คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ไม่ทัน..ตั้งตัว
เมื่อเหตุการณ์ร้าย ๆ ผ่านพ้นไป เจ้าหลวงแสงเมือง จึงมีจัดให้มีพิธีหมั้นหมายอย่างเป็นทางการ ระหว่างเจ้าหน่อแก้วกับเจ้านางน้อย ด้วยยังมิมีฤกษ์งามยามดี จึงทำให้พิธีอภิเษกสมรสยังมิได้กำหนด เจ้าหน่อคำนั้นเมื่อทรงเห็นว่าพระราชกิจเสร็จสิ้นลงจึงขอพระราชานุญาตทูลลากลับแคว้นเมืองแมน หลังจากที่ทรงทิ้งให้พ่อหลวงสายคำปันพระบิดาปกครองเพียงลำพัง โดยให้เจ้าหน่อแก้วนั้นอยู่รอเข้าพิธีอภิเษกที่แคว้นยะภี
แต่เมื่อเวลาผ่านไปย่างเข้าเดือนที่ 4 หลังจากพิธิหมั้นหมาย เจ้าหน่อแก้วก็ได้รับพระราชสารจากเจ้าหน่อคำ ให้ทรงรีบเสด็จกลับแค้วนเมืองแมนโดยเร็ว เนื่องจากหมู่แคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ทางเหนือรวมตัวกันบุกเข้าประชิดหวังจักเอาแคว้นเมืองแมน ให้เป็นเมืองขึ้น ด้วยเห็นว่าแคว้นเมืองแมนนั้นอุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้นานาพันธ์ เจ้าหน่อแก้วนั้นทรงเป็นห่วงบ้านเมืองยิ่งนัก แต่ก็มิอยากจากเจ้านางน้อยไป ด้วยมิรู้ว่าเมื่อใดที่พระองค์จะได้เสด็จกลับมาหาพระคู่หมั้นอีก หรืออาจจะมิได้กลับมาหาอีกเลย ถ้าแม้ว่าการศึกครั้งนี้แคว้นเมืองแมนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงทรงกลัดกลุ้มในพระทัยยิ่ง ด้วยมิรู้ว่าจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไรดี
“เจ้าพี่ คิดสิ่งใดอยู่หรือเจ้า” เมื่อทรงสังเกตเห็นว่าเจ้าพี่นั้นมิได้ทรงสนพระทัยในสนามประลอง “พี่มีเรื่องจะบอกเจ้า”
“มีสิ่งใดจะบอกน้องหรือเจ้า” ทรงตัดสินพระทัยบอกเจ้านางเรื่องที่ทรงได้รับพระราชสารจากเจ้าพี่หน่อคำ “พี่ต้องกลับแคว้นเมืองแมน ด้วยเพระตอนนี้มีข้าศึกตีเมืองอยู่ เจ้าพี่หน่อคำขอให้พี่กลับไปช่วย” ทรงเห็นพระพักตร์หวานซึ้งนั้นเผือดลง ก็ทำให้พระองค์ทรงตรัสต่อมิได้ ด้วยเข้าใจว่าเจ้านางนั้นรู้สึกอย่างไร “แล้วเจ้าพี่จะออกเดินทางเมื่อใดเจ้า” ตรัสถามแล้วก็ทรงกลัวคำตอบเป็นหนักหนา ที่ถามไปนั่นเพราะจะได้รู้ว่าทรงมีเวลาเหลือที่จะอยู่ด้วยกันนานแค่ไหน “อีกสองวัน”
ด้วยรู้ว่าอีกสองวันเท่านั้นทีพระองค์จะได้อยู่ด้วยกัน วันนี้เจ้านางน้อยจึงพาเจ้าหน่อแก้วไปไหว้พระที่พระอารามหลวง
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายจงช่วยปกป้องคุ้มครองเจ้าพี่หน่อแก้วด้วย ขอให้พระองค์ทรงมีชัยชนะในการศึกกลับมาด้วยเทอด...
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายช่วยรักษาสิ่งที่เป็นดังดวงใจของข้านี้ด้วยเทอด ขออย่าให้มีโรคาใดมากล้ำกลาย ขอให้นางเข้มแข็ง ถ้าหากแม้ว่าตัวข้านี้มิมีบุญวาสนาพอได้กลับมา ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ได้ช่วยนำดวงวิญญาญของข้ากลับมาหานางอันเป็นที่รักของข้าด้วย... คำทีทั้งสองพระองค์อธิฐานขอกับองค์พระพุทธรูปคู่เมืองของแคว้นยะภี
และแล้ววันแห่งการลาจากก็มาถึง เจ้าหน่อแก้วทรงเข้าเฝ้าพ่อหลวงแสนเมืองกับเจ้านางสายหยุด เพื่อกราบทูลลากลับบ้านเมือง
“หลานขอไหว้สา ลากลับบ้านเมืองก่อนเจ้าค่ะ” “อาขอให้เจ้ามีชัยในการทำศึกครั้งนี้นะ” เจ้าหลวงแสนเมืองทรงตรัสอวยพรให้กับเจ้าหน่อแก้ว ทรงรู้สึกได้ทันทีว่าเจ้าหน่อแก้วนั้นเศร้าพระทัยเพียงใด ด้วยมิอยากจากเจ้านางน้อยไป จึงทรงตรัสปลอบพระทัยเจ้าหน่อแก้ว “อันชายชาติทหาร สิ่งที่สำคัญเหนือยิ่งสิ่งอื่นใดก็คือบ้านเมือง เจ้าจงทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดแล้วอาจะรักษาสิ่งมีค่าที่เจ้าห่วงยิ่งนักนี้ ไว้ด้วยชีวิต” ด้วยทรงเข้าพระทัยว่าเจ้าหน่อแก้วกับพระราชธิดาของพระองค์นั้นรู้สึกอย่างไร ดูรึพระธิดาของพระองค์นั้นก็ยังมิหยุดกรรแสง คงรู้ด้วยเหตุผลว่าถ้าแม้นว่าเจ้าหน่อแก้วมีชัย ก็คงได้กลับมาพบหน้ากันในเร็ววัน แต่ถ้าทรงแพ้ในการศึกครั้งนี้ ทั้งสองพระองค์ก็คงมิมีโอกาสได้พบเจอกันอีก พ่อสงสารเจ้ายิ่งนัก ด้วยรู้ว่าเจ้าทั้งสองผูกพันธ์กันยิ่งนัก เอาหละพ่อจะทำในสิ่งที่ใครเค้าคงคิดว่าพ่อโง่ แต่พ่อยอมเพื่อให้เจ้าได้มีความสุข ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในอนาคตกาลนั้นจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ด้วยพ่อรักเจ้ายิ่งนัก พ่อคงเห็นเจ้าจมอยู่กับความทุกข์ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น พ่อทำมิได้ ในเมื่อพ่อให้เจ้าทั้งสองหมั้นหมายกัน ก็เหมือนพ่อได้ยกเจ้าให้กับหน่อแก้วแล้วครึ่งนึง เพราะฉะนั้นพ่อจะยกแก้วตาดวงใจของพ่อนี้ ให้อยู่ในมือของคนที่เจ้ารักยิ่งนัก ด้วยพ่อรู้ว่าหน่อแก้วก็รักเจ้าเปรียบดังชีวิต ถ้าแม้นมีแต่ร่างกายไปแต่ลมหายใจอยู่ที่นี่ ก็คงมิมีประโยชน์อันใด
“หน่อแก้ว พาน้องเข้ามาหาพ่อใกล้ๆ นี่ลูก” เมื่อทั้งสองพระองค์มาอยู่ตรงหน้าเบื้องพระยุคลบาท จึงทรงให้นางกำนัลไปเอาด้ายผูกข้อมือมาให้พระองค์ แล้วผูกข้อมือของทั้งสองพระองค์ แล้วทรงยื่นด้ายนั้นให้เจ้านางสายหยุด เพื่อผูกข้อมือให้ทั้งสองพระองค์ ด้านเจ้านางสายหยุดนั้นเมื่อทรงรู้ถึงการตัดสินพระทัยของพระสวามี จึงทรงรับด้ายมาผูกข้อมือของทั้งสองพระองค์ไว้ด้วยกัน แล้วทรงตรัสอวยพรให้ทั้งสองพระองค์ “ ที่พ่อและแม่ทำเยี่ยงนี้ ด้วยรักเจ้าหนักหนา แม่ขอให้เจ้าทั้งสองครองรักมั่น มีสิ่งใดก็ให้อภัยแก่กัน แม่ฝากน้องด้วยนะหน่อแก้ว” เจ้านางน้อยทรงเข้าพระทัยในทันทีที่พระมารดาทรงตรัสอวยพร น้ำพระเนตรที่รินไหล กลับยิ่งไหลริน ก้มกราบแทบพระบาทของพระบิดามารดา แต่มิทรงเอื้อนเอ่ยคำใดได้ ด้วยมิรู้ว่าจะดีพระทัยหรือเสียพระทัยดี เพราะเมื่อพระบิดามารดา ทรงอนุญาติให้เดินทางไปกลับเจ้าหน่อแก้ว ก็แปลว่าพระองค์ก็ทรงต้องจากพระบิดามารดาไปเช่นกัน เจ้าหลวงแสนเมืองเมื่อเห็นพระธิดาทรงกรรแสงอย่างหนัก ก็ทรงลุกขึ้นมาโอบพระราชธิดาเข้าหาอ้อมพระกร “เจ้านางน้อยของพ่อ มิต้องเศร้าโศกเสียใจ อันว่าหญิงเมื่อมีสามีก็ต้องจากบ้านไปเช่นนี้แหละลูก ดีว่าลูกของพ่อเป็นการจากไปมินานก็กลับมา พ่อจะรอลูกทั้งสองกับมา เจ้ามิต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ดอกนะ เจ้าจงเข้มแข็งแล้วเอาสติปัญญาความเก่งกาจของเจ้ามาใช้ให้เป็นประโยชน์ ช่วยเจ้าพี่ของเจ้ารักษาบ้านเมืองไว้นะลูกนะ” “เจ้า ลูกจะจำคำของพระบิดาไว้เจ้า”
เมื่อทรงเห็นพ่อหลวงแสนเมืองนั้น ทรงเชื่อพระทัยมอบเจ้านางน้อยให้พระองค์ดูแล จึงทรงตรัสให้คำมั่นสัญญาแก่พ่อหลวงแสนเมืองกับเจ้านางสายหยุดว่า จะทรงดูแลรักษาแก้วตาดวงใจของพระองค์ทั้งสองมิให้มีสิ่งใดแผ้วพาน แล้วทั้งสองพระองค์ก็ออกเดินทางจากแคว้นยะภี มุ่งหน้าสู่แค้วนเมืองแมนต่อไป......
ขณะที่ทรงหยุดพักแรมหลังจากที่ทรงออกเดินทางมาได้ 12 ราตรี “คิดถึงบ้านรึคนดีของพี่” ทรงตรัสถามด้วยสังเกตุเห็นว่าเจ้านางน้อยนั้นมิทรงสดใสร่าเริงดั่งเคย “น้องคิดถึงพระพี่นางอัญจิมาเจ้า ตอนออกมาน้องมิได้ทันเอ่ยคำลา” ด้วยทรงถูกเลี้ยงมาด้วยกันตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จึงทำให้ทั้งสองพระองค์นั้น รักใคร่ผูกพันธ์กันยิ่งนัก ถึงแม้มิใช่พี่น้องกันจริง ๆ แต่ทั้งสองพระองค์ก็ทรงรักกันดั่งพี่น้องร่วมพระอุทร “เดี๋ยวพอเสร็จศึกแล้ว พี่จะรีบพาเจ้ากลับแคว้นยะภีดีมั้ย” “ดีเจ้า” “ถ้าดี งั้นขอรางวัลให้พี่หน่อยสิ” พลางเอียงพระพักตร์ให้เจ้านาง “ยังมิทันได้ทำ ก็ทวงรางวัลแล้วหรือเจ้า” ด้วยทรงอายก็เลยมิยอมทำตามพระทัยเจ้าพี่เสียที “มันก็ต้องมีมัดจำไว้บ้างเพื่อเป็นกำลังใจไง จะให้หรือไม่ หรือว่าจะให้พี่ทวงเอาเอง” ถ้าให้พระองค์ทวงเอาเองมีหวังว่าคงไม่หยุดที่จูบเดียวเป็นแน่แท้ เจ้านางน้อยจึงยอมทำตามพระทัยองค์ภูมินทร์ หอมแก้มคนขอไปหนึ่งที ยังผลให้คนถูกหอมชื่นพระทัยยิ่งนัก
“พระองค์มีม้าเร็วมุ่งตรงมาทางนี้เจ้าค่ะ” เสียงทหารกราบทูล ทำให้ทั้งสองพระองค์รีบจับดาบมั่น ด้วยมิรู้ว่าจะมาดีหรือร้าย “จัดกองกำลังซุ่มไว้ เดี๋ยวเราจะไปดูเอง”
เสียงม้าเร็วที่ควบใกล้เข้ามา ทำให้ทั้งสองพระองค์เตรียมพร้อม เมื่อเห็นอยู่ในระยะสายพระเนตร ก็ทรงเห็นว่าธงที่ปลิวสะบัดนั้นเป็นของแคว้นยะภี จึงทรงสั่งให้ทหารปลดอาวุธ “ทหารปลดอาวุธ เป็นมาเร็วจากพ่อหลวงแสนเมือง” เจ้านางน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นม้าเร็วจากยะภี จึงออกมาจากกำบังแล้วทรงเอ่ยถามพลม้าเร็ว “เจ้ามีเหตุอันใดถึงได้ตามเรามา พระบิดามิสิ่งใดมาสั่งความอย่างนั้นหรือ” “มิมีสิ่งใดหรอก เพียงแต่มาตามหาน้องสาวเท่านั้น” พลางปลดผ้าที่พันหน้าออก “พระพี่นางอัญจิมา” ทั้งสองพระองค์ทรงกอดรัดกันด้วยความคิดถึงยิ่ง “สมเด็จลุงให้พี่ตามมาเป็นเพื่อนเจ้า ด้วยกลัวว่าเจ้าจะเหงา” “น้องดีใจยิ่งนักเจ้า” “เราไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่านะ พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า” เจ้าหน่อแก้วตรัสบอกกับสองเจ้านาง
เมื่อเสด็จมาถึงที่ประทับก็ยังความแปลกพระทัยให้กับเจ้านางอัญจิมาเป็นอย่างยิ่ง “ทำไมเจ้าถึงไม่นอนกับ.อุ๊บ..” พระหัตถ์น้อยปิดปากไว้ทันใด “มีสิ่งใดหรือเจ้านาง” “มิมีสิ่งใดเจ้า เจ้าพี่ทรงไปพักผ่อนเถอะนะเจ้า เดี๋ยวน้องกับพี่นางก็จะนอนแล้ว” เมื่อลับร่างพระวรกายสูงใหญ่แล้ว พระหัตถ์น้อยจึงปล่อยจากปากของพระพี่นาง “เจ้าทำอันใดอยู่กันแน่น้องพี่” “น้องแค่ยังมิพร้อม”พลันพระพักตร์หวานก็แปรเปลี่ยนเป็นสีชมพูทันใด “แล้วพระองค์มิทรงว่าเช่นใดรึ” “เจ้าพี่มิทรงรู้หรอกเจ้า ว่าเราแต่งงานกันแล้ว เพราะประเพณีของเมืองแม้น กับยะภีไม่เหมือนกัน” “อะไรนะ! เจ้ากำลังจะบอกพี่ว่าเจ้าหน่อแก้วยังมิรู้เหรอว่าเจ้าเป็นเมียพระองค์แล้ว” อะไรกันนี่ “เจ้า เจ้าพี่มิทรงรู้ว่าประเพณีของเราการแต่งงานก็คือการผูกข้อมือ ทรงคิดว่าที่เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ทรงผูกข้อมือให้นั้น เพื่ออวยพรให้เราเดินทางปลอดภัยเท่านั้นเจ้า” โอ้ย เวรของกรรมเจ้านางน้อย “แล้วเจ้าจะปิดพระองค์จนถึงเมื่อไหร่สักวันพระองค์ก็ทรงต้องรู้” “ให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีก่อนนะเจ้า น้องมิอยากให้เจ้าพี่มีห่วงอันใดให้ทรงกังวลพระทัย” “แล้วเจ้าเตรียมตัวจะพบกับคู่แข่งของเจ้าหรือยังเล่า” เมื่อทรงได้ยินพระพี่นางตรัสถาม ก็ให้ทรงเป็นกังวลขึ้นมาทันใด “สิ่งใดจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะเจ้า น้องมาทีหลังจะทำอย่างไรได้” “แต่เจ้าเป็นถึงพระชายานะ มิได้เป็นแค่พระสนมอย่างนาง” แต่ก็มิมีสิ่งใดหลุดเอื้อนเอ่ยออกจากปากของเจ้านางน้อยอีกเลย
ความคิดเห็น