ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักแท้....หรือจะมีจริง!? [yaoi]

    ลำดับตอนที่ #6 : กฏบ้าน

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 58




                'กฏบ้าน' 


               ...................................................

     

    วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมมีงานตอนช่วงบ่ายจนถึงสองทุ่ม ดังนั้นเวลาว่างวันนี้ผมเลยว่าจะซักผ้า ทำความสะอาดบ้านซักหน่อย แต่พอลงบันไดมาก็เจอกับคุณคริสกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟา มองเลยเข้าไปในครัวก็เจออาหารเช้าชุดหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะอาหาร

     

    ผมก้าวเท้าลงบันไดขั้นสุดท้าย คุณคริสละสายตาออกจากหนังสือพิมพ์มามองผมพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ

     

    “หิวมั้ย? ฉันทำอาหารเช้าเผื่อ”

     

    “ขอบคุณ” ผมเดินไปที่โต๊ะอาหาร นั่งลงกินข้าวเงียบๆ

     

    หลังกินข้าวและล้างชามเรียบร้อย ผมก็มาทรุดนั่งตรงข้ามคุณคริส จ้องมองเขาไปเรื่อยๆ จนเขาต้องเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาสงสัยให้

     

    “มีอะไรหรอ?”

     

    “คุณไม่จำเป็นต้องทำอาหารเช้า อาหารเย็นเผื่อผม”

     

    “อา...”

     

    “....เราไม่ได้รู้จักกันมานานขนาดนั้น อีกอย่างช่วงนี้ผมต้องกลับดึกทุกวัน ข้าวก็ต้องกินที่คณะ กลับมาอาหารของคุณก็เย็นหมด แล้วก็ต้องทิ้ง เสียดายของ”

     

    “แต่ฉัน....” เขาอ้ำอึ้ง ดูก็รู้แล้วว่าคงไม่ยอมเลิกทำอาหารเผื่อผมแน่

     

    “ไม่มีแต่ ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

     

    “แต่ฉันอยากช่วย” คุณคริสสวนขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบ

     

    “นี่คุณ!” นี่เขาฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไงเนี่ย

     

    “น่า เอาเป็นว่าฉันจะไม่ทำอาหารเย็นรอ แต่จะทำอาหารเช้าให้ โอเคมั้ย!?” ผมพยักหน้าอย่างจำยอม เพราะรู้ว่าห้ามเขาไปก็คงไม่มีประโยชน์ ต่อรองได้เหลือแค่อาหารเช้าก็ดีถมไปแล้ว

     

    “เฮ้อ...อีกอย่าง....ผมคิดว่าเราควรมีกฎบ้าน” ทันทีที่จบประโยค คุณคริสก็ขมวดคิ้ว เขาคงคิดว่าไม่เห็นจำเป็นเพราะวันๆหนึ่งเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันล่ะมั้ง

     

    “อ่าฮะ เอาสิ”

     

    “กฎของผมมีไม่กี่ข้อ ข้อแรกห้ามจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ที่นี่ ข้อสองห้ามพาใครมา นอน ที่นี่ แค่นี้แหละ” พูดจบผมเอนหลังพิงพนักโซฟา รอฟังกฏของเขา

     

    “อืม น้อยจัง” เขาคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่ผม “ของฉัน...ข้อแรกเธอต้องกินข้าวเช้าของฉันทุกวัน”

     

    “ห๊ะ!?”

     

    “ข้อสองจะไปไหนหรือค้างที่อื่นให้บอกกัน หรือแปะโน้ตไว้ที่ห้องเปียโน ฉันซื้อกระดานมาติดแล้ว อ้อ! ระบุสถานที่ด้วยนะ”

     

    “คุณ...นี่....”

     

    “ข้อสามห้ามปฏิเสธของที่ฉันให้ ข้อสี่เวลาทะเลาะกันห้ามเดินหนี ให้คุณกันให้รู้เรื่อง”

     

    “คุณ....! มันจะมากไปแล้วนะ!

     

    “อ้อ! อีกข้อหนึ่ง เรียกฉันว่าพี่คริสด้วยนะ” เขายิ้มกว้างสุดๆ และผมก็หงุดหงิดสุดๆเช่นกัน กฏบ้าอะไรมีแต่ประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้น

     

    “มันจะมากไปแล้วนะคุณ!....คุณคริส! คุณคริส!!” ผมแทบจะตะโกนเรียกเขา แต่เขาก็ยังคงก้มหน้าก้มตามองหนังสือพิมพ์ในมือ ผมสูดหายใจดับอารมณ์ที่คุกกรุ่น ก่อนจะยอมพูดคำที่เขาต้องการจะได้ยิน “...พี่คริส”

     

    “ครับ....น้องตอง” เขาคลี่ยิ้มหวาน

     

    “กฎของคุณมัน....”

     

    “อ๊ะๆ ไม่ใช่คุณครับ พี่คริสต่างหาก” เขายิ้มยียวน อารมณ์ผมเดือดขึ้นทุกนาทีจนต้องสูดหายใจเข้าอีกครั้ง

     

    “กฎของพี่มัน....มันเกินไป!

     

    “ข้อไหน?”

     

    “ทุกข้อ!

     

    เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “งั้นลองคิดตามพี่นะครับน้องตอง....

     

    ข้อแรก....ถ้าพี่ทำอาหารเช้าไว้แล้วน้องตองไม่กิน มันก็จะถูกเททิ้ง ทำเสียเปล่าอีก น้องตองไม่ชอบใช่มั้ยล่ะครับ!?

     

    ข้อสอง....เกิดเราไม่บอกกันว่าจะไปไหน แล้วถ้ามีใครหายไป น้องตองจะตอบใครได้มั้ยครับว่าพี่หายไปไหน!? แล้วพี่จะบอกป้าดายังไงว่าน้องตองหายไปไหน!?

     

    “ละ...แล้วข้อสี่ล่ะ!!

     

    เขาแสร้งถอนหายใจ พิงหลังลงกับพนักพิง “เฮ้อ....อันนั้น....ถ้าน้องตองปฎิเสธของจากพี่ แล้วไอพวกนี้มันจะไปอยู่ไหนล่ะครับ!?” เขาชูถุงเสื้อกั๊กตัวหนึ่งขึ้นโบกไปมา

     

    “อะ....คุณนี่มัน...!!

     

    “อ๊ะๆ พี่คริสต่างหากครับน้องตอง...”

     

    “ชิ....”

     

    “อืม...ส่วนข้อห้า...มันก็เป็นปกติของคนที่อยู่บ้านเดียวกัน จะต้องมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันใช่มั้ยล่ะครับน้องตอง!?

     

    “แล้วข้อสุดท้ายเกี่ยวอะไรด้วย!?

     

    “มันก็ไม่เกี่ยวอะไรหรอกครับ....” เขาคลี่ยิ้มสดใส มือเรียวกางหนังสือพิมพ์ในมืออีกครั้ง “....พี่แค่พอใจ” แล้วก้มลงอ่านข่าวที่ค้างไว้

     

    ผมนิ่งอึ้งค้าง มือไม้สั่นไปหมด ไม่นึกว่าเขาจะเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนี้เลย ให้ตายเถอะ!

     

     

     

     

    ....ตึกตัก....ตึกตัก....ตึกตัก....

     

     

     

     

     

    ....แล้วทำไมผมต้องใจเต้นแรงกับยิ้มของเขาด้วยเนี่ย!?...

     

     

    ......................................................................

     

     

    หลังจากตอนเช้าผมก็ขึ้นไปทำความสะอาดชั้นสอง ยกเว้นห้องนอนของ...อะ...เอ่อ...พี่คริส.... ลงมาอีกทีก็ไม่เห็นเขาแล้ว ผมลองไปดูกระดานที่ห้องเปียโน ก็เจอโน้ตของเขาเขียนไว้ว่าออกไปบริษัท ที่มุมกระดาษเองก็มีเขียนที่อยู่ของบริษัทไว้เสร็จสรรพ

     

    ผมอดรู้สึกดีนิดๆ ที่เขารักษากฎ ยอมทำตามอย่างที่พูดไว้ แต่ก็ยังเคืองไม่หาย ที่เขาเจ้าเล่ห์ได้ขนาดนั้น

     

    ผมเอาผ้าลงเครื่อง ตั้งเวลาซักไว้ ก่อนจะกลับเข้ามาในครัว ตั้งใจว่าจะทำมื้อเที่ยงกินก่อน ค่อยไปตากผ้าแล้วไปร้านพี่คราม

     

    ....เหมี๊ยว....เหมี๊ยว....

     

    เสียงเล็กๆของลูกแมวลอยมาเข้าหู ผมมองหาสักพักก็เจอเจ้าตัวต้นเสียงนั่งส่งเสียงร้องอยู่ที่ระเบียงฝั่งที่ติดกับแปลงกุหลาบ มันส่งสายตาบ้องแบ๊วมาทางผม มองไปมองมาผมก็อดใจอ่อนไม่ได้ ต้องยกไก่ที่เพิ่งทอดเสร็จใหม่ๆไปให้มันสองชิ้น

     

    จมูกเล็กๆไล้ดมชิ้นไก่ไปมา ก่อนจะค่อยๆแทะกินอย่างหิวโหย ผมลูบหัวมันเบาๆ ซึ่งมันก็เชื่อง ยอมให้ผมจับได้ง่ายๆ เจ้าตัวเล็กตรงหน้าดูไปก็เหมือนจะเป็นแมวพันธุ์ดีหายาก ตัวมันเป็นสีขาวมีแต้มสีดำที่กลางหลังจนถึงใบหู ขนยาวกว่าแมวไทยปกติเล็กน้อย น่าจะเป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์ขาวมณีกับเปอร์เซียน ถ้าโตมากกว่านี้ขนก็น่าจะยาวขึ้นตาม

     

    ผมลุกขึ้นแล้วกลับเข้าไปในครัว เทน้ำเปล่าใส่ถ้วยเล็กๆไปวางไว้ข้างๆเจ้าตัวเล็กที่แทะไก่ชิ้นแรกหมดแล้ว ผมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกลับเข้ามาจัดการมื้อเที่ยงของตัวเองจนเสร็จ ออกไปอีกทีก็ไม่เจอแมวตัวนั้นแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงเศษกระดูกกับถ้วยเปล่า....มันคงเป็นแมวจรจัด กินเสร็จแล้วก็ไป เร่ร่อนตามตรอกซอกซอยไปทั่ว ถ้าพรุ่งนี้มันมาอีก ผมก็ตั้งใจว่าจะเลี้ยงมันไว้ แต่นั่นก็หมายถึงผู้อาศัยร่วมกันอีกคนต้องอนุญาตด้วย

     

    หลังตากผ้าเสร็จ ผมก็ขึ้นไปอาบน้ำอีกรอบ แล้วไปทำงานที่ร้านพี่คราม

     

    ที่ร้านพี่ครามผมทำหน้าที่มาแล้วแทบจะทุกหน้าที่ ทั้งเด็กเสิร์ฟ พนักงานต้อนรับ แคชเชียร์ บาร์เทนเดอร์ เหลือเพียงอีกอย่างเดียวที่ผมยังไปได้ทำ ก็คือพนักงานล้างห้องน้ำ หน้าที่วันนี้ของผมคือเป็นเด็กเสิร์ฟ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบาร์เทนเดอร์ในตอนค่ำ จนถึงสองทุ่มก็จะมีพนักงานอีกกะหนึ่งมาเปลี่ยน

     

    จนทุ่มกว่าๆคุณคริส....เอ่อ...พี่คริส...ก็เข้ามาที่ร้าน นั่งที่บาร์ ซึ่งตอนนี้ลูกค้ายังไม่ค่อยเท่าไหร่ ตรงบาร์จึงเหลือแต่ผมคนเดียว

     

    “รับอะไรดีครับ”

     

    “อมาเร็ตโต้” ผมหันกลับไปเทเหล้าที่เขาต้องการ ก่อนจะหันกลับมาเสริฟให้เขา

     

    อมาเร็ตโต้เป็นเหล้าชั้นดีของอิตาลี ทำมาจากเมล็ดของแอปปริคอร์ท อัลมอนด์ และวานิลา มีสีอำพันออกแดง เหล้าชนิดนี้ค่อนข้างจะโด่งดังในหมู่ผู้ชายที่ชอบตั้งวงสนทนาเฉพาะเรื่องที่ชอบ เพราะมีรสออกหวานนิดๆ ช่วยคลอบรรยากาศได้เป็นอย่างดี

     

    “นี่ครับ”

     

    เขารับแก้วไป ก่อนจะจิบไปอึกหนึ่ง “ฉันมารอรับเธอ”

     

    “ไม่จำเป็น” ผมตอบกลับไป คิ้วผมมุ่นเข้าด้วยกันทันที

     

    “ฉันอยากทำ” เขายิ้มกว้างยียวน

     

    “นี่คุณ...!!

     

    “ขอวิสกี้แก้วหนึ่งค่า...” ผมกำลังจะเถียงเขากลับ แต่เสียงลูกค้าดังขึ้นจากอีกฝั่งทำให้ผมต้องผละจากเขาไปรับออเดอร์จากลูกค้า

     

    หลังจากลูกค้าคนแรก คนต่อไปก็เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้ผมไม่มีเวลาไปดูแก้วของพี่คริส แต่จากที่เห็น เขาก็ยังนั่งจิบเหล้าเรื่อยๆ บางครั้งยังมียกแก้วมาทางผมอีก

     

    ตอนนี้มีบาร์เทนเดอร์อีกคนเข้ามาคุมฝั่งที่พี่คริสนั่งอยู่ ผมเองก็ต้องรอจนกว่าอีกคนจะมาเข้ากะ เพราะกลางดึกแบบนี้มีลูกค้าที่บาร์ค่อนข้างจะแน่น ทำให้ต้องมีบาร์เทนเดอร์สองคน คอยคุมสองฝั่งซ้ายขวา

     

    ไม่นานนักบาร์เทนเดอร์อีกคนก็เข้ามา ผมพูดคุยทักทายกับเขานิดหน่อย ก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนชุดเป็นชุดธรรมดา ออกมาก็เจอพี่คริสยืนพิงกำแพงมองมาทางผม ในปากคาบบุหรี่ยี่ห้อแพงอยู่ ผมยู่หน้าเล็กน้อยกับกลิ่นบุหรี่ ผมไม่ชอบกลิ่นมัน มันทั้งเหม็นแล้วยังทำให้เป็นมะเร็งอีก

     

    “ไม่ชอบหรอ!?” เขาคีบบุหรี่ออกจากปาก หันหน้าไปทางอื่นแล้วพ่นควันออก แล้วปาบุหรี่ลงพื้นพร้อมขยี้ซ้ำให้มันดับ

     

    “ใช่ มันเหม็น”

     

    “งั้นพี่จะเลิก” พี่คริสยิ้มบาง ส่งสายตาอ่อนโยนให้ผมเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน

     

     

     

     

     

    ....ตึกตัก....ตึกตัก....ตึกตัก....

     

     

     

     

    .....บ้าจริง! ผมใจเต้นแรงอีกแล้ว!!....

     

     

     

     

    ระหว่างทางเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย มีเพียงเสียงเพลงคลอเบาๆไม่ให้เงียบเกินไปเท่านั้น จนถึงปากซอยบ้านเขาก็หันมาถามผม

     

    “พี่จะซื้อของไปทำข้าวเย็น ตองอยากกินอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?” พี่คริสดึงรถเข็นออกมาคันหนึ่ง

     

    “ไม่มีครับ”

     

    “อืม....งั้นเมนูหลักวันนี้เป็นแกงส้มชะอมไข่ กับกุ้งมะนาวก็แล้วกัน ตองแพ้อะไรรึเปล่า?”

     

    “ไม่มี” เราเดินซื้อของกันไปเรื่อยๆ มีทั้งของที่ใช้ทำมื้อเย็น แล้วก็ขนมทานเล่น “ทำไมพี่ทำอาหารเก่งจัง?” ผมถามขณะที่เขากำลังยืนเลือกกุ้งอยู่

     

    “ที่บ้านพี่จะสอนให้ลูกทุกคนทำอะไรเองตั้งแต่เด็กแล้ว แล้วพอพี่ออกมาอยู่หอตอนไฮสคูลก็เลยต้องทำเป็นไปโดยปริยาย ยิ่งพวกเพื่อนพี่มันชอบลองทำอะไรใหม่ๆแล้วด้วย....ทีนี่ก็มันส์กันล่ะ ลองอะไรแผลงๆแม่งทุกอย่างจนเกือบโดนลากเข้าคุกแล้ว” เขาเล่าให้ฟังระหว่างที่กำลังรอชั่งกิโลกุ้งอยู่

     

    “ฮะ อย่างพี่เนี่ยนะ!?” แทบจะไม่น่าเชื่อ คนที่ดูเพอร์เฟคอย่างเขาเนี่ยนะจะเกือบเขาคุก นึกว่าเขาจะเป็นพวกทำอะไรก็ต้องมีกำหนดการก่อนซะอีก

     

    “คิดไม่ถึงล่ะสิ เห็นอย่างนี้พี่ก็เคยเป็นเด็กนะครับน้องตอง” เขายิ้มกวนๆ

     

    “ฮึๆ แต่ตอนนี้แก่มากแล้วใช่มั้ยครับ!?

     

    “โห...พูดซะพี่เสียเลย พี่เพิ่งจะ 23 เองนะครับน้อง” เฮ้ย! นี่เขาเพิ่ง 23 เองหรอเนี่ย!? ถึงหน้าตาเขาจะดูเด็ก แต่บุคลิกการวางตัวของเขาทำให้ผมนึกว่าเขาเกือบ 27 แล้ว

     

    23 เองหรอ!?

     

    “เฮ้ย! หน้าพี่แก่ขนาดนั้นเลย!?” เขาทำหน้าตกใจ หันมาถามผมทันที

     

    “ฮะๆๆ เปล่าๆ แต่บุคลิกพี่น่ะเหมือนผู้ใหญ่มากน่ะสิ” ผมหัวเราะ เพิ่งเห็นเขาหลุดฟอร์มก็วันนี้แหละ

     

    “โห่ ตกใจหมด” เขาส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วเข็นรถไปโซนผัก

     

    “แต่อายุ 23 น่าจะยังเรียนอยู่นี่ครับ”

     

    “พี่ใช้ระบบสอบเทียบเอา ได้เรียนจริงๆคือตอนม.3 ตอนนั้นรู้สึกเพิ่งจะ 11 เอง” เขาเลือกหยิบมะนาวใส่ถุง แล้วเอาไปชั่งกิโล

     

    “อืม....อัจฉริยะสินะ”

     

    “ฮะๆ แค่เด็กขยันอ่านน่า” เสร็จจากเลือกมะนาวเราก็เข็นรถไปจ่ายเงินกัน จนถึงบ้านเราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย แต่บรรยากาศกลับดีขึ้น ไม่มีความอึมครึมอย่างเดิมอีก

     

    ระหว่างที่กินข้าวกันผมก็ถามเรื่องเจ้าเหมียวตัวเมื่อเช้า แต่ไม่น่าเชื่อ อาหารของเขาอร่อยมากจริงๆ เสียดายที่ผมมักจะกลับมาไม่ทันอาหารเย็นเขาจนต้องเททิ้ง

     

    “ผมเลี้ยงแมวได้มั้ย!?

     

    “แมวหรอ? ได้สิ จะไปซื้อหรือไง?” เขาตักข้าวเข้าปากคำโต ท่าทางจะหิวมาก เพราะกว่าจะได้กินกันจริงๆก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว

     

    “เปล่า ผมเจอมันเมื่อตอนเที่ยง กะว่าพรุ่งนี้ถ้ามันมาอีกจะให้มันมาอยู่ด้วย ถ้ามันอยากมาน่ะนะ” ผมวางช้อนลง เพราะเริ่มอิ่ม มือเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำมาดื่ม

     

    “หืม พูดแปลกๆนะเรา แต่ก็จริง สัตว์น่ะ ถ้าอยากอยู่มันก็จะอยู่ ถ้าไม่อยากอยู่มันก็ไม่อยู่”

     

    กินข้าวเสร็จผมก็อาสาล้างชาม หลังจากนั้นเราก็ต่างคนต่างเข้านอน

     

    คืนนั้นผมตัดสินใจร่างภาพหนึ่งลงบนกระดาษก่อนจะหลับไปจริงๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

    แกร๊ก

     

    “วันนี้ก็ฝันดีนะครับ”

     

     

     

    เสียงนุ่มๆนั่นมาบอกฝันดีผมอีกแล้ว.....

     

     

    ..................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×