คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : 03 เงาที่มองไม่เห็น
03
เงาที่มองไม่เห็น
หลังจากหวังหยูเฟิงพักฟื้นได้ครบหนึ่งอาทิตย์
ชายหนุ่มก็ดำเนินชีวิตประจำวันตามปกติอย่างที่ผ่านมา
เมื่อเขาเดินทางมาถึงที่ทำงานในตอนเช้า เสียงทักทายของบรรดาลูกน้องและเพื่อนร่วมงานก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย
“ผู้กองหวังหายดีแล้วนะครับ”
“อืม หายดีแล้วล่ะ ขอบใจ”
“ผู้กองหวังคะ ดิฉันได้ยินข่าว ยังห่วงว่าจะเป็นอะไรมาก”
“โชคดีที่ผมดวงแข็งน่ะ เลยไม่ได้เป็นอะไรมาก
ขอบใจที่เป็นห่วง”
หวังหยูเฟิงพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่ต่างก็พากันถามไถ่อาการของเขา
จนกระทั่งเดินมาถึงห้องทำงานของตัวเอง
“แหม...วันนี้คึกคักดีจริงๆ”
ฟ่านมู่เหยียนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม
พร้อมกับมองเพื่อนสนิทที่ตอนนี้ยืนจัดโต๊ะทำงานของตัวเองอยู่
เมื่อเจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมามอง ชายหนุ่มก็ยักคิ้วให้เป็นเชิงทักทาย
“ก็ผู้กองหวังกลับมาทำงานได้ปกติแล้วนี่คะ” เว่ยเจียวเซิน นายตำรวจสาวที่ดูแลด้านเอกสารเอ่ยขึ้น
“อะไรกัน ตอนนั้นผมก็เข้าโรงพยาบาล พอกลับมาทำงาน
ไม่เห็นจะเป็นแบบนี้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยท้วงกับหญิงสาวอย่างต้องการความยุติธรรม
“อะไรกันคะ ก็ผู้กองหวังไปทำงานนะคะ ส่วนผู้กองฟ่านน่ะ
ที่เข้าโรงพยาบาลเพราะดันไปกินของแสลงนี่คะ”
เรื่องราวน่าอายที่ดังขึ้น เรียกเสียงหัวเราะจากตำรวจหลายคนได้ไม่น้อย
ก่อนคนที่ตกเป็นหัวข้อดังกล่าวจะหน้าบึ้ง แล้วดีดหน้าผากของหญิงสาวตรงหน้าเบาๆ
เป็นการลงโทษ
“ทีเรื่องแบบนี้ หมวดเว่ยจำละเอียดจังเลยนะ”
เว่ยเจียวเซินจับหน้าผากของตัวเอง ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรเลย
แต่เธอก็อดแสร้งชักสีหน้าขึ้นมาไม่ได้ หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเง้างอน
“เจ็บนะคะผู้กอง!”
ฟ่านมู่เหยียนไม่สนใจ แล้วเดินไปหาเพื่อนสนิทพลางเท้าแขนลงบนโต๊ะทำงานที่จัดอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยของเจ้าของ
“ตอนเก้าโมงสารวัตรเรียกประชุม
จะได้สรุปปิดคดีให้มันจบๆ ไป”
“อืม”
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดคุยกันต่อ
ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ช่อโต ซึ่งสามารถเรียกสายตาจากบรรดาผู้คนในสถานีตำรวจได้ไม่น้อย
“ตายจริง! นั่นของหมวดเหอหรือคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยถามขึ้น
เธอมองชายหนุ่มที่ถือช่อดอกไม้อย่างใคร่รู้
“ไม่ใช่ครับ ของผู้กองต่างหาก” เหอผิงตอบด้วยรอยยิ้ม
ผู้กองหนุ่มทั้งสองคนมองดอกไม้ช่อสวยตรงหน้าอย่างแปลกใจ
ก่อนที่ฟ่านมู่เหยียนจะยิ้มออกมา แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“สงสัยเสี่ยวโหยวจะส่งมาให้ผม
น่ารักแบบนี้ต้องให้รางวัลหน่อยแล้ว”
ฟ่านมู่เหยียนยิ้มแก้มปริพลางยื่นมือจะไปรับช่อดอกไม้ที่แฟนสาวส่งมาให้
ทว่าเหอผิงกลับเบี่ยงตัวหลบ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของคนตรงหน้า
“ไม่ใช่อีกนั่นแหละครับ เป็นของผู้กองหวังต่างหาก”
“ของผมหรือ”
หวังหยูเฟิงแสดงสีหน้างุนงงอย่างไม่ปิดบัง
ก่อนจะรับดอกไม้ช่อโตตรงหน้า ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก
"แล้วใครเป็นคนส่งมาให้หรือ”
“ไม่ทราบสิครับ แต่เป็นบริษัทเอกชนที่บริการส่งดอกไม้ทั้วไป”
เหอผิงเอ่ยตอบ ก่อนจะแซวผู้กองหนุ่ม “อะไรกันครับเนี่ย
หยุดงานไปอาทิตย์เดียว พอกลับมา ก็มีช่อดอกไม้ส่งมาให้”
“นั่นสิ
นี่แอบไปปล่อยเสน่ห์ใส่หมอหรือพยาบาลคนไหนหรือเปล่า ร้ายเอาเรื่องเหมือนกันนี่หว่า”
ฟ่านมู่เหยียนแซวต่อด้วยสีหน้าล้อเลียน
“เปล่า” หวังหยูเฟิงปฏิเสธเสียงแข็งพลางมองช่อดอกทานตะวันที่ถูกจัดช่อด้วยริบบิ้นสีแดงเข้มอย่างสวยงาม
ชายหนุ่มพลิกไปมาอย่างพิจารณา
“ไม่มีการ์ดอะไรบอกเลยครับ” เหอผิงบอก
เมื่อเห็นผู้บังคับบัญชามองหาอะไรบางอย่างในช่อดอกไม้ที่กำลังถืออยู่
“สวยมากเลยนะคะ คงราคาแพงน่าดู
ไม่รู้ว่าผู้กองหวังไปแอบหว่านเสน่ห์ใครเข้านะคะเนี่ย” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้น
แล้วหัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ
“อืม ช่อดอกไม้ส่วนใหญ่มักจะใช้ดอกกุหลาบ ลิลลี่
หรือไม่ก็คาร์เนชั่น ไม่ค่อยเห็นคนเอาดอกทานตะวันมาจัดช่อเท่าไรเลย” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น เขามองสิ่งที่เพื่อนกำลังถืออยู่อย่างสงสัย
“ก็ใช่นะคะ ดิฉันก็ไม่ค่อยเจอเหมือนกัน
หรือว่ามันจะมีความนัยอะไรแอบแฝงหรือเปล่าคะ” เว่ยเจียวเซินแสดงความคิดเห็น
เธอมองช่อดอกทานตะวันอย่างพิจารณาเช่นเดียวกัน
จากบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะ บัดนี้กลับเงียบสนิท
สายตาทั้งสี่คู่มองมาที่ช่อดอกไม้ปริศนาอย่างครุ่นคิด
“หรือเอาไปตรวจหน่อยดี เผื่อผู้ไม่ประสงค์ดีส่งมาให้”
ฟ่านมู่เหยียนเสนอความคิดของตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น
เขาฉวยช่อดอกไม้ที่เพื่อนถืออยู่มาพลิกไปพลิกมาเพื่อมองหาความผิดปกติ
“แหม...มันคงไม่ได้ซ่อนระเบิดมาหรอกนะคะ”
เว่ยเจียวเซินเอ่ยขำๆ
อย่างพยายามคลายบรรยากาศที่ดูจะเคร่งเครียดขึ้น
“ผมลองดูแล้วครับ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ คนส่งดอกไม้
ผมก็ขอดูบัตรพนักงานและแน่ใจว่าเป็นพนักงานของร้านจริงๆ” เหอผิงเอ่ยย้ำ
ทว่ายังไม่ละสายตาไปจากช่อดอกไม้เจ้าปัญหา
“ขืนส่งไปตรวจสอบ ช่อดอกไม้สวยๆ ก็เละหมด
ถ้าคนส่งมารู้ทีหลัง จะเสียใจเอานะคะ” เว่ยเจียวเซินเอ่ยขึ้น
ทั้งที่ใบหน้าสวยยังแสดงความไม่แน่ใจ
“อืม แล้วนายว่าอย่างไร” ฟ่านมู่เหยียนหันไปถามเพื่อน
อย่างน้อยก็ควรให้เจ้าของได้เป็นคนตัดสินใจเองจะดีกว่า
“คงไม่มีอะไรหรอก” หวังหยูเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ
ฟ่านมู่เหยียนก็พยักหน้ารับ ทว่าใบหน้ายังไม่คลายความสงสัย
เขาส่งช่อดอกไม้คืนให้เจ้าของ
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปเคลียร์งานก่อนแล้วกัน
เจอกันที่ห้องประชุม”
หลังจากลับหลังฟ่านมู่เหยียนไปแล้ว เว่ยเจียวเซินก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ก่อนจะหันไปมองเหอผิงที่ยิ้มบาง แล้วเดินไปทำงานของตัวเองต่อ
หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ผู้กองหนุ่มที่ยังมองช่อดอกไม้ของตัวเองอยู่
“ผู้กองหวังก็ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ
อาจจะเป็นใครสักคนที่ส่งมาเป็นกำลังใจให้ก็ได้นะคะ”
“อืม”
“แต่ว่า...เรื่องความนัยของดอกไม้
ผู้กองหวังไม่อยากรู้หรือคะ”
หวังหยูเฟิงมองเว่ยเจียวเซินที่คลี่ยิ้มสวย
ถึงเขาจะชอบอ่านหนังสือและหาความรู้รอบตัวในเวลาว่าง
แต่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้เท่าไรนัก
"หมวดเว่ยรู้ความหมายของมันหรือ"
"ดิฉันคิดว่า
ผู้กองหวังหาความหมายด้วยตัวเองดีกว่าค่ะ"
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ห้องประชุมขนาดกลางเต็มไปด้วยความเงียบ
หน้าจอขนาดใหญ่ตรงหน้าห้องกำลังฉายภาพพร้อมกับเสียงบรรยายเหตุการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเพื่อสรุปผลในการทำรายงานปิดดคีต่างๆ
“ครับ นี่คือข้อมูลที่เรามีทั้งหมดในตอนนี้” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น เมื่อชายหนุ่มรายงานถึงผลการทำงานในขณะนี้ให้ผู้รับผิดชอบและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ
"คุณมีอะไรอยากเพิ่มเติมไหม ผู้กองหวัง” สารวัตรใหญ่ผู้เป็นประธานในการประชุมเอ่ยถาม
หลังจากฟังผลการรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา
“ผมคิดว่าประเด็นของการวางเพลิงครั้งนี้มาจากมือที่สาม”
“หมายความว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกงเจ๋อตวนอย่างนั้นหรือ”
“ครับ มันไม่สมเหตุสมผลที่กงเจ๋อตวนจะมาวางเพลิง
เพราะถ้าเกิดลงมือจริง ก็น่าจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เราจะต้องสงสัยอย่างแน่นอน”
หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มพยายามโยงเหตุการณ์ต่างๆ
ทว่าไม่อาจเชื่อมต่อกับกลุ่มคนปริศนาที่ฆ่าถานอี้เทาได้
“ที่จริงผมก็เห็นด้วยกับผู้กองหวังนะครับ
แต่ก็ไม่น่าจะมีใครอุกอาจหรือกล้าต่อกรกับถานอี้เทาได้ นอกจากกงเจ๋อตวน” ฟ่านมู่เหยียนย้ำเนื้อความของเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คุณได้เห็นถานอี้เทาก่อนเสียชีวิตหรือเปล่าผู้กองหวัง”
สารวัตรเอ่ยถามอีกครั้งพร้อมกับสายตาทุกคู่ในห้องประชุมที่พุ่งตรงมา
หวังหยูเฟิงสูดลมหายใจลึก
“เห็นครับ แต่ว่าผมไม่สามารถระบุคนร้ายได้
เนื่องจากเห็นใบหน้าบางส่วนและเหมือนพวกนั้นจะวางแผนมาก่อนหน้านี้”
ทุกคนส่งเสียงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ก่อนที่ผู้เป็นประธานในการประชุมจะส่งสัญญาณให้เงียบเสียงอีกครั้ง
นัยน์ตาคมที่ผ่านประสบการณ์มามากมายกวาดมองโดยรอบ
แล้วหยุดตรงนายตำรวจหนุ่มที่เห็นเหตุการณ์
“หมายความว่าคุณไม่สามารถตามหาคนร้ายได้อย่างนั้นหรือ”
“เท่าที่ผมพอจะคาดเดาได้ คนร้ายรู้จักกับถานอี้เทา
แต่ว่าอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง ทำให้ต้องจัดการถานอี้เทาแบบนั้น
พวกนั้นไม่ใช่มือปืนรับจ้าง เหมือนจะเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นตามที่ตัวเองรับรู้
“นอกจากถานอี้เทากับกงเจ๋อตวนที่เป็นผู้มีอิทธิพลมืดรายใหญ่ในเมืองนี้
ยังจะมีอีกกลุ่มหนึ่งอย่างนั้นหรือ” นายตำรวจท่านหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“อาจจะใช่แล้วก็ไม่ใช่” หวังหยูเฟิงตอบรับได้แค่นั้น
ชายหนุ่มไม่รู้แม้แต่น้อยว่า ความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่
"ถึงแม้การตายของถานอี้เทาจะยังเป็นปริศนา
แต่โดยรวมเบื้องบนก็พอใจกับการทำงานในครั้งนี้อยู่"
สารวัตรเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบมั่นคง ท่าทีสุขุมเยือกเย็น
ทำให้ทุกคนภายในห้องประชุมรับฟังอย่างยำเกรง “แต่ว่าเราก็อย่าได้วางใจ
เราต้องสืบหาให้ได้ว่า ใครที่ยิงถานอี้เทา รวมถึงการวางเพลิงในครั้งนี้ด้วย”
“ผมคิดว่า ทั้งสองคดีต้องมาจากกลุ่มเดียวกันแน่”
ฟ่านมู่เหยียนแสดงความคิดเห็น สารวัตรใหญ่ตอบรับด้วยการมองเพียงเล็กน้อย
ก่อนสายตาจะมองตรงไปยังผู้ร่วมประชุมทุกคน
“ผมก็คิดแบบนั้น
สิ่งที่เราต้องสืบต่อไปก็คือพวกมันเป็นใคร”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
แสงแดดที่แผดร้อนยามเที่ยงวันส่องประกายจ้า
เจิ้งหยุนลงมาจากรถยนต์คันหรู ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยแว่นตาสีชาเข้ากับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนที่คลุมทับเสื้อกล้ามอย่างมีสไตล์
เขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตอนนี้มีบรรดาคนรับใช้เข้ามาต้อนรับ
ก่อนจะส่งสัญญาณบอกให้อู่หนิงที่ติดตามรออยู่ข้างนอก
เจิ้งหยุนเดินผ่านห้องโถงที่ตกแต่งสไตล์ตะวันตกอย่างสวยงามไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านใน
ซึ่งมีกงเจ๋อตวนกำลังนั่งรออยู่บนชุดโซฟารับแขกหนังแท้ที่แพงระยับ
"มาเร็วดีจริง" เจ้าบ้านเอ่ยทักอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าของชายวัยห้าสิบปีเศษแต้มรอยยิ้มชัดเจน
“ผมเป็นคนตรงต่อเวลาน่ะ” เจิ้งหยุนตอบรับ
ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวโดยไม่ได้มีท่าทีเกรงใจเจ้าบ้านแม้แต่น้อย
แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถือสาหาความอะไร
“เอาของว่างหน่อยไหม”
“ขอบคุณ แต่คงต้องขอปฏิเสธ”
กงเจ๋อตวนไม่ได้ทักท้วงอะไร
เขาหันไปสนใจหญิงสาวแรกรุ่นสองคนที่อยู่ในอ้อมแขน
เจิ้งหยุนมองผู้ชายตรงหน้าอย่างเย็นชา ทว่าอีกฝ่ายกลับยกยิ้มขึ้น
แล้วซุกไซ้ลำคอขาวของสาวน้อยที่ร้องครางด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
น่าสะอิดสะเอียนเป็นบ้า!
เจิ้งหยุนบริภาษกงเจ๋อตวนอยู่ในใจ
แล้วยื่นเอกสารวางไว้บนโต๊ะรับแขกเพื่อทำธุระของตัวเองต่อ
เขาไม่อยากอยู่ที่นี่นานเกินความจำเป็น
“นี่คือเอกสารที่คุณต้องการ”
“โอ้! รบกวนคุณแย่”
กงเจ๋อตวนระบายยิ้มรับ
ก่อนจะหยิบเอกสารที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ทั้งหมดของถานอี้เทาขึ้นมาดูอย่างพอใจ
คู่แข่งแสนน่ารำคาญที่ตอนนี้สิ้นชื่อ ไม่สิ...สิ้นชีวิตไปแล้วต่างหาก ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองทุกอย่างที่หมายมาดเอาไว้
ผู้มีอิทธิพลใหญ่มองชายหนุ่มผมยาวอย่างชื่นชม
นอกจากเป้าหมายที่ตกลงกันเอาไว้จะเสร็จลุล่วงทันใจแล้ว
สิ่งที่เหนือความคาดหมายไปกว่านั้น ก็คือการที่เจิ้งหยุนจัดการถานอี้เทาจนอยู่หมัด
เดิมทีเขาก็ไม่นึกใส่ใจด้วยซ้ำ
เมื่อคนตรงหน้าเสนอจะเอาสมบัติทั้งหมดของไอ้เลวนั่นมาให้
ถึงแม้ในปัจจุบันตระกูลเจิ้งจะทำธุรกิจขาวสะอาดต่างจากสมัยก่อน
แต่ก็คงมีเขี้ยวเล็บซ่อนอยู่ นอกจากจะทำงานรอบคอบจนตำรวจตามกลิ่นไม่เจอแล้ว
ความเหี้ยมของผู้ชายคนนี้ก็ยังทำให้เขาถูกใจ
“ไม่นึกว่าคุณจะจัดการเร็วขนาดนี้”
“ผมก็ทำไปตามเรื่อง ไม่อยากให้มันค้างคา”
“ไม่ต้องถ่อมตัวหรอกคุณเจิ้ง” กงเจ๋อตวนเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้มือนวดคลึงทรวงอกเต่งตึงของหญิงสาวอย่างเพลิดเพลิน
“แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ไม่ได้ให้คุณฆ่ามันหรอกนะ”
“อันนั้นเป็นบริการเสริม” เจิ้งหยุนตอบเสียงนิ่ง
แล้วนึกสมเพชในความหื่นกามไม่เลือกเวลาของคนตรงหน้าไปด้วย
“ฮ่าๆ บริการดีแบบนี้
ผมจะได้ไปบอกต่อว่าคุณทำงานดีแค่ไหน”
“ไม่จำเป็น ผมไม่ได้ต้องการทำงานให้ใคร”
เจิ้งหยุนหรี่ตาลงเล็กน้อย
เมื่อเห็นสายตาเชื่อมหวานของหญิงสาวข้างกายของเจ้าบ้าน ชายหนุ่มไม่ได้หลบตา
ก่อนจะหันไปมองกงเจ๋อตวนที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“อะไรกัน! คุณจะบอกว่า เรื่องนี้คุณไม่ได้ทำงานให้ผมหรือ”
“คุณแค่บังเอิญตอบโจทย์ของปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับผมได้เท่านั้น”
“หมายความว่าอย่างไร”
“คุณคงไม่คิดว่า ผมจะโง่เอาเผือกร้อนมาถือไว้เองหรอกนะ”
น้ำเสียงเย่อหยิ่งอย่างถือดี เรียกนัยน์ตาเรียวให้เป็นประกาย ก่อนที่ กงเจ๋อตวนจะหัวเราะเบาๆ
“แต่คุณแน่ใจว่า ตำรวจจะไม่ตามมาถึงตัวผม?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่ว่า
คุณจะจัดการกับเผือกร้อนชิ้นนี้อย่างไร ซึ่งนั่นไม่เกี่ยวกับผม”
“ปัดภาระมาให้ผมชัดๆ”
กงเจ๋อตวนมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้าเขม็ง
แล้วยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เมื่ออีกฝ่ายยังมีสีหน้าเรียบเฉย
ก่อนที่เขาจะเรียกให้ลูกน้องหยิบเช็คเพื่อจ่ายค่าจ้างสำหรับงานครั้งนี้
“นี่คือเงินของคุณ”
เจิ้งหยุนรับเช็คแผ่นบางแต่มูลค่ามากมายกว่าที่เห็นหลายร้อยหลายพันเท่า
ก่อนจะลุกขึ้นยืน เมื่อหมดธุระที่นี่แล้ว
“จะกลับแล้วหรือ อยู่คุยด้วยกันก่อนสิ”
“ผมมีอย่างอื่นต้องทำต่อ”
“แหม...เจ้าของผับอย่างคุณคงจะยุ่งจนหัวหมุน
ทำไมไม่ลองมาร่วมงานกับผมดูล่ะ คุณเป็นคนมีฝีมือนะ ผมชอบ”
“อย่าดีกว่า
เป็นอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว ผมไม่ชอบคลุกคลีกับอะไรที่ผิดกฏหมาย”
“พูดแบบนี้ผมเสียหายนะ เอาน่า... จะไม่เก็บไปคิดหน่อยหรือ”
“ขี้เกียจคิด ขอบคุณที่ชวน”
ในขณะที่เจิ้งหยุนหันหลังเดินออกจากห้องรับแขกที่หรูหรา
เสียงหัวเราะของเจ้าบ้านก็รั้งชายหนุ่มเอาไว้
“ถ้าเปลี่ยนใจก็มาบอกผม
เรื่องเงินเราตกลงกันได้อยู่แล้ว คุณก็รู้ว่าผมเป็นพวกกล้าได้กล้าเสีย”
ชายหนุ่มแค่นเสียงในลำคอรับอย่างนึกรำคาญ
ท่าทางไม่แยแสต่อสิ่งใดที่แสดงออกมา
ทำให้คนที่หว่านล้อมยิ้มขึ้นอย่างถูกใจมากกว่าเดิม
“ใจแข็งจริง!
เอาผู้หญิงกลับไปกอดเล่นสักคนไหมล่ะคุณเจิ้ง ถือว่าเป็นของตอบแทนเล็กน้อยของผม”
เจิ้งหยุนหันหลังกลับมามอง ก่อนจะปรายตาไปทางผู้หญิงสองคนที่กำลังช้อนตามองอย่างยั่วยวน
เรือนร่างบอบบางอ้อนแอ้นสวมทับด้วยเสื่อผ้าที่หลุดรุ่ยจนแทบจะเปลือยเปล่า
หึ! ใครจะไปเอาของแบบนั้นของแกกัน…
“อ๊ะ! แต่ไม่ใช่สองคนนี้หรอกนะ เพราะผมหวง” กงเจ๋อตวนเอ่ยหยอก ซึ่งต่างจากสีหน้าของหญิงสาวทั้งสองคนที่แสดงความเสียดายอย่างชัดเจน
เจิ้งหยุนยกยิ้มที่มุมปาก
เมื่อใบหน้าของใครคนหนึ่งเข้ามาในความคิดอย่างไร้สาเหตุ
ก่อนจะปฏิเสธน้ำใจที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้อีกครั้ง
“ตอนนี้ผมไม่สนใจผู้หญิงน่ะ”
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
หลังจากการประชุมจบลง หวังหยูเฟิงก็นัดแนะกับฟ่านมู่เหยียนเพื่อมาสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง
ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล เขาก็ยังไม่ได้มาดูด้วยสายตาของตัวเอง
ได้แต่ติดตามเรื่องราวทั้งหมดผ่านรายงานที่เพื่อนสนิททำเท่านั้น
เมื่อพวกเขามาถึง
ภาพของซากตึกที่ถูกไฟไหม้ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า หวังหยูเฟิงเดินสำรวจรอบบริเวณที่ถูกจำกัดเป็นพื้นที่อันตรายอย่างระมัดระวัง นอกจากจะเป็นสถานที่เกิดคดีแล้ว โครงสร้างของตึกที่ได้รับความเสียหาย
อาจจะร่วงหล่นจนทำให้ได้รับบาดเจ็บได้
“ตรงนี้ที่เจอนายนอนสลบอยู่”
หวังหยูเฟิงมองตามปลายนิ้วที่ชี้บอกของฟ่านมู่เหยียน สัญลักษณ์ที่แต้มด้วยสเปรย์สีแดงบนพื้นซีเมนต์ฉายชัด
เขาขมวดคิ้ว แล้วมองไปทางประตูที่เป็นทางออกของบันไดหนีไฟต่อ
“มันจะไม่เกลี้ยงขนาดนี้
ถ้าคนร้ายไม่วางเพลิงกลบร่องรอยจนจะสืบจากลายนิ้วมือก็ยังยาก” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก
“ลองไปสืบทางฝั่งของกงเจ๋อตวนแล้วหรือ” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามพร้อมกับกวาดตามองโดยรอบอีกครั้งเพื่อหาร่องรอยบางอย่างที่อาจจะหลุดรอดสายตาไป
“อืม ที่จริงก็มีตำรวจอีกกลุ่มจับตามองกงเจ๋อตวนอยู่ มีรายงานมาว่า
ช่วงนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกคิ เพราะพวกมันก็คงจะระวังตัวอยู่เหมือนกัน"
หวังหยูเฟิงพยักหน้ารับคำบอกเล่าของเพื่อน
สายลมพัดผ่านจนรู้สึกถึงฝุ่นควันและเขม่าเบาบาง นัยน์ตาสีนิลทอดมองพื้นที่ตรงหน้า
ทว่าสิ่งที่ส่งตรงไปถึงสมองกลับเป็นผู้ชายนิรนามในอดีตคนนั้น
พวกมันเป็นใครกันแน่…
TBC+++++++ 04 เหตุร้ายจากความบังเอิญ
Marionetta สว้สกีปีใหม่น้อนหลังค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ ^^
ความคิดเห็น