คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 02 คนที่หมายตา
02
คนที่หมายตา
ยิ่งกว่าฝันร้าย...
หวังหยูเฟิงรู้ได้ทันทีว่า อัตราในการรอดมีน้อยหรือแทบไม่มีเลย ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจทนเห็นผู้ร้ายหนีไปต่อหน้าต่อตาได้ แน่นอนว่าผู้กองหนุ่มยอมตายเสียยังดีกว่า
การปะทะที่เกิดขึ้นไม่สามารถเรียกได้ว่าสูสี ในเมื่อฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ต้องคอยหลบกระสุนเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะมีฝีมือ แต่มันอาจใช้ไม่ได้ผลกับผู้ร้ายที่มีจำนวนมากกว่าแบบนี้
นัยน์ตาสีนิลส่องประกายหงุดหงิด เมื่อเห็นร่างของเพื่อนร่วมทีมล้มลง และไม่ทันที่เขาได้ตั้งตัว ความเย็นจากโลหะที่สัมผัสเข้ากับศีรษะก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก ก่อนจะโดนอีกฝ่ายนำตัวออกมาจากที่กำบัง
“แสบจริงนะผู้กองหวัง!”
น้ำเสียงกร้าวดุดันที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าของชื่อจ้องเขม็ง ภาพของ ถานอี้เทาในสภาพที่ผิดจากปกติไปมากโขกำลังยิ้มราวกับปิศาจ ไม่ทันที่ หวังหยูเฟิงจะได้เอ่ยคำใดโต้ตอบ กำปั้นหนักก็พุ่งเข้าโจมตีที่ใบหน้าของเขาเต็มแรง
“หึ! แกมันสมควรตาย!”
ถานอี้เทาแย้มรอยยิ้ม ก่อนจะคว้าปืนจ่อที่หน้าผากของนายตำรวจหนุ่ม เขาตั้งใจจะชำระแค้นศัตรูคืนทีละคน เริ่มจากตำรวจเฮงซวยตรงหน้า แล้วค่อยหาโอกาสไปจัดการไอ้สารเลวเจิ้งหยุนทีหลัง
“คุณถาน นายเรียกให้ไปพบ”
คำบอกกล่าวที่ดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังจะลงมือซ้ำต้องสบถอย่างขัดใจ ก่อนจะยอมเดินไปอีกทางอย่างว่าง่าย ทิ้งไว้แต่ร่างของผู้กองหนุ่มที่ทอดมองด้วยความสงสัย
ใครกันที่เรียกถานอี้เทาไป...
ถึงแม้ร่างกายจะถูกจับกุม อีกทั้งความปวดหนึบที่เล่นงานอยู่บนใบหน้าจากกำปั้นก่อนหน้านี้กำลังออกฤทธิ์ แต่สมองของผู้กองหวังกลับทำงานอย่างเต็มที่
หวังหยูเฟิงจ้องมองไปยังทิศทางของถานอี้เทา ก่อนจะขมวดคิ้ว เมื่อเห็นใครอีกคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มยืนอยู่ตรงนั้น อีกทั้งยังใส่แว่นกันแดดอำพรางใบหน้าอีก ดูเหมือนว่าชายหนุ่มที่น่าสงสัยก็มองมาทางเขาเช่นเดียวกัน
ใครกัน...
เนื่องจากระยะที่ไกลเกินจะได้ยินบทสนทนา ทำให้ผู้กองหนุ่มได้แต่มองท่าทางของคนกลุ่มนั้นและคาดเดาไปต่างๆ นานา ก่อนนัยน์ตาคู่สวยจะเบิกกว้าง เมื่อเห็นร่างของถานอี้เทาร่วงลงสู่พื้นด้วยฝีมือของใครอีกคนที่เขาไม่รู้จัก
เกิดอะไรขึ้น?!
หวังหยูเฟิงได้แต่ขบคิดอย่างเคร่งเครียด คำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ’ทำไม’ วิ่งพล่านไปทั่วสมอง ความเงียบเข้าปกคลุมโดยรอบ เพราะอีกฝ่ายใช้ปืนเก็บเสียง ทำให้เสียงของอาวุธสังหารไม่ดังอย่างที่ควรจะเป็น
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย การตายของถานอี้เทาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่มีใครมีท่าทีใส่ใจเลยสักคน
ชายหนุ่มปริศนาคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับสัญชาตญาณของนายตำรวจที่กู่ร้องถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาไม่อาจละสายตาจากทุกย่างก้าวของบุคคลตรงหน้าได้แม้แต่วินาทีเดียว
ทว่าชายหนุ่มคนดังกล่าวกลับก้าวได้เพียงครึ่งทาง กระบอกปืนที่เพิ่งพรากวิญญาณออกจากร่างของถานอี้เทาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า หวังหยูเฟิงได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น ร่างกายที่โดนตรึงไว้จากคนร้ายอีกสองคน ทำให้เขาไม่สามารถขัดขืนได้เต็มที่ แล้วไม่ทันที่ผู้กองหนุ่มจะได้คาดคิด ความเจ็บก็พุ่งเข้ามาปะทะที่หัวไหล่ซ้ายเข้าอย่างจัง พร้อมกับหลักฐานยืนยันเป็นของเหลวกลิ่นคลุ้งที่ซึมขึ้นตามเนื้อผ้า
แสงไฟยังคงสว่างไสวสร้างความสวยงามในยามค่ำคืน มีหลายคนที่กำลังหลงระเริงในเสน่ห์ของราตรี ทว่าบริเวณพื้นที่เล็กๆ ด้านหลังของตึกขนาดใหญ่โอ่อ่า กลับมีชายคนหนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตายอยู่
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ไม่เข้าใจ...
เจิ้งหยุนขมวดคิ้วมองร่างตรงหน้าอย่างสงสัย หลังจากที่ได้สัญญาต่างๆ ของถานอี้เทามา ชายหนุ่มก็เผลอหงุดหงิดจนพลั้งมือฆ่าอีกฝ่ายไปเสียได้
เอาล่ะ! ที่จริงมันก็มีความตั้งใจส่วนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ไอ้แก่นั่นก็ยังรนหาที่อีก ในเมื่อเขาก็เคยบอกไปแล้วว่า ไม่ชอบให้มายุ่มย่ามในพื้นที่ของเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต ถึงแม้จะเพิ่งได้เป็นเจ้าของเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม และที่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือการฆ่าคนต่อหน้าต่อตาเขาโดยพลการ
พวกดื้อด้าน...
ถ้าจะให้มานั่งดัดไม้แก่ก็คงจะยาก มีทางเดียวที่จะแก้สันดานของพวกนิสัยน่ารำคาญแบบนี้ได้ ก็คงต้องตายแล้วเกิดใหม่เท่านั้น เพียงเท่านี้มันก็สมเหตุสมผลพอที่จะส่งไปโลกหน้าแล้ว
เจิ้งหยุนลอบถอนหายใจ ก่อนจะมองไปยังร่างที่โดนคนของเขาจับเอาไว้อย่างพิจารณา นายตำรวจผู้โชคร้ายสภาพดูไม่จืดนัก ทว่าประกายของความเด็ดเดี่ยวกลับสะท้อนจากนัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้นอย่างชัดเจน
พวกหัวแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย...
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่ากลับเป็นความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ที่ไม่รู้ว่าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา
จะว่าอย่างไรดีล่ะ...
เขาก็แค่เฝ้ามองการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดของนายตำรวจคนนี้อย่างละสายตาไม่ได้ก็เท่านั้น ความรู้สึกประหลาดใจเกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา แต่ก็พอจะนิยามได้ว่าถูกใจกับความบ้าบิ่นที่แม้จะเหลือเพียงตัวคนเดียวก็ยังไม่ยอมหนีไปไหน และที่น่าประทับใจยิ่งกว่า คงเป็นฝีมือที่ไม่ธรรมดาจนน่าจับตามอง
ทั้งที่กำลังเฝ้ามองการทำหน้าที่ของอีกฝ่ายอย่างตั้งใจอยู่แท้ๆ แต่ไอ้แก่ถานอี้เทาก็ดันไปเอาตัวมา แล้วเขาคงจะไม่โมโหมากนัก หากคนจุ้นจ้านไม่เอาปืนจ่อหัวตำรวจคนนั้น แล้วทำท่าจะฆ่าทิ้ง โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนที่กำลังดูอยู่อย่างเขาเลยสักนิด
ใครก็ห้ามทำร้ายผู้ชายคนนี้!
เจิ้งหยุนที่เก็บก้อนอารมณ์เอาไว้เลยระบายโทสะของตัวเองออกไป ในเมื่อถานอี้เทาก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องอดทนให้เหนื่อยใจ และเมื่อความไม่สบอารมณ์สงบลง ความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นท่ามกลางความเงียบ
แล้วถ้าเขาเป็นคนฆ่าเองล่ะ?
อันที่จริงแล้วการปล่อยให้พยานรู้เห็นเหตุการณ์ฆาตกรรมของตัวเองก็นับว่าโง่เง่าเกินกว่าคนอย่างเจิ้งหยุนจะทำ อีกทั้งพยานยังเป็นตำรวจที่ดูซื่อตรงต่อหน้าที่ ไม่แน่ว่าความรู้สึกที่ไม่อยากให้ใครมาทำร้ายนายตำรวจคนนี้ อาจเป็นเพราะเขาเองนั่นแหละที่อยากจะลงมือเอง
การได้ทำลายคนที่ยื้อชีวิตอย่างจริงจังแบบนั้น จะน่าสนุกสักแค่ไหน...
เจิ้งหยุนเหยียดยิ้มกับตัวเอง สายลมยังคงพัดพากลิ่นของความตายโชยเข้ามาในจมูก ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะยกปืนเข้าหาอีกฝ่าย และเขาคงจะเหนี่ยวไกใส่จุดตายในเสี้ยววินาที หากไม่ได้สบนัยน์ตาแวววาวสีดำคู่นั้น
สายตาถือดีและไม่มีความกลัวเคลือบแฝงแม้แต่นิดเดียว
พวกไม่กลัวตาย...
เพราะความนัยที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ทำให้เจิ้งหยุนหมดอารมณ์ไปพอสมควร สายตาที่ไร้ความหวาดกลัวแบบนั้น ต่อให้จับไปทรมานก็ยังน่าเบื่อ และด้วยความผิดหวังที่มีอยู่ในใจ ทำให้ชายหนุ่มผู้ไม่เคยสนใจใครต้องหงุดหงิด
ทั้งที่อยากจะยิงทิ้งให้หมดเรื่องหมดราว ก็เกิดนึกเสียดายคนแบบนี้ขึ้นมา ห้วงความรู้สึกที่หมุนเวียนสับเปลี่ยน ทำให้เจิ้งหยุนต้องหยุดความรู้สึกของตัวเองด้วยการเปลี่ยนจากตำแหน่งตรงหัวใจไปยังหัวไหล่แทน เมื่อเห็นผลงานของตัวเอง ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปใกล้
ใบหน้าที่กำลังข่มอารมณ์และพยายามปกปิดความรู้สึกของนายตำรวจเปื้อนเหงื่อที่ซึมออกมา ท่าทางต่อต้านผ่านสายตาสีนิล ทำให้ความรู้สึกบางอย่างของเจิ้งหยุนพุ่งสูงขึ้น ความแข็งกร้าวที่สร้างขึ้นเป็นเกราะป้องกันความอ่อนแอของอีกฝ่าย ไม่ต่างจากแมวที่กำลังขู่จนตัวพอง เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงยกยิ้มขึ้น
เพียงแต่ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แมวธรรมดา แต่เป็นแมวป่าที่มีแรงดึงดูดบางอย่างจนทำให้เขาสนใจและไม่อาจถอนสายตาได้ ช่วงจังหวะของหัวใจเต้นเร็วขึ้น เมื่อได้ประสานสายตาดุดันที่อีกฝ่ายตั้งใจส่งมา
ตื่นเต้น...
ความร้อนของเลือดที่สูบฉีดไปทั่วร่างตอกย้ำความเข้าใจของเจิ้งหยุนอีกครั้ง ก่อนที่มือแข็งแกร่งจะเชยคางของเหยื่อที่ตกอยู่ในเงื้อมมือหมุนพลิกไปมาอย่างสำรวจ
ผิวขาวเกลี้ยงที่คล้ำแดดไปบ้าง คิ้วเรียวเข้มได้รูป จมูกโด่งรับกับริมฝีปากบางสีส้มอ่อน แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงหนีไม่พ้นนัยน์ตาสีดำขลับคู่นั้น
ถ้าหน้าไม่ยับแบบนี้ ก็น่ามองอยู่หรอก...
เจิ้งหยุนทอดมองใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มโดยไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ทว่าไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว นอกจากเสียงหอบหายใจและอาการฮึดฮัดไม่พอใจของคนเจ็บที่สะท้อนกับความเงียบ และก่อนที่ใครจะทันคาดคิด ใบหน้ายับเยินของผู้กองหวังก็สะบัดออก
เมื่อใบหน้าของตัวเองได้รับอิสระอีกครั้ง หวังหยูเฟิงก็ไม่รีรอที่จะต่อสู้ด้วยการก้มลงกัดมือของคนที่จับจนเต็มเขี้ยว และแทบจะเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบอัตโนมัติ คนที่จมอยู่ในห้วงความคิดก็ต่อยใบหน้าของคนทำร้ายไปเต็มแรง
เจิ้งหยุนขมวดคิ้วพลางมองใบหน้าของคนที่ดูไม่ได้อยู่แล้วอย่างนึกโมโห สายตาที่ยังส่องประกายกล้าและไม่หวาดหวั่น ทำให้ชายหนุ่มต้องถอนหายใจ ก่อนจะก้มมองมือของตัวเองที่รู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆ พร้อมกับเลือดที่ซึมออกมา
เพราะไม่ได้รับคำสั่งใดจึงไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหว ก่อนผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในที่นี้จะลงมือฟาดไปที่ท้ายทอยของคนที่ถูกจับไว้จนสิ้นสติ แล้วคนแผลงฤทธิ์ก็คงจะล้มไปกองกับพื้น หากลูกน้องของเขาไม่ได้จับเอาไว้
หึ! โดนแมวกัดจนได้...
เจิ้งหยุนมองคนที่สลบอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนจะนึกตลกตัวเองขึ้นมา ใครจะไปคาดคิดว่า คนอย่างเขาจะต้องเลือดตกยางออกเพราะโดนคนที่ตัวเองจับเอาไว้กัดมือเล่น มันน่าขบขันจนชายหนุ่มต้องหัวเราะกับตัวเองเบาๆ
บ้าบอสิ้นดี...
“นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” อู่หนิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับนึกสงสัยท่าทางของเจ้านายที่จู่ๆ ก็ดันหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น
“ฉันไม่เป็นไร”
อู่หนิงลอบถอนหายใจ ก่อนจะมองร่างของนายตำรวจหนุ่มตรงหน้า และเมื่อเห็นว่าเจ้านายยังเอาแต่ดูรอยแผลที่อยู่บนมือของตัวเอง ชายหนุ่มก็อดจะถามขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้
“แล้วไอ้ตำรวจนี่?”
“ปล่อยไว้ที่นี่นั่นแหละ”
เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้น อู่หนิงก็พยักหน้ารับ ทว่าอาการที่ผิดแปลกไปจากทุกทีของเจ้านาย ทำให้ชายหนุ่มได้แต่เก็บงำความคิดของตัวเองเอาไว้ในใจ และยิ่งได้เห็นรอยยิ้มประหลาดกับเสียงหัวเราะแผ่วของเจิ้งหยุนที่เดินออกไปก่อน เขาก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
แต่ใครจะไปคาดเดาความติดของเจิ้งหยุน เจ้านายของเขาได้
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
ภายในห้องสีขาวสะอาดของโรงพยาบาล ร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนหลับสนิท ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ทำให้อุณหภูมิโดยรอบอยู่ในสภาวะที่พอเหมาะ
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ร่างที่นอนอยู่ก็ขยับตัว เปลือกตาทั้งสองข้างพยายามทำงานเพื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง และทันทีที่การมองเห็นกลับมาใช้งานได้เต็มที่ ภาพของใครคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งมาให้
ฟ่านมู่เหยียน เพื่อนร่วมงานของเขา
“เฮ้! เป็นอย่างไรบ้าง!”
น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้น ทำให้หวังหยูเฟิงได้แต่กะพริบตา ก่อนจะรู้สึกถึงลำคอที่แห้งผากและอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ชายหนุ่มขยับตัวให้ถนัดมากขึ้น
“ขอน้ำหน่อย”
คนตรงหน้ารับคำ ก่อนจะกระวีกระวาดไปรินน้ำใส่แก้วพร้อมกับใส่หลอดเพื่อความสะดวกเสร็จสรรพ หวังหยูเฟิงวางแก้วน้ำลง หลังจากได้รับความชุ่มชื้นอีกครั้ง แล้วมองใบหน้าคมคายอย่างสงสัย
“ฉันเป็นอย่างไรบ้าง” ผู้กองหนุ่มเริ่มไต่ถามอาการของตัวเองจากเพื่อนสนิทพร้อมกับนั่งพิงหัวเตียงให้สบายขึ้น
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก มีแผลโดนกระสุนถากกับส่วนที่โดนยิงตรงหัวไหล่ แล้วก็รอยฟกช้ำนิดหน่อย” ฟ่านมู่เหยียนตอบ แล้วส่งยิ้มไปให้ “ยังหนังเหนียวเหมือนเดิม”
“แล้วเรื่องของถานอี้เทา” หวังหยูเฟิงเอ่ยถามต่อโดยไม่สนใจคำเย้า ถึงพอจะคาดเดาเรื่องราวได้บ้างแล้วก็ตาม
“ถานอี้เทาตายไปแล้ว”
หวังหยูเฟิงถอนหายใจพลางมองอีกฝ่ายที่ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์มองใบหน้าของคนป่วยอย่างคาดคั้น
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หยูเฟิง ตอนแรกฉันได้ข่าวว่า นายทำภารกิจสำเร็จไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าพอพวกฉันไปถึงที่เกิดเหตุ ตึกนั่นก็โดนไฟไหม้ โชคดีที่เจอนายนอนสลบอยู่อีกที่ แล้วก็ยังมีร่างของถานอี้เทาที่โดนยิงตายอีก”
“แล้วแบบนี้...หลักฐาน” หวังหยูเฟิงถามขึ้นอย่างร้อนใจ ชายหนุ่มรู้ดีว่าหลักฐานที่จะสามารถเอาผิดกับถานอี้เทาได้อยู่ในตึกหลังนั้น
“เก็บกู้ได้บางส่วน” ฟ่านมู่เหยียนตอบพลางถอนหายใจออกมา “ยังดีที่เรียกรถดับเพลิงได้ทัน แต่จริงๆ ส่วนที่เก็บได้ ก็แทบไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี”
“อย่างนั้นหรือ”
“ช่างเถอะ! ในเมื่อคนผิดก็ตายไปแล้ว คงไม่มีปัญญามารับโทษได้อยู่ดี ”ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อย ใส่ใจนัก ก่อนจะเริ่มสวมบทเจ้าหน้าที่ตำรวจไต่สวนเพื่อนร่วมงานของตัวเองต่อ “ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน เหมือนเรื่องมันกลับตาลปัตรไปหมด เอ่อ...แล้วจับใครได้บ้างหรือเปล่า มือวางเพลิงน่ะ”
ฟ่านมู่เหยียนส่ายหน้า แล้วลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะถ่ายทอดเรื่องราวให้เพื่อนสนิทฟังต่อ
“ฉันกำลังตามหาอยู่นั่นแหละ ยังดีไฟนั่นไม่ได้ลามไปยังบริเวณอื่น ที่สำคัญเรื่องนี้กำลังเป็นข่าวดังเลย”
“อืม” หวังหยูเฟิงรับคำ แล้วมองไปยังหน้าต่างที่มีผ้าม่านประดับไว้อย่างครุ่นคิด
“แล้วนายมีอะไรจะบอกบ้างไหมล่ะ บอกตามตรงตอนนี้ฉันยังเริ่มต้นตามเรื่องไม่ถูกเลยเนี่ย” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยถามต่ออย่างหนักใจ
"ไม่มี”
หวังหยูเฟิงไม่เข้าใจว่า ทำไมถึงบอกเพื่อนร่วมงานไปแบบนั้น ทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ถานอี้เทาหนีออกมาได้ รวมถึงการตายของบุคคลดังกล่าว แต่ทว่าเขาเองก็ไม่ต่างจากเพื่อนสนิทนัก เพราะตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อมูลอะไรเลยเช่นเดียวกัน นอกจากบุคลิกและรูปร่าง ไม่ว่าจะหน้าตาหรือน้ำเสียง อีกฝ่ายก็ปกปิดเอาไว้เสียหมด
“ถึงจะไม่เรียกว่าสำเร็จอย่างผุดผ่อง แต่ถือว่าทำลายบ่อนการพนันแหล่งใหญ่ได้ ถานอี้เทาก็ได้รับสิ่งที่ควรได้รับแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงโทษก็ตามที”
หวังหยูเฟิงไม่ตอบคำ ใบหน้าที่ปรากฏรอยช้ำมองหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีอ่อนประดับอยู่อีกครั้ง ภาพท้องฟ้าใสฉายผ่านบานกระจกเข้ามาในสายตา
“แล้วไม่ไปทำงานหรือ” ผู้กองหวังถามเปลี่ยนเรื่อง เขาคงต้องใช้เวลาอีกสักพักในการเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อน
“ฉันลามาทำธุระ” ฟ่านมู่เหยียนตอบพลางระบายยิ้มออกมา
“ธุระ?” หวังหยูเฟิงทวนคำอย่างสงสัย ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น เมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเพื่อนสนิท
“แหม...ก็นายอย่างไรล่ะที่เป็นธุระของฉันน่ะ” ชายหนุ่มอารมณ์ดีตอบ แล้วยกยิ้มที่มุมปาก “ฉันก็ต้องมาดูว่า เพื่อนยังสุขสบายดี ยังไม่ล้มหายตายจากไปไหน”
“ฉันยังสบายดี” หวังหยูเฟิงบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เขาอมยิ้มมองสีหน้าทะเล้นของเพื่อน
“ขอบใจที่บอก ตอนนี้ฉันก็เห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่า นายยังหายใจได้อยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องกลับก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยรับพร้อมกับลุกขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ให้ตายเถอะ! ขนาดตายไปแล้ว ยังมาสร้างปัญหาไว้ให้อีก ถานอี้เทา...ช่างสมกับเป็นผู้ร้ายเสียจริง”
“ขอโทษด้วยแล้วกัน”
“ช่วยไม่ได้ ก็นายดันมาเดี้ยงแบบนี้ ก็คงต้องเป็นฉันที่โดนสารวัตรโขกสับอยู่คนเดียว นี่ก็ขอลาได้แค่ตอนเช้านะเนี่ย” ชายหนุ่มบอกพลางมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “อืม... ตอนนี้ก็เข้างานสายไปอีกสองชั่วโมง แต่ก็ช่างมันเถอะ”
“เดี๋ยวมู่เหยียน!” หวังหยูเฟิงเอ่ยรั้งคนที่กำลังจะเปิดประตูเอาไว้ ก่อนจะสบมองใบหน้าคมคายของเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างตรงไปตรงมา
“มีอะไร ถ้ารู้อะไรก็รีบบอกมา เดี๋ยวฉันต้องมานั่งปั้นเรื่องที่เข้างานสายอีก แถมยังไม่มีข้อมูลที่จะรายงานส่งเลยด้วย”
หวังหยูเฟิงมองใบหน้าเคร่งเครียดของฟ่านมู่เหยียน ซึ่งเขามองออกได้ในทันทีว่า อีกฝ่ายแค่แสร้งทำ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา
“เรื่องรายงานปิดคดีของถานอี้เทา ฉันจะทำเอง”
“แหม...เล่นพูดออกมาแบบนี้ คิดว่าฉันจะปฏิเสธว่า ไม่ต้องทำใช่ไหม” ฟ่านมู่เหยียนเอ่ยขึ้น ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ดีเลย! ตอนนี้งานของฉันก็สุมหัวจนไม่มีเวลาไปทำอะไรแล้ว เชิญนายรีบหาย แล้วรีบกลับไปทำงานของตัวเองด่วน”
หวังหยูเฟิงยิ้มขำกับท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้งว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเพิ่มงานให้ตัวเองเด็ดขาด แต่ชายหนุ่มรู้ดี เมื่อเขาหายป่วยและกลับไปทำงานได้ตามปกติอีกครั้ง งานทุกอย่างในส่วนที่ตัวเองควรทำจะเสร็จเรียบร้อย
“ขอบใจที่ไม่แย่งงานของฉันไปทำ” หวังหยูเฟิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชันแกมหยอกเย้า
“ไม่เป็นไร นั่นเป็นสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้ว” ฟ่านมู่เหยียนตอบรับ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้น “สรุปไม่มีอะไรจะบอกฉันใช่ไหม”
“อืม...อย่าทำงานจนลืมกินข้าวล่ะ”
คนฟังได้แต่หัวเราะรับ ก่อนจะเดินออกจากห้อง หวังหยูเฟิงมองบานประตูที่ปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่มีอยู่ก่อนหน้านี้จางหายไป
▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣-▣
เสียงเพลงสากลที่มีจังหวะเร้าใจดังก้อง ชายหนุ่มหญิงสาวต่างเคลื่อนไหวไปตามทำนองเพลงที่สนุกสนาน แสงไฟสลัวที่ส่องอยู่ทั่วบริเวณ ทำให้ยากที่จะคาดเดาว่าใครเป็นใคร
ในห้องทำงานที่อยู่บนชั้นห้าของผับชื่อดังอย่างกาเบรียล เจิ้งหยุนกำลังนั่งดื่มวิสกี้พลางไล่มองตัวเลขในบัญชีรายรับและรายจ่ายของเดือนนี้อย่างใช้สมาธิ
อันที่จริงแล้วผับแห่งนี้เพิ่งเปิดได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น แต่ด้วยการบริการอย่างมีระดับ รวมไปถึงความปลอดภัยที่ลูกค้าได้รับ ทำให้สถานบันเทิงน้องใหม่โด่งดังในหมู่นักท่องราตรี ถึงแม้เจิ้งหยุนที่เป็นเจ้าของจะดูแข็งกระด้างและไม่สนใจไยดีต่อสิ่งใด แต่ผับกาเบรียลก็เปิดบริการอย่างถูกต้องตามกฏหมาย
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะ ก่อนที่อู่หนิงจะเดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มงานที่นำไปวางไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มมองเจ้านายที่กำลังนั่งทำงานของตัวเองอย่างไม่สนใจใคร
“นายครับ นี่คือประวัติของตำรวจคนนั้น” อู่หนิงเอ่ยขึ้น ก่อนจะส่งแฟ้มอีกฉบับไปให้เจิ้งหยุนที่เงยหน้าขึ้นมามอง นัยน์ตาคมพราวเสน่ห์วาวขึ้นอย่างชอบใจ
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้นอนพักอยู่ที่โรงพยาบาล จะกลับไปทำงานต่ออาทิตย์หน้าครับ”
“อืม...ออกไปได้แล้ว” เจ้าของห้องเอ่ยขึ้น อู่หนิงเดินออกจากห้องไปอย่างนอบน้อม
เมื่อเหลือเพียงตัวเองตามลำพัง เจิ้งหยุนก็เปิดอ่านแฟ้มที่บรรจุข้อมูลที่เขาต้องการไว้ครบถ้วน ก่อนจะมองรูปถ่ายใบหน้าตรงของเจ้าของแฟ้มประวัตินี้อย่างตั้งใจ
หวังหยูเฟิง
เด็กที่โตจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ก่อนจะสอบเข้าที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ และเข้าบรรจุจนเลื่อนขั้น ตอนนี้อายุสามสิบเอ็ดปี ชอบเล่นกีฬาและถนัดการยิงปืน สถานะโสด
เจิ้งหยุนจุดยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะกลับไปมองรูปถ่ายในเครื่องแบบเต็มยศของหวังหยูเฟิงราวกับถูกมนต์สะกด ความรู้สึกบางอย่างได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
ตั้งแต่วันที่ได้เจอกันจนถึงตอนนี้ เจิ้งหยุนก็ไม่อาจลบภาพของนายตำรวจจอมถือดีราวกับแมวป่าคนนั้นไปได้ เขาไม่เคยครุ่นคิดถึงใครแบบนี้มาก่อน
เจิ้งหยุนวางแฟ้มที่อ่านจนจำข้อมูลได้ขึ้นใจลง แล้วเอนตัวกับพนักพิงนุ่มอย่างเกียจคร้าน ดวงไฟสีนวลส่องให้ห้องทำงานที่เงียบเหงาดูอบอุ่นขึ้นราวกับถูกโอบล้อมด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็น ชายหนุ่มวาดยิ้มบางพลางยกมือที่มีรอยแผลของตัวเองขึ้นล้อกับแสงไฟบนเพดาน
มือสีขาวปรากฏรอยช้ำจาง เพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควร ชายหนุ่มอมยิ้มขึ้น ยามนึกถึงเจ้าของที่ฝากรอยแผลนี้เอาไว้
ฟันคมดีจริงๆ...คุณตำรวจ
นัยน์ตาสีดำสนิททอแววอ่อนโยนลง เมื่อนึกถึงใบหน้าจริงจังดวงนั้น ชายหนุ่มไม่เคยนึกเลยด้วยซ้ำว่า จะมีวันที่คนอย่างเขาจะลุ่มหลงใครสักคนอย่างง่ายดายแบบนี้
ซ้ำร้ายคนที่เขาหมายตากลับไม่ใช่หญิงสาวสวยงามหยดย้อยหรือนางฟ้าบนดินที่ไหน แต่เป็นนายตำรวจหนุ่มหน้าตาธรรมดาและมีท่าทางจริงจังในชีวิต ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็ไม่เห็นความสวยงามแม้แต่น้อย ทว่าเสน่ห์ของผู้ชายคนนั้นกลับแสดงออกมาอย่างชัดเจน
เจิ้งหยุนยังจำสายตาดุดันที่ตรึงความรู้สึกของเขาได้ติดตา มันทั้งร้อนแรงและสั่นคลอนความรู้สึกจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
อยากได้...
นี่คงเป็นความรู้สึกเดียวที่เขากลั่นออกมาเป็นคำพูดได้ และแน่นอนว่าไม่มีอะไรที่เจิ้งหยุนอยากได้ แล้วจะไม่ได้
แล้วจะเป็นอะไรไหม... ถ้าจะถือว่ารอยแผลนี้เป็นสิ่งของแทนใจที่อีกฝ่ายฝากไว้ให้
ชายหนุ่มลดมือของตัวเองลงพลางมองรอยแผลที่อยู่บนมือราวกับของรักของหวง ก่อนริมฝีปากบางสีอ่อนจะแนบลงบนรอยแผลนั้นแผ่วเบา
TBC++++++++ 03 เงาที่มองไม่เห็น
Marionetta ก็ยังมาเรื่อยๆ ค่ะ ความจิตของอิเจิ้งก็กำลังตามมาเรื่อยๆ เหมือนกัน อิอิ
ความคิดเห็น