ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Xx. Severe 'Plus+ _,แรงยกกำลัง 2 ! .xX ( Teguila & Zens )

    ลำดับตอนที่ #3 : Xx. 'Plus! + Episode One

    • อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 54



    SEVERE PLUS+

    Episode One ’

    พรึ่บ!!

    ไฟอัตโนมัติสว่างขึ้นเมื่อสัญญาณสามารถตรวจจับได้ว่ามีใครสักคนกำลังเดินเข้ามาด้านใน ฉันโยนกระเป๋าแอร์เมส ไอโฟน รวมถึงกุญแจรถลงบนโซฟากลางห้อง ก่อนจะรวบผมยาวๆของตัวเองที่ดูเหมือนจะยุ่งเหยิงเต็มที่ขึ้นไปมัดไว้แบบลวกๆ แสงสว่างรำไรจากดวงอาทิตย์สาดผ่านม่านหน้าต่างสีขาวเข้ามาด้านในห้อง ทำให้ฉันต้องเปิดม่านออกดูเล็กน้อย ฟ้าเริ่มกลายเป็นสีชมพูอมส้มบ่งบอกถึงเวลารุ่งสาง

    “เช้าแล้วเหรอเนี่ย?”

    เป็นเวลาเกือบ 5 ชั่วโมงที่ฉันได้แต่ขับรถวนไปวนมาอยู่ในกรุงเทพอย่างไร้จุดหมาย หลังจากที่ออกมาจากบ้าน ฉันหันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะซึ่งบอกเวลา 05:15 ก่อนจะค่อยๆปิดม่านหน้าต่างลงอย่างช้าๆ ให้ตายสิ!! ทำไมชีวิตมันถึงหน้าเบื่อจังนะ?

    ฉันหันมองโทรศัพท์ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเบาะโซฟา ไม่มีใครโทรมา ไม่ว่านานแค่ไหนก็ไม่มีแม้สักสาย ก่อนที่จะละสายตาจากโทรศัพท์แล้วหันไปจดจ่อที่ประตูคอนโดแทน ไม่มีเสียงเคาะ หรือเสียงใดๆดังออกมาจากตรงนั้น แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน? ใช่..ฉันไม่เหลือใครเลย! ไม่มีครอบครัว ไม่มี คนรัก! ไม่มีใครคอยชวนคุย ไม่มีเพื่อน ไม่มีอะไรเลย

    จะว่าไปมันเหงานะ....

    ฉันกะพริบตาแรงๆด้วยหวังว่าจะไล่ความรู้สึกเหล่านั้นให้ออกไปจากสมอง ก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นแทน ความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว! เธอมันไร้สาระจริงๆเตกิล่า คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องมีสิ่งพวกนั้นอยู่ในชีวิต!

    ฉันค่อยๆรินวิสกี้ลงในแก้ว ก่อนจะหยิบบุหรี่มาจุดแล้วอัดสูบมันเข้าไปเต็มปอด อันที่จริงฉันก็รู้หรอกนะว่าบุหรี่มันก็ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากแค่ไหน? แต่ฉันก็คิดว่าในเวลาเครียดมันเป็นเพื่อนที่ดีเลยทีเดียว ฉันค่อยๆปล่อยควันสีขาวคลุ้งออกมาจากปากก่อนจะหยิบวิสกี้ขึ้นมานั่งจิบเล่น

    บัตรเครดิตก็ครบวงเงินแล้ว คุณป๋าก็ไม่ยอมให้เงินเพิ่ม แล้วเวลาว่างๆแบบนี้ฉันจะไปทำอะไรล่ะ? T^T

    บางทีฉันควรจะหางานทำบ้าง....

    โอยยย! จะบ้าเหรอ? คุณหนูไฮโซมีสกุลรุนชาติอย่างฉันจะไปนังทำงานงกๆเนี่ยนะ? ฆ่าฉันเสียดีกว่า ฆ่าฉันที!! T^T

    ฉันตัดสินใจจิ้มบุหรี่ลงในกระบะเขี่ยบุหรี่ ก่อนจะเดินไปหยิบสัมภาระต่างๆนานาแล้วเดินออกไปจากห้องทันที อย่างน้อยไปขับรถเล่นแก้เซงก็ยังดี ฉันใช้ปลายนิ้วรูดเส้นยางออกจากผมของตัวเอง ก่อนจะใช้มือเสยแล้วจัดมันพอเป็นพิธี คนมันสวยทำยังไงมันก็สวยอยู่ดีล่ะ >__<

    รถเปอร์เช่คันหรูออกตัวจากลานจอดรถของคอนโดอย่างรวดเร็ว ฉันขับมันออกไปอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ฉันจิ้มไอโฟนโทหาเพสโตหลายต่อหลายครั้ง แต่หมอนั่นก็ดันไม่รับเลย ให้ตาย...

    เพสโตเหรอ? เขาคือเพื่อนคนเดียวที่ฉันมีอยู่แล้วล่ะมั้ง เพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเด็กๆนั่นเพราะพ่อของเราสองคนนี่ซี้ปึ๊กกันสียต้องเรียกว่าคู่ขาปาท่องโก๋เสียอีก อีกอย่าง...ฉันก็คิดว่า เพสโตเป็นผู้ชายคนเดียวที่ฉันไม่เคยแขวะใส่ หรือต้องทะเลาะกันถึงขั้นแตกหักสักครั้ง

    เอ๊ะ! แต่ข้างหน้าเค้ามีอะไรกันหน่ะ? รถชนงั้นเหรอ? ฉันทอดสายตาผ่านแว่นกันแดดปราด้าสีดำสนิทไปยังกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะมุงอะไรกันสักอย่าง แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะนึกเอะใจอะไร

    “กรี๊ดดดดดดด!!!

    ปังงง!!!

    เปอร์เช่สีเหลืองของฉันพุ่งชนกับโตโย้ต้าสีดำจนก่อให้เกินเสียง(ไม่)ดังทันที ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจ ก่อนที่ฉันจะพยายามหักหลบด้วยหวังว่าจะแซงแล้วผ่านไปได้ แต่ไม่เลย...

    โครมมม!!!!

    เสียงรถของฉันที่พุ่งเข้าชนรถที่จอดเสียอยู่ข้างทางอย่างจัง ฉันเห็นกระโปรงหน้ารถที่ค่อยๆยุบเข้ามาเรื่อยๆราวกับภาพสโลวโมชั่น แต่ด้วยสติที่ยังพอมีอยู่ ฉันลดกระจกลงอย่างเร็วพลางกวาดข้าวของสำภาระทั้งหมดที่มีโยนออกไปด้านนอก

    ปึง!!! รถหยุดลงแล้ว ฉันหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ลมหายใจของฉันรวยระรินติดขัดไปหมด มือก็ยังคงกำพวงมาลัยแน่น ซึ่งก็พอจะสังเกตได้ว่ามันกำลังสั่นเสียยิ่งกว่าเจ้าเข้า

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!

    แล้วฉันก็ต้องสะดุ้งตื่นจากพะวง ก่อนจะเบือนสายตาไปมองยังต้นเสียง มีใครสักคนกำลังเคาะกระจกรถของฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย ให้ตายสิ! ถ้ากระจกฉันเป็นรอยอีกฉันเอาตายแน่!!

    ฉันเปิดประตูรถลงไปเผชิญหน้ากับเขาแบบตรงๆ แต่เพียงแค่ฉันก้าวขาลงจากรถเท่านั้นแหละ

    “นี่คุณขับรถภาษาอะไรเนี่ย? ห้ะ แล้วเป็นอะไรบ้างหรือเปล่า?”

    ผู้ชายร่างสูงโปร่งผู้ซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเชิร์ทสีดำสนิท ซึ่งมันก็ดูจะขับกับสีผิวขาวๆของเขาเสียจริงๆ ขาวชนิดที่ว่าดาราเกาหลีทั้งหลายมาเห็นยังต้องอายไปเป็นแถบๆ ใบหน้าภายใต้แว่นกันแดดสีชาดูดีเสียจนฉันต้องกระพริบตาปริบๆอย่างนึกชื่นชม

    O_O

    “นี่คุณ ผมถามนี่ไม่ได้ยินหรือไง? หรือว่าหูหนวก ห้ะ?”

    “เอ๊ะ! นาย!! มาว่าฉันหูหนวกแบบนี้ได้ไง? ><

    - -

    !!

    อีตาบ้านี่หยาบคายสุดๆ มาว่าผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไงกัน? ความเป็นสุภาพบุรุษมีบ้างไหม?

    “เดี๋ยวเดินไปคุยกับผมตรงนั้น”

    ว่าจบเขาก็ก้าวยาวๆขึ้นรถของตัวเองแล้วขับไปเรียบที่ฟุตบาทข้างทาง ฉันเองก็พอจะรู้แล้วว่าเขาคือเจ้าของรถโตโยต้าโทรมๆที่ฉันเฉี่ยวในตอนแรก ซึ่งทำให้ฉันได้แต่กระทืบเท้าแล้วชักสีหน้าหงุดหงิดคนเดียวก่อนที่จะเก็บข้าวของที่ตัวเองโยนออกมาแล้วตามเขาไปอย่างเสียไม่ได้

    “นี่คุณขับรถภาษาอะไร อยู่ดีๆมาชนท้ายรถผมแบบนี้”

    “แล้วใครใช้ให้นายจอดรถล่ะ? ฉันก็ชนสิ เหอะ!

    “นี่คุณ จะเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า เห็นอยู่ว่าข้างหน้ามันรถติด จะให้ขับไปยังไง?”

    “นาย!!

    “โทรเรียกประกันแล้วไปโรงพักกับผม”

    เอ๊ะ! นายนี่! ขับรถบ้านนอกทีหนึ่งแล้วยังริอาจมาออกคำสั่งฉันงั้นเหรอ? ไม่เจียมกะลาหัวเสียจริงๆ แล้วเห็นอยู่ชัดๆว่ารถฉันเยินเสียขนาดนั้น ฉันไม่เป็นอะไรเลยนี่ก็บุญเท่าไหร่แล้ว

    “ไม่!!!

    “- -”

    “ไม่มีทาง!

    “โทรเรียกประกัน แล้วไปโรงพักกับผม”

    “เอ๊ะ! นายบ้านนอกนี่ พูดภาษาคนฟังไม่รู้เรื่องหรือไง? ฉันบอกว่าไม่ก็ไม่สิ!

    ฉันพูดพลางก้มมองขาตัวเองที่สั่นพับๆ ไร้เรี่ยวแรงเหมือนจะลงไปกองอยู่ให้ได้ แต่แค่นี้ฉันก็เสียหน้าจะแย่แล้วไม่อยากเสียฟอร์มให้หมอนี่เห็นไปมากกว่านี้ เลยพยายามฝืนสังขารยืนมันไปทั้งอย่างนั้น

    “- -”

    “หึ นายไม่มีเงินซ่อมรถสินะ? เห็นรถถูกๆแบบนี้เอาเข้าศูนย์ก็คงไม่เท่าไหร่ อยากได้เท่าไหร่บอกมาแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้พ่อบ้านมาเคลียร์ให้ พอใจหรือยัง?”

    “ไม่!

    - -!!!

    “โทรเรียกประกันแล้วไปโรงพักเดี๋ยวนี้ เตกิล่า”

    เตกิล่า ? หมอนี่รู้จักฉันด้วยงั้นเหรอ? แต่ถ้าคิดตามหลักความเป็นจริงแล้วมันก็คงจะไม่แปลกเท่าไหร่นะที่ใครต่อใครจะรู้จักฉัน บางทีหมอนี่อาจจะเป็นแฟนคลับฉันก็เป็นได้

    “อะ...อ๋อ! ที่แท้นายก็เป็นแฟนคลับฉันนี่เอง นี่จะบอกอะไรให้นะ ถ้าอยากใกล้ชิดฉันนักไม่ต้องใช้วิธีสกปรกแบบนี้ก็ได้ อีกอย่างฉันก็ไม่คิดจะลงไปเกลือกกลั้วกับพวกสกปรกอย่างนายหรอก มันน่าขยะแขยง”

    ฉันขยับรอยยิ้มเหยียดให้ชายคนนั้น แต่มันไม่ได้กระทบกระเทือนใบหน้านิ่งไร้อารมณ์ของเขาแม้แต่น้อย - -

    “เธอดูถูกคนทุกคนแบบนี้เลยงั้นเหรอ?”

    เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่สรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวฉันของเขาดูเปลี่ยนไป ซึ่งฉันก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยักไหล่อย่างเสียไม่ได้เท่านั้น

    “คนทุกคนมีคุณค่าของชีวิตเท่ากันทั้งนั้น รูปร่างหน้าตาหรือฐานะไม่ได้ช่วยให้คุณค่าทางชีวิตของคนเพิ่มขึ้น”

    - -!!!!

    “โทรเรียกประกันแล้วไปโรงพักกับฉันซะ”

    “หึ! ฉัน-ไม่-ไป นายไม่รู้เหรอว่าคุณป๋าฉันเป็นใคร? ห๊ะ”

    “ฉันไม่สนใจว่าเธอจะเป็นลูกเต้าเหล่าใคร หรือพ่อของเธอจะใหญ่มาจากไหนฉันก็ไม่สน”

    “...”

    “แต่ในฐานะที่เธอเป็นประชาชนคนหนึ่งของประเทศและจำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียม นั่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!!

    “เอ๊ะ!

    “จะไปเองดีๆ หรือจะให้ฉันเรียกตำรวจไปลากตัวเธอถึงบ้านเลือกดูเองแล้วกัน”

    “คิดเหรอว่าฉันจะอยู่ให้นายมาจับง่ายๆ อีกอย่าง...ตำรวจก็คงจะไม่ว่างพอมาวิ่งเต้นกับเรื่องไร้สาระของนายหรอกนะ”

    “เธอคงคิดว่าฉันทำไม่ได้สินะ! แล้วเธอจะรู้ ว่าไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้”

    น้ำเสียงที่ฟังดูมั่นใจเสียเหลือเกินของเขาทำให้ฉันอดนึกกลัวไม่ได้ แล้วถ้าเขาเอาตำรวจมาจับฉันจริงๆล่ะ? คราวนี้ได้เป็นอันแตกหักกับคุณป๋าจริงๆแน่ ฉันกรอกตาไปมาอย่างพยายามตัดสินใจอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็ยืนรอคำตอบจากฉันอยู่อย่างใจจดใจจ่อเช่นกัน

    “โอเค๊!

    - -?

                “ฉันจะยอมไปกับนาย แต่อย่าคิดนะว่าคนอย่างฉันจะยอมใครง่ายๆ”

    “หึ ฉันก็ไม่ได้คิดนี่”

    เขากระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่รถของตัวเองทันที ทิ้งให้ฉันได้แต่ส่งสายตาคาดโทษที่ไม่รู้จะเอาผิดจากไหนไปให้เขา อีตาบ้านี่! คิดว่าตัวเองดีมาจากไหนกันนักกันหนา? แค่หน้าตาดีหน่อยเดียวเท่านั้นส่วนอย่างอื่น ติดลบทั้งสิ้น ดูจากรถก็ส่อถึงชาติตระกูลได้แล้ว ให้ตาย~ ฉันได้แต่ด่าทอเขาในใจแต่ก็ต้องเดินไปขึ้นรถเขาอย่างจำใจ

     

    รถสีดำที่แสนจะธรรมดาถูกจอดเทียบลงในลานจอดรถของสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในตัวเมือง ส่วนหลังของรถมีรอยบุบรวมถึงรอยถลอกของสีทำให้รถคันนี้ดูมีราศีลดลงได้ถนัดตา (จากเก่าที่ไม่มีอยูแล้ว)

    ปึก!!!

    ฉันปิดประตูรถลงอย่างแรงก่อนจะจัดชุดเดรสดอลเช่แอนด์แก๊บบาน่า อันที่จริงมันเป็นชุดเดียวกับเมื่อคืน เพราะจนถึงตอนนี้ฉันยังไม่ได้อาบน้ำหรือทำอะไรเลยสักอย่าง ฉันใช้มือจัดทรงผมเล็กน้อย ก่อนจะเดินทอดน่องตามหลังผู้ชายคนนั้นเข้าไปในสถานีตำรวจทันที

    “วิ้ดดดดวิ้วววว~

    “มาทำอะไรครับน้องสาวคนสวย”

    ฉันปรายตามองเหล่าลูกกระจ๊อกที่มานั่งตามโรงพักส่งเสียงเห่าหอนกันตามประสา ก่อนจะสังเกตเห็นว่าทางบริษัทประกันของฉันได้ส่งคนมาเจรจาอยู่ก่อนและที่สำคัญ หมอนั่นก็เข้าไปยืนกอดอกฟังพวกบริษัทประกันคุยกันด้วยท่าทางตั้งอกตั้งใจ

    ปึก!!

    ฉันกระแทกกระเป๋าลงบนโต๊ะใกล้ๆพวกนั้น ก่อนจะกระแทกก้นลงนั่งด้วยความเบื่อหน่าย ทำไมฉันต้องมานั่งแหงกในสถานที่บ้าๆแบบนี้ด้วยนะ? โอ๊ยย! ฉันล่ะอยากจะบ้าตายจริงๆ

    “อย่าพึ่งตายเลยดีกว่า!

    เสียงหนึ่งดังขึ้นทำให้ฉันต้องเบือนสายตาไปดู แต่แล้วต้นเสียงก็ทำให้ฉันถึงกับต้องถอนหายใจเฮือก สาธุ! เลิกจองล้างจองผลาญหนูสักที! T^T

    “ฉันจะตายหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย ห้ะ”

    เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อยด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่ไม่น่าเข้าใกล้ที่สุด เพราะฉันรู้สึกถึงกลิ่นอายความอันตรายจากสายตาคู่นั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงออกมาเป็นคำพูดได้ เพียงแต่ว่า อะไรบางอย่างในตัวเขากลับทำให้ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก โอ๊ยยย!! เขากำลังทำให้ฉันสับสนและกำลังจะเป็นบ้า! T^T

     

    ฉันถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่ร้อย ก่อนจะเหลือบสายตาไปมองพวกประกันที่ดูเหมือนจะคุยกันไม่เสร็จสักที ตอนนี้ฉันอึดอัดจะแย่อยู่แล้วนะ เรื่องอะไรคนอย่างฉันต้องมานั่งเหี่ยวเฉาอยู่ในนี้ด้วยเนี่ย

    กริ๊ก!!

    เสียงแก้วกาแฟกระทบกับจานรองดังมาจากชายหนุ่มด้านหน้า ที่เขาถือวิสาสะมานั่งโต๊ะเดียวกับฉัน แถมยังเอามากาแฟมานั่งจิบแล้วอ่านหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทางสบายใจเฉิบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

    “กาแฟไหม?”

    เขาเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาคู่นั้นยังคงจดจ่ออยู่กับข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งฉันล่ะอย่างรู้จริงๆว่าข่าวในนั้นมันจะน่าสนใจอะไรขนาดนั่งอ่านได้เป็นชั่วโมงๆ อีกอย่าง...ตอนนี้ไอ้ความคิดที่ว่าเขาอาจจะเป็นแฟนคลับฉันนั้นเลิกคิดไปได้เลย เพราะดูแล้วเขาไม่ได้มีท่าทางว่าจะสนใจใยดีอะไรฉันเลยแม้แต่นิดเดียว

    “จะเที่ยงแล้วนะ”

    “แล้วไง?”

    ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนๆ ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาแขวนของโรงพัก ดูเหมือนตอนนี้เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงแล้วจริงๆด้วย พวกประกันนี่ชักช้าจริงๆจะคุยอะไรนานขนาดนั้น นี่ถ้าเสร็จจากนี่ฉันจะไปฟ้องมันแล้วเปลี่ยนบริษัทใหม่เลยคอยดู

    “ไม่หิวหรือไง?”

    เขาพูดไปเรื่อยพลางพับหนังสือพิมพ์ลง

    “ไม่!!

    “แต่ฉันหิวแล้ว”

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? แล้วก็ช่วยสงบปากเหม็นเน่าของนายสักที ฉันรำคาญ!!

    “นั่นสิ! เกี่ยวอะไรด้วยนะ?”

    อีตาบ้านี่กวนประสาทฉันเกินไปแล้ว ใบหน้าและแววตาของเขาไม่ได้บ่งบอกอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้อารมณ์โกรธ เกลียด รัก ชอบ ดีใจ เสียใจ ไม่มีอะไรเลย -___-

    ฉันมองตามหลังเขาที่กำลังเดินเอาหนังสือพิมพ์ไปเก็บ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินไปที่ประตูทันที

    “นี่นายจะไปไหน?”

    “กินข้าวไง ฉันคิดว่าฉันบอกเธอแล้วนะ”

    “แล้วฉันล่ะ?”

    “เรื่องของเธอ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน?” 

    ฉันกระแทกรองเท้าส้นสูงแรงๆจนทำให้ผู้คนรอบข้างต้องหันมามองเป็นตาเดียว แต่มันก็เหมือนจะเป็นเรื่องปรกติเสียแล้วสำหรับที่นี่ ตอนนี้ฉันอยู่ในที่ทำงานของคุณป๋า แล้วคงไม่ต้องถามด้วยว่าฉันมายังไง? เพราะไม่มีทางที่อีตาบ้าห้าร้อยนั่นจะมาส่งฉัน อย่าหวังเลย เพราะอีตาบ้านั้นทำลอยหน้าลอยตาแล้วขับรถออกไปหน้าตาเฉย ทิ้งฉันให้โบกแท๊กซี่อยู่แถวโรงพักคนเดียว ให้ตายสิ!!

    “สวัสดีค่ะคุณหนู”

    “อือ”

    ฉันขานรับส่งๆหลังจากที่เลขาคนสวยของพ่อที่นั่งอยู่หน้าห้องเอ่ยทักขึ้น

    “ตอนนี้ท่านอธิการกำลังคุยธุระอยู่ค่ะ เชิญคุณหนูนั่งรอก่อน”

    “ธุระ? คุยกับใคร?”

    “คุณซีนส์ค่ะ”

    ซีนส์งั้นเหรอ? ใครกันนะไม่ยักกะเคยได้ยินชื่อ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยถามอะไรออกไป เสียงโทรศัพท์ของเลขาคนนั้นดังขึ้น เธอกรอกเสียงลงในโทรศัพท์นิดหน่อยก่อนจะหันมาพูดกับฉันต่อ

    “คุณท่านว่างแล้วเชิญคุณหนูเข้าไปได้ค่ะ”

    ฉันผลักประตูเข้าไปด้านในห้องทำงานของคุณป๋าทันที ห้องทำให้ที่ใหญ่โตโอ่อ่าอยู่บนชั้นสูงสุดของตึกที่ถูกประดับตกแต่งด้วยเฟอนิเจอร์ร่าคาแพง

    “มาเร็วกว่าที่คิดนี่”

    “คุณป๋ามีธุระอะไรกับเตลก็รีบๆพูดมาเถอะค่ะ เตลเหนื่อย”

    “หึหึ นี่ ซีนส์ รู้จักกันไว้ซะ”

    ฉันหันหน้ามามองบุรุษที่ยืนอยู่ด้านข้าง ในตอนแรกฉันไม่ได้สนใจอะไรเลยไม่ได้หันไปมองหน้าเขาชัดๆ แต่ตอนนี้ฉันถึงกับหน้าเหวอตัวเข็งไปหมด หนึ่งเขาหล่อ อันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ แต่สอง เขา...เขาคือไอ้หมอนั่น คนน่ารังเกียจที่ทำให้ฉันรถชนแถมทิ้งฉันไว้ที่โรงพักอีกต่างหาก!! =[]=

    ^^

    “นะ...นาย!!!

    ฉันล่ะอยากจะกัดลิ้นตัวเองตายจริงๆ นายยาจกนั่นทำไมถึงได้มาอยู่ในห้องทำงานของคุณป๋าได้ เขาเป็นใคร แถมเขายังหันมาส่งรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอีก ฆ่าฉันเถอะ!!!

    “ได้ข่าวว่าเจอกันครั้งแรกแกก็ไปสร้างปัญหาให้พี่เขาปวดหัวเสียแล้ว”

    “นี่!! นายมาอยู่นี่ได้ไง?”

    “เอาล่ะๆ เตลล่า นี่ซีนส์ เขาเป็น...”

    แต่แล้วคุณป๋าก็ต้องชะงักคำพูดลง ในขณะที่ฉันกำลังตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตกลงหมอนี่เป็นใครกันแน่? ฉันแอบสังเกตเห็นว่าเขาส่งสายตาให้คุณป๋าเชิงปรามว่าไม่ต้องพูด มันหมายความว่าไง?

    “ก็แค่หมาเน่าข้างถนนตัวนึง!!

    “ฉันเป็นลูกน้องภายใต้การบังคับบันชาของพ่อเธอ”

    เขาชิงตอบมาเสียเองโดยที่ฉันไม่ต้องถาม ฉันล่ะอยากถามเขาจริงๆว่าที่บ้านเขาไม่สอนคำว่ามารยาทกันบ้างเลยเหรอ?

    “เตกิล่า แกใช้คำพูดแบบนี้กับพี่เขาได้ยังไง? เขาจะหาว่าฉันไม่สั่งสอนแก”

    “เตลพูดความจริงนี่คะ”

    “เตกิล่า!! เฮ้อ..ช่วงนี้รถแกพังอยู่ ฉันก็เลยไหว้วานให้ซีนส์เขาช่วยไปรับไปส่ง”

    “คุณป๋า!!!

    แต่แล้วฉันก็ต้องร้องเสียงหลงออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ให้หมอนี่ไปรับไปส่งให้ฉันตายดีกว่า...

    “ต่อไปฉันจะให้เขามาช่วยดูแลเธอด้วย ขาดเหลืออะไรก็บอกซีนส์เขาแล้วกัน”

    “ไม่-มี-ทาง”

    ฉันพูดแยกคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ จะมีใครรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันแทบอยากกรีดร้องให้ทั้งโลกได้รับรู้ถึงความซวยบรมของตัวเอง ให้ตาย!

    “เตกิล่า!! เสียมารยาทต่อหน้าคนอื่นเขาแบบนี้ได้ไง? ไม่อายบ้างเหรอ?”

    “ให้ตายยังไงเตลก็รับไม่ได้ คุณป๋าไม่รู้เขาทำกับเตลไว้แสบแค่ไหน”

    “เตล!

    “ไม่มีทางที่เตลจะต้องไปพึ่งคนจนๆน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงอย่างนายนี่เด็ดขาด”

    “เลิกดูถูกคนอื่นสักที เตกิล่า!!  นี่คือคำสั่งของฉันที่เธอจะต้องทำตาม”

    “เตลไม่ทำ!!!

    “งั้นบัตรเอทีเอ็ม รวมถึงบัตรเครดิตทั้งหมดฉันจะสั่งอายัตทันที”

    “คุณป๋า!!

     

    ฉันสาวเท้ายาวๆออกมาจากตึกสูงที่ทำงานของคุณป๋า ด้วยอารมณ์หงุดหงิดถึงขีดสุด นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรให้ฉันต้องมาเจอเรื่องซวยบรรลัยแบบนี้ด้วยนะ โอ๊ยยย!! ฉันใช้มือขยี้หัวแรงๆจนผมของฉันฟูชี้ขึ้นมาเป็นหย่อมๆ ก่อนต้องจะกระทืบเท้าแรงๆอีกทีอย่างขัดใจ

    “รถไม่มี! เงินไม่มี! แล้วจะกลับบ้านยังไงเล่า ฮือออ T^T

    “นั่นสิ กลับยังไง?”

    ฉันหันขวับไปมองยังต้นเสียงที่ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าใคร ซีนส์เดินมาทางนี้พลางควงกุญแจรถมาด้วยความอารมณ์ดี ผิดกับฉันที่อารมณ์เสียจนแทบจะกระโดดงับหัวเขาได้อยู่แล้ว

    “รถฉันไฮโซอย่างเธอก็ไม่อยากนั่งเสียด้วยสิ”

    ท่าทางหมอนี่ดูแล้วหน้าหมั่นไส้ที่สุด -..-

    “งั้นคงต้องเดินกลับบ้านเอาแหละเนอะ จากนี่ไปคอนโดก็คิดว่าคงซัก 20 กิโลได้”

    ฉันต้องขบกรามแน่นอย่างพยายามจะระงับอารมณ์โทสะของตัวเองที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะหันมองตามแผ่นหลังกว้างของเขาที่หันหลังเดินไปเฉยๆ

    “นายจะไปไหน?!!

    “กลับบ้าน”

    “...”

    “ทำไม? จะให้ไปส่ง?”

    น้ำเสียงที่ราบเรียบบวกกับท่าทางเฉยเมยของเขาทำให้ฉันต้องเม้มริมฝีปากแน่น ฉันเอาแต่ก้มหน้างุด ในขณะที่หมอนั่นมองมาสักพัก เมื่อเห็นว่าฉันไม่ตอบก็หันหลังเดินกลับไปทันที T^T

    “เดี๋ยว!!

    ฉันรวบรวมความกล้าเอ่ยปากเรียกเขาอีกครั้ง ให้ตาย! ตั้งแต่เกิดมายังไม่รู่สึกเสียหน้าเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่ฉันอยากจะเอาหัวโขกฝาให้ตายกันไปข้าง แต่แน่นอน...ต้องไม่ใช่หัวฉัน ต้องเป็นหัวคุณป๋าคนต้นคิดโน้น รวมถึงไอ้มนุษย์ไร้ความรู้สึกตรงหน้านี่ด้วย

    “ไปส่งฉันหน่อย T^T

    “หือ?”

    สายตาของเขาบ่งบอกถึงความประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนไป ซีนส์ยิ้มขึ้นอย่างผู้ชนะ ซึ่งนั่นมันแทบจะทำให้ฉันต้องกระโดดถีบแล้วเอามีดมาจ้วงๆๆท้องเขาให้พรุนไปเลย คงสะใจพิลึก เหมือนฉันจะดูหนังฆาตกรโรคจิตมากไปแหะ - -“

     

    ฉันก้าวเท้าตามเขามายังลานจอดรถใต้ดินในตัวอาคาร ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าจนแล้วจนรอดยังไงก็ต้องมาพึ่งพาสถุนชั้นยาจกอย่างหมอนี่ ให้ตายสิ!

    เขาหยุดฝีเท้าลงหน้ารถพอซสีดำสนิท ที่ถูกขัดจนมันวาว ทำให้ฉันนึกแปลกใจเล็กน้อย อย่างหมอนี่จะมีปัญญาขับพอซรุ่นใหม่ได้ยังไง? ก่อนที่ฉันจะเลื่อนสายตาไปมองมอเตอร์ไซโทรมๆแล้วก็ต้องนึกขำในใจ บางทีหมอนี่อาจจะทำเป็นหยุดหน้ารถสุดหรู แต่จริงๆแล้วรถของเขาคือมอเตอร์ไซที่เหมือนจะพังแหล่ไม่พังแหล่แบบในเอ็มวีของเรนก็ได้

    “ตอนนี้รถฉันส่งไปทำสีอยู่ นั่งเจ้านี่ไปก่อนแล้วกัน”

    =[]=!!!!

    เขาพูดพลางยื่นหมวกกันน็อคมาให้ ใช่...เป็นอย่างที่คิดไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่ตอนนี้ฉันขำไม่ออกเหมือนในความคิดเท่านั้น ให้ฉันนั่งมอเตอร์ไซสัปปะรังเคนี่กลับบ้านนี่นะ? ล้อเล่นหรือเปล่า? 

    “กรี๊ดดดดดด!!!

    ตาย ตาย ตาย!!!

    ฉันคิดในใจพลางกระชับอ้อมกอดที่เอวของเขาให้แน่นขึ้น หลังจากที่เขาเบรกกะทันหันจนแทบจะทำให้ฉันตกลงมานอนกลิ้งอยู่กับพื้น ไอ้บ้า ไอ้นรก ไอ้ผู้ชายเฮงซวย และอีกหลายร้อยคำด่าที่ฉันจะสรรหามาด่าทอเขาในใจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้มาทำอะไรทุเรศๆแบบนี้มาก่อนในชีวิต สาบาน!

    “กรี๊ดดดดด!!

    แล้วฉันก็ต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้ง ก็เขาเล่นขับรถดีมาก!! ปาดหน้ารถสิบล้อไปชนิดที่เรียกว่าห่างกันราว 0.5 เซนเห็นจะได้ โอ๊ยยย!! นี่มันกรรมอะไรของฉันเนี่ยที่ต้องมาตกระกรรมลบากถึงเพียงนี้...

     

    ในที่สุดเขาก็จอดรถลง นั่นทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่งแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เมื่อสถานที่ที่เขาจอดไม่ใช่คอนโดสุดหรูหราอลังการของฉัน แต่เป็นร้านอาหารตามสั่งริมถนน ที่ฉันเองยังนึกขยาด พวกผู้คนที่เขากินเขากินกันเขาไปได้ยังไง? อาหารก็เหม็นแถมยังสกปรกโสโครกอีกต่างหาก

    “มาทำอะไรที่นี่?”

    “ก็เห็นอยู่ว่าฉันจอดหน้าร้านข้าว” (- -!!)

    “นายจะกินที่นี่เนี่ยนะ?”

    “อือ...จะกินไรสั่งเอาแล้วกัน”

    หมอนั่นพูดพลางเดินเข้าไปหาแม่ค้า แล้วพูดคุยกันราวกับจะสนิทสนมกันมาแต่ชาติปางก่อน ร้านริมถนนแบบนี้ใครจะไปกินลง? ไม่มีทาง

    “อย่าลืมนะว่าเธอโดนหักเงินเดือน”

    “เรื่องคนฉัน ร้านแบบนี้ฉันกินไม่ลงหรอก สกปรกจะตายไป!!

    ฉันพูดพลางกวาดสายตาไปรอบๆ ให้ฉันกินในที่แบบนี้ฉันยอมหิวตายเสียยังดีกว่า!

    “งั้นก็ตามใจเธอแล้วกัน อยากหิวตายก็เชิญ”

     

    เวลานานเกือบ 30 นาทีที่ฉันได้แต่ยืนเฉยๆที่รถ จนทำให้รู้สึกปวดเมื่อยจนขาแทบจะหลุดออกมายังไงยังงั้น อีตาซีนส์นี่ก็จะนั่งละเมียดละมัยพระกายาหารไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เห็นหรือไงวาฉันยืนเฉยๆมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ

    แต่แล้วตาฉันก็เป็นประกายวิบวับอย่างมีความหวัง เมื่อฉันเห็นซีนส์กำลังหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม แต่ในที่สุดความหวังของฉันก็ดับวูบลงอีกครั้ง เมื่อเขาเดินไปทักทายกับโต๊ะข้างๆพลางหย่อนสะโพกลงนั่งคุยกันเสียสนุกปาก! นี่เขากำลังแกล้งฉันใช่ไหมเนี่ย? ทุเรศที่สุดเลย TOT”

    “ไปกันเถอะ!

    ฉันเงยหน้าขึ้นมาสบในตาคมของเขาหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกราว 15 นาที ฉันมองเขาด้วยสายตาเคียดแค้นอย่างที่สุด นายรู้บ้างไหมว่าขาฉันเข็งจนจะกลายเป็นไม้ท่อนแล้วนะ!!

    “หึ!

    เขาหัวเราะในลำคอพลางขึ้นคร่อมอานรถมอเตอร์ไซแล้วเอาหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม อีตาบ้านี่ดันทำลอยหน้าลอยตาเหมือนสะใจอะไรสักอย่าง แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆสิ ให้ตาย!!

    “นี่นายแกล้งฉันใช่ไหม?!!!

    ฉันตัดสินใจตะวาดใสหน้าขาไปทันที ก็แหงล่ะ เล่นกับใครไม่เล่นนี่ T^T แต่หมอนั่นดันหันกลับมาแล้วทำหน้ามึนใส่ฉันอีก โอ๊ยยย!! ฉันใกล้จะเป็นบ้าเพราะหมอนี่อยู่แล้วนะ!!

    “อะ..อีตาบ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวย!! จนทีหนึ่งแล้วยังสะเออะมาหือกับคนอย่างฉันงั้นเหรอ? นายรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ห๊า?”

    - -?

    “เมื่อกี้นายจงใจแกล้งฉันใช่ไหม?!!

    “อ่าห้ะ!

    กรี๊ดดดดดดดด!! ฉันอยากจะกรีดร้องออกมา ให้ตายสิ! หมอนี่ตอบได้หน้าตาเฉยมาก! ขอเน้นว่ามาก!! ฉันได้แต่กระทืบเท้าเต้นอยู่กับที่แบบนี้เพราะไม่รู้จะเถียงเขาไปว่ายังไงดี

    “นะ...นาย!!! ทำแบบนี้ได้ยังไง? อะ...ไอ้ ไอ้ทุเรศ!!

    “ก็เธออยากยืนไม่ยอมเข้าไปนั่งข้างในเอง ฉันก็ช่วยไม่ได้ ฉันบอกเธอแล้วนะ!

    “กรี๊ดดดดดดด!!! T^T

    - -!!

    “ฉันเกลียดนาย ไอ้บ้า! ไปให้พ้นเลย กรี๊ดดดดดด!!T^T

    “หึ”

    เขากระตุกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะออกรถไปด้วยความเร็วกว่าแสง!! แล้วฉันจะกลับบ้านยังไงเนี่ย? ฉันยืนหันรีหันขวางอยู่หน้าร้านอาหารตามสั่งอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ใจหนึ่งก็คิดดีใจที่เขาไปพ้นๆหน้าฉันได้เสียที แต่อีกใจก็แอบนึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ไอ้กร๊วกกก!! ทิ้งฉันเอาไว้อีกแล้วนะ

     

    ฉันเดินมาเรื่อยๆตามทางฟุตบาทข้างถนน อันที่จริงฉันก็ไม่มีจุดหมายในการเดินหรอกนะ ตอนนี้อยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฉันก็ยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าตอนนี้ขาฉันทั้งล้าทั้งเมื่อยจากที่ยืนรอหมอนั่นหน้าร้านอาหารตามสั่งแถมยังต้องมาเดินกลับบ้านที่ไปทางไหนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ

    ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลง แสงไฟสลัวๆจากเสาไฟข้างถนนบวกกับแสงไฟหลากสีสันของเหล่าร้านค้า และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่ระยิบระยับในความมืดดูแล้วก็ให้ความรู้สึกสวยไปอีกแบบ แต่ตอนนี้ฉันกลับไม่มีความรู้สึกสนุกด้วยเลยสิ ขาของฉันแทบจะไม่เหลือแรงที่จะก้าวเดินแล้ว แถมอาการหิวก็เริ่มครอบงำจนทำให้สายตาของฉันพร่ามัวไปหมด

    ยอมรับวาตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอกับอะไรที่เลวร้ายขนาดนี้ ชีวิตฉันมันโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทุกอย่างกลับพังหมด เพราะนายนั่นคนเดียว!!

    “ฉันเกลียดนายที่สุดเลย!!!

    ฉันยกมือปาดน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย พยายามจะกลั้นเสียงสะอื้นสุดความสามารถ ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าอะไรที่ฉันจะต้องไปเสียน้ำตาให้สักนิด แต่คิดเท่าไหร่มันก็ยังเจ็บใจ คิดเท่าไหร่ก็ยิ่งสมเพศตัวเองมากเท่านั้น ทั้งๆที่เขาร้ายซะขนาดนั้น..แต่ในที่สุด ในที่สุดก็ต้องมารับการช่วยเหลือจากเขาอยู่ดี

    “วิ๊ดดดดวิ้ววววว น้องสาว มาคนเดียวเหรอจ๊ะ?”

    ฉันเบือนสายตาไปมองพวกจิ๊กโก๋ไร้สาระข้างตัว คนพวกนั้นค่อยๆเดินเข้ามาหา และหนึ่งในนั้นก็โอบไหล่ฉันเอาไว้ ฉันล่ะรู้สึกขยะแขงพวกบัดสบพวกนี้จริงๆ

    “นี่! ปล่อยฉันนะ!!!

    ฉันหันไปขึงตาใส่หมอนั่น ก่อนจะพยายามสลัดตัวออกห่างสุดฤทธิ์

    “อุ้ย..ฤทธิ์เยอะเสียด้วยแหะ”

    “ฉันบอกให้ปล่อยไง ไอ้สัตว์นรก!

    “อื้อหือ! ปากร้ายซะด้วย แบบนี้ต้องสั่งสอนเสียหน่อย”

    ผู้ชายหน้าตาคล้ายคางคากคนนึ้นล๊อคคอฉันเอาไว้แน่น ตอนนี้ฉันรับรู้ได้ว่าไม่สามารถต้านทานแรงของชายคนนี้ได้เลย ก็เล่นหุ่นยิ่งกว่านักยกน้ำหนักเสียแบบนั้น ผู้หญิงบอบบางอย่างฉันจะสู้ได้ยังไง? หมอนั่นค่อยๆโน้มหน้าเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ จนฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนอยากอ้วกเต็มทน

    ถุย!!!

    ฉันท่มน้ำลายใส่หน้าไอ้กระซวกนั่นไปเต็มๆ หมอนั่นคลายมือออกจากฉันก่อนจะเอามือไปปาดน้ำลายฉันออกจากหน้า ใครจะรู้ไหม? ว่าตอนนี้ฉันไม่มีแรงเลย ทั้งหิวทั้งเหนื่อย! T^T

    “หึ!

    เจ้านั่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะค่อยๆเอามือที่ติดน้ำลายของฉันขึ้นมาดมพลางเลียมันไปทั่ว โอ๊ยยย! แค่เห็นฉันก็จะอ้วกแล้ว นี่มันโรคจิตชัดๆ

    “สวยๆแบบนี้ มาเป็นเมียพี่เสียดีกว่ามั้ง”

    เขาเอ่ยขึ้นพลางต่อยเข้ามาที่ท้องของฉันเต็มแรง เสียงหัวเราะหน้าสยดสยองของพวกนั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ความเจ็บปวดเริ่มแผดซ่านไปทั่วทั้งร่างกาย ก่อนที่ทุกสรรพสิ่งจะดับวูบไปทันที

     

    Let's talk about 'SEVERE'
    ซีนส์หล่อออ แอ๊ .. แอร๊ยยยยยยย -.,-
    ขอกรี๊ดก่อนซักที 5555555 ; คนอ่านไม่มีเลยแฮะ !
    เหมือนนิยายเรื่องนี้จะไม่นรุ่งซะละ TT^TT งอแงๆ
    แต่ไม่เป็นไรค่ะ ไม่มีใครอ่านหนูก็จะอัพ เอากับหนูดิ! -3-
    หนูพยายามเต็มที่ละ TTT TTT ฮือๆ

    กรี๊ดกร๊าดค่ะ ! พรุ่งนี้สอบวันสุดท้ายแล้ว โอ้วเย้ๆ
    ส่ายตูดกันหน่อยสาวๆ เอ้า! โยกย้าย ๆ โยกย้าย ส่ายสะโพกโยกย้าย -OO-
    (บ้าไปล๊ะอินี่ ! -w-)

    และที่สำคัญที่สุดก็คือ หนูจะได้เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า
    จากบ้านนอกเข้าเมืองกรุงกับเค้าแล้ว ว้าววววววๆ *O* คือจุดประสงค์หลักจะไปแรดค่ะ
    ตื่นเต้นๆ >[]< วิ้วววววว
    (นอกเรื่องเกินไปล๊ะ กลับเข้ามาในเรื่องของเราดีกว่า 55)

    ตอนนี้ยาวมากกก! 13 หน้า A4 กว่าๆ แหนะ
    จริงๆเค้าก็ไม่รู้นะว่าตอนนึงต้องใส่ประมาณซักเท่าไหร่ คือก๊อปแล้ววางเลยไง
    ฮึกๆ เตลล่าของเราโดนโรคจิตจับตัวไปแล้ว !!!
    อยากบอกว่าซีนส์สุดหล่อใจร้ายมาก T^T 55555 ' ถึงจะใจร้ายก็อย่าพึ่งเบื่อผู้ชายคนนี้ก่อนนะคะ
    จูบบบบบบบ >3<

    I Love U Ma ' Reader

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×