คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Part I
เหล่าวิญญาณแห่งอดีต ปัจจุบัน และอนาตตเอ๋ย จงไปทำหน้าที่ของเจ้าซะ ทำให้เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริง... ในค่ำคืนก่อนวันคริสต์มาส...
คืนนี้เป็นคืนคริสต์มาสอีฟ...
ใครหลายคนมีความสุขในคืนนี้ เฮฮาปาร์ตี้ จัดงานเลี้ยงฉลองรอคอยวันคริสต์มาสที่จะมาในวันพรุ่งนี้กัน ได้กินไก่งวงตัวโตๆ ไหนจะเป็นการพบหน้ากันพร้อมหน้าญาติพ่อแม่พี่น้อง ตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันคริสต์มาสที่จะมาถึง...
มันคงจะมีแค่ผม โวล์โรลเลนซ์ เซียร์ เท่านั้นที่อยากจะบอกกับวันคริสต์มาสที่จะมาถึงว่า...
ผมเกลียดคริสต์มาสที่สุดเลย!!!
“อ้าวคุณหนูโวล ไหงทำหน้าอยากเอาหัวไปมุดโถส้วมอย่างนั้นล่ะครับ”
ทันทีที่เก้าเท้าเข้าประตูบ้านเข้ามา เสียงและคำพูดกวนโสตประสาทผมของคาสเตอร์ โรเจนซ์ หัวหน้าคนรับใช้วัยเดียวกับผมก็ลอยเข้าหัวมาทันที คาสเตอร์กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่กลับดูกวนประสาทมากในสายตาผม มือของเขาเอื้อมมาจับแก้มผมแล้วดึงยืดออก ก่อนจะทำสีหน้าพอใจเป็นที่สุด “ยิ้มอย่างนี้ ถึงจะดูขัด แต่ก้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อยล่ะ”
“ทำบ้าอะไรของนายน่ะ คาสเตอร์” ผมปัดมือที่ดึงแก้มผมอยู่ออก พลางเบือนหน้าหนีมือของคาสเตอร์ที่ทำท่าจะเข้ามาหยิกแก้มผมอีกรอบแล้วตีกลับไปที่มือนั้นอย่างแรงจนคาสเตอร์หน้าเบ้
“เจ็บนะโวล ทำไมแค่นี้ถึงกับต้องลงแรงกันด้วยอ่ะ” คาสเตอร์ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ใบหน้าแบบนั้นไม่ว่าผมจะมองยังไงมันก็เป็นการกวนประสาทผมชัดๆ!
“มันไม่น่ารักหรอกคาสเตอร์ หยุดทำหน้าแบบนั้นซะ” ผมพูดพลางปาโค้ทขนสัตว์ที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะข้างนอกใส่หน้าพ่อบ้านประจำตัวของตัวเอง คาสเตอร์โวยวายดึงโค้ทออกจากหน้าตัวเองแล้วถลึงตาใส่ผม
“ทำตัวไม่น่ารักเลยนะโวล เป็นคุณหนูของบ้านตระกูลเซียร์ซะเปล่าเนี่ย หัดทำตัวให้น่ารักเหมือนหน้าตาตัวเองหน่อยสิ.. ไม่สิๆ ต้องหัดทำหน้าตาให้ยิ้มแย้มน่ารักด้วย เข้าใจไหมครับคุณหนู”
“ไม่เข้าใจ” ผมตอบกลับแทบจะทันทีที่คาสเตอร์พล่ามจบ ผลที่ได้คือใบหน้าที่เอ๋อในคำตอบของผม และนั่นทำให้ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา
ผมเป็นคุณหนูของที่นี่... คฤหาสน์ตระกูลเซียร์ ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในละแวกนี้
ผมตัวคนเดียวมาตั้งแต่อายุสิบขวบจนกระทั่งอายุสิบห้าก็ยังคงตัวคนเดียวเหมือนเดิม แต่จะว่าตัวคนเดียวก็คงไม่ถูกนัก พ่อกับแม่จะเสียสละเวลางานมาเยี่ยมผมในวันคริสต์มาสในแต่ละปี แต่บางปีก็ไม่มา หากถามว่าผมเศร้าไหมที่พวกท่านไม่มา.. แล้วจะเศร้าไปทำไมกัน ไม่มีพวกท่านผมเองก็อยู่ได้ ไม่มีใครเข้าใจในตัวผมและผมเองก็ไม่อยากเข้าใจอะไรในตัวใคร ไม่มีเพื่อนผมเองก็อยู่ได้...
“อะไรกันโวล นายทำตัวไม่น่ารักเอาเสียเลย!”
...แต่คงต้องยกเว้นเจ้าบ้าคนนี้เอาไว้สักคนละกัน....
“โวล ไปไหนน่ะ”
คาสเตอร์ตะโกนถามเมื่อเห็นผมเดินขึ้นบันไดไป ผมตอบเสียงเรียบพลางเดินต่อโดยไม่ได้หันมองคาสเตอร์ที่ยืนอยู่ตรงปลายบันได “ขึ้นห้อง นอน”
พลันเหมือนได้ยินเสียงคนวิ่งตามขึ้นมา ยังไม่ทันที่ผมจะได้หันไปมองข้างหลังก็เห็นคาสเตอร์ยืนฉีกยิ้มอยู่ข้างๆ พอจะถามว่ามีอะไรคาสเตอร์ก็ชิงตอบกลับมาซะก่อน
“คืนนี้มีงานเลี้ยงที่ห้องโถงใหญ่.. ถ้านายไม่ลืมอ่านะ ในฐานะเจ้าบ้านที่ดีนายต้องอาบน้ำแต่งตัวไปรองรับแขกข้างล่างห้ามนอนก่อนห้าทุ่มเด็ดขาด อ๊ะๆ และถ้าจะถามว่าฉันจะขึ้นมาด้วยทำไมโปรดเข้าใจไว้ซะว่าฉันรู้จักนายดีกว่าพ่อแม่นายรู้จักนายซะอีก แน่นอนเลยว่าพออาบน้ำเสร็จ นายจะใส่ชุดนอนและเข้านอนทันทีโดยไม่ลงไปลั่นล้ากับฉันข้างล่าง ฉะนั้น ฉันจะเข้าไปคุมพร้อมๆกับช่วยนายแต่งตัวและลากนายลงไปที่งานให้จงได้ โอเคไหม คุณหนูโวลที่น่ารักของฉัน”
เมื่อจบการร่ายอันยืดยาวแสนน่ารำคาญของคาสเตอร์ เจ้าตัวก็เชิดหน้าขึ้นอย่างเหนือกว่าได้น่าหมั่นไส้สุดๆ ให้ตายเถอะคาสเตอร์ คนที่ทนนายพล่ามได้ยืดยาวน่ารำคาญแบบนี้ได้คงมีแต่ฉันคนนี้เท่านั้นแหละมั้งเนี่ย อยากตบหน้านายจริงๆ
“ไม่อนุญาติ” ผมตอบโดยที่แทบไม่ต้องคิดเลยด้วยซ้ำ เหมือนๆกับทุกครั้งที่ผ่านมา เรื่องอะไรที่จะต้องให้ไอ้บ้านี้มาคอยคุมผมด้วย แต่...
“ไปที่ห้องนายกันเลย!”
ทำไมมันลงเอยแบบนี้ทุกทีเลยล่ะ!!
“อาบน้ำเสร็จรึยังเนี่ย นายหลับคาอ่างน้ำไปแล้วรึไงว่ะ!” คาสเตอร์ตะโกนผ่านประตูหน้าห้องน้ำด้วยน้ำเสียงที่ดูก็รู้ว่าหงุดหงิดเห็นๆ ผมละสายตาจากหนังสือในมือแล้วตะโกนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเคย “อ่านหนังสืออยู่”
พลันประตูห้องน้ำก็เปิดเด้งออกมา ผมที่กำลังนอนแช่น้ำอ่านหนังสืออยู่ถึงกับสะดุ้งพลางหันขวับไปยังประตูห้องน้ำทันที แล้วก็ได้คำตอบที่แสนจะช็อก... ไอ้บ้าคาสเตอร์มันพังประตูห้องน้ำผม!
“คาสเตอร์! ทำบ้าอะไรของนาย!” ผมตะโกนพลางปาหนังสือในมือใส่คาสเตอร์ที่ยืนทำหน้าสลอนอยู่หน้าห้องน้ำทันทีโดยเป้าหมายของหนังสือเล่มใหญ่คือหัวกลวงๆไร้สมองของคาสเตอร์ และพอดีว่าผมมันเป็นคนปาแม่นเสียด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คาสเตอร์จะหน้าหงายลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดายเช่นนี้
ผมเอื้อมมือไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำสีดำที่แขวนไว้ตรงราวใกล้ๆอ่างอาบน้ำมาสวมแล้วเดินไปหาคาสเตอร์ที่นอนกองคล้ายซากศพ ให้ตายเหอะ นายดูอนาถน่าเกลียดชะมัดเลยคาสเตอร์
“ฉันเจ็บนะโวล โอย..” คาสเตอร์โอดครวญพลางนอนกุมหัวดูน่าสงสาร ผมยิ้มมุมปากก่อนจะเอื้อมมือฉุดคาสเตอร์ให้ลุกขึ้นยืน
“ช่วยไม่ได้นายทำตัวเองนะ มาช่วยฉันแต่งตัวเลย เจ้าคนรับใช้ของฉัน” ผมพูดติดตลก แต่ดูจากสีหน้าของคาสเตอร์เขาคงไม่เข้าใจ ‘ตลก’ ในแบบของผมแหงซะ เฮ้อ.. ผมมันเป็นคนเล่นตลกเก่งซะที่ไหนกันเล่า!
“นายคงกำลังพูดติดตลกใช่มะ งั้นฉันจะพยายามขำนะ ฮ่าๆๆ”
ไม่ขำก็อย่าฝืนใจขำก็ได้นะแก ฮึ่ม...!!
“อย่าทำหน้าอยากต่อยฉันแบบนี้สิโวล โอเคๆ เลิกเล่นแล้วจ้าๆ” คาสเตอร์ยกมือขึ้นแบบยอมแพ้เมื่อผมหันไปทำตาขวางใส่ แล้วจึงถือโอกาสลากผมออกมาวางแหมะลงที่เตียงทันที
“เพื่อเป็นการไถโทษ เดี๋ยวฉันจะช่วยแปลงโฉมนายให้หล่อที่สุดในค่ำคืนนี้เอง!”
“ไม่...”
“โอเค ตกลง!”
“...” ฉันอนุญาติแกตอนไหนไม่ทราบ!!!
...ลืมไป แกทำประตูห้องน้ำฉันพังด้วยนี่นา ไอ้บ้าคาสเตอร์!!!
ผมมองตัวเองในกระจก ผมสีดำสนิทเรียบแปล้ยาวระคอดูตัดกับผิวขาวๆและตาสีฟ้าของผม ชุดทักสิโด้สีดำทับด้วยเสื้อสูทสีดำสนิท ผมเหลือบมองคาสเตอร์ที่ทำหน้าปลาบปลื้มผ่านกระจก คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่าทั้งหมดนี่ใครเป็นคนแต่งให้ผมกัน
“โรล... ฉันอยากให้นายเก็บสิ่งนี้เอาไว้ด้วย”
คาสเตอร์พูดพลางยื่นบางสิ่งมาให้ผม ผมรับมันมาดูก่อนจะถามคาสเตอร์ถึงสิ่งที่เขาให้ผมมาอย่างงงๆ “นาฬิกาพก...? เอามาให้ฉันทำไม?”
“เหอะน่า คนเขาให้ก็รับๆไปเถอะ ของขวัญวันคริสต์มาสไง” คาสเตอร์พูดพลางคว้านาฬิกาพกสีเงินวาวไปแล้วยัดเข้าในอกเสื้อของผมพลางดันผมออกจากห้องนอน
“ได้เวลาปาร์ตี้แล้วครับคุณหนู”
“แต่วันคริสต์มาสมันวันพรุ่งนี้นะ...” ผมบ่นอุบอิบอย่างไม่ใส่ใจ แล้วเดินตามคาสเตอร์ที่ทำสีหน้าระรื่นตรงไปยังห้องโถงกลางบ้านทันที
ทันทีที่มาถึงหน้าประตูห้องโถง พวกเราก็ได้ยินเสียงดนตรีวันคริสต์มาสและได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นออกมาจากประตูบานใหญ่ เสียงคุยเจื้อยแจ้วปะปนมากับสิ่งพวกนี้ด้วย ผมที่กำลังจะเปิดประตูเข้าพลันชะงักลงเมื่อได้ยินเสียงอะไรบ้างอย่างลอยเข้ามาปะทะโสตประสาท
“แขกผู้มีเกียรติ ณ วันนี้เรามาร่วมงานคืนวันคริสต์มาสอีฟเพื่อรอคอยคริสต์มาสแสนสุขที่จะมาถึง พวกเราทุกคนมีความสุขในวันคริสมาสต์ ผมเองก็เช่นกัน ไม่มีหรอกครับคนที่ไร้ซึ่งความสุขในวันคริสต์มาส แต่... มีขาวย่อมมีดำ มีคนชอบย่อมมีคนเกลียด คนที่ไม่เคยทำตัวให้ดูมีความสุขสนุกสนานในวันคริสมาสต์... คนที่ผมกล่าวถึงนี้ใครกันเอ่ยครับทุกคน”
“โวล์โรลเลนซ์!!” หลังจากจบการบรรยายที่แสนกวนประสาท ทุกคนต่างพร้อมใจตอบเป็นชื่อผมด้วยน้ำเสียงสนุกสนานครึกครื้น โดยที่ไม่รู้ว่าผมอยู่หลังบานประตูใหญ่ คาสเตอร์สบถแล้วทำท่าจะพุ่งออกจากประตูแต่ทำไม่ได้เพราะผมเกาะแขนห้ามไว้อยู่
“เคยสังเกตไหมครับทุกท่าน ถึงคริสมาสต์ทีไรคุณหนูโวลของพวกเราจะต้องทำหน้าตาหน้ากลัวแล้วเก็บตัวอยู่ในห้องนอนคนเดียวทุกที แหมๆ เหมือนเด็กเก็บกดเลยนะนั่น น่าสงสารๆ”
หลังจากพูดจบ ตามมาด้วยเสียงฮาครืนอีกละรอก คาสเตอร์เริ่มทำหน้าตาบิดเบี้ยว กำหมัดแน่นเหมือนพร้อมที่จะชกใครซักคน
“ไอ้บ้านั่น...ธ่อโว้ย!” คาสเตอร์ทำท่าจะพูดอะไรซักอย่างแต่ผมมองหน้าเขาเป็นเชิงห้าม เขาจึงสบถออกมาอย่างหัวเสีย นี่ถ้าเขาเอาหัวโขกประตูได้ เขาคงทำไปแล้วมั้งเนี่ย
“ยิ้มอะไรเนี่ยโวล นายกำลังถูกนินทาอยู่นะ ไม่โกรธรึไง!” คาสเตอร์หันมาพูดถามความเห็นผม อ่า.. หน้าตาเขาตอนนี้ดูน่ากลัวจริงๆ
“ไม่นี่ สงสัยจะชินแล้ว” แล้วคาสเตอร์ก็ทำท่าจะเอาหัวโขกกำแพงอีกรอบ แต่ก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงกวนประสาทอีก
“แล้วก็... ใครนะ พ่อบ้านประจำตัวของคุณหนูโวลที่ชื่อคา.. คาอะไรนะ? คาร์สัน? อา.. ช่างเหอะ เอาเป็นว่า คาร์สันนั้นเป็นคนที่ท่าจะแปลกประหลาดมากเลยทีเดียว ขลุกอยู่กับคุณหนูได้ทั้งวี่ทั้งวัน ผมล่ะสงสัยจริงๆนะ ว่าความจริงพวกเขาอาจจะเป็น...”
ปัง!!!
“หุบปากเน่าๆของแกไปซะ ฌอน!” คาสเตอร์เปิดตัวด้วยการถีบประตูบานใหญ่เข้าไปในงานอย่างจัง โดยมีผมเดินหน้านิ่งตามหลัง แขกทุกคนที่กำลังยืนล้อมชายหนุมผู้หนึ่งแตกฮือกระจายไปคนละทิศละทาง เหลือแต่ตัวต้นเหตุที่ยืนนิ่งส่งยิ้มท้าทายให้กับคาสเตอร์ เขาคือ ฌอน หรือชื่อจริงว่า ฌอน ชาร์ลอด นั้น เคยเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผม หน้าตาของเขาหล่อเหลาและดูเจ้าเล่ห์ร้ายกาจเหมือนกับตัวโกงในภาพยนต์ไม่มีผิด
“แกจะว่าร้ายยังไงฉันยังก็ได้ แต่อย่าคิดลากคุณหนูมายุ่งกับคำพูดสกปรกของแกเด็ดขาด!”
ฌอนเมินคำพูดว่าร้ายของคาสเตอร์แล้วเดินมาหาผม มือของเขาคว้ามือของผมไปแล้วทำท่าจะจุมพิตทักทาย แต่คาสเตอร์ปัดมือเขาออกไปซะก่อน
“นายคิดจะทำอะไร” สีหน้าของคาสเตอร์ตอนนี้ดูกวนประสาทสุดๆ ซึ่งท่าทางของฌอนเองก็กวนประสาทไม่แพ้คาสเตอร์เลย เขายักไหล่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ
“ทักทายไง แต่หมามันหวงเจ้าของเลยทำไม่ได้”
“ว่าไงนะแก...!!”
“ไม่เอาน่าคาสเตอร์ ฌอน พอเถอะ ฉันรำคาญ” ผมพูดตัดบทการทะเลาะวิวาทของเด็กไม่รู้จักโตทั้งสองคน แล้วเดินไปนั่งโต๊ะที่ทางงานจัดเตรียมไว้ให้
“ฝากไว้ก่อนนะแก!”
“ไม่รับฝากน่ะ แย่หน่อยนะ หึ”
“แก..!!”
“คาสเตอร์!! ฌอน!!” ให้ตายเหอะ คนพวกนี้หูตึงกันรึไงเนี่ย!!
“เห็นแก่โวลหรอกนะ!!/เห็นแก่โวลหรอกนะ” ทั้งคู่พูดพร้อมกันก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆผม คาสเตอร์นั่งฝั่งซ้ายส่วนฌอนนั่งฝั่งขวา ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามฌอนประมาณว่าทำไมเขามานั่งตรงนี้
“ฉันเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของงานนี้ นายไม่รู้รึไง”
“ไม่รู้” ผมตอบในแทบจะทันที ฌอนหัวเราะน้อยๆก่อนจะพูดด้วยใบหน้าคล้ายเอ็นดู
“ฉันเริ่มจะคิดแล้วสิว่านายมันไม่ได้เงียบขรึมหรอก แต่นายใสซื่อเกินไปต่างหาก ฮ่าๆ”
“เงียบไปเลย” ผมพูดพลางหันไปสนใจกับงานตรงหน้า เสียงหัวเราะของฌอนจากฝั่งขวาและเสียงคล้ายจะสาปแช่งอะไรสักอย่างของคาสเตอร์จากฝั่งซ้ายดังไม่หยุดตลอดงานจวบจนกระทั่งงานจบ ผมยอมรับนะ เสียงพวกนี้บางทีมันก็ทำให้ผมหลับได้เหมือนกันแม้จะน่ารำคาญไปนิดก็เถอะ
“กลับดีๆล่ะ” ผมพูดบอกลาฌอน พลางเดินหันหลังกลับเพื่อขึ้นห้องแต่ก็ไม่วายได้ยินเสียงทะเลาะไล่ลังมา
“กลับไปตายที่บ้านแกไป รีบๆเลย ฌอน”
“แกก็เช่นกัน อย่าได้เกิดมาอีกเลย คาสเตอร์”
ผมง่วงเกินที่จะใส่ใจพวกบ้านี้แล้ว ผมคิดพลางเหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง เข็มทั้งสองบ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่งแล้วแสดงให้เห็นว่าผมควรจะอาบน้ำนอนสักที คิดได้ดังนั้นร่างกายของผมมันก็จัดการตัวเองไปโดยอัตโนมัติรู้ตัวอีกทีผมก็อยู่ในชุดนอนแล้ว ในมือของผมกำอะไรบางอย่าง อา.. ใช่ มันคือนาฬิกาเรือนเงินที่คาสเตอร์ให้ผมไว้ก่อนงานเริ่มนี่เอง ผมวางมันลงข้างหมอนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนตาม ผมคล้อยหลับแทบจะทันทีที่หัวถึงหมอนพลันเหมือนได้ยินเสียงคนเปิดประตูแล้วเดินมาที่เตียงอย่างเงียบเชียบเหมือนกลัวว่าผมจะตื่น ผมรู้สึกได้ว่าข้างๆผมเตียงมันยุบลงไปคาดว่าคนที่เข้ามาคงจะนั่งบนเตียงสินะ
“ห้าทุ่มสี่สิบเก้า...” ผมได้ยินเสียงพึมพัมเบาๆจับใจความไม่ได้ดังขึ้นแต่เพราะความง่วงทำให้ผมไม่อยากจะใส่ใจอะไรมากนักแต่เสียงนั้นกลับมาปรากฎที่ข้างหูผมอีกรอบราวกระซิบ
“วิญญาณสามดวงจะมาหานาย วันพรุ่งนี้ เมื่อนาฬิกาสีเงินดังขึ้น...”
พลันเกิดความอบอุ่นบริเวณหน้าผากของผมพร้อมกับสติที่หลุดลอยไป...
ติ้ง ติ้ง !
เสียงใสก้องกังวานดังขึ้น ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาแล้วควานหาต้นเสียงที่ดังอยู่ข้างๆหมอน ผมขยี้ตาไล่ความง่วงก่อนจะมองดูสิ่งที่กำอยู่ในมือ
นาฬิกาพกสีเงิน...???
ผมมองนาฬิกาในมือสักพักก่อนจะเริ่มเข้าใจ นาฬิกานี่ที่คาสเตอร์เป็นคนให้นี่นา ผมนึกว่ามันจะพังแล้วซะอีก แต่เอาเถอะดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะสงบแล้ว ผมคงนอนได้แล้วน่ะสินะ ผมวางมันลงตำแหน่งเดิมแล้วล้มตัวลงนอนอีกรอบ ขณะที่กำลังจะหลับนั้นผมกลับรู้สึกถึงแรงสะกิดจากด้านหลัง
“คาสเตอร์? ไปซะ นายทำให้ฉันนอนไม่หลับ” ผมพูดพลางดึงผ้าห่มคลุมเกือบมิดหัว ผมมั่นใจว่าต้องเป็นคาสเตอร์แน่ๆ เพราะนอกจากเขาแล้วผมสั่งห้ามทุกคนเข้าออกห้องผมอย่างเด็ดขาด และก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีกุญแจห้องของผมด้วย
ผ่านไปซักพัก เกิดแรงสะกิดจากด้านหลังผมอีกครั้ง ครั้งนี้แรงสะกิดสะกิดถี่ซะจนผมรำคาญ เมื่อหมดสิ้นซึ่งความอดทนในที่สุด ผมยันตัวขึ้นแล้วหันหลังไปตวาดใส่คาสเตอร์เสียงดัง
“คาสเตอร์! เลิกสะกิดสักทีเถอะน่า!!”
“ขะ...ขอโทษครับ!!” เสียงใสคล้ายเด็กชายตัวเล็กตอบกลับมานั่นทำให้ผมขมวดคิ้วพลางก้มลงมองข้างเตียง พบเด็กชายอายุน่าจะประมาณสิบขวบนอนกองอยู่ข้างเตียง เขาแต่งตัวคล้ายเอลฟ์ในวันคริสมาสต์ ผมสีดำสนิทตัดสั้นแบบเด็กชายทั่วไป เด็กน้อยยกมือบังหน้าเหมือนกลัวว่าผมจะทำอันตรายเขา อ่า.. ก็น่าจะกลัวอยู่หรอกนะ แต่... ประเด็นไม่ใช่เรื่องนี้ เด็กคนนี้เข้ามาได้ยังไงตังหาก
“นาย... เป็นใคร เข้ามาในห้องของฉันได้ยังไง” ผมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนปกติอีกครั้ง เด็กน้อยค่อยๆลดมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองผม เมื่อเห็นว่าผมจะไม่ทำอะไรแล้ว เด็กน้อยจึงลุกขึ้นยืนแล้วตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉานแต่แลดูไร้เดียงสา
“ผมเป็นวิญญาณคริสต์มาสแห่งอดีตครับ! ผมมาเพราะคำสั่งของนายท่าน นายท่านบอกให้มาหาพี่ชายเพื่อพาพี่ชายย้อนกลับไปดูอดีตครับ!” สิ้นคำเด็กน้อย ผมเอ่ยทวนคำอย่างประหลาดใจ
“วิญญาณ? นายท่าน? ย้อนอดีต? นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“อ๋า.. พี่ชายไม่รู้หรอครับว่าวันนี้จะมีวิญญาณทั้งสามดวงมาหาพี่ชาย เริ่มนับเวลาตั้งแต่นาฬิกาสีเงินดังขึ้นหรือตีหนึ่ง จากนั้นอีกหนึ่งชั่วโมงก็จะเป็นเวลาของวิญญาณคริสต์มาสตนต่อไป แปลกจัง เห็นนายท่านบอกว่าบอกพี่ชายไว้แล้วนี่นา”
เด็กน้อยพูดพลางทำหน้าคิดหนัก จู่ๆคำพูดที่ดูเหมือนผมจะได้ยินก่อนนอนนั้นก็แล่นเข้ามาในหัวผม
‘วิญญาณสามดวงจะมาหานาย วันพรุ่งนี้ เมื่อนาฬิกาสีเงินดังขึ้น...’
“...ใช่ บอกแล้ว” ผมพึมพัมเบาๆทบทวนความจำ แต่คงเป็นเพราะภายในห้องนอนนั้นเงียบสงัด เด็กชายตัวน้อยจึงได้ยินคำพูดที่ผมพูดอย่างชัดเจน เขายิ้มกว้างพลางวิ่งมาฉุดมือผม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสดใส “งั้นรีบไปกันเถอะครับ พี่ชาย!!”
“ดะ..เดี๋ยวก่อนสิ! นาย...”
“เรียกผมว่าพาสครับ! ผมคือ พาส วิญญาณคริสต์มาสในอดีต! ฮ่าๆๆ”
พาสหัวเราะลั่นพร้อมกับเกิดแสงสว่างสีขาวจ้าแสบตาจนผมต้องหลับตาลงหลบแสง ความรู้สึกโหวงเหวงเหมือนลอยอยู่ในอากาศเกิดขึ้นกับความรู้สึกผม เสียงหัวเราะของพาสยังคงดังก้องไม่หยุด รู้ตัวอีกทีผมก็มายืนอยู่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่กับพาสแล้ว
“พาส.. ที่นี่มัน..” ผมพูดไม่ออก มองดูคฤหาสน์คุ้นตาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ที่นี่คือบ้านของผมเองเพียงแต่มันดูใหม่กว่าเดิมมาก ผมหันหน้าไปหาพาสแล้วถามถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“นี่มันอะไรกัน พาส”
“นายท่านบอกว่าให้ผมพาพี่ชายย้อนมาสักสิบปี ที่นี่คือบ้านสมัยสิบปีที่แล้วของพี่ชายไงครับ”
ผมนิ่งค้าง ย้อนเวลามาสิบปี? นี่ตกลงเป็นเรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย!!
“อ๊ะ.. มีเสียงเพลงด้วย พี่ชายไปกันเถอะ” พาสพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะลากผมไปยังที่ที่มีเสียงเพลงดังออกมา ร่างของพวกเราทะลุกำแพงคฤหาสน์เข้าไปในตัวบ้าน เราทะลุไปเรื่อยๆจนถึงห้องโถงขนาดใหญ่ซึ่งเป็นที่มาของเสียงเพลง ต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง ลำต้นของมันนั้นถูกประดับประดาด้วยอัญมณีและของต่างๆอีกมากมายหลากสีสัน รอบๆโคนต้นนั้นมีกล่องของขวัญหลายสีมากมายนอนกองเต็มไปหมด พาสจ้องต้นคริสต์มาสใหญ่ตาไม่กระพริบ ผมแอบขำกับท่าทีของเด็กชายเล็กน้อยก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีเด็กและผู้ใหญ่มากมายอยู่ในห้องนี้
“แน่จริงก็จับฉันให้ทันสิ คาสเตอร์ ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ หยุดนะ ฌอน วิ่งไปดักหน้าโรลเลย!”
“ได้เลย! ฮ่าๆ นายเสร็จพวกเราแน่ โรล!”
เสียงเด็กที่คุ้นเคยทั้งสามเรียกให้ผมหันไปมอง พาสกระตุกมือผมพลางชี้ให้ดูเด็กทั้งสามที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน
“พี่ชาย! ดูนั่นสิ นั่นพวกพี่ชายตอนเด็กๆ น่ารักจังเลย!” ดูท่าทางพาสจะตื่นเต้นมากกว่าผมเสียอีก เด็กชายชี้ให้ดูตรงนู้นที ตรงนั้นทีอย่างตื่นเต้น ผมยิ้มน้อยๆกับท่าทางของเด็กชาย พลางหันกลับไปดูเด็กสามคนอีกรอบ ดูเหมือนว่าพวกผมตอนเด็กทั้งสามคนจะวิ่งเล่นจนเหนื่อยแล้วจึงกลับไปนั่งกินไก่งวงที่โต๊ะอาหารกัน พวกเราป้อนกันไปมาอย่างสนุกสนานสักพักเด็กคนอื่นก็ค่อยๆทยอยเข้ามาร่วมวงด้วย กลายเป็นการกินไก่งวงที่ครื้นเครงสนุกสนานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะในทันที
นี่ผม... ไม่ได้หัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้... มานานแค่ไหนแล้วนะ...
“พี่ชาย ไปกันเถอะครับ!” พาสที่ดูจากสภาพแล้วคาดว่าคงจะเล่นจนเหนื่อย โผล่ออกมายืนข้างๆผมแล้วฉุดมือผมขี้นมา ก่อนที่ผมจะได้ถามว่าจะไปไหน รอบๆข้างก็เปลี่ยนฉากไปซะเฉยๆ เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีสนุกสนานเลือนหายไปอย่างรวดเร็วหลงเหลือเพียงความเงียบสงัดและบรรยากาศชวนหดหู่ ผมกวาดตามองโดยรอบแม้จะมืดแต่ผมมองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คือห้องนอนของผม ผมกวาดสายตาโดยรอบอีกครั้งให้แน่ใจจนกระทั้งสายตามาหยุดอยู่ที่อะไรบางอย่างบนเตียง
“พี่ชาย นั่นมัน..” พาสกำมือผมแน่นพลางจ้องเขม่งไปที่เตียง ผมก้มหน้าลง แล้วบอกพาสเสียงสั่น “พาส พาฉันกลับห้องที”
พาสไม่พูดอะไรให้มากความ รอบตัวผมกลายเป็นแสงจ้าทันที ผมหลับตาลงพลางนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อกี้ อดีตที่เจ็บปวดของผม...
ใช่แล้วล่ะ... สิ่งที่อยู่บนเตียงคือผมเอง เป็นผมที่ไร้คนคบ เป็นผมที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว เป็มผมที่เกลียดคริสต์มาส...
ไม่ว่ายังไงผมก็ยังจะยืนยันคำเดิม ผมเกลียดคริสต์มาส...
ตอนนี้ผมอยู่บนเตียง...
ผมคิดแค่นั้นเพราะไม่รู้ว่าทัวร์อดีตที่ผมไปเมื่อกี้คือฝันรึเปล่า เพราะตอนนี้ ผมนั่งอยู่บนเตียง ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีแสงสว่างจ้า ไม่มีวิญญาณเด็กน้อยนามว่าพาส ไม่มีอะไรเลยอยู่ในห้องนี้ จะมีก็คงมีเพียงแค่ความมืดกับความเงียบสงัดภายในห้องเท่านั้น
“ฝันอะไรกัน ไร้สาระ” ผมพูดพลางเอนหลังพิงหัวเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน หางตาผมเหลือบเห็นอะไรบางอย่างส่องประกายแสงจันทร์อยู่แวบๆ ผมเลยควานหาที่มาของแสงจนเจอ พบว่ามันเป็นนาฬิกาเรือนเงิน ผมชั่งใจคิดว่าควรจะนำมันเก็บไว้กับตัวดีหรือไม่ แต่แล้วจู่ๆกลับมีเสียงดังขึ้นจากนาฬิกา
ติ้ง ติ้ง !
ฉับพลัน ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรผ่านร่างผมไป กลุ่มควันที่มาจากไหนไม่รู้ค่อยๆก่อตัวขึ้นที่ท้ายเตียงของผม กลายเป็นเด็กสาวที่คราวนี้ดูแก่ขึ้นมาจากพาสหน่อย น่าจะประมาณเท่าๆผม เธอใส่ชุดโลลิต้าสีดำสนิท มีผมลอนสีทองสลวยสวยเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าเป็นอย่างดี หน้าตาตอนนี้เธอดูหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ผมเหลือบตาสังเกตเธอนิดหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าดูนาฬิกาเรือนเงินต่อพลางพูดสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ออกมา
“เธอคงเป็นวิญญาณที่มารับหน้าที่ต่อจากพาสสินะ หรือพูดอีกอย่างคือ วิญญาณคริสต์มาสในปัจจุบัน ถ้าจะให้เดาต่ออีกสักนิด ชื่อของเธอคือ ‘เพรสเซ่น’ สินะ”
วิญญาณเด็กสาวผงะเพียงเล็กน้อย ก่อนจะแสยะยิ้มดูหน้ากลัว พลางพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมปนประชดนิดๆ
“เก่งนี่ เห็นไอ้พี่บ้าบอกว่านายเป็นเด็กฉลาด นึกไม่ถึงเลยว่านายจะฉลาดขนาดเดาชื่อฉันออกได้อย่างง่ายดาย ต้องขอชื่นชมเลยจริงๆ หึหึหึ” เธอหัวเราะอย่างน่ากลัว ก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งที รอบๆกลัวผมก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งผมมาหล่นก้นจ้ำเบ้าอยู่ที่ไหนซักที่หนึ่ง
“ในเมื่อคุยกันรู้เรื่องแล้วก็คงไม่ต้องพูดอะไรอีก รีบลุกขึ้นมาซะ นี่ไม่ใช่การย้อนอดีตแบบพาส แต่เป็นการเคลื่นที่โดยฉับพลัน เพราะฉะนั้นทุกคนจะเห็นเรา.. ไม่สิ เห็นนายคนเดียว เพราะฉันเป็นวิญญาณ เข้าใจไหม” เธอพูดพลางเดินไปนั่งโซฟาตัวเล็กสีแดงสดที่ตั้งอยู่แถวๆข้างเตียง เมื่อผมเห็นดังนั้นเลยลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งบนเตียงพลางสังเกตโดยรอบว่าที่นี่ที่ไหน
“นี่มัน.. ห้องนอนของฌอนนี่” ผมพึมพัมเบาๆเมื่อเห็นรูปของฌอนติดอยู่บนกำแพง ถ้าหากนี่คือห้องนอนของฌอนงั้นก็แสดงว่าผมอยู่ในบ้านของฌอนน่ะสิ ผมมองเพลสเซ่นอย่างงงๆ แต่ยังไม่ได้จะเอ่ยถามอะไรประตูก็มีเสียงกุกกักดังขึ้น
“รีบซ่อนตัวเร็ว ดูท่าเจ้าของห้องจะกลับมาแล้ว” เธอพูดพลางชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าตู้ใหญ่ เอ่อ..ถึงผมจะตัวเล็กแต่ก็ใช่ว่ามันจะเข้าไปได้หมดนะ
“เร็วๆเข้า อยากโดนจับได้รึไง” เธอดุ นั่นทำให้ผมต้องยัดตัวเองเข้าไปข้างในตู้เสื้อผ้าอย่างช่วยไม่ได้ ทันทีที่บานตู้เสื้อผ้าปิดลง ประตูห้องก็เปิดผัวะเข้ามาในทันที ผมแอบแง้มบานตู้ออกนิดหน่อยเพื่อจะได้เห็นเหตูการณ์ภายในห้อง เพลสเซ่นยังคงนั่งอยู่ที่ดิม ขณะที่ฌอนเดินมานั่งบนเตียง เขาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกสองสามเม็ดบน แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงทั้งอย่างนั้น นั่นทำให้ผมคิดว่า เขาไม่อาบน้ำก่อนนอนรึไง สกปรกชะมัด
“โวล..” เขาพึมพัมอะไรสักอย่างนั่นทำให้ผมต้องเงี่ยหูฟัง “โวล... ทำไมนายถึงได้เย็นชาอย่างนี้นะ หน้าตานายไม่ต่างอะไรกับปลาโดนไฟฟ้าช็อตตายเลยยังไงยังงั้น แล้วไหนจะคาสเตอร์อีก นายติดไอ้พ่อบ้านนั่นมากเกินไปแล้วนะ ไปไหนมาไหนก็อยู่ด้วยกันตลอด นายเป็นลูกแหง่มันรึไง..”
อ่า... ฌอน นายแอบด่าฉันลับหลังแบบนี้ตลอดเลยรึไงหะ!
“แต่ก็นะ...” อะไร นายมีอะไรจะด่าฉันอีก “เพราะแบบนั้นไง นายถึงดูไม่มีความสุข วันคริสต์มาสทั้งทีฉันไม่อยากให้นายทำหน้าแบบนั้นเลย หากนายยิ้มสักนิด.. แค่ในวันคริสต์มาสก็ได้ วันเดียวก็พอ.. หากนายยิ้มได้อย่างมีความสุขจากใจจริง ฉันคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ”
ผมชะงัก ผมไม่เข้าใจที่ฌอนพูด เขาเกลียดผมไม่ใช่รึไง
“เขาแค่อยากให้นายมีความสุขในวิธีของเขา” เพลสเซ่นพูดขึ้น คำพูดนั่นทำให้ผมอึ้ง ฌอนยังเห็นผมเป็นเพื่อนอยู่งั้นหรอ?
“ในเมื่อนายเข้าใจแล้ว เราก็ควรกลับกันได้แล้ว” เพลสเซ่นพูดแล้วลุกขึ้นทำท่าจะดีดนิ้ว ผมเองก็กลังจะเตรียมตัวเช่นกันแต่เพราะความอึ้งที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อยทำให้เผลอทำสียงดังกุกกักเข้า
“ใครน่ะ!!!” แย่ล่ะสิ ผมคิดในใจอย่างลนลานเมื่อจู่ๆฌอนเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงแล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า มือของเขาจับที่ขอบตู้แล้วทำการกระชากออกทันที
โครม!
ทันทีที่ฌอนกระชากตู้ให้เปิด ผมและเสื้อผ้าบางส่วนก็หล่นทับเขาทันที เราทั้งคู่ลงไปนอนกองที่พื้นโดยมีผมทับฌอนอยู่ พอผมทำท่าจะลุกหนีเขาก็จับแขนผมไว้แล้วพูดเสียงแผ่ว
“..โวล”
“เพลสเซ่น!!” ทันทีที่ผมตะโกนจบ รอบตัวผมก็กลายเป็นห้องนอนตัวเองเหมือนเดิม ผมหล่นตุ๊บมาที่เตียง และมีเพลสเซ่นยืนอยู่ข้างๆ
“เกือบซวยไหมล่ะ นายนี่มันซุ่มซ่ามจริงๆ” หลังจากที่บ่นเสร็จ เธอก็กลายเป็นควันแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนผมก็นั่งเอ๋ออยู่บนเตียงรอวิญญาณดวงต่อไป
แต่ว่านะ... ผมชักจะชอบคริสต์มาสซะแล้วสิ..
_____________________________________________________________________________________
ความจริงนะ กะจะลงเป็นนิยายสั้น แต่เพราะว่าคนเพิ่งเคยเอาลงครั้งแรก เลยต้องลงแบบนี้ไปก่อน เฮ้อๆๆๆๆ
ไม่สนุกล่ะสิ ไม่สนุกใช่มั๊ยล่าา ใช่ซี้ คนอย่างพิมพ์มันแต่งนิยายไม่เคยสนุกอยู่แล้ว //me เดินไไปนั่งตบยุงอยู่มุมห้อง
ช่างเหอะ เอาเป็นว่าขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านผลงานชิ้นนี้ของพิมพ์นะคะ พิมพ์รักทุกคนค่ะ (แม้ทุกคนจะไม่รักพิมพ์ก้ตาม 555)
ปล. มีต่อนะเออ อิอิ
ความคิดเห็น