ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Ruse เล่ห์รัก กลปรารถนา [E-Book]

    ลำดับตอนที่ #7 : 06 หลุมพรางที่ซ่อนเร้น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 592
      15
      17 ม.ค. 62

    06

    หลุมพรางที่ซ่อนเร้น

     

     

    หวังหยูเฟิงเดินตามร่างสูงเพรียว นัยน์ตาสีดำมองรอบกายอย่างจับสังเกต บริเวณชั้นสองของภัตตาคารเฟยลี่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันออกแบบผสมผสาน ทางเดินยาวปูด้วยพรมอย่างดีตัดผ่านทางที่ขนาบข้างด้วยห้องอาหารที่ให้บริการแบบส่วนตัว ซึ่งตอนนี้เจิ้งหยุนก็อาจจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งที่เขากำลังเดินผ่าน

    หวังหยูเฟิงเดินตามไปจนสุดทาง ก่อนที่ไป๋ลู่เหอจะพาเขาขึ้นบันไดมายังชั้นสาม ซึ่งน่าจะเป็นเขตส่วนตัวของอีกฝ่าย

    เชิญ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น เมื่อเจ้าของภัตตาคารเปิดประตูไม้เนื้ออ่อนสลักลวดลายบานหนึ่ง 

    ภายในห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย สิ่งที่เด่นที่สุดคือโซฟาหนังมันเงาสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้อง ไป๋ลู่เหอคลี่ยิ้ม ก่อนจะปิดประตู บรรยากาศชวนอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้เคลื่อนตัวโดยรอบ หวังหยูเฟิงหันไปมองร่างเพรียวที่ไม่ต่างจากพญาหงส์อย่างไม่ไว้ใจ แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เมื่ออีกฝ่ายออกคำสั่ง

    "ถอดเสื้อออก"

    "เอ่อ..."

     "หรือจะให้ฉันถอดไห้"

    ขาเรียวที่หลบซ่อนในชุดราตรีก้าวเข้าหา ท่าทางสง่างามที่แฝงไปด้วยการคุกคาม ทำให้หวังหยูเฟิงผงะ ผู้กองหนุ่มรีบตั้งสติรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน

    โชคร้ายขั้นสุดยอด!

    หวังหยูเฟิงได้แต่บริภาษอยู่ในใจ เขาเองก็เตรียมใจมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะซื่อตรงต่อความต้องการของตัวเองมากขนาดนี้

    "ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ เธออาจจะได้เลื่อนขั้นหรือขึ้นเงินเดือนก็ได้นะ"

    "ผม..."

    "อย่ากลัวไปเลย ฉันเอ็นดูเด็กเสมอ"

    จัดการเลยดีไหม!

    หวังหยูเฟิงขบคิดอย่างเคร่งเครียด เพียงชั่วอึดใจต่อมาร่างเพรียวบางก็เข้ามาประชิดเขาอย่างรวดเร็ว

    "เป็นเด็กดีของฉันเถอะนะ" ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวาน มือบางเข้าจู่โจมที่ชุดเครื่องแบบบริกรด้วยความเร็วที่น่ากลัว ผู้กองหนุ่มที่กำลังถูกรุกรานได้แต่ปัดป้องพัลวัน

    หากเขาทำอะไรไป๋ลู่เหอตอนนี้ ก็คงต้องหนีกลับแบบคว้าน้ำเหลว...

    "อย่าทำสีหน้าแบบนั้นสิ ฉันยิ่งต้องการมากขึ้นไปอีก"

    ไป๋ลู่เหอแลบลิ้นเลียริมฝีปากสีสดด้วยสายตาเป็นประกาย หวังหยูเฟิงรู้สึกสะท้านจนขนลุกไปทั่วร่าง เมื่อคนตรงหน้าเข้ากอดรัด มือเรียวลากผ่านร่างกายของเขาอย่างย่ามใจ ก่อนเรี่ยวแรงที่ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกจะผลักผู้กองหนุ่มให้ล้มไปนอนบนโซฟานุ่ม

    "ร่างกายของเธอบอกฉันหมดแล้ว" ไป๋ลู่เหอแย้มยิ้ม ร่างกายงดงามทาบทับชายหนุ่มอย่างหมายมาด "ช่างไร้เดียงสาเหลือเกินนะ" 

    คนๆ นี้!

    หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกจู่โจมตัดสินใจเด็ดขาด นัยน์ตาสีดำเป็นประกายวาบ ถ้าหากยังอ่อนข้อให้แบบนี้ ไป๋ลู่เหอได้เขมือบเขาแน่!

    ถึงอีกฝ่ายจะมีรูปร่างบอบบางราวกับเทพธิดา แต่กำลังกายกลับไม่ต่างจากชายฉกรรจ์เลย นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่น่าตกตะลึงอีก ไป๋ลู่เหอต้องมีทักษะการต่อสู้ที่น่ากลัวแน่นอน ซึ่งผู้กองหวังก็ไม่ถนัดการต่อสู้แบบประชิดเสียด้วย 

    "เธอกำลังทำให้ฉันอดใจไม่ไหวแล้วนะ"

    ทว่าในขณะที่ผู้กองหวังกำลังจะลงมือตอบโต้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบานประตูที่ถูกเปิดออก

    "คุณนายไป๋สายไปสิบห้านาทีแล้ว!"

    หวังหยูเฟิงชะงักความคิดของตัวเอง ถึงชายหนุ่มจะไม่ได้หันไปมอง แต่เขาก็จำเสียงนี้ได้

    เจิ้งหยุน!

    "เสี่ยวหยุนล่ะก็! รอหน่อยไม่ได้หรือ" ไป๋ลู่เหอบ่นเสียงขุ่น ทั้งที่มือเรียวที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันน่าตกใจยังจับผู้กองหนุ่มเอาไว้

    "คุณมีเวลาอีกเยอะ แต่ผมไม่"

    "เชอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเทียนสุดหล่อ ฉันไม่ยุ่งกับคนอย่างเธอหรอก"

    "รีบมา ผมจะไปรอที่ห้อง"

                   หวังหยูเฟิงลอบฟังคำสนทนาอย่างใช้ความคิด ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะดุ้งเฮือก เมื่อถูกคนตรงหน้าจูบตรงต้นคอชวนให้ขนลุกซู่ 

    "รอฉันอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะมาสัมภาษณ์ต่อ"

    ไป๋ลู่เหอเดินออกจากห้อง ก่อนเสียงล็อกประตูจากด้านนอกจะทำให้ชายหนุ่มที่ถูกขังขมวดคิ้ว เขาลูบแขนของตัวเองไปมา

    ขยะแขยงเป็นบ้า!

    ผู้กองหนุ่มถอนหายใจ แล้วมองโดยรอบเพื่อหาช่องทางหนี ซึ่งดูเหมือนว่าหน้าต่างจะเป็นทางเดียวที่ช่วยเขาได้  หวังหยูเฟิงเดินไปเปิดหน้าต่างออก ลมกลางคืนเบาบางปะทะมาที่ใบหน้า นัยน์ตาสีดำทอดมองภาพโดยรอบจากมุมสูงของชั้นสามอย่างใช้ความคิด

    ห้องที่ไป๋ลู่เหอขังชายหนุ่มเอาไว้อยู่ที่ด้านข้างของภัตตาคาร การจะออกจากที่นี่ไปได้ ก็คงต้องเสี่ยงตายกับความสูงเท่านั้น 

    ก่อนที่จะลักลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ผูู้กองหวังไม่ได้มาตัวเปล่า หลังจากผลัดเปลี่ยนเอาชุดบริกรมาใส่ เขาก็ยังมีปืนพกขนาดเล็กและมีดสั้นเอนกประสงค์ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วย

    หวังหยูเฟิงมองหาอุปกรณ์ที่พอจะช่วยตัวเองได้ เขาดึงผ้าม่านและผ้าปูโต๊ะที่ใช้ภายในห้องนี้ออกมา แล้วเริ่มสร้างเชือกผ้าแบบเร่งด่วนทันที

     ถึงจะเสียดายที่ตอนนี้ต้องถอนตัวจากการติดตามเจิ้งหยุนไปก่อน แต่คืนนี้หวังหยูเฟิงก็ยังไม่ถอดใจ ถ้าเข้าไปไม่ได้ เขาก็จะรอจนกว่าผู้ต้องสงสัยจะออกมา 

                   หลังจากสร้างเครื่องมือในการหลบหนีสำเร็จ ผู้กองหวังก็มองลงไปข้างล่างเพื่อวัดความสูงจากสายตาโดยประมาณ แล้วพบว่าความยาวของเชือกผ้าไม่อาจส่งเขาลงข้างล่างได้อย่างปลอดภัย แต่ก็พอจะใช้ระเบียงหน้าต่างไต่ลงไปข้างล่างได้

    หวังหยูเฟิงได้แต่นึกทอดถอนใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโรยเชือกผ้าฉุกเฉินไปด้านนอกหน้าต่าง 



    ▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣



    กว่าหวังหยูเฟิงจะหลบหนีมาถึงชั้นล่างได้สำเร็จ ก็ใช้เวลาพักใหญ่ เขาหอบหายใจถี่และร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งที่อากาศกำลังเย็นสบาย

    ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้ว่า เจิ้งหยุนอยู่ที่ไหนแล้ว เขาจึงติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มที่กำลังจับตามองความเคลื่อนไหวแถวที่พักของผู้ต้องสงสัย แต่ปรากฏว่าเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเลยังไม่กลับ

    ถ้าหากคืนนี้เขาตามตัวอีกฝ่ายไม่ได้ ก็คงต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง

    หวังหยูเฟิงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ทว่าในขณะที่เขาเฝ้ามองทางเข้าออกของภัตตาคารหรูได้ครู่ใหญ่ คนที่กำลังตามหาก็เดินออกมา

    นัยน์ตาสีดำจ้องมองเป้าหมายนิ่ง แล้วผู้กองหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้าง เมื่อมีมือปืนที่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะยิงผู้ต้องสงสัยของเขาอย่างอุกอาจ

    ปัง!

    หลังจากเสียงกระสุนปืนดังขึ้น หวังหยูเฟิงก็ชักอาวุธที่มียิงใส่ผู้ร้ายที่ก่อเหตุต่อหน้าต่อตาทันทีี ลูกกระสุนเจาะเข้าที่มือของผู้ร้ายที่กำลังถือปืนอย่างแม่นยำ และก่อนที่เขาจะทันได้ยิงล้อรถเพื่อขัดขวางการหลบหนี อีกฝ่ายก็เร่งเครื่องยนต์ทะยานห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้กองหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสกัดจับ

    "ผมฝากด้วย"

    [ครับผู้กองหวัง]

    หลังจากตัดการติดต่อ หวังหยูเฟิงก็เดินเข้าไปหาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ เจิ้งหยุนจับแขนขวาที่เปื้อนเลือดของตัวเองเอาไว้

    "นายครับ!"

    อู่หนิงรีบประคองเจ้านายของเขาด้วยความเป็นห่วง ทว่าคนเจ็บกลับยิ้มเย็นเป็นการตอบรับ

    "ฉันไม่เป็นไร แค่เฉี่ยวน่ะ" เจิ้งหยุนบอก ก่อนจะหันไปมองนายตำรวจด้วยสีหน้าแปลกใจ "คุณหวังมาที่นี่ได้อย่างไรครับ"

    "ผมบังเอิญผ่านมา" หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย

                   "แล้วทำไมถึงแต่งชุดพนักงานของที่นี่ล่ะครับ" เจิ้งหยุนถามต่อ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าไม่รับแขกของนายตำรวจ "หรือว่าเป็นงานเสริมหลังเลิกงานประจำ?"

    "ผมว่าคุณควรห่วงตัวเองมากกว่าการถามไร้สาระกับผม" หวังหยูเฟิงตอบเสียงห้วน เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เจิ้งหยุนระบายยิ้มบาง

    "ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นะครับ ผมชอบตำรวจจัง" เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนสายตาจะเปลี่ยนไป เมื่อนัยน์ตาคมจับจ้องไปที่ต้นคอของผู้กองหนุ่ม "นั่นรอยอะไร"

    หวังหยูเฟิงยังไม่ทันเข้าใจคำถาม เขาก็ต้องถอยเท้าหนีเล็กน้อย เมื่อคนเจ็บใช้มือที่เปื้อนเลือดของตัวเองเช็ดคราบลิปสติกที่ต้นคอขาวด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์

                   "นี่คุณ..."

    "รอยสกปรก"

    หวังหยูเฟิงมองท่าทีของเจิ้งหยุนด้วยความประหลาดใจ เขายกมือขึ้นแตะตรงต้นคอที่อีกคนเพิ่งสัมผัส ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อปลายนิ้วเปื้อนของเหลวสีแดง

    "ขอโทษครับ ตั้งใจจะเช็ดรอยให้คุณ แต่ดันทำเลือดเปื้อนคุณแทนจนได้"

    เจิ้งหยุนส่งยิ้มบางมาให้อีกครั้ง นัยน์ตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นประกายที่ผู้กองหวังเดาไม่ออก

    "ช่างเถอะ คุณควรไปโรงพยาบาลได้แล้ว เพราะหลังจากที่คุณทำแผลเสร็จ ผมคงต้องเชิญคุณไปคุยที่สถานีตำรวจ"

    "ด้วยความยินดีครับ"



    ▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣



    เนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้หวังหยูเฟิงต้องกลับมาทำงานที่สถานีตำรวจอีกครั้ง แล้วพบว่าคนร้ายเมื่อคืนนี้หนีรอดไปได้

    ผู้กองหวังถอนหายใจ ทั้งที่คดีเก่ายังไม่คลี่คลาย คดีใหม่ก็มาสร้างความปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก เขาปิดแฟ้มรายงานที่เพิ่งอ่านจบ ก่อนจะหันไปสนใจ เหอผิงที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน

    เขาเป็นอย่างไรบ้าง

    พรุ่งนี้คุณเจิ้งจะมาให้ปากคำครับ

    อืม

    หวังหยูเฟิงยกแก้วกาแฟเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยความเหนื่อยล้า เขาเสียเวลาไปหลายวันในการติดตามผู้ต้องสงสัย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือตัวแปรปริศนา

    ไป๋ลู่เหอกับเจิ้งหยุนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

    แล้วใครที่คิดร้ายกับผู้ชายคนนั้น?

    ถึงตอนนี้จะไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็เชื่อว่า ผู้ต้องสงสัยไม่ใช่แค่กรรมการบริษัทหรือเจ้าของผับธรรมดาแน่นอน

    ผู้กองหวังได้นอนบ้างหรือเปล่า กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ

    เหอผิงมองหัวหน้าด้วยความเป็นห่วง นอกจากร่างกายจะอ่อนเพลียแล้ว สมองก็คงทำงานหนัก ตอนนี้ปมคดีที่พยายามจะแก้กลับพันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าที่คิด

    "ขอบใจมาก แต่ผมยังไหว" หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบาง วันนี้เขาจะกลับไปพักผ่อน โดยมอบหมายให้ลูกน้องจับตามองแทน

    ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ

    หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง เขาก็ทบทวนเรื่องราวที่เกิดชึ้นทั้งหมดในความคิด ตั้งแต่ถานอี้เทาที่ถูกฆ่าตายจากกลุ่มคนปริศนา จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ที่ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ถูกยิง

    ในเวลานี้บุคคลที่อยู่เหนือใครในแวดวงมืดและกล้ากระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย ก็คงจะเป็นกงเจ๋อตวน ตำรวจทุกนายต่างรู้ดี ถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนไม่ถูกกัน พวกเขาเปรียบเสมือนไม้กระดานที่อยู่คนละฟาก แล้วรอจังหวะให้อีกฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ

    แต่จากคำบอกเล่าของฟ่านมู่เหยียนที่ตามไล่บี้กงเจ๋อตวนอยู่ ผู้มีอิทธิพลรายนี้ไม่ได้เคลื่อนไหว เขายังคงซุ่มรอจังหวะเพิ่มหลบหนีสายตาของตำรวจ

    ตอนนี้นอกจากเรื่องของถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนแล้ว คดีเล็กน้อยจากกลุ่มคนที่เคยหวั่นเกรงอำนาจของผู้มีอิทธิพลใหญ่ก็ก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวัน มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อผู้คุมอำนาจล้ม ผู้อ่อนแอที่ถูกควบคุมต่างก็พยายามดันตัวเองมาแทนที่ หวังหยูเฟิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้นัก มีเพียงประเด็นเดียวที่เขาจะต้องตามหาต่อไป

    ใครกันที่เป็นคนล้มยักษ์...

    ผู้กองหนุ่มวางแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุม แล้วเดินออกจากห้องทำงานของตัวเอง

      ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะได้คำตอบไม่มากก็น้อย



    ▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣



    "เสี่ยวหยุน! เป็นอย่างไรบ้าง!"

    "มาทำไม"

    เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อเห็นว่าใครที่เดินทางมาหา และพอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ เขาก็ยิ่งหงุดหงิด

    "คิดว่าฉันอยากจะมานักหรือ เธอโดนยิงที่หน้าร้านของฉันนะ จะให้ทำเฉยได้หรือ"

    ไป๋ลู่เหอในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนนั่งไขว่ห้างบนโซฟานุ่ม โดยไม่ต้องรอคำอนุญาตของใคร

    "ก็ยังไม่ตาย"

    "ย่ะ! ก็ยังนึกเสียดายอยู่เนี่ย"

     "แต่วันนี้อาจจะมีคนตายก็ได้ ถ้าผมหมดความอดทน"

    เจิ้งหยุนมองร่างเพรียวตรงหน้าอย่างเย็นชา แต่คนอย่างไป๋ลู่เหอผู้งามสง่าไม่ได้สนใจ นัยน์ตากลมโตทอดมองอีกฝ่าย มือบางลูบเส้นผมของตัวเองเล่นอย่างผ่อนคลาย

     "เธอนั่นแหละที่เป็นตัวบั่นทอนความอดทนของคนอื่น พูดจาอะไรก็ให้เกียรติสุภาพสตรีอย่างฉันบ้าง"

    "หึ! ผู้หญิงอะไรไล่ปล้ำผู้ชาย แถมยังมีไอ้นั่นอยู่อีก"

    "ฉันถือคติไม่ลืมรากเหง้าของตัวเองต่างหาก"

    ใบหน้าสวยหวานมองคู่สนทนาด้วยสายตาขุ่นมัว ถึงเขาจะทำศัลยกรรมทั่วตัว แต่ก็ยังอยากใช้ส่วนสำคัญทางเพศที่ได้มาตั้งแต่เกิดและไม่ได้นิยมให้ใครมาแทงข้างหลัง

                   "จะอ้างอะไรก็ช่าง แต่ความจริงก็ยังเหมือนเดิม"

    เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างดูแคลน ยิ่งหวนไปนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้อีกครั้ง เขาก็ยิ่งโมโห

    "บางทีฉันควรจะตบสั่งสอนเธอบ้าง"

    "ก็น่าลองว่า มือของคุณกับกระสุนของผม อะไรจะเร็วกว่ากัน"

    ไป๋ลู่เหอเลิกคิ้วขึ้น นิ้วเรียวกรีดกราย ริมฝีปากสีสวยวาดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

    "รับรองได้เลยว่า ถ้าเธอทำให้ฉันเป็นแผลแม้แต่นิดเดียว เธอแหลกคามือฉันแน่เสี่ยวหยุน"

    "แต่ผมว่าสมองของคุณคงกระจุยก่อนจะได้รับรู้อะไร"

    ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันอย่างลองเชิง ก่อนนัยน์ตากลมจะถอนสายตาไปสนใจชามะลิที่กำลังส่งกลิ่นหอมแทน

     "วันนี้เธอเป็นอะไร ธรรมดาไม่ไล่กัดใครแบบนี้นี่ หงุดหงิดที่โดนยิงหรือ"

    เจิ้งหยุนไม่ได้ตอบ ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่เมื่อครู่ เขาก็ไม่ได้ชอบความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้เท่าไรนัก

    "จริงๆ แล้วคนที่ควรหงุดหงิดคือฉันมากกว่านะ เมื่อคืนนี้กำลังได้เหยื่อดีเลย แต่เธอก็มาขัดจังหวะ แล้วรู้ไหม พอฉันกลับไปอีกครั้ง เขาก็หนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว น่าสนใจจริงๆ"

    น้ำเสียงหวานเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของคนฟังที่มืดมนลงเรื่อยๆ ทั้งที่เจ้าของคฤหาสน์กำลังจะดับไฟโทสะของตัวเองลง แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญดันกวนตะกอนให้ถ่านไฟอารมณ์ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง

    ปัง!

         เพง!   "ตายแล้ว!" ไป๋ลู่เหอร้องขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อแก้วชาที่เขากำลังถือแตกเป็นเสี่ยงจากลูกกระสุน นัยน์ตากลมโตตวัดมองชายหนุ่มที่ตีหน้าเฉยอย่างไม่พอใจ

    "เล่นไม่รู้เรื่อง! ถ้ามือฉันเป็นแผล เดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก!"

    "หึ!"

    เจิ้งหยุนหันไปสนใจกาแฟของตัวเองแทนท่าทางไม่สบอารมณ์ของคนตรงหน้า ชายหนุ่มแค่ต้องการเอาคืนที่ไป๋ลู่เหอมาแตะต้องคนที่ตัวเองกำลังสนใจบ้างเท่านั้น ว่ากันตามจริงแล้วถึงเขาจะไม่ได้เกรงกลัวหรือเคารพอีกฝ่ายอย่างที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้นึกอยากหาเรื่องกับคุณนายไป๋นัก

    ดีนะที่ชุดไม่เปื้อนร่างบางบ่นอุบพลางสำรวจสภาพของตัวเองไปด้วยความกังวล

                   หลบทันแล้วยังจะบ่นอะไรอีกเจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างนึกรำคาญ เพราะรู้อยู่แล้วว่าไป๋ลู่เหอจะไม่เป็นอะไร เขาถึงได้ทำไปตามอารมณ์ หากอีกฝ่ายจะได้เลือดก็คงเป็นผลพลอยได้ ร่างเพรียวส่งสายตาค้อนกลับมา

                   ช่วยสำนึกผิดบ้างเถอะไป๋ลู่เหอต่อว่าอย่างระอา ใบหน้าสวยที่เคยบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นปลงตก ถ้ารู้ว่าโตแล้วไม่น่ารักแบบนี้ จับหักคอทิ้งตั้งแต่เด็กเลยก็ดี

                   คนถูกว่าส่งสายตาไม่พอใจออกมา แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหรือตอบโต้ด้วยคำพูดอีก เพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ไป๋ลู่เหอเก่งและเคี้ยวยากจนใครหลายคนคาดไม่ถึง


    TBc++++++++ 07 ความเคลื่อนไหวที่เงียบงัน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×