คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : เริ่มต้นค้นหาความจริง
หากมองจากระเบียงบ้านพักครูชั้นบนจะสามารถมองเห็นหอคอยสามชั้นที่ยื่นออกมาจากระเบียงด้านหลังของบ้านหลังนั้นชัดเจน กอหญ้าทอดสายตามองไปที่หอคอยแห่งนั้น แม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว ท้องฟ้าและบริเวณรอบๆถูกปกคลุมด้วยความมืด ทว่าหอคอยแห่งนั้นกลับยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลลออ บ้านหลังนั้นทำให้ภาพความทรงจำในวัยเด็กของเธอถูกรีรันกลับไปกลับมาในสมองตลอดทั้งวัน
เมื่อสิบสามปีก่อน
สมัยนั้นกอหญ้ายังเป็นเด็กมัธยมต้น ตอนนั้นเธอยังมีพี่ชายที่แสนดีอยู่หนึ่งคน ‘พี่ต้นกล้า’ เป็นชื่อเรียกติดปากที่ยังคงดังก้องอยู่ในหูของกอหญ้าไม่เคยจางหายไป สำหรับเธอแล้วเขาเป็นทั้งพ่อ แม่ และพี่ชายในคนๆเดียวกัน หลังจากที่พ่อแม่ของเธอและเขาประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิตทั้งคู่ เขาก็เป็นพี่ชายที่ปกป้องดูแลเธอมาโดยตลอด เป็นความหวังและกำลังใจของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้มอบความฝันที่ยิ่งใหญ่ให้กับเธอ
“นี่ของเธอนะ ส่วนนี่ของพี่” เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะพ้นวัยสิบแปดปีมาได้ไม่กี่วันยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผู้เป็นน้องสาว และเก็บไว้เองหนึ่งแผ่น
“อะไรหรอคะพี่” สาวแรกแย้มยิ้มละมุนเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่เมื่อคลี่กระดาษออก ก็ถึงกับต้องตาลุกวาวพร้อมอุทานออกมา
“ว้าว! สวยจังเลยคะ พี่ต้นกล้าวาดเองหรอคะ”
เป็นภาพบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลาดชัน ด้านหน้ามีไร่สตอเบอรี่เรียงรายเป็นขั้นบันได บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นทำด้วยไม้ทั้งหลัง ชั้นสองมีระเบียงกว้างรอบบ้าน ด้านหลังเห็นหอคอยยื่นออกมา ต้นกล้าบอกว่ามันเป็นหอคอยที่ตั้งอยู่บนระเบียงหลังบ้านที่กว้างและยาว ชั้นล่างมีห้องหนึ่งเป็นห้องกระจกโปร่งใสสี่ด้าน ต้นกล้าตั้งใจให้มันเป็นห้องชมสวนดอกไม้ เขาหวังว่ามันจะเหมาะสำหรับการนั่งเขียนนิยายของอนาคตนักเขียนกอหญ้าอย่างแน่นอน
“พี่ต้นกล้าเก่งจังเลยคะ”
คนถูกชมยิ้มแทนคำพูด แค่คำชมจากน้องสาวที่เขารักมากที่สุดก็เพียงพอแล้วที่จะต่อลมหายใจให้เขาสำหรับวันพรุ่งนี้
“แล้วกระดาษที่พี่ต้นกล้าเก็บไว้ล่ะคะ เป็นรูปอะไรหรอ” กอหญ้าหันมาให้ความสนใจกับกระดาษอีกแผ่นที่ถืออยู่ในมือต้นกล้า
เขาคลี่ออกมาให้ดู ก่อนจะตอบ “พี่วาดรูปบ้านในฝันของเราให้เหมือนกันทั้งสองแผ่น เพื่อที่เราจะได้เก็บไว้คนละแผ่น นี่จะต้องเป็นบ้านของเรา”
“จริงเหรอคะ ไม่ได้โกหกใช่ไหม” น้องสาวย้อนถามอย่างตื่นเต้นดีใจ แต่เมื่อฉุกคิดถึงสถานภาพทางการเงินที่เธอและพี่ชายกำลังประสบอยู่ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนมีรอยกังวลใจ
“แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหนล่ะคะ”
คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ก็นานพอที่กอหญ้าจะเห็นแววตาเศร้าของเขา “พี่จะพยายามเก็บเงินให้ได้” ตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ดูมีพลัง ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ถ้าวันนึงความพยายามของพี่ต้องหยุดลงไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เธอต้องเป็นคนทำความฝันนี้ของเราให้เป็นจริงให้ได้นะ”
ประโยคของพี่ชายฟังดูเศร้าพิกล เศร้าจนกอหญ้าไม่อยากรับปาก เพราะกลัวว่าความน่ากลัวบางอย่างที่แฝงมากับประโยคนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ
แต่อย่างไรเสีย
คนเราก็หนีความตายไปไม่พ้น
กอหญ้าไม่ได้อยู่ให้เขาสั่งเสียในวินาทีสุดท้ายของชีวิตด้วยซ้ำ หลังจากที่เขาได้ถ่ายทอดความฝันที่จะมีบ้านให้กับเธอได้ไม่นานนัก เหตุผลบางอย่างก็พรากให้สองพี่น้องต้องจากกัน กอหญ้าจำต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ที่กรุงเทพฯ ส่วนต้นกล้าก็ระหกระเหินไปตามทางของเขา จนกระทั่งสองปีให้หลัง
กอหญ้าก็พบกับต้นกล้าอีกครั้งในสภาพของร่างที่ไร้วิญญาณนอนหลับสนิทอยู่โลงศพ เขาจากไปด้วยโรคประหลาดที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง
จริงสิ! เธอยังมีกระดาษแผ่นนั้นที่ต้นกล้าให้เธอไว้นี่ นั่นจะต้องเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในการแสดงตัวว่าเธอเป็นน้องสาวของต้นกล้าจริงๆ เมื่อคิดขึ้นมาได้ดังนี้ กอหญ้าก็รีบเข้าไปในห้องนอนแล้วคว้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอออกมาค้นดู
“หาอะไรน่ะกอหญ้า” ทิชากรที่เพิ่งสวดมนต์เสร็จหันมาถามด้วยความสงสัย
“พี่ต้นกล้าเคยวาดรูปบ้านในฝันของเขาให้ฉัน ฉันจะเอาไปยืนยันกับนายคนนั้นว่าฉันเป็นน้องสาวของพี่ต้นกล้าจริงๆ”
“นายคนนั้น ใครกัน”
“ก็นายคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นไงล่ะ”
ทิชากรขมวดคิ้วยุ่ง “นี่อย่าบอกนะว่าเธอไปพบคุณภีมเจ้าของไร่ดอยเคียงจันทร์มาแล้ว”
“มั้ง” ตอบสั้นๆ ขณะที่มือยังไม่หยุดค้นหากระดาษแผ่นนั้น
“นี่กอหญ้า เรื่องบ้านหลังนั้นฉันก็พอจะเข้าใจเธอนะ แต่บางทีมันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้ คุณภีมอาจจะบังเอิญออกแบบบ้านของเขาได้เหมือนกับที่พี่ต้นกล้าเคยออกแบบ ไม่เห็นแปลกเลย”
“แปลกสิ ดูนี่” กอหญ้าว่าพลางยื่นกระดาษที่เพิ่งหาเจอให้ทิชากรเปิดดู ทิชากรเปิดดูอย่างเสียไม่ได้ แต่เมื่อภาพนั้นปรากฏออกมา เธอก็จ้องมันตาค้างอยู่หลายวินาที และพูดอะไรไม่ออกสักคำ นอกจากคำอุทานเบาๆว่า “โห”
“หอคอยสามชั้น ระเบียงกว้างรอบตัวบ้าน ห้องกระจกใส สวนดอกไม้ แล้วยังสระบัวหน้าบ้านนั่นอีก” กอหญ้าสาธยายราวกับเป็นคำอธิบายใต้ภาพ
“ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสีกระเบื้องหลังคา สีตัวบ้าน สีหน้าต่าง ประตู ก็เหมือนกันเปี๊ยบ” ทิชากรต่อประโยคของกอหญ้า ขณะที่ตายังคงพิจารณาภาพบ้านหลังนั้นไม่วาง
“แล้วอย่างนี้เธอยังจะว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าล่ะ”
ทิชากรส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เมื่อก่อนเธอกับพี่ต้นกล้าอยู่ที่นนทบุรีไม่ใช่หรอ แล้วบ้านหลังนั้นมาตั้งอยู่ไกลถึงดอยเคียงจันทร์ได้ยังไง”
“ฉันเองก็คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ตั้งแต่คุณแม่มารับตัวฉันไปครั้งนั้น ฉันก็แทบไม่รู้ราวเกี่ยวกับพี่ต้นกล้าอีกเลย เธอว่าฉันเป็นน้องสาวที่แย่มากมั้ย”
“มันไม่เกี่ยวว่าแย่หรือไม่แย่ ตอนนั้นความจริงต่างหากที่บังคับให้เธอต้องจากพี่ต้นกล้าไป กอหญ้า
ฉันรู้ว่าเธอรักพี่ต้นกล้ามาก ถึงเขาจะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆก็เถอะ แต่ตอนนี้เธอมีแม่ตัวจริงแล้วนะ อีกอย่างพี่เขาก็ตายไปแล้วด้วย ฉันว่าเธอเลิกคิดเรื่องบ้านหลังนั้นดีกว่า”
แม้จะรู้ว่าทิชากรหวังดี แต่กอหญ้าก็ไม่อาจจะทำตามที่เธอขอได้ เพราะต้นกล้าเป็นบุคคลที่เธอรักและมีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตเธอ เธอไม่อาจจะทนเห็นคนแปลกหน้าครอบครองสิ่งที่ควรจะเป็นของพี่ชายเธอต่อหน้าต่อตาได้ โดยที่เธอไม่คิดจะทำอะไรเลย
คำพูดของทิชากรที่พูดถึงเรื่องแม่ตัวจริงของเธอนั้นทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต วันที่อยู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาตามทวงคืนลูกสาว แล้วต้นกล้าก็ตัดสินใจบอกความจริงกับกอหญ้าว่า แท้จริงแล้วที่ผ่านมาเธอไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกับเขา หากแต่เป็นลูกสาวของคุณน้ารำไพคนนั้นที่เคยฝากเธอให้พ่อแม่ของต้นกล้าเลี้ยงดูตั้งแต่วันที่เธอคลอดออกมา
คุณน้ารำไพคนนั้นก็คือคุณแม่ของกอหญ้าในปัจจุบัน เดิมทีรำไพเคยฝันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อแม่ลูกอยู่กันอย่างมีความสุข แต่ด้วยความที่ครอบครัวของสามีไม่ยอมรับเธอ ทำให้เธอและสามีต้องหนีไปอยู่ด้วยกันจนกระทั่งตั้งท้อง แต่แล้วในที่สุดครอบครัวของสามีเธอจับได้ จึงแยกทั้งสองคนออกจากกัน และทิ้งให้รำไพผู้เป็นแม่ของกอหญ้าต้องตั้งท้องกอหญ้าเพียงลำพัง เมื่อคลอดกอหญ้าออกมา รำไพจึงตัดสินใจฝากเธอให้อยู่ในความปกครองของรำพึงผู้เป็นพี่สาวและสามีของเธอ ผู้ซึ่งเป็นพ่อแม่ของต้นกล้านั่นเอง ด้วยเหตุนี้กอหญ้าจึงเข้าใจผิดมาตลอดว่าเธอเป็นน้องสาวของต้นกล้า และเป็นลูกสาวของรำพึงและสามี
นี่คือความจริงทั้งหมดที่ต้นกล้าเปิดเผยให้เธอรู้เมื่อครั้งที่เธออายุสิบสามปี วันที่เธอต้องจากต้นกล้าไปอยู่กับรำไพแม่ตัวจริงของเธอ
“ฉันปล่อยเรื่องนี้ไว้เฉยๆไม่ได้หรอกน้ำชา ฉันจะเอาหลักฐานภาพวาดนี้ไปยืนยันกับเขาว่าฉันเป็นน้องสาวของพี่ต้นกล้าจริงๆ”
“ถ้าเธอยืนกรานแบบนี้ ฉันก็จะไม่ห้าม แต่เธออย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด ถึงฉันจะรู้จักคุณภีมว่าเขาเป็นคนดีแค่ไหน แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้เป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้ สิ่งแรกที่เธอต้องทำ คือสืบให้รู้ความจริงว่าคุณภีมเกี่ยวข้องกับพี่ต้นกล้ายังไง แล้วตอนนั้นค่อยเอาภาพวาดไปยืนยันก็ยังไม่สาย”
ทิชากรพูดมีเหตุผล หากเธอเอาภาพไปยืนยันความสัมพันธ์ของเธอและต้นกล้าในตอนนี้ เขาอาจปฏิเสธไม่รับไม่รู้อะไรทั้งนั้น ถ้าเธอไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย ก็คงจะเป็นจุดอ่อนให้เขาดิ้นหลุดทุกข้อกระทง
“ขอบใจที่เตือนฉันนะน้ำชา เออ..ว่าแต่เธอรู้จักไอ้หมอนั่นดีแค่ไหน”
“ก็รู้จักระดับหนึ่ง เขาเป็นเจ้าของไร่สตอเบอรี่ดอยเคียงจันทร์ที่เธอเห็นนั่นแหละ และยังเป็นเจ้าของโรงเรียนที่ฉันสอนด้วยนะ พวกเราเรียกเขาว่าคุณภีม เท่าที่ฉันรู้จักพูดคุยกับเขา เขาเป็นคนดีคนนึงนะ ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน เพียงแต่อาจจะมาดดุไปหน่อย ก็เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยมากนัก พูดง่ายๆก็คือเกรงใจนั่นแหละ เพราะงี้ถึงไม่มีใครรู้เรื่องราวของเขาแบบลึกซึ้ง”
กอหญ้าเบ้ปากนึกหมั่นไส้ คนดีงั้นเหรอ ถ้าทั้งโลกมีแต่คนดีอย่างเขา แผ่นดินคงจะต่ำจนมนุษย์ต้องไปลอยคออยู่ในหินเหลวหนืดใต้พื้นโลกเชียวล่ะ หมอนี่คงขยันสร้างภาพให้ชาวบ้านเกรงใจและคิดว่าเป็นคนดี ถึงได้ไม่มีใครรู้ถึงสัญชาตญาณดิบอันน่ากลัวที่แสดงออกมาให้เธอเห็นวันนี้ คิดแล้วกอหญ้าก็ใจเต้นแรงขึ้นมาเฉยๆ จู่ๆใบหน้าคมสันก็ทำให้เธอปั่นป่วนในจิตใจอย่างไม่อาจควบคุม
“กอหญ้าเป็นอะไรไปน่ะ กอหญ้า” เสียงเรียกของทิชากรทำให้เธอรู้สึกตัว หญิงสาวลำดับเรื่องราวที่พูดค้างไว้กับทิชากรเมื่อสักครู่ ก็แก้เหวอด้วยการบอกกับทิชากรด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
“ให้เขาเป็นคนดีแค่ไหนก็เถอะ แต่ถ้าหากวันนึงฉันสืบรู้ว่าเขาได้กรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นมาอย่างไม่สุจริต ฉันจะต้องเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด”
ทิชากรเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของเพื่อนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะขัดไปเพื่ออะไร หญิงสาวจึงเลือกที่จะชี้ทางสว่างให้กับกอหญ้า
“ถ้าอย่างนั้นเอางี้ คนแถวนี้เป็นคนท้องถิ่นทั้งนั้น ไม่มีใครไม่รู้จักคุณภีมหรอก ถ้าฉันลองถามจากเพื่อนครูด้วยกันหรือชาวบ้านแถวนี้ก็อาจจะได้เรื่องอะไรบ้างนะ”
ได้ฟังทิชากรพูดออกมาอย่างนี้ กอหญ้าก็พอมองเห็นแสงรำไรที่ปลายทาง หญิงสาวโผเข้ากอดร่างบางของเพื่อน พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงซึ้งใจว่า “ ขอบใจเธอจริงๆนะน้ำชา เธอน่ารักที่สุดเลย”
ภีมะนันท์ได้รับโทรศัพท์แต่เช้าตรู่ เป็นโทรศัพท์จากน้องชายต่างมารดาที่โทรมาบอกว่าเขาเพิ่งกลับจากอเมริกา ตอนนี้กำลังอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรอการเปลี่ยนเครื่องไปลงที่เชียงราย โดยไม่คิดจะแวะเข้าไปที่บ้านของเขาในกรุงเทพฯก่อน
“ทำไมไม่เข้าไปหาพ่อนายก่อนล่ะ” ภีมะนันท์ที่นั่งจิบกาแฟอยู่บนหอคอยเอ่ยถามน้องชายทางโทรศัพท์
“โธ่ พี่ภีม พ่อผมก็พ่อพี่เหมือนกันนะครับ เลิกอคติกับท่านซะทีเถอะ เราจะได้กลับมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นซะที”
“มาเหยียบเมืองไทยได้ก็เทศน์ฉันเลยหรอวะ นายก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เราอย่าพูดถึงมันดีกว่า ว่าแต่นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย” ภีมะนันท์เบี่ยงเบนประเด็น ด้วยเพราะไม่อยากให้เรื่องขุ่นข้องหมองใจมาทำลายบรรยากาศยามเช้าที่แสนสดใส
“ก็คุณพ่อไปประชุมเครือข่ายบริษัทที่ฮ่องกง ส่วนคุณแม่ผมก็ไม่ได้กลับมาด้วย ผมไม่อยากอยู่คนเดียวนี่ครับ พี่ภีมก็รู้ว่าผีไทยน่ะเฮี้ยนขนาดไหน บ้านใหญ่โตอย่างกับวัง แต่มีผมอยู่กับคนใช้แค่สองสามคน คงวังเวงพิลึก”
ภีมะนันท์หัวเราะในลำคอ “นายนี่มันยังไม่โตนี่หว่า”
“โธ่ อย่าว่าอย่างนั้นเลยครับ ต่อให้ผมโตจนแก่จะเข้าโลง ก็คงไม่หายกลัวผีง่ายๆหรอก ว่าแต่พี่ภีมจะอนุญาตให้น้องชายตาดำๆคนนี้ไปอาศัยนอนที่ไร่ของแม่พี่สักสี่ห้าคืนได้รึเปล่าล่ะครับ”
“ฉันห้ามนายได้เหรอ เอางี้ ฉันจะให้นายคำพูนขับรถไปรอรับนายที่สนามบินก็แล้วกัน”
จบบทสนทนาทางโทรศัพท์ลง ภีมะนันท์ก็สูดหายใจรับออกซิเจนเข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆระบายออกมาช้าๆ ในใจลึกๆแล้วเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่น้อยที่จะได้พบน้องชายต่างมารดาผู้ที่ห่างหายจากกันไปนานกว่ายี่สิบปี แม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจะได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์และอีเมล์จากภูมิรัตน์ ศิโรวรรธณาผู้เป็นน้องชายมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาเลย ไม่เคยพบกันอีกตั้งแต่วันที่เขาและแม่ถูกพ่อใจร้ายเอามาปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่กันตามลำพัง
แม้ภีมะนันท์จะโกรธผู้เป็นพ่อมากแค่ไหน แต่ชายหนุ่มก็แยกแยะออกว่าแม่ของภูมิรัตน์และตัวภูมิรัตน์เองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เขาจึงรักและเอ็นดูน้องชายคนนี้ราวกับเป็นน้องชายร่วมสายเลือดอย่างสมบูรณ์
รถของทิชากรทำเรื่องเข้าจนได้
กอหญ้าคิดว่าทิชากรพูดเล่นเสียอีกเรื่องที่รถของเธอมักจะมีปัญหาบ่อยๆ ตอนนี้จึงได้รู้ว่าเพื่อนสาวพูดจริง เธอขับรถไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับการทำไร่สตอเบอรี่ในตัวอำเภอและขับกลับมาจวนจะถึงอยู่แล้ว อยู่ๆรถก็ดับเสียอย่างนั้น มองไปรอบๆกายก็มีแต่ป่าเขา มองไม่เห็นบ้านคนสักหลัง จะมีก็แต่ชาวบ้านที่นานๆจะขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านมาสักคันหนึ่ง กอหญ้านับถือน้ำใจของพวกเขาที่อย่างน้อยก็ลงมาช่วยดู แม้จะไม่มีใครช่วยซ่อมได้เลยสักคนก็ตาม
“น้ำมันหมดกานิจารย์(น้ำหมดหรือเปล่าครับคุณครู)” ชายแก่คนหนึ่งเรียกกอหญ้าว่าคุณครู เพราะคงเห็นเธอมากับคุณครูทิชากรเมื่อหลายวันก่อน
“ฉันเพิ่งเติมเมื่อกี้เองจ๊ะลุง คงไม่ใช่เรื่องน้ำมันหรอก”
“เด๋วไปโตยหาสล่าหื้อเน้อ(เดี๋ยวไปตามช่างมาให้นะ)” พูดจบก็ขับมอเตอร์ไซด์สีคลุกฝุ่นของตนจากไป กอหญ้ารออยู่กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของช่างซ่อมรถและคนไปตาม จนเธอเริ่มถอดใจ และตัดสินใจเปิดกระโปรงรถขึ้นดูเอง ควันโขมงขึ้นมาจนกอหญ้าหลบเกือบไม่ทัน
กอหญ้าไม่มีความรู้เรื่องรถเลย ท่อและสายอะไรก็ไม่รู้วางซ้อนทับระโยงระยางเต็มไปหมด เธอไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหนก่อนดี หญิงสาวจึงเริ่มเปลี่ยนความคิดที่จะลงมือเอง มาเป็นนั่งรอความช่วยเหลืออีกครั้ง เธอตั้งใจว่าหากมีชาวบ้านผ่านมาอีกครั้งจะซ้อนท้ายรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปตามช่างเสียเอง
นับว่าโชคเข้าข้างเธอจริงๆ เมื่อรถคันต่อไปที่ผ่านมานั้นไม่ใช่รถมอเตอร์ไซด์ของชาวบ้านธรรมดาๆ หากแต่เป็นรถเก๋งยี่ห้อแพงที่บ่งบอกถึงความมีฐานะของเจ้าของ อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีความรู้เรื่องรถยนต์พอที่จะช่วยเธอซ่อมรถได้บ้างล่ะนะ
คนที่ก้าวออกมาจากเป็นชายหนุ่มจัดว่าหน้าตาดีมากทีเดียว เสื้อผ้าหน้าผมดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดูยังไงก็ไม่เข้ากับฉากหลังที่เป็นท้องไร่ท้องสวนสักนิด
“รถเป็นหยั๋งอ่านิคับ” เขาเอ่ยถามกอหญ้าด้วยภาษาคำเมืองที่ดูเหมือนจะพูดไม่ถนัดปากนัก ก่อนจะหันไปถามคนขับรถของตนด้วยท่าทางไร้เดียงสา “พูดอย่างนี้ถูกต้องใช่มั้ยนายคำพูน”
“ถูกแล้วครับ” คนขับรถดูเหมือนจะเป็นลูกคู่ลูกรับกันอย่างดี
“ขับๆอยู่ก็ดับเฉยเลยค่ะ ดิฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน”
“อ้าว พูดกลางได้หรอครับ อย่างงี้ผมก็หน้าแตกเลยสินะ” คนพูดหัวเราะเจื่อน
กอหญ้ายิ้มหวานไม่พูดอะไร แต่ก็รู้สึกเป็นมิตรกับผู้ชายคนนี้มากทีเดียว เธอปล่อยให้นายคำพูนวุ่นวายอยู่กับการซ่อมรถอยู่พักหนึ่ง เมื่อลองสตาร์ทรถอีกครั้งก็ปรากฏว่ารถกลับมาใช้งานได้แล้ว
“ไฟฮั่วที่ขดลวดนี๊แต๊นี่ หัวเตียนได้ไฟน้อยล้ำเลยดับเค๊แต๊ ผมแก้หื้อสตาร์ดติดซะล้อซะกำนี่แหละ ถ้าจะใด คุณก็เอาไปหื้อช่างซ่อมแหมกำเน้อ” นายคำพูนบอก กอหญ้าฟังภาษาท้องถิ่นที่นายคำพูนพูดไม่เข้าใจหมดทุกคำ แต่ก็พอฟังออกว่าหัวเทียนได้รับไฟไม่พอรถจึงดับ เธอควรเอาไปให้ช่างซ่อมอีกที
“ขอบคุณคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณคุณด้วย” กอหญ้าขอบคุณนายคำพูน และหันไปขอบคุณชายหนุ่มที่ยืนเก๊กหน้าหล่อไม่เกรงใจใคร เธอสังเกตเห็นเขามองมาที่เธอตลอดเวลาที่นายคำพูนซ่อมรถอยู่ แต่หญิงสาวก็ไม่ถือสาหาความอะไร เพราะเธอพอจะดูออกว่าคนแบบนี้ไม่มีพิษสง
“ใจคอจะไม่บอกชื่อคุณหน่อยเหรอครับ ผมชื่อภูมิรัตน์นะ เรียกภูมิเฉยๆก็ได้” ภูมิรัตน์ตะโกนถามกอหญ้าไล่หลังเมื่อเธอกำลังเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง
“กอหญ้าค่ะ เรียกฉันว่ากอหญ้า” หญิงสาวทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะขึ้นรถขับออกไป ภูมิรัตน์หันมาหัวร่อต่อกระซิกกับนายคำพูน
“สวยอย่างกับนางฟ้า ชื่อก็น่ารักน่าหยิก สงสัยฉันคงต้องอยู่ที่นี่นานกว่าที่คิดแล้วล่ะ”
ทิชากรไปสอนหนังสือให้เด็กๆที่โรงเรียนดอยเคียงจันทร์ตามปกติ ที่นี่เป็นอาคารไม้ทั้งหลัง มีเพียงชั้นเดียวและประกอบด้วยห้องเรียนเพียงสามห้อง แบ่งเป็นห้องเรียนสำหรับเด็กโตหนึ่งห้อง สำหรับเด็กเล็กหนึ่งห้องและห้องสมุดหนึ่งห้อง เสาธงสูงเด่นตั้งตะหง่านอยู่หน้าอาคารเรียน เป็นเสาธงจากไม้ไผ่ตรงลำยาวที่ชาวบ้านช่วยกันแบกมาจากในป่าเมื่อครั้งสร้างโรงเรียนใหม่ๆ พวกเขารู้ว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้เสียแรงเปล่า เพราะมันเป็นการทำให้เด็กๆในที่ห่างไกลความเจริญได้แสดงความสำนึกรักในแผ่นดินเกิดเหมือนกับเด็กในเมืองทั่วไป
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเย็นของวันศุกร์ เด็กๆดูจะมีความสุขเป็นพิเศษที่จะได้หยุดเรียนสองวัน เด็กเล็กเด็กโตกว่าเจ็ดสิบคนกระตือรือร้นที่จะมายืนเข้าแถวสวดมนต์หน้าเสาธงก่อนกลับบ้าน เมื่อนักเรียนที่ถูกตั้งให้เป็นประธานเริ่มกล่าวนำสวดมนต์ ทิชากรก็ปลีกตัวออกมานั่งคุยกับลุงคำปันภารโรงของโรงเรียน
ทิชากรเป็นคุณครูอายุอ่อนที่สุดในบรรดาครูทั้งสามคน และดูสวยที่สุดด้วย อย่างน้อยก็ในสายตาของลุงคำปันและเด็กๆ หญิงสาวมักจะแต่งตัวทะมัดทะแมง ไม่สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองมากนัก ใบหน้ามักจะถูกปล่อยให้เปลือยเปล่าไร้เครื่องประทินผิวอยู่เสมอ ยกเว้นวันดีคืนดีที่นึกอยากจะสวยขึ้นมา เธอก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่รองพื้นเท่านั้น ผิวของเธอไม่ขาวจัดเหมือนคนที่นี่ แต่ออกไปทางสีน้ำผึ้งดูมีเสน่ห์ แม้จะไม่สวยเตะตาตรึงใจในแวบแรกที่เห็น แต่ก็เป็นผู้หญิงที่งามแบบธรรมชาติและยิ่งมองนานๆก็ยิ่งเผยความสวยออกมาทีละนิด จนหนุ่มๆในหมู่บ้านแวะเวียนมาขายขนมจีบอยู่เสมอ เธอมักจะถูกลุงคำปันแซวว่าเป็นนางงามทุ่งบัวตองอยู่บ่อยครั้ง ทิชากรไม่รู้ที่มาที่ไปของฉายานี้ แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยิน
“ลุงจ๊ะ ลุงอยู่ที่นี่มานานหรือยัง”
“อยู่มาตั้งแต่เกิดครับคุณครู ถามทำไมหรอครับ”
ทิชากรเงียบครู่หนึ่งเพื่อคิดหาเหตุผล “เอ่อ
ฉันก็แค่สงสัยน่ะจ้ะ ว่าโรงเรียนนี้ตั้งมานานหรือยัง”
ชายแก่ทำท่าคิด ก่อนจะตอบอย่างไม่แน่ใจนัก “เอ จำไม่ได้เหมือนกันนะว่ากี่ปี แต่รู้สึกว่าจะสร้างก่อนหน้าบ้านท้ายไร่ของคุณภีมสักหนึ่งปีได้มั้งครับ ตอนนั้นคุณภีมเกณฑ์คนงานในไร่มาช่วยกันสร้าง สร้างกันอยู่เกือบสองเดือนก็เสร็จ”
สร้างหนึ่งปีก่อนบ้านท้ายไร่งั้นเหรอ ทิชากรใคร่ครวญข้อมูลที่ได้รับอย่างพิจารณา หากต้นกล้าเคยมาที่นี่และมีส่วนเกี่ยวข้องกับภีมะนันท์จริง เขาก็คงมีตัวตนอยู่ในช่วงที่มีการก่อสร้างโรงเรียนแน่นอน
“ลุงพอจะจำได้ไหมคะว่าใครสร้างโรงเรียนนี้บ้าง”
“ถ้าเห็นหน้าก็ร้องอ๋อกันทุกคนนะครับ แต่ถ้าจะให้นึกชื่อนี่คงไม่ไหว ลุงแก่แล้วความจำก็ไม่ค่อยจะดีแล้วล่ะครับ”
“เป็นชาวบ้านที่นี่ทั้งหมดเลยหรือเปล่าคะลุง”
ชายแก่เงียบ เขาเดินยกบุ้งกี๋ที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ไปเทกองรวมกันไว้ใต้ต้นไม้ พลางใช้ความคิดเรื่องที่ทิชากรถามไปด้วย
“เท่าที่จำได้ก็พวกเราทั้งนั้นนะครับ แต่รู้สึกว่าจะมีที่ไม่เคยเห็นหน้าอยู่สองสามคนเหมือนกัน เป็นพวกคนงานในไร่คุณภีมเขาน่ะครับ”
สิ่งที่ลุงคำปันเล่ามามีประโยชน์มากทีเดียว ทิชากรรู้สึกว่าตนมาถูกทางแล้ว แต่จะถามต่อไปอย่างไรที่จะไม่ให้ดูเป็นการจงใจมากเกินไป
“อ้อ!” คำปันเหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ทิชากรจึงหันมาตั้งใจฟังอีกครั้ง
“มีอยู่คนนึงที่ลุงพอจะจำหน้าได้ ตอนสร้างโรงเรียน คุณภีมเกือบเคราะห์ร้ายโดนไม้คานหล่นลงมาทับตัว โชคดีที่มีคนงานคนนึงเอาหลังมารับแทน คุณภีมน่ะปลอดภัย แต่ไอ้คนที่มาช่วยน่ะอาการสาหัสเอาการเหมือนกัน ลุงจำเรื่องนี้ได้ดี แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนที่จำหน้าได้จะใช่คนเดียวกับที่มาช่วยคุณภีมหรือเปล่า แก่แล้วสมองก็เริ่มเลอะๆเลือนๆ”
ทิชากรตั้งสมมติฐานขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว ถ้ามีรูปถ่ายพี่ต้นกล้าสักบานก็คงดี เธอจะได้เอามาให้ลุงคำปันดู เพราะอย่างน้อยถึงพี่ต้นกล้าจะไม่ใช่คนที่เสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณภีม ก็อาจเป็นอีกสองคนที่เหลือที่เมื่อลุงคำปันได้เห็นอาจจะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้บ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดเขาก็อาจเป็นใครสักคนที่ลุงคำปันเคยเห็นหน้า และนั่นก็จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าต้นกล้าเคยมาที่นี่จริง
ดูเหมือนทิชากรจะจมอยู่กับความคิดของตนเองนานเกินไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนนายคำปันมายืนโบกไม้โบกมืออยู่ตรงหน้าแล้ว
“คุณครูเป็นอะไรไปครับ ลุงเรียกตั้งนานไม่เห็นตอบ”
“อ๋อ เปล่าจ้ะลุง น้ำชาแค่คิดอะไรนิดหน่อย เด็กๆคงจะสวดมนต์ใกล้จบแล้ว น้ำชาไปก่อนนะคะ”
ว่าแล้วก็รีบลุกตัดบทเดินจากไปเสียดื้อๆ คำปันไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ไม่คิดติดใจอะไร เขาก้มหน้ากวาดเศษใบไม้ต่อไป
ความคิดเห็น