คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 06 หลุมพรางที่ซ่อนเร้น
06
หลุมพรางที่ซ่อนเร้น
หวังหยูเฟิงเดินตามร่างสูงเพรียว นัยน์ตาสีดำมองรอบกายอย่างจับสังเกต
บริเวณชั้นสองของภัตตาคารเฟยลี่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์ตะวันออกแบบผสมผสาน
ทางเดินยาวปูด้วยพรมอย่างดีตัดผ่านทางที่ขนาบข้างด้วยห้องอาหารที่ให้บริการแบบส่วนตัว
ซึ่งตอนนี้เจิ้งหยุนก็อาจจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งที่เขากำลังเดินผ่าน
หวังหยูเฟิงเดินตามไปจนสุดทาง
ก่อนที่ไป๋ลู่เหอจะพาเขาขึ้นบันไดมายังชั้นสาม ซึ่งน่าจะเป็นเขตส่วนตัวของอีกฝ่าย
“เชิญ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้น
เมื่อเจ้าของภัตตาคารเปิดประตูไม้เนื้ออ่อนสลักลวดลายบานหนึ่ง
ภายในห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่าย
สิ่งที่เด่นที่สุดคือโซฟาหนังมันเงาสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้อง ไป๋ลู่เหอคลี่ยิ้ม ก่อนจะปิดประตู บรรยากาศชวนอันตรายที่ไม่สามารถอธิบายได้เคลื่อนตัวโดยรอบ
หวังหยูเฟิงหันไปมองร่างเพรียวที่ไม่ต่างจากพญาหงส์อย่างไม่ไว้ใจ
แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วออกมา เมื่ออีกฝ่ายออกคำสั่ง
"ถอดเสื้อออก"
"เอ่อ..."
"หรือจะให้ฉันถอดไห้"
ขาเรียวที่หลบซ่อนในชุดราตรีก้าวเข้าหา ท่าทางสง่างามที่แฝงไปด้วยการคุกคาม
ทำให้หวังหยูเฟิงผงะ ผู้กองหนุ่มรีบตั้งสติรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
โชคร้ายขั้นสุดยอด!
หวังหยูเฟิงได้แต่บริภาษอยู่ในใจ เขาเองก็เตรียมใจมาส่วนหนึ่งแล้ว
แต่คิดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะซื่อตรงต่อความต้องการของตัวเองมากขนาดนี้
"ถ้าเธอทำให้ฉันพอใจ เธออาจจะได้เลื่อนขั้นหรือขึ้นเงินเดือนก็ได้นะ"
"ผม..."
"อย่ากลัวไปเลย ฉันเอ็นดูเด็กเสมอ"
จัดการเลยดีไหม!
หวังหยูเฟิงขบคิดอย่างเคร่งเครียด
เพียงชั่วอึดใจต่อมาร่างเพรียวบางก็เข้ามาประชิดเขาอย่างรวดเร็ว
"เป็นเด็กดีของฉันเถอะนะ" ไป๋ลู่เหอเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มหวาน
มือบางเข้าจู่โจมที่ชุดเครื่องแบบบริกรด้วยความเร็วที่น่ากลัว
ผู้กองหนุ่มที่กำลังถูกรุกรานได้แต่ปัดป้องพัลวัน
หากเขาทำอะไรไป๋ลู่เหอตอนนี้ ก็คงต้องหนีกลับแบบคว้าน้ำเหลว...
"อย่าทำสีหน้าแบบนั้นสิ
ฉันยิ่งต้องการมากขึ้นไปอีก"
ไป๋ลู่เหอแลบลิ้นเลียริมฝีปากสีสดด้วยสายตาเป็นประกาย
หวังหยูเฟิงรู้สึกสะท้านจนขนลุกไปทั่วร่าง เมื่อคนตรงหน้าเข้ากอดรัด
มือเรียวลากผ่านร่างกายของเขาอย่างย่ามใจ
ก่อนเรี่ยวแรงที่ผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกจะผลักผู้กองหนุ่มให้ล้มไปนอนบนโซฟานุ่ม
"ร่างกายของเธอบอกฉันหมดแล้ว" ไป๋ลู่เหอแย้มยิ้ม
ร่างกายงดงามทาบทับชายหนุ่มอย่างหมายมาด "ช่างไร้เดียงสาเหลือเกินนะ"
คนๆ นี้!
หวังหยูเฟิงที่กำลังถูกจู่โจมตัดสินใจเด็ดขาด
นัยน์ตาสีดำเป็นประกายวาบ ถ้าหากยังอ่อนข้อให้แบบนี้ ไป๋ลู่เหอได้เขมือบเขาแน่!
ถึงอีกฝ่ายจะมีรูปร่างบอบบางราวกับเทพธิดา แต่กำลังกายกลับไม่ต่างจากชายฉกรรจ์เลย
นอกจากนี้ยังมีความเร็วที่น่าตกตะลึงอีก
ไป๋ลู่เหอต้องมีทักษะการต่อสู้ที่น่ากลัวแน่นอน
ซึ่งผู้กองหวังก็ไม่ถนัดการต่อสู้แบบประชิดเสียด้วย
"เธอกำลังทำให้ฉันอดใจไม่ไหวแล้วนะ"
ทว่าในขณะที่ผู้กองหวังกำลังจะลงมือตอบโต้เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากบานประตูที่ถูกเปิดออก
"คุณนายไป๋สายไปสิบห้านาทีแล้ว!"
หวังหยูเฟิงชะงักความคิดของตัวเอง ถึงชายหนุ่มจะไม่ได้หันไปมอง
แต่เขาก็จำเสียงนี้ได้
เจิ้งหยุน!
"เสี่ยวหยุนล่ะก็! รอหน่อยไม่ได้หรือ"
ไป๋ลู่เหอบ่นเสียงขุ่น ทั้งที่มือเรียวที่เต็มไปด้วยพละกำลังอันน่าตกใจยังจับผู้กองหนุ่มเอาไว้
"คุณมีเวลาอีกเยอะ แต่ผมไม่"
"เชอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเทียนสุดหล่อ
ฉันไม่ยุ่งกับคนอย่างเธอหรอก"
"รีบมา ผมจะไปรอที่ห้อง"
หวังหยูเฟิงลอบฟังคำสนทนาอย่างใช้ความคิด
ก่อนที่ชายหนุ่มจะสะดุ้งเฮือก เมื่อถูกคนตรงหน้าจูบตรงต้นคอชวนให้ขนลุกซู่
"รอฉันอยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะมาสัมภาษณ์ต่อ"
ไป๋ลู่เหอเดินออกจากห้อง
ก่อนเสียงล็อกประตูจากด้านนอกจะทำให้ชายหนุ่มที่ถูกขังขมวดคิ้ว
เขาลูบแขนของตัวเองไปมา
ขยะแขยงเป็นบ้า!
ผู้กองหนุ่มถอนหายใจ แล้วมองโดยรอบเพื่อหาช่องทางหนี ซึ่งดูเหมือนว่าหน้าต่างจะเป็นทางเดียวที่ช่วยเขาได้ หวังหยูเฟิงเดินไปเปิดหน้าต่างออก
ลมกลางคืนเบาบางปะทะมาที่ใบหน้า
นัยน์ตาสีดำทอดมองภาพโดยรอบจากมุมสูงของชั้นสามอย่างใช้ความคิด
ห้องที่ไป๋ลู่เหอขังชายหนุ่มเอาไว้อยู่ที่ด้านข้างของภัตตาคาร
การจะออกจากที่นี่ไปได้ ก็คงต้องเสี่ยงตายกับความสูงเท่านั้น
ก่อนที่จะลักลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ผูู้กองหวังไม่ได้มาตัวเปล่า
หลังจากผลัดเปลี่ยนเอาชุดบริกรมาใส่
เขาก็ยังมีปืนพกขนาดเล็กและมีดสั้นเอนกประสงค์ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินด้วย
หวังหยูเฟิงมองหาอุปกรณ์ที่พอจะช่วยตัวเองได้
เขาดึงผ้าม่านและผ้าปูโต๊ะที่ใช้ภายในห้องนี้ออกมา
แล้วเริ่มสร้างเชือกผ้าแบบเร่งด่วนทันที
ถึงจะเสียดายที่ตอนนี้ต้องถอนตัวจากการติดตามเจิ้งหยุนไปก่อน
แต่คืนนี้หวังหยูเฟิงก็ยังไม่ถอดใจ ถ้าเข้าไปไม่ได้ เขาก็จะรอจนกว่าผู้ต้องสงสัยจะออกมา
หลังจากสร้างเครื่องมือในการหลบหนีสำเร็จ
ผู้กองหวังก็มองลงไปข้างล่างเพื่อวัดความสูงจากสายตาโดยประมาณ
แล้วพบว่าความยาวของเชือกผ้าไม่อาจส่งเขาลงข้างล่างได้อย่างปลอดภัย
แต่ก็พอจะใช้ระเบียงหน้าต่างไต่ลงไปข้างล่างได้
หวังหยูเฟิงได้แต่นึกทอดถอนใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโรยเชือกผ้าฉุกเฉินไปด้านนอกหน้าต่าง
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
กว่าหวังหยูเฟิงจะหลบหนีมาถึงชั้นล่างได้สำเร็จ ก็ใช้เวลาพักใหญ่
เขาหอบหายใจถี่และร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งที่อากาศกำลังเย็นสบาย
ตอนนี้ชายหนุ่มไม่รู้ว่า เจิ้งหยุนอยู่ที่ไหนแล้ว
เขาจึงติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มที่กำลังจับตามองความเคลื่อนไหวแถวที่พักของผู้ต้องสงสัย
แต่ปรากฏว่าเจ้าของคฤหาสน์ริมทะเลยังไม่กลับ
ถ้าหากคืนนี้เขาตามตัวอีกฝ่ายไม่ได้
ก็คงต้องกลับไปเริ่มต้นใหม่กันอีกครั้ง
หวังหยูเฟิงรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย ทว่าในขณะที่เขาเฝ้ามองทางเข้าออกของภัตตาคารหรูได้ครู่ใหญ่
คนที่กำลังตามหาก็เดินออกมา
นัยน์ตาสีดำจ้องมองเป้าหมายนิ่ง แล้วผู้กองหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้าง
เมื่อมีมือปืนที่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะยิงผู้ต้องสงสัยของเขาอย่างอุกอาจ
ปัง!
หลังจากเสียงกระสุนปืนดังขึ้น หวังหยูเฟิงก็ชักอาวุธที่มียิงใส่ผู้ร้ายที่ก่อเหตุต่อหน้าต่อตาทันทีี ลูกกระสุนเจาะเข้าที่มือของผู้ร้ายที่กำลังถือปืนอย่างแม่นยำ
และก่อนที่เขาจะทันได้ยิงล้อรถเพื่อขัดขวางการหลบหนี
อีกฝ่ายก็เร่งเครื่องยนต์ทะยานห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ผู้กองหนุ่มรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสกัดจับ
"ผมฝากด้วย"
[ครับผู้กองหวัง]
หลังจากตัดการติดต่อ หวังหยูเฟิงก็เดินเข้าไปหาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
เจิ้งหยุนจับแขนขวาที่เปื้อนเลือดของตัวเองเอาไว้
"นายครับ!"
อู่หนิงรีบประคองเจ้านายของเขาด้วยความเป็นห่วง
ทว่าคนเจ็บกลับยิ้มเย็นเป็นการตอบรับ
"ฉันไม่เป็นไร แค่เฉี่ยวน่ะ" เจิ้งหยุนบอก
ก่อนจะหันไปมองนายตำรวจด้วยสีหน้าแปลกใจ "คุณหวังมาที่นี่ได้อย่างไรครับ"
"ผมบังเอิญผ่านมา"
หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย
"แล้วทำไมถึงแต่งชุดพนักงานของที่นี่ล่ะครับ" เจิ้งหยุนถามต่อ โดยไม่ได้สนใจสีหน้าไม่รับแขกของนายตำรวจ
"หรือว่าเป็นงานเสริมหลังเลิกงานประจำ?"
"ผมว่าคุณควรห่วงตัวเองมากกว่าการถามไร้สาระกับผม"
หวังหยูเฟิงตอบเสียงห้วน เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ เจิ้งหยุนระบายยิ้มบาง
"ขอบคุณที่ช่วยผมเอาไว้นะครับ ผมชอบตำรวจจัง"
เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้น ก่อนสายตาจะเปลี่ยนไป
เมื่อนัยน์ตาคมจับจ้องไปที่ต้นคอของผู้กองหนุ่ม "นั่นรอยอะไร"
หวังหยูเฟิงยังไม่ทันเข้าใจคำถาม เขาก็ต้องถอยเท้าหนีเล็กน้อย
เมื่อคนเจ็บใช้มือที่เปื้อนเลือดของตัวเองเช็ดคราบลิปสติกที่ต้นคอขาวด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์
"นี่คุณ..."
"รอยสกปรก"
หวังหยูเฟิงมองท่าทีของเจิ้งหยุนด้วยความประหลาดใจ
เขายกมือขึ้นแตะตรงต้นคอที่อีกคนเพิ่งสัมผัส ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
เมื่อปลายนิ้วเปื้อนของเหลวสีแดง
"ขอโทษครับ ตั้งใจจะเช็ดรอยให้คุณ
แต่ดันทำเลือดเปื้อนคุณแทนจนได้"
เจิ้งหยุนส่งยิ้มบางมาให้อีกครั้ง
นัยน์ตาเย็นชาแปรเปลี่ยนเป็นประกายที่ผู้กองหวังเดาไม่ออก
"ช่างเถอะ คุณควรไปโรงพยาบาลได้แล้ว
เพราะหลังจากที่คุณทำแผลเสร็จ ผมคงต้องเชิญคุณไปคุยที่สถานีตำรวจ"
"ด้วยความยินดีครับ"
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เนื่องจากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้หวังหยูเฟิงต้องกลับมาทำงานที่สถานีตำรวจอีกครั้ง
แล้วพบว่าคนร้ายเมื่อคืนนี้หนีรอดไปได้
ผู้กองหวังถอนหายใจ ทั้งที่คดีเก่ายังไม่คลี่คลาย
คดีใหม่ก็มาสร้างความปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก เขาปิดแฟ้มรายงานที่เพิ่งอ่านจบ
ก่อนจะหันไปสนใจ เหอผิงที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“พรุ่งนี้คุณเจิ้งจะมาให้ปากคำครับ”
“อืม”
หวังหยูเฟิงยกแก้วกาแฟเย็นชืดขึ้นดื่มด้วยความเหนื่อยล้า
เขาเสียเวลาไปหลายวันในการติดตามผู้ต้องสงสัย
ทว่าผลลัพธ์ที่ได้กลับมาคือตัวแปรปริศนา
ไป๋ลู่เหอกับเจิ้งหยุนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
แล้วใครที่คิดร้ายกับผู้ชายคนนั้น?
ถึงตอนนี้จะไม่มีหลักฐานมายืนยัน แต่จิตใต้สำนึกของเขาก็เชื่อว่า
ผู้ต้องสงสัยไม่ใช่แค่กรรมการบริษัทหรือเจ้าของผับธรรมดาแน่นอน
“ผู้กองหวังได้นอนบ้างหรือเปล่า
กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ”
เหอผิงมองหัวหน้าด้วยความเป็นห่วง นอกจากร่างกายจะอ่อนเพลียแล้ว
สมองก็คงทำงานหนัก ตอนนี้ปมคดีที่พยายามจะแก้กลับพันยุ่งเหยิงยิ่งกว่าที่คิด
"ขอบใจมาก แต่ผมยังไหว"
หวังหยูเฟิงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มบาง วันนี้เขาจะกลับไปพักผ่อน
โดยมอบหมายให้ลูกน้องจับตามองแทน
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับ เมื่อกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง
เขาก็ทบทวนเรื่องราวที่เกิดชึ้นทั้งหมดในความคิด ตั้งแต่ถานอี้เทาที่ถูกฆ่าตายจากกลุ่มคนปริศนา จนกระทั่งเมื่อคืนนี้ที่ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ถูกยิง
ในเวลานี้บุคคลที่อยู่เหนือใครในแวดวงมืดและกล้ากระทำผิดโดยไม่เกรงกลัวต่อกฏหมาย
ก็คงจะเป็นกงเจ๋อตวน ตำรวจทุกนายต่างรู้ดี
ถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนไม่ถูกกัน พวกเขาเปรียบเสมือนไม้กระดานที่อยู่คนละฟาก
แล้วรอจังหวะให้อีกฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ
แต่จากคำบอกเล่าของฟ่านมู่เหยียนที่ตามไล่บี้กงเจ๋อตวนอยู่
ผู้มีอิทธิพลรายนี้ไม่ได้เคลื่อนไหว เขายังคงซุ่มรอจังหวะเพิ่มหลบหนีสายตาของตำรวจ
ตอนนี้นอกจากเรื่องของถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนแล้ว
คดีเล็กน้อยจากกลุ่มคนที่เคยหวั่นเกรงอำนาจของผู้มีอิทธิพลใหญ่ก็ก่อเหตุไม่เว้นแต่ละวัน มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อผู้คุมอำนาจล้ม
ผู้อ่อนแอที่ถูกควบคุมต่างก็พยายามดันตัวเองมาแทนที่ หวังหยูเฟิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้นัก
มีเพียงประเด็นเดียวที่เขาจะต้องตามหาต่อไป
ใครกันที่เป็นคนล้มยักษ์...
ผู้กองหนุ่มวางแก้วกาแฟที่ว่างเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุม
แล้วเดินออกจากห้องทำงานของตัวเอง
ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะได้คำตอบไม่มากก็น้อย
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
"เสี่ยวหยุน! เป็นอย่างไรบ้าง!"
"มาทำไม"
เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เมื่อเห็นว่าใครที่เดินทางมาหา
และพอนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้ เขาก็ยิ่งหงุดหงิด
"คิดว่าฉันอยากจะมานักหรือ
เธอโดนยิงที่หน้าร้านของฉันนะ จะให้ทำเฉยได้หรือ"
ไป๋ลู่เหอในชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนนั่งไขว่ห้างบนโซฟานุ่ม
โดยไม่ต้องรอคำอนุญาตของใคร
"ก็ยังไม่ตาย"
"ย่ะ! ก็ยังนึกเสียดายอยู่เนี่ย"
"แต่วันนี้อาจจะมีคนตายก็ได้ ถ้าผมหมดความอดทน"
เจิ้งหยุนมองร่างเพรียวตรงหน้าอย่างเย็นชา แต่คนอย่างไป๋ลู่เหอผู้งามสง่าไม่ได้สนใจ
นัยน์ตากลมโตทอดมองอีกฝ่าย มือบางลูบเส้นผมของตัวเองเล่นอย่างผ่อนคลาย
"เธอนั่นแหละที่เป็นตัวบั่นทอนความอดทนของคนอื่น
พูดจาอะไรก็ให้เกียรติสุภาพสตรีอย่างฉันบ้าง"
"หึ! ผู้หญิงอะไรไล่ปล้ำผู้ชาย
แถมยังมีไอ้นั่นอยู่อีก"
"ฉันถือคติไม่ลืมรากเหง้าของตัวเองต่างหาก"
ใบหน้าสวยหวานมองคู่สนทนาด้วยสายตาขุ่นมัว ถึงเขาจะทำศัลยกรรมทั่วตัว
แต่ก็ยังอยากใช้ส่วนสำคัญทางเพศที่ได้มาตั้งแต่เกิดและไม่ได้นิยมให้ใครมาแทงข้างหลัง
"จะอ้างอะไรก็ช่าง แต่ความจริงก็ยังเหมือนเดิม"
เจิ้งหยุนมองคนตรงหน้าอย่างดูแคลน ยิ่งหวนไปนึกถึงเรื่องเมื่อคืนนี้อีกครั้ง
เขาก็ยิ่งโมโห
"บางทีฉันควรจะตบสั่งสอนเธอบ้าง"
"ก็น่าลองว่า มือของคุณกับกระสุนของผม
อะไรจะเร็วกว่ากัน"
ไป๋ลู่เหอเลิกคิ้วขึ้น นิ้วเรียวกรีดกราย
ริมฝีปากสีสวยวาดรอยยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
"รับรองได้เลยว่า ถ้าเธอทำให้ฉันเป็นแผลแม้แต่นิดเดียว
เธอแหลกคามือฉันแน่เสี่ยวหยุน"
"แต่ผมว่าสมองของคุณคงกระจุยก่อนจะได้รับรู้อะไร"
ทั้งสองฝ่ายจ้องมองกันอย่างลองเชิง
ก่อนนัยน์ตากลมจะถอนสายตาไปสนใจชามะลิที่กำลังส่งกลิ่นหอมแทน
"วันนี้เธอเป็นอะไร ธรรมดาไม่ไล่กัดใครแบบนี้นี่ หงุดหงิดที่โดนยิงหรือ"
เจิ้งหยุนไม่ได้ตอบ
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่เมื่อครู่
เขาก็ไม่ได้ชอบความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้เท่าไรนัก
"จริงๆ แล้วคนที่ควรหงุดหงิดคือฉันมากกว่านะ
เมื่อคืนนี้กำลังได้เหยื่อดีเลย แต่เธอก็มาขัดจังหวะ แล้วรู้ไหม พอฉันกลับไปอีกครั้ง
เขาก็หนีออกไปทางหน้าต่างแล้ว น่าสนใจจริงๆ"
น้ำเสียงหวานเล่าเรื่องอย่างลื่นไหล
โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของคนฟังที่มืดมนลงเรื่อยๆ
ทั้งที่เจ้าของคฤหาสน์กำลังจะดับไฟโทสะของตัวเองลง
แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญดันกวนตะกอนให้ถ่านไฟอารมณ์ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ปัง!
เพง! "ตายแล้ว!" ไป๋ลู่เหอร้องขึ้นด้วยความตกใจ
เมื่อแก้วชาที่เขากำลังถือแตกเป็นเสี่ยงจากลูกกระสุน
นัยน์ตากลมโตตวัดมองชายหนุ่มที่ตีหน้าเฉยอย่างไม่พอใจ
"เล่นไม่รู้เรื่อง! ถ้ามือฉันเป็นแผล
เดี๋ยวก็ได้ตายจริงหรอก!"
"หึ!"
เจิ้งหยุนหันไปสนใจกาแฟของตัวเองแทนท่าทางไม่สบอารมณ์ของคนตรงหน้า
ชายหนุ่มแค่ต้องการเอาคืนที่ไป๋ลู่เหอมาแตะต้องคนที่ตัวเองกำลังสนใจบ้างเท่านั้น
ว่ากันตามจริงแล้วถึงเขาจะไม่ได้เกรงกลัวหรือเคารพอีกฝ่ายอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ก็ไม่ได้นึกอยากหาเรื่องกับคุณนายไป๋นัก
“ดีนะที่ชุดไม่เปื้อน” ร่างบางบ่นอุบพลางสำรวจสภาพของตัวเองไปด้วยความกังวล
“หลบทันแล้วยังจะบ่นอะไรอีก” เจิ้งหยุนเอ่ยขึ้นอย่างนึกรำคาญ
เพราะรู้อยู่แล้วว่าไป๋ลู่เหอจะไม่เป็นอะไร เขาถึงได้ทำไปตามอารมณ์
หากอีกฝ่ายจะได้เลือดก็คงเป็นผลพลอยได้ ร่างเพรียวส่งสายตาค้อนกลับมา
“ช่วยสำนึกผิดบ้างเถอะ” ไป๋ลู่เหอต่อว่าอย่างระอา
ใบหน้าสวยที่เคยบูดบึ้งเปลี่ยนเป็นปลงตก “ถ้ารู้ว่าโตแล้วไม่น่ารักแบบนี้
จับหักคอทิ้งตั้งแต่เด็กเลยก็ดี”
คนถูกว่าส่งสายตาไม่พอใจออกมา แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหรือตอบโต้ด้วยคำพูดอีก
เพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า ไป๋ลู่เหอเก่งและเคี้ยวยากจนใครหลายคนคาดไม่ถึง
TBc++++++++ 07 ความเคลื่อนไหวที่เงียบงัน
ความคิดเห็น