ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    STRAWBERRY HOUSE~ บ้านไร่สีชมพู

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : เริ่มต้นค้นหาความจริง

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 54


                             บ้านพักครูของทิชากร  บริรักษณาอยู่ห่างจากไร่ดอยเคียงจันทร์ไม่มากนัก ใช้เวลาเดินเท้าไม่เกินสิบห้านาทีเท่านั้น   ทิชากรเป็นสาวชาวกรุงเต็มตัวที่ผันชีวิตตัวเองมาเป็นครูดอย  และสอนหนังสือให้กับเด็กที่หมู่บ้านแห่งนี้มากว่าสี่ปีแล้ว  ความสวยงามของหมู่มวลแมกไม้  บรรยากาศของไร่สตอเบอรี่และความใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กนักเรียนชาวเขาทำให้เธอไม่คิดจะเปลี่ยนใจกลับไปใช้ชีวิตในเมืองหลวงที่แสนวุ่นวายอีกเลย  ทว่าก็ยังได้ติดต่อพูดคุยกับกอหญ้าผู้เป็นเพื่อนสนิทที่สุดสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ตอนนี้ทำงานเป็นนักเขียนนิยายให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งในกรุงเทพอยู่เสมอ  จนกระทั่งกอหญ้าขอมาอยู่ที่นี่กับเธอสักพัก  เพื่อหาข้อมูลการทำไร่สตอเบอรี่มาประกอบการเขียนนวนิยายรักแนวชนบทเรื่องใหม่ที่จะต้องเร่งเขียนให้เสร็จภายในสามเดือนของเธอ

    หากมองจากระเบียงบ้านพักครูชั้นบนจะสามารถมองเห็นหอคอยสามชั้นที่ยื่นออกมาจากระเบียงด้านหลังของบ้านหลังนั้นชัดเจน   กอหญ้าทอดสายตามองไปที่หอคอยแห่งนั้น  แม้จะเป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว  ท้องฟ้าและบริเวณรอบๆถูกปกคลุมด้วยความมืด  ทว่าหอคอยแห่งนั้นกลับยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลลออ  บ้านหลังนั้นทำให้ภาพความทรงจำในวัยเด็กของเธอถูกรีรันกลับไปกลับมาในสมองตลอดทั้งวัน

    เมื่อสิบสามปีก่อน

    สมัยนั้นกอหญ้ายังเป็นเด็กมัธยมต้น    ตอนนั้นเธอยังมีพี่ชายที่แสนดีอยู่หนึ่งคน    พี่ต้นกล้า เป็นชื่อเรียกติดปากที่ยังคงดังก้องอยู่ในหูของกอหญ้าไม่เคยจางหายไป   สำหรับเธอแล้วเขาเป็นทั้งพ่อ  แม่ และพี่ชายในคนๆเดียวกัน    หลังจากที่พ่อแม่ของเธอและเขาประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบินเสียชีวิตทั้งคู่  เขาก็เป็นพี่ชายที่ปกป้องดูแลเธอมาโดยตลอด  เป็นความหวังและกำลังใจของเธอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  เขาได้มอบความฝันที่ยิ่งใหญ่ให้กับเธอ 

                “นี่ของเธอนะ  ส่วนนี่ของพี่”  เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะพ้นวัยสิบแปดปีมาได้ไม่กี่วันยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผู้เป็นน้องสาว  และเก็บไว้เองหนึ่งแผ่น

                “อะไรหรอคะพี่”  สาวแรกแย้มยิ้มละมุนเอ่ยถามอย่างสงสัย  แต่เมื่อคลี่กระดาษออก  ก็ถึงกับต้องตาลุกวาวพร้อมอุทานออกมา

    “ว้าว! สวยจังเลยคะ  พี่ต้นกล้าวาดเองหรอคะ”

    เป็นภาพบ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเนินเขาลาดชัน  ด้านหน้ามีไร่สตอเบอรี่เรียงรายเป็นขั้นบันได  บ้านหลังนี้เป็นบ้านสองชั้นทำด้วยไม้ทั้งหลัง  ชั้นสองมีระเบียงกว้างรอบบ้าน  ด้านหลังเห็นหอคอยยื่นออกมา ต้นกล้าบอกว่ามันเป็นหอคอยที่ตั้งอยู่บนระเบียงหลังบ้านที่กว้างและยาว  ชั้นล่างมีห้องหนึ่งเป็นห้องกระจกโปร่งใสสี่ด้าน  ต้นกล้าตั้งใจให้มันเป็นห้องชมสวนดอกไม้  เขาหวังว่ามันจะเหมาะสำหรับการนั่งเขียนนิยายของอนาคตนักเขียนกอหญ้าอย่างแน่นอน

    “พี่ต้นกล้าเก่งจังเลยคะ”

    คนถูกชมยิ้มแทนคำพูด   แค่คำชมจากน้องสาวที่เขารักมากที่สุดก็เพียงพอแล้วที่จะต่อลมหายใจให้เขาสำหรับวันพรุ่งนี้

    “แล้วกระดาษที่พี่ต้นกล้าเก็บไว้ล่ะคะ  เป็นรูปอะไรหรอ”  กอหญ้าหันมาให้ความสนใจกับกระดาษอีกแผ่นที่ถืออยู่ในมือต้นกล้า

    เขาคลี่ออกมาให้ดู  ก่อนจะตอบ  “พี่วาดรูปบ้านในฝันของเราให้เหมือนกันทั้งสองแผ่น  เพื่อที่เราจะได้เก็บไว้คนละแผ่น   นี่จะต้องเป็นบ้านของเรา”

                “จริงเหรอคะ  ไม่ได้โกหกใช่ไหม”  น้องสาวย้อนถามอย่างตื่นเต้นดีใจ  แต่เมื่อฉุกคิดถึงสถานภาพทางการเงินที่เธอและพี่ชายกำลังประสบอยู่  สีหน้าก็แปรเปลี่ยนมีรอยกังวลใจ 

    “แล้วเราจะเอาเงินมาจากไหนล่ะคะ”

                คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง  แต่ก็นานพอที่กอหญ้าจะเห็นแววตาเศร้าของเขา  “พี่จะพยายามเก็บเงินให้ได้” ตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะทำให้ดูมีพลัง   ก่อนจะพูดต่อ 

    “แต่ถ้าวันนึงความพยายามของพี่ต้องหยุดลงไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม  เธอต้องเป็นคนทำความฝันนี้ของเราให้เป็นจริงให้ได้นะ”

                ประโยคของพี่ชายฟังดูเศร้าพิกล  เศร้าจนกอหญ้าไม่อยากรับปาก   เพราะกลัวว่าความน่ากลัวบางอย่างที่แฝงมากับประโยคนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ  

                แต่อย่างไรเสียคนเราก็หนีความตายไปไม่พ้น 

    กอหญ้าไม่ได้อยู่ให้เขาสั่งเสียในวินาทีสุดท้ายของชีวิตด้วยซ้ำ   หลังจากที่เขาได้ถ่ายทอดความฝันที่จะมีบ้านให้กับเธอได้ไม่นานนัก  เหตุผลบางอย่างก็พรากให้สองพี่น้องต้องจากกัน  กอหญ้าจำต้องไปอยู่กับครอบครัวใหม่ที่กรุงเทพฯ  ส่วนต้นกล้าก็ระหกระเหินไปตามทางของเขา   จนกระทั่งสองปีให้หลังกอหญ้าก็พบกับต้นกล้าอีกครั้งในสภาพของร่างที่ไร้วิญญาณนอนหลับสนิทอยู่โลงศพ  เขาจากไปด้วยโรคประหลาดที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง

    จริงสิ! เธอยังมีกระดาษแผ่นนั้นที่ต้นกล้าให้เธอไว้นี่    นั่นจะต้องเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในการแสดงตัวว่าเธอเป็นน้องสาวของต้นกล้าจริงๆ     เมื่อคิดขึ้นมาได้ดังนี้  กอหญ้าก็รีบเข้าไปในห้องนอนแล้วคว้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของเธอออกมาค้นดู

    “หาอะไรน่ะกอหญ้า”  ทิชากรที่เพิ่งสวดมนต์เสร็จหันมาถามด้วยความสงสัย

    “พี่ต้นกล้าเคยวาดรูปบ้านในฝันของเขาให้ฉัน   ฉันจะเอาไปยืนยันกับนายคนนั้นว่าฉันเป็นน้องสาวของพี่ต้นกล้าจริงๆ”

    “นายคนนั้น  ใครกัน”

    “ก็นายคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนั้นไงล่ะ”

    ทิชากรขมวดคิ้วยุ่ง  “นี่อย่าบอกนะว่าเธอไปพบคุณภีมเจ้าของไร่ดอยเคียงจันทร์มาแล้ว”

    “มั้ง”  ตอบสั้นๆ  ขณะที่มือยังไม่หยุดค้นหากระดาษแผ่นนั้น

    “นี่กอหญ้า  เรื่องบ้านหลังนั้นฉันก็พอจะเข้าใจเธอนะ  แต่บางทีมันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้   คุณภีมอาจจะบังเอิญออกแบบบ้านของเขาได้เหมือนกับที่พี่ต้นกล้าเคยออกแบบ  ไม่เห็นแปลกเลย”

    “แปลกสิ  ดูนี่”  กอหญ้าว่าพลางยื่นกระดาษที่เพิ่งหาเจอให้ทิชากรเปิดดู   ทิชากรเปิดดูอย่างเสียไม่ได้  แต่เมื่อภาพนั้นปรากฏออกมา  เธอก็จ้องมันตาค้างอยู่หลายวินาที  และพูดอะไรไม่ออกสักคำ  นอกจากคำอุทานเบาๆว่า “โห”

    “หอคอยสามชั้น  ระเบียงกว้างรอบตัวบ้าน  ห้องกระจกใส  สวนดอกไม้  แล้วยังสระบัวหน้าบ้านนั่นอีก” กอหญ้าสาธยายราวกับเป็นคำอธิบายใต้ภาพ

    “ยิ่งไปกว่านั้น  ทั้งสีกระเบื้องหลังคา  สีตัวบ้าน  สีหน้าต่าง ประตู ก็เหมือนกันเปี๊ยบ”  ทิชากรต่อประโยคของกอหญ้า  ขณะที่ตายังคงพิจารณาภาพบ้านหลังนั้นไม่วาง

    “แล้วอย่างนี้เธอยังจะว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าล่ะ”

    ทิชากรส่ายหน้าแทนคำตอบ

                “เมื่อก่อนเธอกับพี่ต้นกล้าอยู่ที่นนทบุรีไม่ใช่หรอ  แล้วบ้านหลังนั้นมาตั้งอยู่ไกลถึงดอยเคียงจันทร์ได้ยังไง” 

                “ฉันเองก็คิดอะไรไม่ออกสักอย่าง    ตั้งแต่คุณแม่มารับตัวฉันไปครั้งนั้น  ฉันก็แทบไม่รู้ราวเกี่ยวกับพี่ต้นกล้าอีกเลย  เธอว่าฉันเป็นน้องสาวที่แย่มากมั้ย”

                “มันไม่เกี่ยวว่าแย่หรือไม่แย่  ตอนนั้นความจริงต่างหากที่บังคับให้เธอต้องจากพี่ต้นกล้าไป  กอหญ้าฉันรู้ว่าเธอรักพี่ต้นกล้ามาก  ถึงเขาจะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆก็เถอะ  แต่ตอนนี้เธอมีแม่ตัวจริงแล้วนะ  อีกอย่างพี่เขาก็ตายไปแล้วด้วย  ฉันว่าเธอเลิกคิดเรื่องบ้านหลังนั้นดีกว่า” 

    แม้จะรู้ว่าทิชากรหวังดี  แต่กอหญ้าก็ไม่อาจจะทำตามที่เธอขอได้  เพราะต้นกล้าเป็นบุคคลที่เธอรักและมีความสำคัญมากที่สุดในชีวิตเธอ  เธอไม่อาจจะทนเห็นคนแปลกหน้าครอบครองสิ่งที่ควรจะเป็นของพี่ชายเธอต่อหน้าต่อตาได้  โดยที่เธอไม่คิดจะทำอะไรเลย

                คำพูดของทิชากรที่พูดถึงเรื่องแม่ตัวจริงของเธอนั้นทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีต  วันที่อยู่ๆก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาตามทวงคืนลูกสาว  แล้วต้นกล้าก็ตัดสินใจบอกความจริงกับกอหญ้าว่า  แท้จริงแล้วที่ผ่านมาเธอไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกับเขา  หากแต่เป็นลูกสาวของคุณน้ารำไพคนนั้นที่เคยฝากเธอให้พ่อแม่ของต้นกล้าเลี้ยงดูตั้งแต่วันที่เธอคลอดออกมา 

                คุณน้ารำไพคนนั้นก็คือคุณแม่ของกอหญ้าในปัจจุบัน   เดิมทีรำไพเคยฝันอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น  มีพ่อแม่ลูกอยู่กันอย่างมีความสุข   แต่ด้วยความที่ครอบครัวของสามีไม่ยอมรับเธอ  ทำให้เธอและสามีต้องหนีไปอยู่ด้วยกันจนกระทั่งตั้งท้อง  แต่แล้วในที่สุดครอบครัวของสามีเธอจับได้  จึงแยกทั้งสองคนออกจากกัน  และทิ้งให้รำไพผู้เป็นแม่ของกอหญ้าต้องตั้งท้องกอหญ้าเพียงลำพัง   เมื่อคลอดกอหญ้าออกมา  รำไพจึงตัดสินใจฝากเธอให้อยู่ในความปกครองของรำพึงผู้เป็นพี่สาวและสามีของเธอ  ผู้ซึ่งเป็นพ่อแม่ของต้นกล้านั่นเอง  ด้วยเหตุนี้กอหญ้าจึงเข้าใจผิดมาตลอดว่าเธอเป็นน้องสาวของต้นกล้า  และเป็นลูกสาวของรำพึงและสามี

                นี่คือความจริงทั้งหมดที่ต้นกล้าเปิดเผยให้เธอรู้เมื่อครั้งที่เธออายุสิบสามปี  วันที่เธอต้องจากต้นกล้าไปอยู่กับรำไพแม่ตัวจริงของเธอ

                “ฉันปล่อยเรื่องนี้ไว้เฉยๆไม่ได้หรอกน้ำชา  ฉันจะเอาหลักฐานภาพวาดนี้ไปยืนยันกับเขาว่าฉันเป็นน้องสาวของพี่ต้นกล้าจริงๆ”

                “ถ้าเธอยืนกรานแบบนี้ ฉันก็จะไม่ห้าม  แต่เธออย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด  ถึงฉันจะรู้จักคุณภีมว่าเขาเป็นคนดีแค่ไหน  แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้เป็นยังไงก็ไม่มีใครรู้  สิ่งแรกที่เธอต้องทำ คือสืบให้รู้ความจริงว่าคุณภีมเกี่ยวข้องกับพี่ต้นกล้ายังไง  แล้วตอนนั้นค่อยเอาภาพวาดไปยืนยันก็ยังไม่สาย”

                ทิชากรพูดมีเหตุผล  หากเธอเอาภาพไปยืนยันความสัมพันธ์ของเธอและต้นกล้าในตอนนี้  เขาอาจปฏิเสธไม่รับไม่รู้อะไรทั้งนั้น  ถ้าเธอไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย  ก็คงจะเป็นจุดอ่อนให้เขาดิ้นหลุดทุกข้อกระทง

                “ขอบใจที่เตือนฉันนะน้ำชา   เออ..ว่าแต่เธอรู้จักไอ้หมอนั่นดีแค่ไหน” 

                “ก็รู้จักระดับหนึ่ง  เขาเป็นเจ้าของไร่สตอเบอรี่ดอยเคียงจันทร์ที่เธอเห็นนั่นแหละ   และยังเป็นเจ้าของโรงเรียนที่ฉันสอนด้วยนะ  พวกเราเรียกเขาว่าคุณภีม  เท่าที่ฉันรู้จักพูดคุยกับเขา  เขาเป็นคนดีคนนึงนะ  ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน  เพียงแต่อาจจะมาดดุไปหน่อย  ก็เลยไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายด้วยมากนัก  พูดง่ายๆก็คือเกรงใจนั่นแหละ  เพราะงี้ถึงไม่มีใครรู้เรื่องราวของเขาแบบลึกซึ้ง”

                กอหญ้าเบ้ปากนึกหมั่นไส้  คนดีงั้นเหรอ  ถ้าทั้งโลกมีแต่คนดีอย่างเขา แผ่นดินคงจะต่ำจนมนุษย์ต้องไปลอยคออยู่ในหินเหลวหนืดใต้พื้นโลกเชียวล่ะ  หมอนี่คงขยันสร้างภาพให้ชาวบ้านเกรงใจและคิดว่าเป็นคนดี  ถึงได้ไม่มีใครรู้ถึงสัญชาตญาณดิบอันน่ากลัวที่แสดงออกมาให้เธอเห็นวันนี้  คิดแล้วกอหญ้าก็ใจเต้นแรงขึ้นมาเฉยๆ  จู่ๆใบหน้าคมสันก็ทำให้เธอปั่นป่วนในจิตใจอย่างไม่อาจควบคุม 

    “กอหญ้าเป็นอะไรไปน่ะ กอหญ้า”  เสียงเรียกของทิชากรทำให้เธอรู้สึกตัว  หญิงสาวลำดับเรื่องราวที่พูดค้างไว้กับทิชากรเมื่อสักครู่  ก็แก้เหวอด้วยการบอกกับทิชากรด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

    “ให้เขาเป็นคนดีแค่ไหนก็เถอะ  แต่ถ้าหากวันนึงฉันสืบรู้ว่าเขาได้กรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นมาอย่างไม่สุจริต  ฉันจะต้องเอาเรื่องเขาให้ถึงที่สุด” 

    ทิชากรเห็นสายตาที่มุ่งมั่นของเพื่อนแล้วก็ไม่รู้ว่าจะขัดไปเพื่ออะไร   หญิงสาวจึงเลือกที่จะชี้ทางสว่างให้กับกอหญ้า

                “ถ้าอย่างนั้นเอางี้   คนแถวนี้เป็นคนท้องถิ่นทั้งนั้น  ไม่มีใครไม่รู้จักคุณภีมหรอก  ถ้าฉันลองถามจากเพื่อนครูด้วยกันหรือชาวบ้านแถวนี้ก็อาจจะได้เรื่องอะไรบ้างนะ” 

                ได้ฟังทิชากรพูดออกมาอย่างนี้  กอหญ้าก็พอมองเห็นแสงรำไรที่ปลายทาง  หญิงสาวโผเข้ากอดร่างบางของเพื่อน  พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงซึ้งใจว่า  “ ขอบใจเธอจริงๆนะน้ำชา  เธอน่ารักที่สุดเลย”     

     

     

                ภีมะนันท์ได้รับโทรศัพท์แต่เช้าตรู่  เป็นโทรศัพท์จากน้องชายต่างมารดาที่โทรมาบอกว่าเขาเพิ่งกลับจากอเมริกา  ตอนนี้กำลังอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อรอการเปลี่ยนเครื่องไปลงที่เชียงราย  โดยไม่คิดจะแวะเข้าไปที่บ้านของเขาในกรุงเทพฯก่อน

                “ทำไมไม่เข้าไปหาพ่อนายก่อนล่ะ”  ภีมะนันท์ที่นั่งจิบกาแฟอยู่บนหอคอยเอ่ยถามน้องชายทางโทรศัพท์

                “โธ่ พี่ภีม  พ่อผมก็พ่อพี่เหมือนกันนะครับ  เลิกอคติกับท่านซะทีเถอะ  เราจะได้กลับมาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นซะที”

                “มาเหยียบเมืองไทยได้ก็เทศน์ฉันเลยหรอวะ นายก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้   เราอย่าพูดถึงมันดีกว่า  ว่าแต่นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย”  ภีมะนันท์เบี่ยงเบนประเด็น  ด้วยเพราะไม่อยากให้เรื่องขุ่นข้องหมองใจมาทำลายบรรยากาศยามเช้าที่แสนสดใส

                “ก็คุณพ่อไปประชุมเครือข่ายบริษัทที่ฮ่องกง  ส่วนคุณแม่ผมก็ไม่ได้กลับมาด้วย  ผมไม่อยากอยู่คนเดียวนี่ครับ  พี่ภีมก็รู้ว่าผีไทยน่ะเฮี้ยนขนาดไหน   บ้านใหญ่โตอย่างกับวัง  แต่มีผมอยู่กับคนใช้แค่สองสามคน  คงวังเวงพิลึก” 

                ภีมะนันท์หัวเราะในลำคอ  “นายนี่มันยังไม่โตนี่หว่า”

                “โธ่  อย่าว่าอย่างนั้นเลยครับ  ต่อให้ผมโตจนแก่จะเข้าโลง  ก็คงไม่หายกลัวผีง่ายๆหรอก  ว่าแต่พี่ภีมจะอนุญาตให้น้องชายตาดำๆคนนี้ไปอาศัยนอนที่ไร่ของแม่พี่สักสี่ห้าคืนได้รึเปล่าล่ะครับ”

                “ฉันห้ามนายได้เหรอ   เอางี้  ฉันจะให้นายคำพูนขับรถไปรอรับนายที่สนามบินก็แล้วกัน”

                จบบทสนทนาทางโทรศัพท์ลง  ภีมะนันท์ก็สูดหายใจรับออกซิเจนเข้าเต็มปอด ก่อนจะค่อยๆระบายออกมาช้าๆ    ในใจลึกๆแล้วเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่น้อยที่จะได้พบน้องชายต่างมารดาผู้ที่ห่างหายจากกันไปนานกว่ายี่สิบปี  แม้ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาจะได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์และอีเมล์จากภูมิรัตน์  ศิโรวรรธณาผู้เป็นน้องชายมาบ้าง  แต่ก็ไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตาเลย  ไม่เคยพบกันอีกตั้งแต่วันที่เขาและแม่ถูกพ่อใจร้ายเอามาปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่กันตามลำพัง           

    แม้ภีมะนันท์จะโกรธผู้เป็นพ่อมากแค่ไหน   แต่ชายหนุ่มก็แยกแยะออกว่าแม่ของภูมิรัตน์และตัวภูมิรัตน์เองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้   เขาจึงรักและเอ็นดูน้องชายคนนี้ราวกับเป็นน้องชายร่วมสายเลือดอย่างสมบูรณ์

                 

     

                รถของทิชากรทำเรื่องเข้าจนได้

                กอหญ้าคิดว่าทิชากรพูดเล่นเสียอีกเรื่องที่รถของเธอมักจะมีปัญหาบ่อยๆ   ตอนนี้จึงได้รู้ว่าเพื่อนสาวพูดจริง   เธอขับรถไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับการทำไร่สตอเบอรี่ในตัวอำเภอและขับกลับมาจวนจะถึงอยู่แล้ว  อยู่ๆรถก็ดับเสียอย่างนั้น   มองไปรอบๆกายก็มีแต่ป่าเขา  มองไม่เห็นบ้านคนสักหลัง  จะมีก็แต่ชาวบ้านที่นานๆจะขับรถมอเตอร์ไซด์ผ่านมาสักคันหนึ่ง  กอหญ้านับถือน้ำใจของพวกเขาที่อย่างน้อยก็ลงมาช่วยดู  แม้จะไม่มีใครช่วยซ่อมได้เลยสักคนก็ตาม

                “น้ำมันหมดกานิจารย์(น้ำหมดหรือเปล่าครับคุณครู)” ชายแก่คนหนึ่งเรียกกอหญ้าว่าคุณครู   เพราะคงเห็นเธอมากับคุณครูทิชากรเมื่อหลายวันก่อน

                “ฉันเพิ่งเติมเมื่อกี้เองจ๊ะลุง  คงไม่ใช่เรื่องน้ำมันหรอก”

                “เด๋วไปโตยหาสล่าหื้อเน้อ(เดี๋ยวไปตามช่างมาให้นะ)” พูดจบก็ขับมอเตอร์ไซด์สีคลุกฝุ่นของตนจากไป   กอหญ้ารออยู่กว่าครึ่งชั่วโมงแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของช่างซ่อมรถและคนไปตาม  จนเธอเริ่มถอดใจ และตัดสินใจเปิดกระโปรงรถขึ้นดูเอง  ควันโขมงขึ้นมาจนกอหญ้าหลบเกือบไม่ทัน

                กอหญ้าไม่มีความรู้เรื่องรถเลย  ท่อและสายอะไรก็ไม่รู้วางซ้อนทับระโยงระยางเต็มไปหมด  เธอไม่รู้จะเริ่มจากจุดไหนก่อนดี  หญิงสาวจึงเริ่มเปลี่ยนความคิดที่จะลงมือเอง  มาเป็นนั่งรอความช่วยเหลืออีกครั้ง  เธอตั้งใจว่าหากมีชาวบ้านผ่านมาอีกครั้งจะซ้อนท้ายรถเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อไปตามช่างเสียเอง

    นับว่าโชคเข้าข้างเธอจริงๆ  เมื่อรถคันต่อไปที่ผ่านมานั้นไม่ใช่รถมอเตอร์ไซด์ของชาวบ้านธรรมดาๆ หากแต่เป็นรถเก๋งยี่ห้อแพงที่บ่งบอกถึงความมีฐานะของเจ้าของ   อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีความรู้เรื่องรถยนต์พอที่จะช่วยเธอซ่อมรถได้บ้างล่ะนะ

                คนที่ก้าวออกมาจากเป็นชายหนุ่มจัดว่าหน้าตาดีมากทีเดียว   เสื้อผ้าหน้าผมดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า  ดูยังไงก็ไม่เข้ากับฉากหลังที่เป็นท้องไร่ท้องสวนสักนิด 

                “รถเป็นหยั๋งอ่านิคับ”  เขาเอ่ยถามกอหญ้าด้วยภาษาคำเมืองที่ดูเหมือนจะพูดไม่ถนัดปากนัก  ก่อนจะหันไปถามคนขับรถของตนด้วยท่าทางไร้เดียงสา  “พูดอย่างนี้ถูกต้องใช่มั้ยนายคำพูน”

                “ถูกแล้วครับ” คนขับรถดูเหมือนจะเป็นลูกคู่ลูกรับกันอย่างดี

                “ขับๆอยู่ก็ดับเฉยเลยค่ะ  ดิฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน”

                “อ้าว  พูดกลางได้หรอครับ  อย่างงี้ผมก็หน้าแตกเลยสินะ”  คนพูดหัวเราะเจื่อน

                กอหญ้ายิ้มหวานไม่พูดอะไร  แต่ก็รู้สึกเป็นมิตรกับผู้ชายคนนี้มากทีเดียว   เธอปล่อยให้นายคำพูนวุ่นวายอยู่กับการซ่อมรถอยู่พักหนึ่ง   เมื่อลองสตาร์ทรถอีกครั้งก็ปรากฏว่ารถกลับมาใช้งานได้แล้ว

                “ไฟฮั่วที่ขดลวดนี๊แต๊นี่  หัวเตียนได้ไฟน้อยล้ำเลยดับเค๊แต๊  ผมแก้หื้อสตาร์ดติดซะล้อซะกำนี่แหละ  ถ้าจะใด คุณก็เอาไปหื้อช่างซ่อมแหมกำเน้อ”  นายคำพูนบอก  กอหญ้าฟังภาษาท้องถิ่นที่นายคำพูนพูดไม่เข้าใจหมดทุกคำ  แต่ก็พอฟังออกว่าหัวเทียนได้รับไฟไม่พอรถจึงดับ  เธอควรเอาไปให้ช่างซ่อมอีกที

                “ขอบคุณคุณมากเลยนะคะ  ขอบคุณคุณด้วย”  กอหญ้าขอบคุณนายคำพูน และหันไปขอบคุณชายหนุ่มที่ยืนเก๊กหน้าหล่อไม่เกรงใจใคร  เธอสังเกตเห็นเขามองมาที่เธอตลอดเวลาที่นายคำพูนซ่อมรถอยู่  แต่หญิงสาวก็ไม่ถือสาหาความอะไร  เพราะเธอพอจะดูออกว่าคนแบบนี้ไม่มีพิษสง

                “ใจคอจะไม่บอกชื่อคุณหน่อยเหรอครับ  ผมชื่อภูมิรัตน์นะ  เรียกภูมิเฉยๆก็ได้”  ภูมิรัตน์ตะโกนถามกอหญ้าไล่หลังเมื่อเธอกำลังเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง

                “กอหญ้าค่ะ  เรียกฉันว่ากอหญ้า”  หญิงสาวทิ้งท้ายไว้เช่นนั้นก่อนจะขึ้นรถขับออกไป   ภูมิรัตน์หันมาหัวร่อต่อกระซิกกับนายคำพูน

                “สวยอย่างกับนางฟ้า  ชื่อก็น่ารักน่าหยิก  สงสัยฉันคงต้องอยู่ที่นี่นานกว่าที่คิดแล้วล่ะ”        

     

     

                ทิชากรไปสอนหนังสือให้เด็กๆที่โรงเรียนดอยเคียงจันทร์ตามปกติ  ที่นี่เป็นอาคารไม้ทั้งหลัง  มีเพียงชั้นเดียวและประกอบด้วยห้องเรียนเพียงสามห้อง  แบ่งเป็นห้องเรียนสำหรับเด็กโตหนึ่งห้อง สำหรับเด็กเล็กหนึ่งห้องและห้องสมุดหนึ่งห้อง   เสาธงสูงเด่นตั้งตะหง่านอยู่หน้าอาคารเรียน   เป็นเสาธงจากไม้ไผ่ตรงลำยาวที่ชาวบ้านช่วยกันแบกมาจากในป่าเมื่อครั้งสร้างโรงเรียนใหม่ๆ  พวกเขารู้ว่าอย่างน้อยก็ไม่ได้เสียแรงเปล่า  เพราะมันเป็นการทำให้เด็กๆในที่ห่างไกลความเจริญได้แสดงความสำนึกรักในแผ่นดินเกิดเหมือนกับเด็กในเมืองทั่วไป  

    ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเย็นของวันศุกร์  เด็กๆดูจะมีความสุขเป็นพิเศษที่จะได้หยุดเรียนสองวัน  เด็กเล็กเด็กโตกว่าเจ็ดสิบคนกระตือรือร้นที่จะมายืนเข้าแถวสวดมนต์หน้าเสาธงก่อนกลับบ้าน  เมื่อนักเรียนที่ถูกตั้งให้เป็นประธานเริ่มกล่าวนำสวดมนต์  ทิชากรก็ปลีกตัวออกมานั่งคุยกับลุงคำปันภารโรงของโรงเรียน

                ทิชากรเป็นคุณครูอายุอ่อนที่สุดในบรรดาครูทั้งสามคน  และดูสวยที่สุดด้วย  อย่างน้อยก็ในสายตาของลุงคำปันและเด็กๆ  หญิงสาวมักจะแต่งตัวทะมัดทะแมง  ไม่สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองมากนัก  ใบหน้ามักจะถูกปล่อยให้เปลือยเปล่าไร้เครื่องประทินผิวอยู่เสมอ  ยกเว้นวันดีคืนดีที่นึกอยากจะสวยขึ้นมา  เธอก็ทำได้ดีที่สุดเพียงแค่รองพื้นเท่านั้น   ผิวของเธอไม่ขาวจัดเหมือนคนที่นี่  แต่ออกไปทางสีน้ำผึ้งดูมีเสน่ห์  แม้จะไม่สวยเตะตาตรึงใจในแวบแรกที่เห็น  แต่ก็เป็นผู้หญิงที่งามแบบธรรมชาติและยิ่งมองนานๆก็ยิ่งเผยความสวยออกมาทีละนิด  จนหนุ่มๆในหมู่บ้านแวะเวียนมาขายขนมจีบอยู่เสมอ     เธอมักจะถูกลุงคำปันแซวว่าเป็นนางงามทุ่งบัวตองอยู่บ่อยครั้ง   ทิชากรไม่รู้ที่มาที่ไปของฉายานี้   แต่ก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยิน 

                “ลุงจ๊ะ  ลุงอยู่ที่นี่มานานหรือยัง”

                “อยู่มาตั้งแต่เกิดครับคุณครู   ถามทำไมหรอครับ”

                ทิชากรเงียบครู่หนึ่งเพื่อคิดหาเหตุผล  “เอ่อฉันก็แค่สงสัยน่ะจ้ะ  ว่าโรงเรียนนี้ตั้งมานานหรือยัง”   

    ชายแก่ทำท่าคิด    ก่อนจะตอบอย่างไม่แน่ใจนัก  “เอ  จำไม่ได้เหมือนกันนะว่ากี่ปี   แต่รู้สึกว่าจะสร้างก่อนหน้าบ้านท้ายไร่ของคุณภีมสักหนึ่งปีได้มั้งครับ  ตอนนั้นคุณภีมเกณฑ์คนงานในไร่มาช่วยกันสร้าง   สร้างกันอยู่เกือบสองเดือนก็เสร็จ”

    สร้างหนึ่งปีก่อนบ้านท้ายไร่งั้นเหรอ   ทิชากรใคร่ครวญข้อมูลที่ได้รับอย่างพิจารณา  หากต้นกล้าเคยมาที่นี่และมีส่วนเกี่ยวข้องกับภีมะนันท์จริง  เขาก็คงมีตัวตนอยู่ในช่วงที่มีการก่อสร้างโรงเรียนแน่นอน

    “ลุงพอจะจำได้ไหมคะว่าใครสร้างโรงเรียนนี้บ้าง”

    “ถ้าเห็นหน้าก็ร้องอ๋อกันทุกคนนะครับ  แต่ถ้าจะให้นึกชื่อนี่คงไม่ไหว  ลุงแก่แล้วความจำก็ไม่ค่อยจะดีแล้วล่ะครับ” 

    “เป็นชาวบ้านที่นี่ทั้งหมดเลยหรือเปล่าคะลุง”

    ชายแก่เงียบ  เขาเดินยกบุ้งกี๋ที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ไปเทกองรวมกันไว้ใต้ต้นไม้  พลางใช้ความคิดเรื่องที่ทิชากรถามไปด้วย

    “เท่าที่จำได้ก็พวกเราทั้งนั้นนะครับ    แต่รู้สึกว่าจะมีที่ไม่เคยเห็นหน้าอยู่สองสามคนเหมือนกัน  เป็นพวกคนงานในไร่คุณภีมเขาน่ะครับ”

    สิ่งที่ลุงคำปันเล่ามามีประโยชน์มากทีเดียว  ทิชากรรู้สึกว่าตนมาถูกทางแล้ว  แต่จะถามต่อไปอย่างไรที่จะไม่ให้ดูเป็นการจงใจมากเกินไป 

    “อ้อ!  คำปันเหมือนกับจะนึกอะไรขึ้นมาได้  ทิชากรจึงหันมาตั้งใจฟังอีกครั้ง

    “มีอยู่คนนึงที่ลุงพอจะจำหน้าได้   ตอนสร้างโรงเรียน  คุณภีมเกือบเคราะห์ร้ายโดนไม้คานหล่นลงมาทับตัว  โชคดีที่มีคนงานคนนึงเอาหลังมารับแทน   คุณภีมน่ะปลอดภัย  แต่ไอ้คนที่มาช่วยน่ะอาการสาหัสเอาการเหมือนกัน   ลุงจำเรื่องนี้ได้ดี  แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนที่จำหน้าได้จะใช่คนเดียวกับที่มาช่วยคุณภีมหรือเปล่า   แก่แล้วสมองก็เริ่มเลอะๆเลือนๆ”

    ทิชากรตั้งสมมติฐานขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว  ถ้ามีรูปถ่ายพี่ต้นกล้าสักบานก็คงดี  เธอจะได้เอามาให้ลุงคำปันดู  เพราะอย่างน้อยถึงพี่ต้นกล้าจะไม่ใช่คนที่เสี่ยงชีวิตไปช่วยคุณภีม  ก็อาจเป็นอีกสองคนที่เหลือที่เมื่อลุงคำปันได้เห็นอาจจะนึกอะไรบางอย่างออกมาได้บ้าง  หรืออย่างน้อยที่สุดเขาก็อาจเป็นใครสักคนที่ลุงคำปันเคยเห็นหน้า  และนั่นก็จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าต้นกล้าเคยมาที่นี่จริง

    ดูเหมือนทิชากรจะจมอยู่กับความคิดของตนเองนานเกินไป  มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนนายคำปันมายืนโบกไม้โบกมืออยู่ตรงหน้าแล้ว

    “คุณครูเป็นอะไรไปครับ  ลุงเรียกตั้งนานไม่เห็นตอบ”

    “อ๋อ  เปล่าจ้ะลุง  น้ำชาแค่คิดอะไรนิดหน่อย  เด็กๆคงจะสวดมนต์ใกล้จบแล้ว  น้ำชาไปก่อนนะคะ”

    ว่าแล้วก็รีบลุกตัดบทเดินจากไปเสียดื้อๆ    คำปันไม่ค่อยเข้าใจนัก  แต่ก็ไม่คิดติดใจอะไร  เขาก้มหน้ากวาดเศษใบไม้ต่อไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×