สิ่งล้ำลึกที่ซอ่นอยู่ใน Narnia - สิ่งล้ำลึกที่ซอ่นอยู่ใน Narnia นิยาย สิ่งล้ำลึกที่ซอ่นอยู่ใน Narnia : Dek-D.com - Writer

    สิ่งล้ำลึกที่ซอ่นอยู่ใน Narnia

    เรื่องของ นาร์เนียบนศาสนศาสตร์

    ผู้เข้าชมรวม

    4,435

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    12

    ผู้เข้าชมรวม


    4.43K

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    7
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  3 พ.ย. 49 / 00:08 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ขอเตือนก่อนว่าใครยังไม่ได้ดูแล้วเกิดคิดจะไปดูให้คิดดูก่อนอ่านเพราะบทความนี้เล่าเรื่องให้ฟังตั้งกะต้นจนจบ

    เรื่องนี้เขียนโดยคนวิเคราะห์ที่เป็นชาวคริสต์ เราเห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาลงให้อ่านทั่วๆกัน

    edited update
    : removed dead link
    : added original link
    3 Nov 06
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ภาพยนต์เรื่องนี้ ดัดแปลงมาจาก The Lion, the Witch and the Wardrobe เป็นตอนที่ 2 ใน 7 ตอน ของนิยายคลาสสิกชุด The Chronicles of Narnia ของ C.S. Lewis หรือ Clive Staples Lewis (1898-1963)

      นิยายคลาสสิกชุดนี้ ทำยอดขายได้กว่า 85,000,000 เล่มใน 29 ภาษา ทำให้เป็นหนังสือชุดที่ได้รับความนิยมสูงสุด เป็นรองเพียง Harry Potter ของ เจ.เค. โรว์ลิง เท่านั้น

      ---ขอเตือนก่อนว่าใครยังไม่ได้ดูแล้วเกิดคิดจะไปดูให้คิดดูก่อนอ่านเพราะบทความนี้เล่าเรื่องให้ฟังตั้งกะต้นจนจบก็ว่าได้ แต่ถ้าใครคิดว่าจะอ่านเพื่อไปดูหนังเรื่องนี้ในอีกมุมหนึ่ง ซึ่งผู้แต่งได้แฝงสารอะไรเอาไว้ก็อ่านได้---

      ก่อนอื่นเลย เรามาทำความรู้จักกับผู้แต่งเรื่องนี้ซักนิดนึง

      C.S. Lewis นักเขียนชาวอังกฤษ เกิดปี1898 ซึ่งเขาได้อยู่ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่2ด้วย นอกจากนี้ เขายังเป็นนักเขียนหนังสือเกี่ยวกับศาสนามากมายหลายเล่ม โดยตัวเขาเองเมื่อวัยรุ่น ประกาศตนเป็น"อเทวนิยม"(ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า) แต่แล้วเมื่ออายุ33ได้กลับมานับถือคริสตศาสนา นิกายแองกลีกัน แต่เขามีแนวคิดเปิดกว้างกับนิกายอื่นๆ โดยเฉพาะนิกายโรมันคาทอลิค ที่เขามีความเชื่อในหลายๆเรื่องเช่นเรื่องไฟชำระ เขาได้เขียนหนังสือ Christian Reunion ที่วิพากวิจารณ์หลักในคริสตศาสนาทั้งที่เหมือนและแตกต่างในนิกายต่างๆ

      ดังนั้น หากคุณเซริ์ชหาชื่อเขา คุณจะพบชื่อเขาอยู่ในเวบหนังสือคริสตศาสนามากมาย ซึ่งมันก็ไม่น่าแปลกอะไร หากแต่ว่าแม้แต่เรื่องนาร์เนีย โดยเฉพาะภาคที่นำมาสร้างเป็นหนังนี้ ก็มีขายหรือมีปรากฏอยู่ตามเวบคริสตศาสนาด้วย

      เพราะที่จริง อัสลาน มีตัวตนจริงในโลกของเรา เขาได้มาในโลกเราแล้วจริงๆ เพียงแต่ใช้ชื่ออื่น

      โลกอันมืดมนและหนาวเหน็บ

      โลกนาร์เนียถูกสาปโดย แม่มดขาว ดูชื่อว่า อะไรขาวๆน่าจะเป็นคนดี แถมหน้าตาก็สวยงาม แต่ทว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช้ตัวตัดสิน เพราะนิสัยที่อยากจะเป็นใหญ่ ทั้งที่ไม่มีใครเชิญ เราเรียกว่า"กบฏ" และนิสัยที่ล่อหลอกคนด้วยอาหารแบบนี้ ลูอิส ได้ต้นแบบมาจากใครคนหนึ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างดี นั่นคือ "ลูชิเฟอร์" ทูตสวรรค์งดงามที่ชื่อแปลว่า"แสงสว่าง" หากแต่พฤติกรรมนั้นคือการอยากเป็นใหญ่และกบฏต่อพระเจ้า และนิสัยคือชอบล่อหลอกผู้อื่น ด้วยของที่ดูเย้ายวนชั่วครู่

      เราจะเห็นว่าในหนัง เรียกพวกเด็กๆว่า ลูกชายของอาดัม และลูกสาวของอีฟ แน่นอนทีเดียวว่า ยายแม่มดขาวที่จ้องทำลายลูกหลานอาดัม ด้วยการล่อลวงโดยเฉพาะการใช้อาหารล่อ คือภาพของซาตานที่ปลอมมาเป็นงูในคริสตศาสนาที่ได้ล่อลวงบรรพบุรุษของเขาคือ อาดัมและอีฟด้วยผลไม้ในสวนเอเดนนั่นเอง

      ผู้เขียนจงใจใช้สิ่งเดียวกันในการล่อ คือใช้อาหาร เพื่อสร้างภาพเดียวกัน อาหารเป็นเพียงสัญลักษณ์ แทนสิ่งเย้ายวนทางโลกที่มนุษย์พร้อมจะกระโจนเข้าหาและทรยศต่อความดีงามทั้งปวง ทั้งต่อเพื่อนมนุษย์และพระเจ้า ซาตานเองล่อลวงเย้ายวนมนุษย์ให้สิ่งต่างๆที่มนุษย์ต้องการจนดูราวกับเป็นความสุขทั้งๆที่จริงมันเกลียดชังมนุษย์

      การที่นางและลูกหลานของอาดัมและอีฟต้องเป็นศัตรูกันก็ตามที่ในไบเบิ้ลได้เขียนไว้เมื่อซาตานได้ล่อลวงอีฟให้ทรยศพระเจ้าด้วยอาหาร ซึ่งเหมือนกับคำทำนายในนาร์เนียเช่นกันว่าผู้ที่จะมาปราบแม่มดขาวคือลูกหลานของอาดัมและอีฟ

      ปฐมกาล3-15
      เราจะให้เจ้า(ซาตาน)กับสตรีเป็นศัตรูกัน
      ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย
      พงศ์พันธุ์ของสตรีจะทำให้หัวของเจ้าแหลก
      และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ

      และนางทำสิ่งเดียวกับที่ซาตานทำคือนำความหนาวเย็นไร้ชีวิต และความมืดมิดที่ดูขาวสวยงามมาสู่โลกทั้งหมด

      หมาป่าตอแหล
      ในหนังเราจะเห็นว่าสมุนของแม่มดขาวคือหมาป่า ซึ่งเป็นหมาป่าที่พูดมากจริงๆ และไม่ได้พูดธรรมดา มันพูดโกหก ขนาดเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นตอนหิมะละลาย ยังโกหกเด็กๆว่าแม่มดขาวเพียงแต่จะขอให้กลับไปเท่านั้น ทั้งที่จริงจะฆ่า หรือพูดจาให้เสียกำลังใจ อันจะเห็นว่าความร้ายของมันไม่ได้อยู่ที่การกัด แต่อยู่ที่การโกหกซะมากกว่า

      ในคริสตศาสนาหมาป่าคือสัญลักษณ์ของสมุนซาตานที่ทำลายความเชื่อที่ถูกต้องและเป็นจอมหลอกลวง

      มธ 7:15
      จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย

      ยน 10:11
      เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน ลูกจ้าง ที่ไม่ใช่ผู้เลี้ยงแกะ และไม่เป็นเจ้าของแกะ เมื่อเห็นสุนัขป่าเข้ามา ก็ละทิ้งบรรดาแกะและหนีไป สุนัขป่าแย่งชิงแกะ และฝูงแกะก็กระจัดกระจายไป

      กจ 20:28
      ท่านทั้งหลายจงดูแลตนเองและฝูงแกะที่พระจิตเจ้าทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้ดูแล เพื่อเลี้ยงดูพระศาสนจักรของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงได้มาด้วยพระโลหิตของพระบุตร ข้าพเจ้ารู้ว่า เมื่อข้าพเจ้าจากไปแล้ว สุนัขป่าดุร้ายจะเข้ามาในกลุ่มของท่านและจะทำร้ายฝูงแกะ แม้ในกลุ่มของท่านก็จะมีบางคนลุกขึ้นกล่าวบิดเบือนความจริงเพื่อโน้มน้าวบรรดาศิษย์ให้ติดตามตน เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังไว้เถิด

      อัสลาน-สิงโตที่เป็นกษัตริย์แห่งกษัตริย์

      อัสลานในเรื่องนั้นไม่ใช่สิงโตธรรมดา เพราะมีทั้งพลังอำนาจพิเศษ แถมปรากฎตัวขึ้นมา แบบว่าอยู่ๆก็มา

      เยเรมีย์ 25-38
      พระองค์ทรงออกจากที่ซุ่มของพระองค์อย่างสิงห์หนุ่ม
      เพราะว่า แผ่นดินของเขาทั้งหลายเป็นที่ร้างเปล่า

      เพราะแท้จริงแล้ว อัสลานของลูอิส คือภาพสะท้อนของ พระเยซูคริสต์ ผู้มีอีกพระฉายาหนึ่งว่า สิงห์แห่งยูดาห์

      วิวรณ์5-5 ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า
      “อย่าร้องไห้เลย ดูเถิด สิงโตจากตระกูลยูดาห์ หน่อเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์ดาวิดทรงได้รับชัยชนะแล้ว”

      พระเยซูเจ้ามีเชื้อสายกษัตริย์ดาวิด มาจากตระกูลยูดาห์ ซึ่งในทางคริสตศาสนา คำว่า สิงห์แห่งยูดาห์ ก็จะหมายถึงพระเยซูเจ้าโดยทันที ลูอิสจงใจให้อัสลานเป็นสิงโต แถมเป็นสิงโตที่รักเด็ก

      มีทั้งความน่าเกรงขามที่แม้แต่แม่มดขาวเองยังกลัว และมีทั้งความอบอุ่นอ่อนโยนที่เด็กๆเข้าหาได้อย่างสนิทใจ เหมือนพระเยซูเจ้าที่ในชีวิตพระองค์มีเด็กๆรายล้อมเสมอ แต่ทว่าซาตานกลับกลัวพระองค์จนหัวหด

      และเพื่อจะลบล้าง ความผิด ที่ได้มีการจารึกกฎไว้นมนานแล้ว(จำได้ไม๊ว่ามีประโยคหนึ่งที่อัสลานพูดเป็นนัยว่าเมื่อตอนตั้งกฎนี้เขาก็อยู่ที่นั่นด้วยแสดงว่าอัสลานอยู่มานานมาก นานตั้งแต่แรกเริ่ม และอยู่ร่วมกับผู้สร้างกฎทั้งมวล) กฏคือ ผู้ที่ทรยศหันไปเชื่อนางแม่มดขาว ต้องตาย และต้องให้เลือดคนนั้นเป็นของแม่มดขาว แปลง่ายๆคือคนที่ทิ้งพระเจ้าหันไปเชื่อซาตาน ต้องตายและตกนรกไปอยู่กับซาตาน เอ็ดมันด์ น้องคนที่3ที่แท้จริงจะต้องตกเป็นของแม่มดขาว เพราะเขาเชื่อนาง และทรยศทุกคน แต่อัสลานกลับขอตายเพื่อแลกชีวิตเขา และภาพการตายของอัสลาน ที่สละชีวิตของตนเพื่อไถ่บาปคนอื่นนั้น คือภาพที่ชัดเจนของพระเยซูเจ้าเอง

      ยน 15:13
      ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่
      กว่าการสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย
      ท่านทั้งหลายเป็นมิตรสหายของเรา

      1คร 15:22
      มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น

      การสารภาพบาป
      หลังจากเอ็ดมันด์หลงผิดไป เขาได้เข้ามาสารภาพผิดต่ออัสลาน และอัสลานได้สั่งสอนเขา และขอให้พี่น้องของเขายกโทษแก่เขาด้วย

      คส 3:13
      จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน หากมีเรื่องผิดใจกันก็จงยกโทษกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยความผิดของท่านอย่างไร
      ท่านก็จงให้อภัยแก่เขาอย่างนั้นเถิด

      ฉากนี้ดูเหมือนภาพของการสารภาพบาปในคริสตศาสนาอย่างมาก

      การตายและกลับคืนชีพของอัสลาน

      ภาพการเดินขึ้นบันไดไปตายของอัสลานนั้น แทบจะเป็นภาพเดียวกันในสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้รับ พระองค์ไม่ได้โดนบังคับ แต่พระองค์เต็มใจรับทรมานและสละชีวิตนั้น

      ยน 10:17
      พระบิดาทรงรักเรา
      เพราะเราสละชีวิตของเรา
      เพื่อจะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก
      ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้
      แต่เราเองสมัครใจสละชีวิตนั้น
      เรามีอำนาจที่จะสละชีวิตของเรา
      และมีอำนาจที่จะเอาชีวิตนั้นคืนมาอีก
      นี่คือพระบัญชาที่เราได้รับจากพระบิดาของเรา

      เมื่อพระเยซูยอมรับความตาย ทรงถูกสบประมาทถูกเยาะเย้ย อัสลานถูกตบตี ถูกทึ้งขน ทำให้อับอาย ถูกมัด และตัวอัสลานเองก็หวาดกลัวและทรมาณกับการโดนทารุณกรรมและความตายนี้

      และคำหนึ่งที่แม่มดขาวตะโกนออกมาต่อประชาชนของนางก่อนจะฆ่าอัสลานนั้นคือคำว่า
      จงดู! ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่!

      ซึ่งเป็นคำเดียวกันกับที่ปิลาตตะโกนบอกประชาชนเมื่อจะประหารพระเยซูว่า
      จงดู! ชายผู้นี้

      เมื่ออัสลานตายสิ่งที่น่าสังเกตุอย่างมากคือลูอิสจงใจให้ "ผู้หญิง2คน" มาเป็นพยานในการกลับคืนชีพของอัสลาน และภาพการกลับคืนชีพของอัสลาน ที่อยุ่ๆแผ่นดินไหว แท่นบูชายัญหัก ศพหายไป แต่ปรากฎตัวใหม่ในเวลาเช้าตรู่ แต่สตรีทั้งสองกลับไม่เห็นศพ แต่เห็นเมื่อกลับคืนชีพแล้วอย่างรุ่งโรจน์ ลองอ่านเทียบกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบทนี้ดู

      มธ 28:1
      หลังจากวันสับบาโตเช้าตรู่ของวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกผู้หนึ่งไปดูพระคูหา บัดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงจากสวรรค์เข้าไปกลิ้งหินออกและนั่งบนหินนั้น ใบหน้าของทูตสวรรค์แจ่มจ้าเหมือนสายฟ้า อาภรณ์ขาวราวหิมะ ทหารยามตกใจกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นหน้าซีดเหมือนคนตาย ทูตสวรรค์กล่าวแก่สตรีทั้งสองคนว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำลังมองหาพระเยซู ผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ เพราะทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วตามที่ตรัสไว้ มาซิ มาดูที่ที่เขาวางพระองค์ไว้ แล้วจงรีบไปบอกบรรดาศิษย์ว่า ‘พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว พระองค์เสด็จล่วงหน้าท่านไปในแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น’ นี่คือข่าวดีที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่าน” สตรีทั้งสองคนมีทั้งความกลัวและความยินดีอย่างยิ่ง รีบออกจากพระคูหาวิ่งไปแจ้งข่าวแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพบสตรีทั้งสองคน ตรัสว่า “จงยินดีเถิด” ทั้งสองคนจึงเข้าไปใกล้ กอดพระบาทนมัสการพระองค์

      นอกจากนี้อัสลานยังมีคำพูดทิ้งท้ายที่ว่า แม่มดขาวไม่เข้าใจความหมายแท้จริงของการเสียสละของอาถรรพ์ล้ำลึก จึงคิดว่าการฆ่าอัสลานหมายถึงนางชนะ ซึ่งก็ตรงกับพระคัมภีร์อีกครั้ง

      1คร 2:7แต่เรากล่าวถึงพระปรีชาญาณ ของพระเจ้า เป็น ธรรมล้ำลึกอันซ่อนเร้นซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดล่วงหน้าไว้ก่อนปฐมกาลสำหรับสิริรุ่งโรจน์ของเรา ไม่มีผู้ปกครองโลกนี้ผู้ใดล่วงรู้พระปรีชาญาณนี้ เพราะถ้าเขารู้ เขาคงไม่ตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์

      อัสลานสร้างโลก
      ในภาคกำเนิด คือ 'The Magician's Nephew' (1955) ได้มีการบรรยายฉากที่อัสลานสร้างนาร์เนียขึ้นด้วยการร้องเพลง

      ซึ่งในความเชื่อคริสตศาสนา เพราะเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือพระบุตร เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาเมื่อทรงสร้างโลกด้วย

      ฮบ 1:1ในอดีต พระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของเราโดยทางประกาศกหลายวาระและหลายวิธี
      ครั้นสมัยนี้เป็นวาระสุดท้าย พระองค์ตรัสกับเราโดยทางพระบุตร พระเจ้าทรงสถาปนาพระบุตรให้เป็นทายาทครอบครองทุกสิ่ง พระองค์ทรงสร้างจักรวาลเดชะพระบุตรนี้ พระบุตรทรงเป็นรังสีแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ทรงเป็นภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์ขององค์พระเจ้า พระบุตรทรงผดุงจักรวาลไว้ด้วยพระวาจาทรงฤทธิ์ บัดนี้ พระบุตรทรงลบล้างมลทินแห่งบาปเสร็จสิ้นแล้ว จึงเสด็จขึ้นสวรรค์ประทับ ณ เบื้องขวาแห่งพระมหิทธานุภาพ

      ลมหายใจที่ให้ชีวิต
      เรายังมีฉากที่เหลือเชื่อ ที่อัสลานสามารถคืนชีวิตให้กับผู้ที่ถูกสาปเป็นหินโดยลมหายใจของเขา

      ปฐมกาล2:7 พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต

      วว 11:7 เมื่อเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาล จะสู้รบกับพยานนี้ จะมีชัยชนะและฆ่าพยาน ศพของพยานจะอยู่ที่ลานของนครใหญ่ซึ่งเรียกเป็นสัญลักษณ์ว่าโสดมและอียิปต์ ณ ที่นั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาถูกตรึงกางเขน ประชาชนหลายประเทศ หลายเผ่า หลายภาษา หลายชาติจะมองดูศพของพยานอยู่สามวันครึ่ง และไม่ยอมให้นำศพไปฝังไว้ในคูหา
      ผู้อาศัยบนแผ่นดินจะยินดีที่เขาตาย จะฉลองและแลกเปลี่ยนของขวัญกัน เพราะประกาศกทั้งสองคนนี้ทรมานบรรดาผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินด้วย” สามวันครึ่งหลังจากนั้น พระเจ้าจะทรงเป่าลมปราณแห่งชีวิตเข้าไปในพยานทั้งสองคนเขาจะลุกขึ้นยืน ทุกคนที่แลเห็นจะหวาดกลัวอย่างมาก

      จะเห็นว่าการคืนชีวิต ด้วยการเป่าลม ให้กับคนที่ตายไปแล้ว หรือก้อนหินก้อนดินเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำได้ และการที่พระเยซูเจ้าตายและกลับคืนชีพโดยไม่ลืมที่จะคืนชีวิตหรือกลับไปช่วยผู้ที่พลาดแพ้แก่ซาตาน (แพ้แก่แม่มดขาว) ก่อนหน้าที่พระเยซู(อัสลาน)จะมานั้นก็ทรงไม่ลืมที่จะทำด้วย กล่าวคือเมื่ออัสลานคืนชีพเป็นคนแรกก็สามารถทำให้คนอื่นคืนชีพได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นหิน(ตาย)ก่อนหรือหลังการตายและการคืนชีพของอัสลานก็ตาม

      1คร 15:20 ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด
      การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น
      แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา แล้วจะถึงวาระสุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงทำลายการปกครอง อำนาจและอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะต้องทรงครองราชย์จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้งมวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์
      ศัตรูสุดท้ายที่จะถูกทำลายคือความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิ่งให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ และในความเชื่อที่ว่าหลังจากพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ พระเยซูเจ้าได้เสด็จไปช่วยวิญญาณที่ถูกจองจำอยู่ในแดนผู้ตาย ตั้งแต่สมัยโนอาห์คือก่อนสมัยพระองค์จะเสด็จมาบังเกิดในโลกหลายพันปี

      1ปต 3:18-22 การเสด็จสู่แดนผู้ตายและการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า
      พระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียวเพราะบาป พระองค์ผู้ทรงชอบธรรมสิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรม พระองค์จะทรงนำเราไปเฝ้าพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารในสภาพมนุษย์ แต่พระจิตเจ้าประทานชีวิตให้พระองค์อีก พระจิตเจ้ายังทรงนำพระองค์ไปประกาศความรอดพ้นแก่จิตที่ถูกจองจำ ในกาลก่อน จิตเหล่านี้ไม่ยอมเชื่อฟังเมื่อพระเจ้าทรงอดทนรอคอย ขณะที่โนอาห์กำลังต่อเรือ ซึ่งช่วยชีวิตคนจำนวนน้อย นั่นคือเพียงแปดชีวิตให้รอดพ้นจากน้ำวินาศ น้ำนั้นเป็นรูปแบบของศีลล้างบาปที่ช่วยท่านให้รอดพ้นในเวลานี้ มิใช่เป็นการชำระล้างมลทินทางร่างกาย แต่เป็นการวอนขอต่อพระเจ้าด้วยมโนธรรมบริสุทธิ์เดชะการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้เสด็จสู่สวรรค์และประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าโดยมีทูตสวรรค์ทั้งศักดิเทพและอิทธิเทพทั้งหลายอยู่ใต้พระอำนาจของพระองค์

      การครองราชของผู้อยู่ฝ่ายอัสลาน

      วว 5:9 เพราะพระองค์ทรงถูกประหาร ทรงหลั่งพระโลหิตไถ่กู้มนุษย์สำหรับพระเจ้า จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกประเทศ ทุกชาติ ทรงทำให้เขาเหล่านั้นเป็นสมณราชตระกูลสำหรับพระเจ้าของเรา เขาจะครองราชย์เหนือแผ่นดิน

      ในหนังลูกหลานอาดัมที่เลือกฝ่ายอัสลานแทนแม่มดขาวได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์พร้อมอัสลาน

      วว 20:4 ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายหลัง และบรรดาผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นได้รับอำนาจที่จะพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นวิญญาณของผู้ที่ถูกตัดศีรษะเพราะคำพยานถึงพระเยซูเจ้าและเพราะพระวาจาของพระเจ้า ข้าพเจ้ายังเห็นผู้ที่ไม่ได้กราบนมัสการสัตว์ร้ายและ รูปปั้นของมัน และไม่ยอมสักตราไว้บนหน้าผากหรือที่มือ
      เขาเหล่านั้นกลับมีชีวิต และเข้าครองราชย์พร้อมกับพระคริสตเจ้า การจากไปของอัสลานและการกลับมาครั้งที่สองของเขา หลังการเฉลิมฉลอง อยู่ๆอัสลานก็หายไปจากชายฝั่ง ทัมนัสบอกลูซี่ว่า เขาจะกลับมาอีก

      กจ 1:9 เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตาของเขา เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมเสื้อขาวปรากฏกับเขา กล่าวว่า
      “ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลายยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ทำไม พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์”

      ดังนั้นกล่าวโดยสรุป The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe คือภาพการถ่ายทอดเรื่องของการไถ่บาปของพระเยซูเจ้า ออกมาในรูปแบบสนุกสนาน และแฟนตาซี ซึ่งช่วยทำให้เรื่องเข้าใจยากๆ อย่างการตายไถ่บาปและกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เข้าสู่ความเข้าใจของเด็กๆได้ง่ายขึ้น ผ่านตัวละคร และเหตุการณ์ที่เป็นสัญลักษณ์มากมาย

      ดังนั้นผู้ได้ชมหรืออ่าน สามารถเสพเอาเฉพาะความสนุกสานก็ได้ หรือจะได้รับทั้งความสนุกสนาน และได้สาระอันมีคุณค่าก็เหมือนกับขุดพบขุมทรัพย์อันล้ำค่าในผืนนาอันอุดมสมบูรณ์ อันเป็นประโยชน์ต่อที่สอง

      ขอให้ทุกท่านสนุกกับวรรณกรรม และภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมของโลก

      แถมพก

      ในภาคแรกยังมีเนื้อเรื่องที่ว่าให้ดิกกอรี่(ตัวเอกภาคแรก)ไปเก็บแอปเปิ้ลมาให้อัสลาน
      ด้วยแล้วแอปเปิ้ลหอมหวานมากชวนลิ้มลองแต่หน้าประตูสวนมีคำเตือนไว้ไม่ให้กินดิกกอรี่
      ก็เกือบกินแล้วล่ะแต่สุดท้ายก็ไม่กิน
      ก็คล้ายๆกัน แต่ต่างที่อดัมกินแอปเปิ้ล

      --------------------------------------

      เรื่องอาหาร
      ในพันธสัญญาใหม่ มักจะเตือนว่า จิตใจของเรา ต้องตู่สู้กับ ปากท้อง(ความต้องการทางกาม/ฝ่ายกาย)
      น่าคิดนะว่าแม่มดขาว เสก ของกินได้แทบทุกอย่าง แต่ พอ ให้เอดมัน ดื่ม.....(?) เสร็จ แก้วนั่นก็ กลายเป็นเพียงหยาดน้ำแข็งที่แตกสลาย นั่นหมายความว่า สิ่งที่ซาตานมอบให้ ก็แค่ สิ่งที่ไม่ยั่งยืน

      --------------------------------------

      เจอาร์ อาร์ โทเคียน (ผู้แต่ง เดอะลอร์ดออฟเดอะริงค์ส)ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนของ ซี เอส ลูอีสผู้แต่งนาร์เนีย
      โทลเคียนซ่อน แบบกระจายบุคลิคและบางเหตุการณ์ ในขณะที่นาเนีย แทบจะเดินเรื่องเหมือนกันเพียงแต่เปลี่ยนชื่อตัวละคร และสร้างสถานการณ์เสมือน คนก็จะเห็นหรือสะดุดใจได้ง่ายกว่า
      ที่จริงเซารอนเอง ก็เหมือนลูชิเฟอรร์มาก เป็นอดีตคณะเทพ ได้รับพรหลากชนิดกว่าเทพอื่น จึงมาหลอกล่อมนุษย์ให้บูชาตนแทนที่พระผู้สร้าง และต่อต้านกบฏต่อพระผู้สร้างตัวเอง จนโดนปราบ และมนุษย์ที่เชื่อเซารอนก็โดนขับออกจาเกาะสวรรค์มาอยู่มิดเดิ้ลเอริ์ธ เหมือนอาดัมกับอีฟที่โดนขับออกจากสวนเอเดน

      หรือการใส่อิมเมจของพระแม่มารีย์ ลงในการาเดียล แต่ใส่แค่สถานะบางส่วนคือความเป็นสตรีที่ศักดิ์สิทธิ์ สง่างาม คอยช่วยเหลือ และเป็นที่นับถือของทุกคน หรืออย่างคอนเซปที่ว่า สิ่งมีชีวิตในมิดเดิ้ลเอริ์ธเองต้องเอาชนะเซารอนเองแทนที่พระผู้สร้างจะลงมาทำลายเซารอนให้สิ้นซากซะ ก็เหมือนความเชื่อคริสตศาสนาที่ว่ามนุษย์ต้องตัดสินใจเอาชนะการล่อลวงของซาตานด้วยตั
      วเอง รวมถึงการที่ทุกคนถูกล่อลวงโดยอำนาจของแหวน ต้องอาศัยจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้นจึงจะชนะได้ อันเป็นหลักปรัชญาของคริสตสาสนาที่เหมือนการต่อสู้กับบาปคือการเอาชนะใจเราเอง ตลอดจนการเลือกคนต่ำต้อยแบบโฟรโดมาทำหน้าที่ยิ่งใหญ่ก็ด้วย
      -----------------------------------

      เกร็ดเล็กๆ

      * The Lion, the Witch and the Wardrobe เป็นตอนที่ 2 ใน 7 ตอน ของนิยายคลาสสิกชุด The Chronicles of Narnia ของ C.S. Lewis หรือ Clive Staples Lewis (1898-1963) เรียงตามลำดับเนื้อเรื่องดังนี้ (ตัวเลขในวงเล็บ คือปีที่ตีพิมพ์ครั้งแรก)

      1. 'The Magician's Nephew' (1955)
      2. 'The Lion, The Witch and the Wardrobe' (1950)
      3. 'The Horse and His Boy' (1954)
      4. 'Prince Caspian' (1951)
      5. 'The Voyage of the Dawn Treader' (1952)
      6. 'The Silver Chair' (1953)
      7. 'The Last Battle' (1956)

      * นิยายคลาสสิกชุด The Chronicles of Narnia เคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์มาแล้ว 3 ตอนคือ 'The Lion, The Witch and the Wardrobe' (1979), 'Prince Caspian and the Voyage of the Dawn Treader' (1989) และ 'The Silver Chair' (1990)

      เทียบหนังแฟนตาซี จินตนาการไร้พรมแดน
      สองภาพยนตร์แนวแฟนตาซี Lord of the Ring vs Narnia

      นาร์เนีย

      คอลัมน์ งานเป็นเงา

      ลำแข

      เพราะอาจเป็นหนังจินตนาการหรือแฟนตาซีแบบเดียวกัน เมื่อใครพูดถึง *นาร์เนีย* ที่กำลังลงโรง จึงอดนำไปเปรียบเทียบกับงานไตรภาคของ *ปีเตอร์ แจ๊กสัน* เรื่องดัง *เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง* ไม่ได้ และส่วนมากเห็นว่าแม้รูปหนังจะดูสนุกเพลิดเพลิน แต่ปมประเด็นเนื้อหาของนาร์เนียออกจะด้อยกว่างานไตรภาคอยู่มาก

      ที่จริง งานลือชื่อ 2 เรื่องนี้ แตกต่างกันแต่แรกอยู่แล้ว

      เดอะ ลอร์ด ของ *เจ.อาร์.อาร์.โทลเกี้ยน* เป็นงานระดับมหึมา ด้วยความรู้และความคิดที่ลำดับร้อยเรียงเข้าไป ไม่เพียงแต่เค้าโครงที่ดูเหมือนเป็นธรรมต่อสู้กับอธรรมเท่านั้น แต่เป็นการต่อสู้ที่มีรายละเอียดหลายระดับ เป็นงานเขียนที่ผู้เขียนใช้ความรู้สารพัด เกี่ยวกับนิทานหรือตำนานต่างๆ ในโลก ผูกเป็นตัวละครเข้ามามีบทบาท รวมทั้ง *ฮอบบิท* ที่สรรค์สร้างขึ้น
      เช่นเดียวกับ *ภาษาเทพ*
      ในหลายๆ หน้าตลอดทั้งเล่มของเดอะ ลอร์ด มีเชิงอรรถที่ยาวกว่าเนื้อหาด้วยซ้ำไป เพื่ออธิบายที่มาต่างๆ

      งานชุดนี้เมื่อครึ่งศตวรรษก่อน เป็นงานที่นักเรียน นักศึกษา *ต้องอ่าน* และงานที่เขียนขึ้นภายหลังเกี่ยวกับงานชุดนี้ ทั้งมากเล่มและหนากว่างานต้นฉบับชนิดเทียบไม่ได้ นั่นแสดงถึงคุณค่าอันกว้างขวางของงาน

      ในขณะที่นาร์เนียของ *ซี.เอส.ลิวอิส* เป็นงานเขียนสำหรับเยาวชนจริงๆ แม้จะเป็นประเภทผู้ใหญ่ก็อ่านได้

      เป็นเรื่องความรักในครอบครัวของเด็ก 4 คนพี่น้อง ที่ผจญภัยในแดนพิสดารหลังตู้เก็บเสื้อผ้า เป็นสงครามธรรมกับอธรรมโดยแท้ ตัวละครหรือสัตว์ประหลาดต่างๆ ที่เห็น จะพิสดารมากน้อยกว่ากัน ดูไม่ใช่ประเด็นหลัก

      ถึงอย่างนั้น นำเด็กๆ ไปดูหนังเรื่องนี้ก็ได้ผลสมบูรณ์ ถึงตอนต้นเรื่องจะปูละเอียดจนอืดไปสักนิด แต่ความสนุกสนานไม่ได้ลดทอนลง

      ที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาก็คือ ฉากตอนต้นแม้ย้อนยุคไปสมัยสงครามโลก แต่ระหว่างรถไฟวิ่ง จะเห็นได้ว่าอังกฤษปัจจุบันยังเป็นเกาะที่เขียวชอุ่ม แทบจะเรียกได้ว่า ที่สุดในยุโรป ดังรถไฟที่แทบจะวิ่งอยู่ใต้ร่มไม้

      การสร้างตัวละครพี่น้องให้มีตัวเกเรอยู่บ้าง ทำให้เรื่องมีมุขมีไคลแมกซ์ที่จะเล่นได้ ง่ายๆ แบบให้เด็กๆ ดูซาบซึ้ง

      หากสำรวจผลตอบรับจากการฉายทั่วโลกแล้ว *วอลต์ ดิสนีย์* อยากจะสร้างตอนต่อๆ ไป จากหนังสือที่มีอยู่ 7 ตอน แม้ความมโหฬารพันลึกของภาพ อาจไม่ตื่นตาสุดสุดอย่างหนังพ่อมดน้อย *แฮรี่ พอตเตอร์* แต่หากเป็นความอ่อนหวานประทับใจแล้ว งานชุดนี้กล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ดีงาม พร้อมไปกับการสร้างเสริมจินตนาการไม่อ่อนด้อยกว่างานชุดอื่นๆ

      ในยุคที่ความก้าวหน้าด้านภาพของภาพยนตร์ไปไกลมากแล้วนี้ ตะวันตกมีซอฟต์แวร์ หรือหนังสือหรืองานเขียนทางจินตนาการมากมาย มาให้เล่นได้โกยเงินได้ไม่หยุดหย่อน

      ขณะที่จินตนาการยอดเยี่ยมของเราในป่าหิมพานต์และเขาพระสุเมรุ ถูกตัดตอนไปจนต้องมาเริ่มเขียนการ์ตูนสำหรับเด็กกันใหม่ ข้อสงสัยเกี่ยวกับภูมิปัญญาของตัวเอง ไม่ใช่สงสัยบรรพบุรุษ

      แต่ต้องสงสัยตัวเราเองทุกวันนี้ ว่ามีปัญญาอยู่สู้โลกกันมากน้อยขนาดไหน


      ที่มา
      http://www.newmana.com/yabb/index.php?board=2;action=display;threadid=2544;start=0

      http://nihil.exteen.com/20060109/narnia-spoil

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×