ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    STRAWBERRY HOUSE~ บ้านไร่สีชมพู

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ : เปิดศึก!!!

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 54


                    บ้านหลังนั้น!!!

                เกือบจะทันทีที่บ้านหลังนั้นแล่นผ่านสายตาสวนทางกับรถเก๋งญี่ปุ่นคันเก่าที่กอหญ้าโดยสารมา  หญิงสาวก็ร้องออกมาเสียงลั่น 

    “หยุดก่อน  หยุดรถก่อนได้ไหม”

                คนขับรถผู้เป็นเพื่อนสาวตกใจและแปลกใจที่กอหญ้าซึ่งนั่งเงียบมองข้างทางมาตลอด  จู่ๆก็ตะโกนออกมาเช่นนั้น

     “เป็นอะไรไป  เกิดอะไรขึ้นหรอ”

                กอหญ้าเลิ่กลั่กหันรีหันขวางมองกลับไปที่บ้านหลังนั้น   พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก  “หยุดรถก่อนเถอะ   ฉันขอร้อง  แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”

                แม้จะไม่เข้าใจ  แต่ทิชากรก็ยอมทำตามที่กอหญ้าขอร้องแต่โดยดี   เธอหวังว่าเมื่อจอดรถแล้วจะได้ฟังคำตอบจากเพื่อน  ทว่าทันทีที่รถจอดสนิท  กอหญ้าก็เปิดประตูรถออก  แล้ววิ่งพรวดพราดออกไปทางด้านหลังรถโดยไม่รอให้ทิชากรได้เอ่ยถามอะไรออกมาสักคำ  เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ทิชากรงงกับการกระทำของกอหญ้าได้อย่างไรในเมื่อเพื่อนสาวของเธอคนนี้เพิ่งจะลงจากเครื่องบินมาเหยียบผืนดินจังหวัดเชียงรายเป็นครั้งแรก  แต่กลับบอกให้เธอหยุดรถแล้ววิ่งออกไปราวกับรู้จักคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี 

                เวลานี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆของวันพฤหัสบดี   แดดเริ่มร่มลงแล้ว  ข้างถนนที่รถของทิชากรขับมานั้นเป็นเนินเขาขั้นบันไดที่เต็มไปด้วยต้นสตอเบอรี่ที่ปลูกลดหลั่นลงมาเป็นขั้นๆ   บริเวณนี้เป็นที่รู้กันดีของคนในพื้นที่ว่าเป็นส่วนท้ายของไร่สตอเบอรี่ “ดอยเคียงจันทร์”   ไร่สตอเบอรี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเชียงรายที่สามารถสร้างผลผลิตคุณภาพเกรดเอเพื่อส่งออกและขายภายในประเทศ

                กอหญ้า  กุลยาอธิวัตน์วิ่งมาหยุดอยู่ ณ จุดที่มองขึ้นไปแล้วเห็นบ้านหลังนั้นชัดเจน   บนยอดเนินเขาซึ่งไม่สูงนัก มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่  บ้านซึ่งนำพาอดีตอันแสนอบอุ่นและปวดร้าวพอๆกันของกอหญ้าให้คืนกลับมา   บ้านที่เธอไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง  บ้านที่ควรจะจากไปพร้อมกับการตายของพี่ชายเธอ  แล้วบ้าน หลังนี้มาปรากฎอยู่ต่อหน้าเธอได้อย่างไร   ความตกใจและประหลาดใจระคนกันทำให้กอหญ้าตัดสินใจเดินขึ้นทางดินที่ลาดขึ้นสู่ตัวบ้านหลังนั้นโดยไม่รีรอ

                เสียงขุดดินดังมาจากทางข้างบ้าน   กอหญ้าถือวิสาสะเดินเข้าไปดู  ใจดื้อๆของเธอแอบภาวนาอยู่ลึกๆขอให้คนที่เธอกำลังจะได้พบในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเป็นพี่ชายของเธอ  คนที่เคยสัญญาว่าจะสร้างบ้านที่มีลักษณะเฉพาะแบบนี้บนเนินเขาไร่สตอเบอรี่ให้กับเธอ  แม้จะรู้ดีว่าโอกาสที่จะพบกับพี่ชายที่ตายจากไปแล้วอีกครั้งจะมีเปอร์เซนต์ติดลบก็ตาม   

    เธอเห็นเพียงด้านหลังของชายคนหนึ่งที่เปลือยท่อนบน  กำลังงุ่นอยู่กับงานสวนดอกไม้   เป็นแผ่นหลังที่ไม่คุ้นตาสักนิด  ไม่ใช่แผ่นหลังที่คุ้นเคยของพี่ชาย  หากกอหญ้าจะยังรั้นที่จะแอบลุ้นให้ใช่อยู่นั่นเอง

                “ขอโทษนะคะ  คือดิฉัน

                เขาวางซ่อมพรวณลงแล้วหันมาตามเสียงเรียก  ทำให้ความหวังที่จะได้เจอพี่ชายในสภาพมีลมหายใจอีกครั้งต้องดับวูบลง  เมื่อคนที่หันกลับมา

              ไม่ใช่พี่ต้นกล้า!!!  

    หากแต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี  ผิวขาวนวลจนกอหญ้าแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงชาวไร่ธรรมดา   เม็ดเหงื่อโซมกายสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายระยิบ  ความหล่อของเขาอาจกระชากหัวใจของสาวๆได้โดยง่าย ไม่เว้นแม้แต่เธอ  หากสถานการณ์และเรื่องบางอย่างที่สำคัญกว่ากลับทำให้กอหญ้าไม่คิดจะสนใจรูปลักษณ์ภายนอกที่เตะตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย

              “ผมคิดว่าผมไม่รู้จักคุณนะ”  น้ำเสียงแข็งกระด้างแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ 

    แม้จะรู้ว่าไม่ควรเดินดุ่มๆเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต  แต่กอหญ้าก็เคืองใจนิดๆที่นายคนนี้ไร้มารยาทกับเธอ

                “ฉันมาหาเจ้าของบ้านหลังนี้ค่ะ”

                ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างพิจารณา  

                “รู้จักเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า”  เขาตั้งคำถาม

                หญิงสาวอึกอักครู่หนึ่ง  เธอมองหน้าเขานิ่งนานเพื่อรวบรวมความมั่นใจ  ก่อนจะตอบ

    “เปล่า  แต่ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขา  เกี่ยวกับบ้านหลังนี้”

                ประเด็นที่เธอยกมาอ้างดึงความสนใจจากชายหนุ่มได้ถนัด  วูบแรกเขาเกือบจะแสดงสีหน้าตกใจออกไป  หากก็สามารถข่มอาการนั้นไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบสนิท ไร้ซึ่งอารมณ์  สงบเยือกเย็นเสมือนผิวน้ำที่ไร้แรงเคลื่อนไหว แม้ว่าภายในใจกำลังเกิดระลอกคลื่นน้อยๆเคลื่อนตัวปั่นป่วนไปมา  เพราะเรื่องที่เธอต้องการจะพูดกับเขานั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว 

                “มีอะไรก็พูดมาสิ  ผมนี่แหละเจ้าของบ้านหลังนี้”  เขาแสดงตัว  หากยังคงรักษาอาการนิ่งขรึมไว้ได้ไม่มีตก

                กอหญ้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เขาอ้าง  เพราะเธอมั่นใจว่าคนที่จะสร้างบ้านแบบนี้ขึ้นมาและครอบครองมันได้นั้น  จะต้องมีเพียงคนสองคนเท่านั้น  นั่นคือพี่ชายเธอและตัวเธอเอง  มิเช่นนั้นแล้วโลกคงจะสร้างเรื่องบังเอิญที่เหลือเชื่อเกินไป  ที่ดลใจให้คนๆหนึ่งสามารถสร้างบ้านตามแบบที่คนอีกคนออกแบบไว้เป๊ะแบบนี้

    “เป็นไปได้ไง  คุณจะเป็นเจ้าของบ้านได้ยังไง  ในเมื่อ

                “ผมเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้บนเนื้อที่ของไร่ผม  และอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้ว  อะไรที่คุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะ   หรือจะบอกว่านี่คือบ้านของคุณ”  ชายหนุ่มถามลองเชิง  เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นจริงหรือไม่  

                “ฉัน  อยากเถียงใจจะขาด  แต่ที่เขาพูดมานั้น  ไม่มีข้อไหนที่เธอจะเถียงได้เลย   ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจที่จะบอกเขาไปตรงๆ

                “พี่ชายฉันเป็นออกแบบบ้านหลังนี้   มันควรจะต้องเป็นบ้านของพี่ชายกับฉัน  แต่ตอนนี้พี่ชายฉันก็ตายไปแล้ว  แล้วทำไมทำไมคุณถึงสร้างได้เหมือนกับที่พี่ฉันออกแบบ  ความจริงเป็นยังไงกันแน่  อธิบายให้ฉันฟังได้ไหม”

                เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ   สิ่งที่เธออ้างมานั้นตรงกับที่เขาตั้งสมมติฐานไว้ในใจก่อนหน้านี้   แต่เขาจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอเป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณของเขาจริงๆ   บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเข้ามาสวมรอยเพื่อที่จะขโมยกรรมสิทธิ์ในตัวบ้านหลังนี้ไปก็ได้   เขาคงไม่กล้าสะเพร่าเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างให้คนแปลกหน้าที่จู่ๆก็บุกเข้ามาโดยที่เขาไม่ทันตั้งรับเช่นนี้แน่นอน

                “ความจริงก็คือผมไม่รู้จักคุณและพี่ชายของคุณ  และผมก็ไม่มีเวลามานั่งฟังเรื่องไร้สาระของคุณด้วย  กลับออกไปได้แล้ว”  เขาตัดบทลงดื้อๆ  ปฏิเสธที่จะบอกความจริงทุกอย่างกับเธอ 

                “ฉัน!!!” กอหญ้าตั้งใจจะสวนกลับออกไป  แต่ทิชากรโทรเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

                “อยู่ไหนยายกอหญ้า  เธอทำบ้าอะไรของเธอฮะ”  น้ำเสียงปลายสายร้อนรนด้วยความเป็นห่วง

                “ฉันมีธุระต้องทำนิดหน่อย”  กอหญ้าหลีกเลี่ยงจะบอกความจริง

                “ธุระในไร่ดอยเคียงจันทร์นี่น่ะหรอ   เธอไม่เคยมาที่นี่ด้วยซ้ำ   จะมีธุระได้ยังไง”  ยิ่งฟังกอหญ้าพูด  ทิชากรก็ยิ่งเกิดข้อสงสัย

                “เอาไว้ฉันจะเล่าให้เธอฟังอย่างละเอียด  แต่ตอนนี้แค่นี้ก่อนนะ  รอฉันแป๊บนึงแล้วจะกลับไปเอง”  กอหญ้าตัดสายทิ้ง  แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีคู่กรณีของเธอก็หายไปเสียแล้ว  มองไปรอบๆกายก็ไม่เห็นแม้แต่เงา

                อาจจะเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัวก็ได้กระมัง  ที่อยู่ๆความผูกพันตลอดห้าปีที่มีต่อบ้านหลังนี้ก็ทำให้ ภีมะนันท์  ศิโรวรรธณา เกิดความรู้สึกหวงบ้าน และไม่อยากให้ผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณคนนั้นเข้ามาวุ่นวาย   แม้ว่าตามกฎหมายเขาจะถือกรรมสิทธิ์เพียงแค่เป็นเจ้าของที่ดินก็ตาม

                ครั้งหนึ่งเขาเคยแทบจะพลิกแผ่นดินตามหาเธอเพื่อให้มาลงลายมือชื่อรับกรรมสิทธิ์บ้านอันเป็นมรดกชิ้นเดียวของต้นกล้า กุลยาอธิวัตน์ ผู้ซึ่งเธออ้างว่าเป็นพี่ชาย  หากครั้งนั้นกลับไม่พบแม้แต่เงา  จนกระทั่งเวลาผ่านไปห้าปี  ภีมะนันท์มีความผูกพันกับบ้านจนไม่อาจตัดใจยกให้ใครง่ายๆ  แล้วไฉนเธอจึงเพิ่งมาปรากฏตัวในตอนนี้ 

                เขาจึงจำเป็นต้องหลบเธอ และขณะเดียวกัน  เขากำลังหลบหนีจากความรู้สึกผิดในใจ 

                “โอ้ย!  งูกัด!!  ช่วยด้วยค่ะ!!!  ช่วยด้วย” 

    เสียงของกอหญ้าตะโกนร้องเรียกให้คนช่วย  ภีมะนันท์ยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน  ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง  แต่เมื่อได้ยินเสียงเธอร้องเรียกอยู่ไม่ขาด เขาจึงจำต้องระงับทิฐิไว้ชั่วคราว  ชายหนุ่มรีบวิ่งกลับไปตรงที่ที่พบกับเธอเมื่อครู่ก่อนตามเสียงเรียกนั้น  เมื่อไปถึงก็พบร่างของเธอนั่งคุดคู้  เอามือจับข้อเท้าไว้แน่น  และมีสีหน้าแสดงอาการเจ็บปวด

                ชายหนุ่มรีบแกะมือของเธอออกเพื่อจะดูบาดแผลให้  ทว่าสิ่งที่พบคือข้อเท้าของเธอยังคงปกติดี  ไม่มีร่องรอยถูกงูกัดอย่างที่เธอร้องโวยวายแต่อย่างใด  เมื่อภีมะนันท์เงยหน้าขึ้นหวังจะเอาเรื่องคนขี้โกหก  เขาก็พบว่าหญิงสาวกำลังจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว

                “เห็นชัดว่าคุณกำลังหนี  บอกมานะ  ความจริงเป็นยังไงกันแน่”  กอหญ้าทำท่าทางเอาเรื่อง  ดูเธอจะสะใจอยู่ลึกๆที่สามารถหลอกคนหน้านิ่งเป็นปูนปั้นอย่างเขาได้สำเร็จ  ทว่าเธอกลับไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังทำเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต   ภีมะนันท์คว้าข้อมือเธอมาบีบไว้จนแน่น  สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวดุดันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ  ดวงตาคู่นั้นจ้องมองที่เธอราวกับจะฉีกเนื้อหักกระดูก  กอหญ้าตกใจและเริ่มกลัว  หญิงสาวเริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสั่นอย่างควบคุมได้ยาก

                ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมคำพูดโกหกเล็กๆน้อยๆของเธอทำให้เขาโกรธได้ถึงเพียงนี้  อยู่ๆความทรงจำวัยเด็กที่ฝังอยู่ในบึ้งลึกของหัวใจก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของเขา  ไม่บ่อยครั้งนักที่ใครจะทำให้เขานึกถึงเรื่องที่อยากลืมเรื่องนี้ได้อีก   ความรู้สึกที่ถูกผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าหลอกในวันนั้นหวนกลับมาทำให้เชื้อไฟในกายเขาโหมกระพืออีกครั้ง   เขาเคยคิดเสมอว่าสีหน้าของคนที่ทิ้งลูกทิ้งเมียได้สำเร็จก็คงจะระรื่นสมใจตนเองไม่ต่างจากสีหน้าของผู้หญิงคนนี้ในเวลานี้หรอก

                “ปล่อยฉันนะ!  กอหญ้าสะบัดแขนสุดกำลัง  หากสู้แรงมหาศาลของเขาไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ

                “ฉันไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย  มาบีบแขนฉันทำไม  บ้าไปแล้วเหรอ  ปล่อยนะ! 

    หลังจากดิ้นอยู่นาน  กอหญ้าก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วรีบสะบัดตัวออกจากพันธนาการของเขาอย่างรวดเร็ว  ทว่ามือไวๆของภีมะนันท์กลับคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน  เขาดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากระชับใกล้มากขึ้น  จนใบหน้าเกือบจะชนกัน   เมื่อตาสบตาฝ่ามือทรงพลังที่บีบข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่นก็เริ่มคลายตัวลง  หากยังไม่ปล่อยให้เป็นอิสระเสียทีเดียว  น่าแปลกที่กอหญ้าเองก็ไม่คิดที่จะดึงดันให้หลุดพ้นเหมือนวินาทีก่อนหน้านี้

                ความใกล้ชิดที่สัมผัสได้แม้แต่ลมหายใจหอบถี่ของหญิงสาวทำให้ภีมะนันท์ได้สติ  แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกเหมือนมีแรงหน่วงบางอย่างตรึงร่างเขาไว้อย่างนั้น   ราวกับว่าข้อมูลทุกอย่างในสมองจะถูกลบเลือนหายไปชั่วขณะ  เขารู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ลอยเคว้งอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาในตอนนี้คือ  ใบหน้าเรียวรูปไข่  ดวงโตกลมโตสุกใสมีแววไร้เดียงสา  คิ้วสวยโก่งเหมือนถูกตวัดด้วยปลายพู่กันของจิตรกรชั้นยอด  จมูกโด่งได้รูปรั้นขึ้นเล็กน้อยสะท้อนความซุกซนแบบเด็กๆ  เรียวปากบางอมชมพูน่าสัมผัส  กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาเข้าจมูก และเอวบางอรชรที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา  สิ่งเหล่านี้ทำให้โลกของภีมะนันท์เหมือนกับหยุดหมุนไปหลายวินาที

                แรงขยับน้อยๆในอ้อมแขนทำให้ภีมะนันท์ตื่นจากภวังค์   น่าขายหน้าชะมัด  ชายหนุ่มหน้าแดงจัดโดยไม่รู้ตัว  ในตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก  ได้แต่แสดงอาการโง่ๆแก้อายด้วยการผลักร่างของกอหญ้าออกไปอย่างแรง  จนหญิงสาวเกือบหงายลงไปกับพื้น  โชคดีที่ใช้แขนทั้งสองข้างยันกายไว้ได้ทัน

                “คนป่าเถื่อน!!  กอหญ้าคำราม

                “กลับไปได้แล้ว”  ชายหนุ่มพยายามข่มความรู้สึก  และซ่อนสีหน้าด้วยการหันไปอีกทาง 

                “ฉันไปแน่!  หญิงสาวยืนขึ้นประกาศเสียงกร้าว  ก่อนจะเอ่ยต่อ 

    “แต่ตราบใดที่คุณยังไม่บอกความจริงกับฉัน  ฉันต้องกลับมาอีกแน่นอน  จำเอาไว้!

                คล้อยหลังกอหญ้าไปแล้ว  ชายหนุ่มหันกลับไปมองร่างที่เดินจากไปพร้อมกับความรู้สึกหลากหลายที่อธิบายได้ยาก  ทั้งความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะเสียของรัก  อารมณ์โมโหที่พลุ่งพล่านมาจากสัญชาตญาณภายใน  และความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอ  ผู้หญิงคนนี้เหมือนกับลมพายุที่นึกจะมาก็มา  นึกจะไปก็ไป  เป็นลมที่กำลังจะหอบเอาบางอย่างจากไป  แต่ก็ดูเหมือนกำลังหอบเอาอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้จักให้เข้ามา 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×