ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้านาง...ยอดดวงใจ

    ลำดับตอนที่ #17 : เปลี่ยนไป...เพราะรัก

    • อัปเดตล่าสุด 22 ธ.ค. 51


    เปลี่ยนไป..เพราะรัก

    หลังกลับจากการไปเยี่ยมดูพระอาการของเจ้าพี่หน่อคำ เจ้านางน้อยก็เสด็จกลับมายังที่พัก จึงทรงเห็นพระพี่นางทรงกรรแสงอยู่ “พระพี่นาง ร้องไห้ทำไมเจ้า” พลางโอบกอดเพื่อปลอบโยน “พี่มิเป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย แค่ไม่เข้าใจอะไรเท่านั้นเอง” เจ้านางน้อยทรงรู้ดีว่าพระพี่นางนั้นหากว่ามีสิ่งใด ถ้าไม่ตรัสเล่าให้ฟังเอง ก็อย่าหวังว่าจะได้ยินจากปาก จึงมิว่ากระไรต่อไป “น้องไปเยี่ยมเจ้าพี่หน่อคำมาเจ้า” ร่างบางที่กำลังกรรแสงชะงักนิ่งเพื่อรอฟังพระอาการของคนที่เป็นห่วงยิ่ง “ทรงบรรทมอยู่ตอนน้องไปแต่เมื่อกี้เห็นคำแก้วบอกว่าทรงมีไข้เจ้า พระพี่นางไม่ทรงไปดูเจ้าพี่หน่อคำหน่อยรึเจ้า หมอหลวงก็ไม่มี มิรู้ว่าทรงป่วยเป็นไข้อะไร” “พี่จะไปช่วยอะไรพระองค์ได้เล่า ยิ่งเป็นผู้หญิง พระองค์คงไม่ไว้พระทัยให้พี่รักษาหรอก” เอะ...หรือว่าจะทรงน้อยพระทัยเจ้าพี่หน่อคำ แล้วทรงไปเจอกันตอนไหนน๊า “แต่พระพี่นางของน้องเก่งที่สุดแล้วนี่เจ้า ขนาดหมอหลวงยังชมมิขาดปากว่าพระพี่นางเก่งเรื่องการรักษาด้วยยาสมุนไพรยิ่งนัก” ทรงเอื้อมพระหัตถ์ลูบพระเกศาของพระน้องนางแล้วทรงตรัสในสิ่งที่อยู่ในพระทัย “ที่พี่เลือกที่จะเรียนรู้เรื่องการเป็นหมอรักษาคนนั้น มิใช่เพื่อให้ใครมาคอยชม พี่อยากให้ความรู้ของพี่เป็นประโยชน์มากกว่า แต่เจ้าก็รู้ว่าในยามปรกติแล้วคนไม่ค่อยให้ความเชื่อถือหมอที่เป็นหญิงอยู่แล้ว สำหรับพี่แล้วยิ่งยากขึ้นไปอีก ด้วยความที่เป็นขัติยนารีนี่แหละยิ่งทำให้ใครเค้าไม่กล้าให้รักษาเข้าไปอีก ทำให้พี่มิค่อยมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองสักเท่าไหร่” โถ.. พระพี่นางของน้อง “ยังไงแล้วด้วยจรรยาบรรณของการเป็นหมอ ห้ามเลือกที่จะรักษาคนไข้อยู่แล้วนี่เจ้า พระพี่นางไปดูพระอาการของเจ้าพี่หน่อคำหน่อยนะเจ้า” เมื่อทรงเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะปฏิเสธ ด้วยไม่มีหมอหลวงตามมาด้วย เจ้านางอัญจิมาจึงทรงรับปากจะไปดูพระอาการของเจ้าหน่อคำ

    เมื่อเจ้านางอัญจิมาเสด็จมาถึงที่พักของเจ้าหน่อคำนั้น ก็มิมีผู้ใดอยู่เลย เพราะคนป่วยนั้นทรงไม่ยอมให้ใครเข้ามาดูแล ทรงบรรทมอยู่บนเตียง พระพักตร์นั้นแดงด้วยพิษไข้ เหงื่อชุ่มพระวรกาย ทรงแพ้พิษงูเป็นแน่แท้ เจ้านางจึงเดินเข้าไปใกล้เตียงแนบพระหัตถ์กับหน้าผากขององค์ราชัญ “อุ๊ย..ทำไมถึงปล่อยให้ไข้ขึ้นสูงถึงเพียงนี้เล่า” จึงหันไปบิดผ้าในอ่างน้ำ เพื่อเช็ดพระพักตร์และพระวรกายให้พระองค์ “ข้าบอกว่าอย่ายุ่งกับข้าไงเล่า” พระสุรเสียงที่ตวาดนั้น ช่างอ่อนแรงยิ่งนัก พระหัตถ์ใหญ่นั้นไล่ปัดผ้าที่คอยเช็ดพระวรกายอยู่ “อยู่นิ่ง ๆ ได้มั้ยเจ้า น้องทำไม่ถนัด” พระสุรเสียงที่อ่อนหวานนั้น ทำให้พระหัตถ์ที่คอยปัดออกนั้นหยุดชะงักทันใดพระเนครที่ปิดสนิทนั้นลืมขึ้นทันใด “เจ้านางอัญจิมา ทรงมาทำอะไรที่นี่” “น้องมาดูอาการของพระองค์ เห็นว่าทรงเป็นไข้” พระหัตถ์น้อยนั้นก็คอยเช็ดพระวรกายให้พระองค์ไปด้วย “พี่มิเป็นไรแล้ว” “ตัวร้อนถึงเพียงนี้ ยังว่ามิเป็นไรอีกหรือเจ้า” เออนะ พระพักตร์นวลนั้นอยู่ใกล้ถึงเพียงนี้ ยิ่งมองดูใกล้ ๆ อย่างนี้เจ้าช่างงามยิ่งนัก เมื่อทรงรู้สึกว่าองค์ราชัญนั้นเงียบไป จึงเงยพระพักตร์ขึ้นมองก็พลันสบสายพระเนตรที่มองมา พระพักตร์นวลนั้นพลันเปลี่ยนเป็นสีชมพู ด้วยรู้สึกอายขึ้นมาเหมือนกันที่คอยเช็ดพระวรกายให้พระองค์อย่างนี้ ด้วยมิทรงเคยทำให้ใครมาก่อนเหมือนกัน “เสร็จแล้วเจ้า” “ฮึ เสร็จแล้วรึ พี่ว่ามันยังไม่ทั่วเลยนะ” พระพักตร์นวลนั้นยิ่งชมพูเข้มขึ้นอีก ด้วยเช็ดให้แต่พระวรกายส่วนบน จึงเสลุกขึ้นเดินไปหยิบฉลองพระองค์ตัวใหม่มายื่นให้พระองค์ เมื่อทรงเห็นว่าเจ้านางนั้นทรงอายยิ่งนักจึงลอบอมยิ้มด้วยถูกพระทัย ก่อนจะทรงรับฉลองพระองค์มาสวมใส่ เมื่อทรงสวมฉลองพระองค์เสร็จแล้วก็พลันมีถ้วยยายื่นมาตรงหน้าพระพักตร์ “ดื่มให้หมดนะเจ้า” พระพักตร์คมเข้มนั้นบิดเบ้ทันใด “พี่ไม่ชอบกินยามันขม” พลันร่างบางที่กำลังส่งถ้วยยาให้นั้นก็ทรงพระสรวลขึ้นมาด้วยตลกองค์ราชัญยิ่งนัก พระวรกายสูงใหญ่ทำไมถึงกลัวกับยาแค่ถ้วยเดียว อ๋อ.... เข้าใจแล้วที่มิยอมให้ใครเข้ามาถวายการดูแล เพราะกลัวใครจะรู้ว่าพระองค์กลัวการเสวยยานั่นเอง “หัวเราะอะไรเล่า ก็มันขมจริง ๆ นี่ ไม่เอาไม่กินหรอก ปล่อยไว้อย่างนี้แหละเดี๋ยวมันก็หาย” รีบหันพระพักตร์หนีด้วยทรงงอนขึ้นมาที่ทรงถูกหัวเราะเยาะ เมื่อทรงเห็นว่าพระองค์นั้นคงงอนที่เสียพระพักตร์ และคงมิยอมเสวยยาง่าย ๆ เป็นแน่ เจ้านางจึงต้องงัดกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลเสมอกับเจ้านางน้อยมาใช้กับพระองค์บ้าง “อืม น้องมีวิธีทำให้มันไม่ขม แต่ต้องทรงสัญญาก่อนนะเจ้า ว่าจะทรงดื่มให้หมด” พระพักตร์นั้นจึงหันมา “ได้ ถ้าเจ้าทำให้มันไม่ขมได้ พี่จะดื่ม” เมื่อเห็นว่าทรงตกลง เจ้านางจึงเดินไปหยิบถ้วยยานั้นมาผสมใหม่ โดยผสมน้ำผึ้งลงไปในปริมาณที่มากหน่อย แล้วนำกลับมายื่นให้พระองค์ “เจ้าอย่ามาหลอกพี่เสียให้ยาก วิธีนี้เจ้าแม่เคยทำให้พี่แล้วมิเห็นว่ามันจะหายขม” “ยังมิลองชิมเลยจะรู้ได้อย่างใดว่ามันขมอยู่หรือไม่” เจ้านางจึงทรงรู้ว่าพระองค์นั้นทรงกินยายากยิ่งนัก ขนาดเจ้านางน้อยที่ว่ากินยากยิ่งนัก พอเติมน้ำผึ้งแล้วก็กลับยอมดื่มง่าย ๆ ต้องทำยังไงเล่า พระองค์ถึงจะทรงยอมดื่มง่าย ๆ ถ้าไม่ทรงยอมดื่มเห็นทีพิษไข้นั้นคงไม่หายง่ายๆ เป็นแน่แท้ ไหนจะภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่อีก คงไม่รอเวลาให้ทรงหายไข้ก่อนเป็นแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็มิทรงยอมดื่ม จนเจ้านางเริ่มถอดพระทัย “จะให้น้องทำอย่างไร ถึงจะทรงยอมดี่มยาเสียที” “ทำอะไรก็ได้เหรอ” นั่นพระเนตรฉายแววเจ้าเลห์อีกแล้ว “แต่ต้องทรงยอมดื่มยานะเจ้า” “จูบพี่ก่อน” “อะไรนะ จะให้น้องทำอะ...” “จูบพี่ก่อน แล้วพี่จะกินยาให้หมดเลย” ทรงรู้อยู่แล้วว่าถ้ายอมจูบ พระองค์ก็คงไม่ยอมดื่มยาอยู่ดี เห็นทีต้องใช้วิธีนี้แหละแก้เผ็ด “ก็ได้เจ้า น้องจะยอมจูบ แต่ต้องหลับพระเนตรด้วยนะเจ้าน้องอาย” ถึงแม้จะทรงแปลกพระทัยยิ่งนัก ที่เจ้านางทรงยอมง่าย ๆ แต่ก็อยากจะรู้ว่าจะทรงทำเช่นไร จึงหลับพระเนตรลงเพื่อรอให้เจ้านางทรงจูบตามสัญญา เอะ! อ้าวทำไม.. แล้วเจ้ามามัดแขนพี่ทำไม” กว่าจะทรงรู้องค์ ก็ทรงถูกเจ้านางหลอกมัดพระกรทั้งสองข้างติดกัน “น้องก็จะให้เจ้าพี่กินยานะสิเจ้า ในเมื่อมิทรงยอมดี ๆ น้องก็คงจะต้องป้อนเอง” พลางถือถ้วยยามาจ่อตรงพระพักตร์ที่หันหนี เจ้านางจึงใช้พระกรอ้อมรัดพระเศียรไว้เพื่อมิให้ทรงหันหนี แต่พระองค์ก็ยังทรงเม้มพระโอษฐ์ไว้แน่น เจ้านางจึงใช้พระหัตถ์บีบพระนาสิก เป็นผลให้องค์ราชัญต้องรีบอ้าพระโอษฐ์เพื่อสูดเอาอากาศ เจ้านางจึงรีบป้อนยาทันใด ด้วยมิทันตั้งตัวจึงทำให้พระองค์รีบกลืนยานั่นลงไป เจ้านางจึงทรงปล่อยพระหัตถ์ที่บีบพระนาสิกออก รีบนำน้ำมาให้พระองค์ดื่มโดยเร็ว แล้วเจ้านางจึงแก้มัดปล่อยพระกรทั้งสองข้าง “โอ้ย โอ้ย” พลันพระวรกายสูงใหญ่นั้นก็ล้มลงทันใด พระหัตถ์ทั้งสองข้างกุมที่คอไว้แน่น เหมือนทรงทรมารเป็นยิ่งนัก ทำให้ร่างบางนั้นตกพระทัยยิ่งนัก ทรงโอบกอดพระวรกายนั้นไว้ แล้วตรัสถามด้วยความร้อนรน “เจ้าพี่ทรงเป็นอย่างใด..อุ๊บ.” กว่าจะรู้องค์ พระโอษฐ์ก็โดนประกบปิดด้วยพระโอษฐ์ขององค์ราชัญที่ทรงกอดอยู่ จึงทรงรู้ว่าถูกหลอกจึงฟาดพระหัตถ์ใส่แผลที่ถูกงูกัด “โอ้ย” ได้ผลเมื่อพระองค์ทรงหยุดรังแกทันใด เจ้านางจึงทรงรีบลุกขึ้นยืน “ทรงหลอกน้อง” พระพักตร์แดงกล่ำด้วยความโกรธที่ทรงถูกหลอก “เจ้าก็หลอกพี่เหมือนกัน ถือว่าเราหายกัน” ทรงตรัสพร้อมลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับเจ้านาง “จะหายกันได้อย่างไร ในเมื่อน้องทำไปเพราะอยากให้พระองค์หายดี ด้วยมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำอีกมากรอพระองค์อยู่ แต่พระองค์กับเอาความเป็นความตายมาล้อเล่น ด้วยสถานการณ์อย่างนี้ทรงล้อเล่นแบบนี้มิเกินไปหน่อยหรือเจ้า” พลันน้ำพระเนตรก็ไหลอาบสองแก้ม เมื่อทรงได้ยินเหตุผลที่เจ้านางตรัสมาทำให้เจ้าหน่อคำทรงคิดได้ว่า เจ้านางคงเป็นห่วงพระองค์ยิ่งนัก ด้วยคงกลัวว่าพระองค์จะถูกวางยาพิษจากข้าศึก จึงเดินเข้าไปโอบกอดร่างงามไว้แนบพระอุระ ด้วยทรงเข้าใจถึงเจตนาดีที่เจ้านางมีต่อพระองค์ “พี่ขอโทษ อย่าถือโทษโกรธเคืองพี่เลย พี่นี่ช่างโง่เง่านัก พี่มิได้มีเจตนาจะรังแกเจ้า พี่แค่กลัวว่าเจ้าจะไม่มาดูแลพี่อีก หลังจากวันนั้นที่เจ้าเดินจากมา” “ก็พระองค์ทรงกลัวว่าใครจะรู้ว่าน้องเป็นคนรักษาให้พระองค์นี่เจ้า” “พี่มิได้กลัวว่าใครจะรู้ ไม่ได้กลัวเสียหน้า แต่พี่กลัวว่าพิษนั้นมันจะเข้าสู่ตัวเจ้านะสิ” เมื่อทรงรู้ว่าความจริงแล้วทรงเข้าพระทัยองค์ราชัญผิดไป พระองค์มิได้กลัวเสียพระพักตร์ มิได้ไม่ไว้ใจ แต่เป็นเพระพระองค์ทรงห่วงถึงได้ทำเช่นนั้น ก็ทำให้ในพระทัยนั้นยินดีเป็นหนักหนา ด้วยพระองค์นั้นเป็นพระโอรสองค์โต และมินานก็เสียพระมารดาไป จึงทำให้พระองค์ต้องทรงเข้มแข็ง เพื่อเป็นหลักที่พึ่งให้กับพระอนุชา และพระราชภารกิจที่ยิ่งใหญ่คือการนั่งเมืองสืบจากพระบิดา ทำให้พระองค์เหมือนเป็นคนแข็งกระด้าง พร้อมเผชิญกับปัญหาทุก ๆ สิ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วพระองค์ยังทรงต้องการความรักการดูแลเอาใจ แต่พระองค์แสดงออกมิเป็น จึงทรงแสดงออกมาในลักษณะของการใช้ความรุนแรง การประชดประชัน น้องเริ่มเข้าใจในตัวพระองค์มากขึ้นแล้วนะเจ้า........

    เฮ้อ..นี่พระองค์เป็นอะไรไปนี่ ทำไมเจ้านางอัญจิมาถึงมีผลกับพระทัยของพระองค์ถึงเพียงนี้หนอ.. มิได้เห็นหน้าก็คิดถึงพอเจอหน้าก็ทำอะไม่ถูก อยากให้นางอยู่ใกล้ ๆ คอยดูแล นี่ใช่มั้ยที่เค้าเรียกกันว่า..รัก....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×