คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Rewrite : Part 4
Fic – Reborn : เมื่อทุกสิ่งกลับสู่ความว่างเปล่า
-Part 4-
เมฆา
ผมชื่อฮิบาริ เคียวยะ เป็นผู้พิทักษ์แห่งเมฆาของวองโกเล่ที่สิบ
กว่าสิบปีที่แล้ว ผมเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ไม่คิดจะโดดเด่นด้านอะไร เคยวาดฝันไว้เหมือนกับคนอื่นๆว่าจะเรียนให้จบ จบแล้วก็ทำงาน พอมีเงินเก็บก็หาผู้หญิงดีๆสักคนมาเป็นภรรยา มีลูกชายคน หญิงคนคงกำลังดี
ก่อนขึ้นมัธยม ชีวิตก็ถึงจุดพลิกผันเมื่อครอบครัวของผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คนที่รอดจากเหตุการณ์นั้นมีแค่ผมคนเดียว จากเด็กชายที่มีรอยยิ้มสดใสท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น กลายเป็นคนที่ถูกฉาบด้วยใบหน้าเรียบเฉยท่ามกลางความเดียวดาย
เมื่อขึ้นมัธยมต้น บรรยากาศเงียบเหงารอบตัว ทำให้ผมไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ด้วยความโดดเดี่ยวทำให้ผมสามารถทะยานขึ้นเป็นผู้คุมกฎที่ผู้คนต่างหวาดกลัวทันทีที่ได้ยินชื่อ ในใจลึกๆมันรู้สึกเหงา แต่ในเมื่อผมไม่อาจแสดงอารมณ์ใดๆได้อีก ผมจึงตัดสินใจเก็บความรู้สึกทั้งมวลไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจและกดล็อกมันไว้ ความรู้สึกทั้งหลายของผมได้หายไป เหลือเพียงความเย็นชาที่คอยอยู่เป็นเพื่อน ในเมื่อหาเพื่อนไม่ได้แล้ว อยู่กับความเย็นชาไปเรื่อยๆก็คงไม่เลวนัก
..แต่เมื่อขึ้นปีสาม ความคิดของผมก็เปลี่ยนไป..
ปีสาม ผมกลายเป็นหัวหน้ากรรมการนักเรียนโดยหน้าที่แรกของภาคเรียนคือการตรวจจับคนมาสาย หลายคนหน้าซีดเผือดเมื่อเห็นผมเป็นคนคุมแถว
หลังเลิกแถวตามปกติ แถวสายแรกถูกปล่อยให้ขึ้นห้องเรียนแต่ก็ยังมีคนสายกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคือเป็นหนึ่งในคนที่ทำให้ผมสามารถปลดล็อกความรู้สึกทั้งมวลได้ คนคนนั้นคือ ซาวาดะ สึนะโยชิ
ด้วยท่าทางงกๆเงิ่นๆสลับกับหน้าซีดเป็นพักๆ แถมยังหัวฟูฟ่อง มันทำให้ผมนึกถึงเม่นตัวน้อย จะว่าไปก็อยากเลี้ยงเม่นอยู่พอดี ด้วยความคิดดังกล่าวทำให้ผมหลุดหัวเราะเบาๆอย่างช่วยไม่ได้
ผมทำตัวนิ่งพร้อมเก๊กหน้าขรึมและสั่งให้ซาวาดะเงยหน้าขึ้น เพราะยังนึกขันไม่หาย มันส่งผลทำให้ผมมีใบหน้าเคร่งขรึมแต่ดันมีท่าทีสั่นแบบแปลกๆ เมื่อซาวาดะเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ คงเพราะอากัปกริยาแปลกๆเลยคิดว่าผมกำลังโกรธ เจ้าตัวรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
ที่ตรงนั้นเลย ผมกลั้นหัวเราะไม่อยู่จริงๆ เลยหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่ก็พอแล้วที่จะให้ซาวาดะเงยหน้ามองผมพร้อมทำหน้าแปลกๆแถมส่งสายตามองอย่างนึกหวาดๆ ในใจคงคิดว่าผมพึ่งออกจากหลังคาแดงมาสินะ..
ในเวลานั้น ผมอดที่จะเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้ ผมวางมือลงบนหัวสีน้ำตาลฟูฟ่องนั้น ขยับมือลูบหัวเบาๆและเดินจากไป เมื่อผมหันกลับไปมอง ก็พบว่าซาวาดะยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ซึ่งผมคาดว่าเจ้าตัวคงจะช็อกค้างไปแล้ว
หึหึ ก็แน่ล่ะ ผมโหดขนาดนั้น ใครจะคิดว่าผมจะไปลูบหัวเล่นแบบนั้นกันล่ะ..
นั่นเป็นครั้งแรก ที่ผมได้เจอกับซาวาดะ สึนะโยชิ
หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์มากมายให้เผชิญ รู้ตัวอีกที รอบกายของผมก็เต็มไปด้วยผู้คนเสียแล้ว
ผม.. ไม่ได้อยู่เพียงลำพังอีกต่อไป
เมื่อวานเย็นในเวลาหลังรับประทานอาหาร ซาวาดะเรียกทุกคนมาประชุมกันถึงภารกิจด่วน แน่นอนว่าผมไม่เข้าร่วม แต่รอให้เจ้าตัวมาสรุปให้ฟังถึงห้อง
ราวสี่ทุ่ม ซาวาดะมาสรุปสั้นๆถึงเป้าหมายของภารกิจ เส้นทางที่ใช้และจำนวนคน พร้อมกับแผนรับมือหากเกิดเรื่องฉุกเฉิน ปกติผมจะไม่มองคนพูดจะมองแต่เนื้อหาในกระดาษ แต่ในวันนี้ผมเลือกที่จะมอง ราวกับว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ร่วมกัน
...แม้บรรยากาศโดยรอบของหนุ่มผมดำจะมีแต่ความเย็นชา หากทุกคราที่นภาอันอ่อนโยนเข้าใกล้ ท่าทีเหล่านั้นกลายเป็นความละมุนอย่างไม่รู้ตัว ..
ผม.....สังหรณ์ใจแปลกๆ
ผมเห็นแววตาหมอนั่นไม่ยิ้ม
เห็นอะไรอีกแล้วสินะ..
ผมเลือกที่จะไม่แสดงออกอะไรนอกจากพยักหน้ารับรู้ เสแสร้งทำเป็นรำคาญและไล่เขาให้ออกไป เพราะการเลือกที่จะไม่แสดงออก มันทำให้ผมต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
เช้าวันถัดมา ภารกิจของเราเริ่มต้นขึ้น ผมเดินรั้งท้ายกลุ่มและห่างออกจากทุกคนเรื่อยๆ เพราะตั้งแต่เริ่มการเดินทาง ผมได้ยินเสียงคนสะกดรอยตาม ผมจำใจต้องออกไปจัดการกับเหล่าคนประสงค์ร้าย
ปัง !!!
ตาขวาของผมกระตุกถี่ยิบ พร้อมกับเร่งฝีเท้ากลับไปยังต้นเสียงของปืน ในหัวหมุนคว้างคำนวณหาวิถีกระสุนอย่างรวดเร็ว ถึงจะพบต้นเสียงแล้วแต่ผมกลับเข้าไปจัดการไม่ทัน มือสังหารที่ซุ่มอยู่ในเงามืดลั่นไกและตามมาด้วยเสียงของเพื่อนผมเทาที่ร้องลั่นว่า ‘รุ่นที่สิบ’
ในเสี้ยววินาทีนั้น ผมรับรู้ได้ถึงกุญแจที่เคยไขความรู้สึกของผมแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อไร้ซึ่งลูกกุญแจ แม่กุญแจจึงล็อกโดยอัตโนมัติ หัวใจของผมกลับมาด้านชาอีกแล้ว ในตอนนั้น เหมือนทุกอย่างที่เคยมีมันหายไป ..ไม่เหลือจริงๆ
ผมขยับตัวอย่างรวดเร็วเข้าจัดการกับมือสังหาร และส่งสัญญาณไปยังหน่วยกำลังสำรองที่ตามผมมาติดๆให้จับเป็นบุคคลที่บังอาจกระทำอุกอาจ
ผมวิ่งกลับไปยังกลุ่ม จนกระทั่งพบกับเหล่าคนที่เหลือ มองการกระทำของสองผู้พิทักษ์แห่งวายุและพิรุณอย่างไม่เข้าใจและมองข้ามทั้งสองไปยังร่างของเขา ผมไม่พบสัญญาณของการมีชีวิตของซาวาดะ สึนะโยชิอยู่อีกแล้ว
ตาของผมเบิกกว้าง ร่างกายขยับเข้าไปหาอย่างไม่รู้ตัวพร้อมสัมผัสลงที่จุดชีพจรอย่างแผ่วเบาแล้วพบว่า
..มันไม่สั่นไหวอีกต่อไป.....
ผมรู้แล้ว..
ทำไม..
สองตัวนั้นถึงร้องไห้
เพราะขนาดผม ยังอยากร้องไห้เลย...
‘ซาวาดะ สึนะโยชิตายแล้ว’
มันเป็นความจริงที่... โหดร้าย
…….....น้ำตาของชายหนุ่มไหลลงมาอย่างเงียบงัน
ความคิดเห็น