าฌอนด้วยสีหน้าหาเรื่อง ซึ่งถ้าเป็นปกติ ฌอนคงจะตอกกลับไปด้วยคำพูดกวนประสาทแน่นอน แต่ครั้งนี้ไม่ เขายืนนิ่งแล้วพูดเสียงสั่นนิดๆ
                “เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว” คำพูดนั้นเป็นคำพูดที่ฌอนพูดกับคาสเตอร์ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขากำลังพูดอยู่กับผมด้วย
                “พูดเรื่องอะไรของแกน่ะ ฉัน... ไม่รู้เรื่อง” คาสเตอร์ก้มหน้านิ่ง พลางส่ายหน้าเบาๆ ผมเห็นฌอนกำหมัดแน่นเหมือนกำลังอดทนต่ออะไรบางอย่าง
                “โวลน่ะ ไม่อยู่แล้ว” ฌอนพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้านิ่งเหมือนคาสเตอร์ ผมที่นั่งดูบทสนทนาของทั้งสองอยู่ก็นั่งนิ่ง พยายามที่จะไม่อยากเข้าใจความหมายที่ฌอนจะพูดในครั้งต่อไป
                “กะ... แกพูดอะไรของแกน่ะ เพราะโวลไม่อยู่ไง ฉันเลยจะออกไปตาม..”
                “เลิกบ้าสักทีได้ไหม
    !!
                พลั่ก
    !!
                คาสเตอร์ล้มลงไปนอนกองกับพื้นตามแรงชกของฌอน ฌอนตะโกนเสียงดังลั่นจนผมต้องปิดหูเอาไว้ทั้งน้ำตา
                “โวล.. โวล์โรลเลนซ์น่ะ..
    !!” ขอร้องล่ะ อย่าพูดนะฌอน
                “คุณหนูของแก.. ของฉัน..
    !! ฮึก!” อย่านะ ฌอน ได้โปรด...
                “โวลของเรา... ตายแล้วเว้ย ไอ้บัดซบ
    !!” ...ได้โปรด
                ทั้งผมและคาสเตอร์เบิกตากว้าง น้ำตาของผมพรั่งพรูออกมาไม่หยุดเช่นเดียวกับบุคคลทั้งสอง ฌอนเดินจากไปโดยทิ้งให้คาสเตอร์นั่งกุมแก้มตัวเองอยู่บนพื้นหิมะ เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูสนุกสนานเหมือนอย่างเคยแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด คาสเตอร์ปาดเลือดที่มุมปากออกแล้วยันตัวเองขึ้นยืน
                “รู้แล้วน่า..” เขาพูดเสียงเบาแล้วเดินเซเข้าบ้านไป ทิ้งให้ผมนั่งร้องไห้กอดเข่าอยู่คนเดียว จู่ๆก็เกิดรอยร้าวขึ้นภายในอากาศ รอยร้าวนั้นขยายออกเป็นวงกว้างเหมือนกระจกที่กำลังจะแตก สุดท้ายก็เกิดเสียงแตกเพล้งดังลั่นสนั่นพร้อมกับที่ภาพรอบๆตัวผมนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆกลายเป็นพื้นสีดำสนิทอีกครั้งแทน แต่คราวนี้ผมไม่ได้อยู่แค่คนเดียวเหมือนเคย ข้างหน้าผมคือฟิวเจอร์ วิญญาณคริสต์มาสแห่งอนาคตที่เป็นคนทำให้ผมเจอเรื่องราวที่แสนปวดใจเมื่อกี้นี้
                “อย่าคิดโกรธกันเลยคุณหนู เจ้าน้องชายเป็นคนบอกให้ผมเป็นคนทำแบบนี้น้า” ฟิวเจอร์พูดพลางเดินมากอดไหล่ผมเอาไว้ ผมสะบัดตัวออกจากเขาแล้วพูดเสียงดัง
                “อย่ามายุ่งกับผมนะ
    ! ตกลงเบื้องหลังเรื่องนี้เป็นใครกันแน่ เป็นน้องชายของนาย เป็นพี่บ้าของเพลสเซ่น หรือเป็นนายท่านของพาสกัน!” ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด นี่มันอะไรกัน พาผมไปดูอดีตที่ผมไม่อยากจะจำ พาไปฟังฌอนพูดอะไรก็ไม่รู้ แถมยังให้มารู้ว่าตัวเองกำลังจะตายในวันคริสต์มาสอีก ตกลงพวกนายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่!!
                “อันที่จริง คนที่นายพูดถึงเป็นคนคนเดียวกันน่ะ โวล”
                ผมหันขวับไปทางด้านหลังซึ่งเป็นต้นเสียงทันที สิ่งที่ผมเห็นคือชุดโต๊ะน้ำชาขนาดสี่ที่สีขาวสว่างตัดกับบรรยากาศสีดำสนิทโดยรอบ แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจไม่ใช่ชุดโต๊ะน้ำชาที่ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่เป็นบุคคลที่นั่งอยู่หัวโต๊ะตังหาก
                “คาสเตอร์
    !!” ผมร้องเรียกชื่อของคนตรงหน้าด้วยความตกใจ ไม่มีเพียงแค่คาสเตอร์เท่านั้นที่นั่งอยู่ แต่ที่นั่งข้างซ้ายของเขายังถูกจับจองด้วยวิญญาณสาวนามเพลสเซ่นที่กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่และข้างหลังเขายังมีวิญญาณเด็กน้อยนามพาสโบกมือให้ผมอยู่เนืองๆอีกด้วย
                “คาสเตอร์... นายมาอยู่ที่นี่... ได้ไงกัน” ผมแทบพูดไม่เป็นภาษา ฟิวเจอร์เดินจูงผมให้มานั่งทางที่นั่งด้านขวาของคาสเตอร์ ส่วนตัวเองก็ไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ตรงข้ามกับคาสเตอร์
                “พี่ชาย ผมอยากนั่งอ่ะ” ทันทีที่ผมนั่ง พาสก็วิ่งมาหาผมทันที แล้วร้องอยากจะนั่งให้ได้ ซึ่งพอคาสเตอร์เห็นดังนั้นก็ดุพาสเสียงดังทันที
                “ทำอะไรน่ะพาส
    ! อย่าทำนิสัยไม่ดีแบบนี้นะ!” พาสทำหน้าจ๋อยทันทีที่โดนดุ เห็นดังนั้นผมเลยอุ้มพาสมานั่งตักด้วยความสงสารทันที
                “โวล ทำอะไร...”
                “ห้ามดุพาส เข้าใจไหม” ผมเอ่ยอย่างมีอำนาจทันที ซึ่งคาสเตอร์ก็ได้แต่บ่นอุบอิบแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรมากเพราะมันเป็นคำสั่งของผม พาสที่อยู่บนตักของผมนั่งยิ้มแป้นอย่างมีชัย ซึ่งผมกล้าบอกได้เลยว่า คาสเตอร์ต้องหมั่นไส้แน่ๆ
                “มัวแต่หวานกันอยู่ได้ จะได้รู้ความจริงกันไหมเนี่ยหะ” เพลสเซ่นที่นั่งเงียบ่นขึ้นมาอย่างเซ็งๆ คำพูดนั่นทำเอาเราทั้งสองคนหน้าขึ้นสี คาสเตอร์กระแอมกระไอแก้เขินนิดหน่อยก่อนจะตีสีหน้าจริงจังแล้วเริ่มพูด
                “โวล” เขามองหน้าผม “นายคงสงสัยสินะว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
                ก็ใช่น่ะสิ.. ผมตอบในใจพลางชักสีหน้าไม่พอใจ คาสเตอร์ถอนหายใจนิดหน่อยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
                “ความจริงแล้ว..” คาสเตอร์เว้นจังหวะนิดหน่อยแล้วพูดต่อ “ฉันเป็นยมทูต”
                ผมเงียบไปสักพัก ก่อนจะทวนคำออกมาอย่างไม่เชื่อหู
                “ยมทูต?”
                “ใช่ ฉันคือยมทูต” คาสเตอร์พูดยืนยันสถานะตนเอง ผมหันไปมองฟิวเจอร์เพื่อหาคำตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้มาคือการพยักหน้าหงึกหงักของเขา
                “ใช่ คาสเตอร์เป็นยมทูต แถมยังเป็นน้องชายของผมแล้วก็เป็นพี่ชายของเพลสเซ่นอีกด้วย”
                “เป็นพ่อของผมด้วยครับ
    !!” สิ่งที่พาสพูดออกมาทำให้ผมหันไปจ้องหน้าคาสเตอร์เขม่ง
                “เฮ้ย
    ! เปล่านะ ฉันแค่รับพาสที่เป็นวิญญาณเร่ร่อนมาเลี้ยงเท่านั้นเอง ไม่ได้แอบไปมีใครลับหลังนายที่ไหนนะเฮ้ย!” คาสเตอร์รีบปฏิเสธทันควันเมื่อผมจ้องจับผิดเขา เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อผมทำท่าจะเชื่อคำพูดที่เขาพูด ก่อนจะพูดต่อ
                “ฉันรู้ชะตาชีวิตนายเลยถูกส่งให้มารอเวลารับวิญญาณของนายตั้งแต่ตอนยังเด็ก แต่อยู่ไปอยู่มาฉันก็เริ่มไม่อยากที่จะทำมัน คงเป็นเพราะความสนิทของพวกเราล่ะมั้ง แต่ฉันไม่อาจจะขวางชะตาชีวิตของใครได้หากเจ้าตัวไม่อนุญาติ ยมทูตอย่างพวกเราน่ะมีอำนาจอยู่อย่างหนึ่งที่สามารถจะต่ออายุขัยของใครก็ได้ แต่ข้อเสียคือใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และฉัน จะใช้มันกับนาย... แต่ก็นะ อย่างที่บอกไป หากเจ้าตัวไม่ต้องการฉันก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอย่างนั้น..” คาสเตอร์จับมือของผมไว้แล้วมองหน้าผมนิ่ง “นายต้องการมันไหม โวล”
                ผมนั่งนิ่ง ถ้าหากผมตายไปคงจะมีแต่คนดีใจมากกว่าที่จะเสียใจสินะ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว ผมจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกันล่ะ หากอยู่ต่อไปคงไม่แคล้วได้สิ้นหวังทุกอย่างยิ่งกว่าตอนที่จะต้องตายแน่ เพราะงั้นแล้ว...
                “อย่าได้คิดเชียวว่าตายดีกว่า” คาสเตอร์เอ่ยออกมาอย่างรู้ทัน ผมมองหน้าเขาอย่างงงๆ
                “หน้านายน่ะ สำหรับฉันมันอ่านง่ายจะตาย คงคิดว่าหากนายตายไปคงไม่มีใครจะเสียใจกับการจากไปของนายสินะ” ผมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับกับสิ่งที่คาสเตอร์พูด แม้มันจะดูน่าอายไปหน่อยแต่สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดก็ตรงกับความคิดของผมทุกอย่าง
                “ฉันนี่ไง”
                “หืม?”
                “ฉันนี่แหละที่เสียใจกับการจากไปของนาย รวมถึงไอ้บ้าฌอนนั่นด้วย ฟิวเจอร์ก็พานายไปดูแล้วนี่ อนาคตน่ะ...” คาสเตอร์เสียงเบาลง เขาคงจะเห็นสินะ อนาคตของวันนี้ในตอนเช้า มันคงปวดใจเขาน่าดู
                “คนส่วนมากจะเป็นยังไงก็ช่าง นายอยู่ต่อไปเพื่อคนส่วนน้อยไม่ได้รึไง อย่างน้อยอยู่เพื่อฉันก็ยังดี” คาสเตอร์กล่าวแล้วแกล้งหันหน้าไปทางอื่น คงจะอายที่คนอย่างเขาพูดอะไรแปลกๆออกมาล่ะสิ
                “ก...ก็ได้” ผมตอบตกลงด้วยความรู้สึกแปลกๆ ใบหน้ามันรู้สึกร้อนแปลกๆ และทันทีที่คาสเตอร์ได้ยินคำตอบจากปากผม เขาก็รีบหันหน้ามาอย่างเร็วจนผมกลัวว่าคอเขาอาจจะหัก คาสเตอร์ยิ้มกว้างแต่ก็ชะงักทันทีเมื่อผมทำท่าจะพูดอะไรอีก
                “แต่ว่า ฉันไม่ได้ทำเพื่อนายนะ ฉันทำเพื่อคนสำคัญของฉันที่อยู่ในคนส่วนน้อยตังหาก”
                “แล้วในคนส่วนน้อยมีผมไหมล่ะครับ คุณหนู” คาสเตอร์ถามด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาทเหมือนเดิน ผมดันหน้าเขาให้หงายหลังแล้วพูดอย่างหน่ายๆ
                “กล้าถามนะ” คาสเตอร์มีสีหน้าวิตกเมื่อผมพูดขึ้น “ทำไมจะไม่มีนายล่ะ เจ้าคนรับใช้ของฉัน”
                เขายิ้มกว้างและหัวเราะเมื่อผมพูดจบ เหมือนพาสจะไม่ยอม เด็กน้อยดิ้นแล้วพูดท้วงติง
                “แล้วผมล่ะครับ ผมเป็นคนสำคัญของพี่ชายรึเปล่า” ผมหัวเราะอย่างเอ็นดูกับความน่ารักของเด็กน้อยบนตักแล้วกอดเด็กชายไว้แน่นพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
                “แน่นอนสิ พี่ชายให้พาสเป็นคนสำคัญคนแรกๆของพี่ชายเลยล่ะ” เด็กชายหัวเราะคิก แล้วมองไปที่คาสเตอร์ด้วยสีหน้ายียวนกวนประสาทเหมือนกับคาสเตอร์อย่างมาก แต่สำหรับผมนั้น หน้าตาแบบนี้เมื่ออยู่บนใบหน้าของพาสดูน่ารักกว่าคาสเตอร์เป็นกองเลย
                “นาย เจ้าเด็กแสบ
    ! โวล ทำไมนายให้เจ้าแสบนี่เป็นที่หนึ่งล่ะ! แล้วฉันล่ะ!” คาสเตอร์ค้านสิ่งที่ผมพูดกับพาสด้วยน้ำเสียงราวจะขาดใจ พาสไม่ยอม เถียงกลับคาสเตอร์อีก
                “นายท่านไม่สำคัญกับพี่ชายเท่าผมนะ ทำไมไม่ยอมรับสักทีล่ะฮะ”
                “หนอยแก เจ้าเด็กบ้า มานี่เลยนะ
    !” และแล้วก็กลายเป็นสงครามวิ่งไล่จับระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่สมองเด็ก พาสกระโดดลงจากตักของผมแล้ววิ่งรอบวงน้ำชาโดยมีคาสเตอร์หน้าตาเหมือนยักษ์วิ่งไล่หลัง ผมมองดูภาพตรงหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ จู่ๆ ก็เกิดมีแรงสะกิดที่หลังขึ้น
                “มีอะไร ฟิวเจอร์” ผมถาม เมื่อหันหลังไปเจอกับคนที่สะกิดผม ฟิวเจอร์ชี้มาที่ตัวเองแล้วถามเสียงขรึม
                “แล้วผมล่ะครับคุณหนู เป็นคนสำคัญของคุณรึเปล่า” ผมยิ้มเมื่อฟิวเจอร์พูดจบ ก่อนจะพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ซึ่งผมไม่เคยทำมาก่อน
                “แน่นอน ทุกคนในนี้เป็นคนสำคัญของผมหมดแหละ”
                “ผมรักคุณ..
    !” ฟิวเจอร์ทำท่าจะกระโดดใส่ผมแต่ก็หงายหลังล้มลงไปเมื่อจู่ๆ มีหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ที่ไหนไม่รู้ลอยมากระทบหน้าเขาเต็มๆจากทางด้านหลัง ผมรีบหันไปทางที่หนังสือลอยมาทันที
                “โทษที หลุดมือ” เพลสเซ่นพูดพลางหยิบหนังสือเล่มใหม่ออกมาจากอากาศตรงหน้า เธอเปิดอ่านแล้วไม่พูดอะไรอีก
                “ขอบคุณนะ” ผมพูดพลางยิ้มให้กับเธอ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอจะเห็นรึเปล่าเพราะเธอเปิดอ่านหนังสือในท่าที่ปิดบังใบหน้าตนเอง เมื่อไม่เห็นปฎิกิริยาตอบรับจากคนตรงหน้า ผมเลยทำท่าจะลุกไปแยกพาสออกจากคาสเตอร์ที่กำลังเล่นสงครามกันอยู่ แต่จู่ๆก็มีเสียงดังออกมาจากหนังสือที่ปิดหน้าเพลสเซ่นอยู่
                “ทุกคนที่นี่.. รวมถึงฉันไหม” ผมหันไปยิ้มให้กับเพลสเซ่นที่ลดหนังสือลงจากหน้าตนเองแล้ว เธอแสร้งหันหน้าไปทางอื่นแล้วพูดออกมาเก้อๆ “ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ได้หวัง”
                ผมหัวเราะแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าที่มีความสุขสุดๆ “มีสิ ฉันมองเธอเป็นย้องสาวคนหนึ่งเลยนะ”
                “จริงนะ
    !” เพลสเซ่นตาลุกวาว แสดงความดีใจออกมาอย่างปิดไม่มิด “เพลสดีใจมากเลยค่ะ เพลสอยากได้พี่น่าตาน่ารักเหมือนผู้หญิงแบบนี้มานานแล้ว แต่เพลสไม่กล้าพูดออกมาเลยแสดงกิริยาที่ไม่ดีออกไป พี่ที่เพลสมีก็มีแต่พวกไม่เอาอ่าวไม่สมควรต่อการเรียกพี่ทั้งนั้น ตั้งแต่นี้ไปเพลสขอเรียกพี่ว่า พี่โวลได้ไหมค่ะ!
                เพลสเซ่นร่ายยาว คำพูดของเธอทำให้ผมต้องยิ้มแห้ง น่าคาน่ารักเหมือนผู้หญิงงั้นหรอ นี่ผมเป็นแบบนี้จริงๆหรอเนี่ย
                “อ่า ได้สิเพลส” พอผมอนุญาติ เพลสเซ่นก็ดีใจจนแทบร้องกรี๊ด พวกเราคุยกันยาวโดยไม่สนใจร่างของฟิวเจอร์ที่นอนเดี้ยงอนาถอยู่ข้างโต๊ะ และคาสเตอร์กับพาสที่วิ่งไล่กันรอบโต๊ะจนน่าปวดหัว และส่วนใหญ่ที่ผมคุยกับเพลสเซ่น จับใจความได้ว่า เธออยากให้ผมเป็นผู้หญิง เพราะหน้าตาของผมที่เธอบอกว่า
    น่ารักถูกใจเธอเป็นอย่างมาก และเธอยังอยากให้ผมไปเป็นคู่กับคาสเตอร์ พี่ชายของเธออีกด้วย เหตุผลเพราะว่า อยากจะขัดเกลานิสัยของพี่ตนเองโดยใช้ผมเป็นตัวช่วยเท่านั้นเอง
                แต่ผมว่า.. มันคงไม่ดีล่ะมั้งแบบนี้น่ะ เฮ้อ...
                “ว่าแต่.. เพลส ทำไมคาสเตอร์ต้องส่งพวกเธอมาหาฉันด้วยล่ะ ทำไมไม่บอกพี่ตรงๆไปเลย” ผมถามเพลสเซ่นถึงข้อสงสัยที่คาใจมานานตั้งแต่ตอนที่คาสเตอร์บอกถึงตัวจริงของตัวเอง หากเขาต้องการจะช่วยผมจริงๆ แค่มาบอกตรงๆก็สิ้นเรื่องไม่ใช่รึไง?
                “อ๋อ เพลสก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรหรอก แต่เห็นคาสเตอร์เคยบอกว่า อยากให้พี่โวลมรความสุขในวันคริสต์มาสมั่งน่ะ”
                “อยากให้มีความสุข? โดยการทำแบบนี้นี่นะ” ผมถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เพลสเซ่นยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วเอ่ยทวนความจำผมอีกครั้ง
                “จำที่เพลสเคยบอกตอนที่เราไปบ้านพี่ฌอนได้ไหมล่ะ ที่ว่าเขาอยากทำให้พี่มีความสุขในวิธีของเขา คาสเตอร์เองก็เช่นกันค่ะ”
                “คาสเตอร์เองก็อยากให้พี่มีความสุขในวิธีของเขาสินะ” ผมพูดพลางมองไปที่คาสเตอร์ที่กำลังกดหัวพาสอยู่แล้วหันมามองหน้าเพลสเซ่น เธอยิ้มแล้วเอ่ยถาม
                “แล้วตอนนี้ พี่โวลมีความสุขในวันคริสต์มาสหรือยังคะ” ผมยิ้มเมื่อเพลสเซ่นพูดจบ แล้วตอบโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ “แน่นอน” ผมเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้แล้วค่อยๆหลับตาลง
                “มีความสุขจนไม่รู้จะอธิบายยังไงเลยล่ะ”


               
     กริ๊ง กริ๊ง

                “อืม..” ผมครางแผ่ว พลางเอื้อมมือไปกดปิดนาฬิกาปลุกข้างหัวเตียง แล้วยันตัวให้ลุกขึ้นในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง ผมมองออกไปที่หน้าต่าง หิมะขาวโพลนปกคลุมพื้นที่โดยรอบ แสงอาทิตย์อ่อนๆบ่งบอกได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าแล้ว
                “ฝันไป.. งั้นหรอ” ผมพึมพัมกับตัวเองเบาๆ เมื่อนึกถึงฝันประหลาดเมื่อคืน ในฝันนั้นมีแต่วิญญาณแปลกๆ แถมคาสเตอร์ยังเป็นยมทูตอีก แต่แปลกนะ ถึงจะเป็นแค่ฝันแต่ทำไมความอบอุ่นที่ผมได้รับจากพวกเขาถึงยังอยู่อีก?
                ปัง
    !
                “อรุณสวัสดิ์ คุณหนู ตื่นสายนะนายน่ะ” คาสเตอร์ที่อยู่ๆก็ถีบประตูเข้ามากล่าวทักทายตอนเช้ากับผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มปิดไม่มิด เขาเดินมานั่งลงบนเตียงข้างๆผมแล้วหยิบเอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมหัวผมเอาไว้
                “อาบน้ำซะ วันนี้เป็นวันคริสต์มาส ออกไปซื้อไก่งวงตัวโตๆกัน” พูดจบคาสเตอร์ก็ลุกขึ้นแล้วกำลังจะเดินออกจากห้องไป เมื่อผมเห็นดังนั้นเลยเรียกเขาให้เขาหยุดเอาไว้
                “เดี๋ยว คาสเตอร์”
                “มีอะไรจ๊ะ คุณหนู” คาสเตอร์หันมาตอบด้วยหน้าตากวนประสาทเป็นเอกลักษณ์เช่นเคย ผมอึกอักอยู่นาน ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยถามออกไป
                “พาสกับเพลสเซ่น แล้วก็ฟิวเจอร์ด้วย สบายดีใช่ไหม” เมื่อผมถามจบ คาสเตอร์ก็หุบยิ้ม ผมหวังว่าผมคงจะไม่ได้ฝันไปเองคนเดียวแน่ๆ ความรู้สึกของผมมันบอกว่านี่คือเรื่องจริง
                “โวล...” คาสเตอร์เรียกชื่อผมแผ่วเบาก่อนจะยิ้มกว้าง “ไม่ต้องห่วง พวกนั้นสบายดี พลังของฉันทำให้พวกนั้นเป็นมนุษย์ได้ชั่วคราว ตอนนี้พวกนั้นอยู่กับคนรู้จักของฉัน เดี๋ยวคงได้เจอกันแล้วล่ะ”
                “คาสเตอร์..” ผมยิ้ม เป็นยิ้มกว้างแบบที่ไม่เคยยิ้มมาก่อนซึ่งคาสเตอร์ก็ยิ้มตอบเช่นกัน
                “สุขสันต์วันคริสต์มาส โวล”
                “สุขสันต์วันคริสต์มาสเช่นกัน คาสเตอร์” ผมกับคาสเตอร์ยิ้มให้กันและหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข นี่คงจะเป็นคริสต์มาสที่วิเศษที่สุดของผม ซึ่งผมก็คงจะไม่ลืมมันไปชั่วชีวิต และสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับวันคริสต์มาสในวันนี้ก็คือ...

                ผมรักคริสต์มาสที่สุดเลย

                                                                               END
    ___________________________________________________________________________

    เรื่องต่อไปที่จะลงมีสิทธ์ว่าจะลงปีหน้า - -**
    ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่า 2 ตอนจบแล้วนะจ๊ะ >3< ขอบคุณทุกท่าทนที่คอยอ่าน (เห็นแวบๆมีสามคน แค่นี้ก้ดีใจล้นเหลือแล้ว T^T) จะเม้นด่า เอ้ยย เม้นติชมอะไรเราไม่ว่ากัน เราจะถือว่าเป็นกำลังใจต่อปายยย (วิบัติเพื่อเสียง)

    ปล. พิมพ์รักทุกคนค่ะ >3<
    ปลล. แม้ทุกคนจะไม่รักพิมพ์ก้ตามม T3T
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×