คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ : เปิดศึก!!!
เกือบจะทันทีที่บ้านหลังนั้นแล่นผ่านสายตาสวนทางกับรถเก๋งญี่ปุ่นคันเก่าที่กอหญ้าโดยสารมา หญิงสาวก็ร้องออกมาเสียงลั่น
“หยุดก่อน หยุดรถก่อนได้ไหม”
คนขับรถผู้เป็นเพื่อนสาวตกใจและแปลกใจที่กอหญ้าซึ่งนั่งเงียบมองข้างทางมาตลอด จู่ๆก็ตะโกนออกมาเช่นนั้น
“เป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นหรอ”
กอหญ้าเลิ่กลั่กหันรีหันขวางมองกลับไปที่บ้านหลังนั้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก “หยุดรถก่อนเถอะ ฉันขอร้อง แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”
แม้จะไม่เข้าใจ แต่ทิชากรก็ยอมทำตามที่กอหญ้าขอร้องแต่โดยดี เธอหวังว่าเมื่อจอดรถแล้วจะได้ฟังคำตอบจากเพื่อน ทว่าทันทีที่รถจอดสนิท กอหญ้าก็เปิดประตูรถออก แล้ววิ่งพรวดพราดออกไปทางด้านหลังรถโดยไม่รอให้ทิชากรได้เอ่ยถามอะไรออกมาสักคำ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ทิชากรงงกับการกระทำของกอหญ้าได้อย่างไรในเมื่อเพื่อนสาวของเธอคนนี้เพิ่งจะลงจากเครื่องบินมาเหยียบผืนดินจังหวัดเชียงรายเป็นครั้งแรก แต่กลับบอกให้เธอหยุดรถแล้ววิ่งออกไปราวกับรู้จักคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี
เวลานี้เป็นเวลาบ่ายแก่ๆของวันพฤหัสบดี แดดเริ่มร่มลงแล้ว ข้างถนนที่รถของทิชากรขับมานั้นเป็นเนินเขาขั้นบันไดที่เต็มไปด้วยต้นสตอเบอรี่ที่ปลูกลดหลั่นลงมาเป็นขั้นๆ บริเวณนี้เป็นที่รู้กันดีของคนในพื้นที่ว่าเป็นส่วนท้ายของไร่สตอเบอรี่ “ดอยเคียงจันทร์” ไร่สตอเบอรี่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในเชียงรายที่สามารถสร้างผลผลิตคุณภาพเกรดเอเพื่อส่งออกและขายภายในประเทศ
กอหญ้า กุลยาอธิวัตน์วิ่งมาหยุดอยู่ ณ จุดที่มองขึ้นไปแล้วเห็นบ้านหลังนั้นชัดเจน บนยอดเนินเขาซึ่งไม่สูงนัก มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้านซึ่งนำพาอดีตอันแสนอบอุ่นและปวดร้าวพอๆกันของกอหญ้าให้คืนกลับมา บ้านที่เธอไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง บ้านที่ควรจะจากไปพร้อมกับการตายของพี่ชายเธอ แล้ว ‘บ้าน’ หลังนี้
มาปรากฎอยู่ต่อหน้าเธอได้อย่างไร ความตกใจและประหลาดใจระคนกันทำให้กอหญ้าตัดสินใจเดินขึ้นทางดินที่ลาดขึ้นสู่ตัวบ้านหลังนั้นโดยไม่รีรอ
เสียงขุดดินดังมาจากทางข้างบ้าน กอหญ้าถือวิสาสะเดินเข้าไปดู ใจดื้อๆของเธอแอบภาวนาอยู่ลึกๆขอให้คนที่เธอกำลังจะได้พบในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าเป็นพี่ชายของเธอ คนที่เคยสัญญาว่าจะสร้างบ้านที่มีลักษณะเฉพาะแบบนี้บนเนินเขาไร่สตอเบอรี่ให้กับเธอ แม้จะรู้ดีว่าโอกาสที่จะพบกับพี่ชายที่ตายจากไปแล้วอีกครั้งจะมีเปอร์เซนต์ติดลบก็ตาม
เธอเห็นเพียงด้านหลังของชายคนหนึ่งที่เปลือยท่อนบน กำลังงุ่นอยู่กับงานสวนดอกไม้ เป็นแผ่นหลังที่ไม่คุ้นตาสักนิด ไม่ใช่แผ่นหลังที่คุ้นเคยของพี่ชาย หากกอหญ้าจะยังรั้นที่จะแอบลุ้นให้ใช่อยู่นั่นเอง
“ขอโทษนะคะ คือดิฉัน
”’
เขาวางซ่อมพรวณลงแล้วหันมาตามเสียงเรียก ทำให้ความหวังที่จะได้เจอพี่ชายในสภาพมีลมหายใจอีกครั้งต้องดับวูบลง เมื่อคนที่หันกลับมา
ไม่ใช่พี่ต้นกล้า!!!
หากแต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาวนวลจนกอหญ้าแทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงชาวไร่ธรรมดา เม็ดเหงื่อโซมกายสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายระยิบ ความหล่อของเขาอาจกระชากหัวใจของสาวๆได้โดยง่าย ไม่เว้นแม้แต่เธอ หากสถานการณ์และเรื่องบางอย่างที่สำคัญกว่ากลับทำให้กอหญ้าไม่คิดจะสนใจรูปลักษณ์ภายนอกที่เตะตาเหล่านั้นแม้แต่น้อย
“ผมคิดว่าผมไม่รู้จักคุณนะ” น้ำเสียงแข็งกระด้างแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้อนรับ
แม้จะรู้ว่าไม่ควรเดินดุ่มๆเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่กอหญ้าก็เคืองใจนิดๆที่นายคนนี้ไร้มารยาทกับเธอ
“ฉันมาหาเจ้าของบ้านหลังนี้ค่ะ”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างพิจารณา
“รู้จักเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า” เขาตั้งคำถาม
หญิงสาวอึกอักครู่หนึ่ง เธอมองหน้าเขานิ่งนานเพื่อรวบรวมความมั่นใจ ก่อนจะตอบ
“เปล่า แต่ฉันมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขา เกี่ยวกับบ้านหลังนี้”
ประเด็นที่เธอยกมาอ้างดึงความสนใจจากชายหนุ่มได้ถนัด วูบแรกเขาเกือบจะแสดงสีหน้าตกใจออกไป หากก็สามารถข่มอาการนั้นไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบสนิท ไร้ซึ่งอารมณ์ สงบเยือกเย็นเสมือนผิวน้ำที่ไร้แรงเคลื่อนไหว แม้ว่าภายในใจกำลังเกิดระลอกคลื่นน้อยๆเคลื่อนตัวปั่นป่วนไปมา เพราะเรื่องที่เธอต้องการจะพูดกับเขานั้นไม่ใช่เรื่องธรรมดาเสียแล้ว
“มีอะไรก็พูดมาสิ ผมนี่แหละเจ้าของบ้านหลังนี้” เขาแสดงตัว หากยังคงรักษาอาการนิ่งขรึมไว้ได้ไม่มีตก
กอหญ้าไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่เขาอ้าง เพราะเธอมั่นใจว่าคนที่จะสร้างบ้านแบบนี้ขึ้นมาและครอบครองมันได้นั้น จะต้องมีเพียงคนสองคนเท่านั้น นั่นคือพี่ชายเธอและตัวเธอเอง มิเช่นนั้นแล้วโลกคงจะสร้างเรื่องบังเอิญที่เหลือเชื่อเกินไป ที่ดลใจให้คนๆหนึ่งสามารถสร้างบ้านตามแบบที่คนอีกคนออกแบบไว้เป๊ะแบบนี้
“เป็นไปได้ไง คุณจะเป็นเจ้าของบ้านได้ยังไง ในเมื่อ
”
“ผมเป็นคนสร้างบ้านหลังนี้บนเนื้อที่ของไร่ผม และอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้ว อะไรที่คุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้ล่ะ หรือจะบอกว่านี่คือบ้านของคุณ” ชายหนุ่มถามลองเชิง เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นจริงหรือไม่
“ฉัน
” อยากเถียงใจจะขาด แต่ที่เขาพูดมานั้น ไม่มีข้อไหนที่เธอจะเถียงได้เลย ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ตัดสินใจที่จะบอกเขาไปตรงๆ
“พี่ชายฉันเป็นออกแบบบ้านหลังนี้ มันควรจะต้องเป็นบ้านของพี่ชายกับฉัน แต่ตอนนี้พี่ชายฉันก็ตายไปแล้ว แล้วทำไม
ทำไมคุณถึงสร้างได้เหมือนกับที่พี่ฉันออกแบบ ความจริงเป็นยังไงกันแน่ อธิบายให้ฉันฟังได้ไหม”
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้จริงๆ สิ่งที่เธออ้างมานั้นตรงกับที่เขาตั้งสมมติฐานไว้ในใจก่อนหน้านี้ แต่เขาจะแน่ใจได้ยังไงว่าเธอเป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณของเขาจริงๆ บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเข้ามาสวมรอยเพื่อที่จะขโมยกรรมสิทธิ์ในตัวบ้านหลังนี้ไปก็ได้ เขาคงไม่กล้าสะเพร่าเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างให้คนแปลกหน้าที่จู่ๆก็บุกเข้ามาโดยที่เขาไม่ทันตั้งรับเช่นนี้แน่นอน
“ความจริงก็คือผมไม่รู้จักคุณและพี่ชายของคุณ และผมก็ไม่มีเวลามานั่งฟังเรื่องไร้สาระของคุณด้วย กลับออกไปได้แล้ว” เขาตัดบทลงดื้อๆ ปฏิเสธที่จะบอกความจริงทุกอย่างกับเธอ
“ฉัน!!!” กอหญ้าตั้งใจจะสวนกลับออกไป แต่ทิชากรโทรเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“อยู่ไหนยายกอหญ้า เธอทำบ้าอะไรของเธอฮะ” น้ำเสียงปลายสายร้อนรนด้วยความเป็นห่วง
“ฉันมีธุระต้องทำนิดหน่อย” กอหญ้าหลีกเลี่ยงจะบอกความจริง
“ธุระในไร่ดอยเคียงจันทร์นี่น่ะหรอ เธอไม่เคยมาที่นี่ด้วยซ้ำ จะมีธุระได้ยังไง” ยิ่งฟังกอหญ้าพูด ทิชากรก็ยิ่งเกิดข้อสงสัย
“เอาไว้ฉันจะเล่าให้เธอฟังอย่างละเอียด แต่ตอนนี้แค่นี้ก่อนนะ รอฉันแป๊บนึงแล้วจะกลับไปเอง” กอหญ้าตัดสายทิ้ง แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกทีคู่กรณีของเธอก็หายไปเสียแล้ว มองไปรอบๆกายก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
อาจจะเรียกว่าเป็นความเห็นแก่ตัวก็ได้กระมัง ที่อยู่ๆความผูกพันตลอดห้าปีที่มีต่อบ้านหลังนี้ก็ทำให้ ‘ภีมะนันท์ ศิโรวรรธณา’ เกิดความรู้สึกหวงบ้าน และไม่อยากให้ผู้หญิงที่อ้างตัวว่าเป็นน้องสาวของผู้มีพระคุณคนนั้นเข้ามาวุ่นวาย แม้ว่าตามกฎหมายเขาจะถือกรรมสิทธิ์เพียงแค่เป็นเจ้าของที่ดินก็ตาม
ครั้งหนึ่งเขาเคยแทบจะพลิกแผ่นดินตามหาเธอเพื่อให้มาลงลายมือชื่อรับกรรมสิทธิ์บ้านอันเป็นมรดกชิ้นเดียวของต้นกล้า กุลยาอธิวัตน์ ผู้ซึ่งเธออ้างว่าเป็นพี่ชาย หากครั้งนั้นกลับไม่พบแม้แต่เงา จนกระทั่งเวลาผ่านไปห้าปี ภีมะนันท์มีความผูกพันกับบ้านจนไม่อาจตัดใจยกให้ใครง่ายๆ แล้วไฉนเธอจึงเพิ่งมาปรากฏตัวในตอนนี้
เขาจึงจำเป็นต้องหลบเธอ และขณะเดียวกัน เขากำลังหลบหนีจากความรู้สึกผิดในใจ
“โอ้ย! งูกัด!! ช่วยด้วยค่ะ!!! ช่วยด้วย”
เสียงของกอหญ้าตะโกนร้องเรียกให้คนช่วย ภีมะนันท์ยังคงยืนนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อได้ยินเสียงเธอร้องเรียกอยู่ไม่ขาด เขาจึงจำต้องระงับทิฐิไว้ชั่วคราว ชายหนุ่มรีบวิ่งกลับไปตรงที่ที่พบกับเธอเมื่อครู่ก่อนตามเสียงเรียกนั้น เมื่อไปถึงก็พบร่างของเธอนั่งคุดคู้ เอามือจับข้อเท้าไว้แน่น และมีสีหน้าแสดงอาการเจ็บปวด
ชายหนุ่มรีบแกะมือของเธอออกเพื่อจะดูบาดแผลให้ ทว่าสิ่งที่พบคือข้อเท้าของเธอยังคงปกติดี ไม่มีร่องรอยถูกงูกัดอย่างที่เธอร้องโวยวายแต่อย่างใด เมื่อภีมะนันท์เงยหน้าขึ้นหวังจะเอาเรื่องคนขี้โกหก เขาก็พบว่าหญิงสาวกำลังจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว
“เห็นชัดว่าคุณกำลังหนี บอกมานะ ความจริงเป็นยังไงกันแน่” กอหญ้าทำท่าทางเอาเรื่อง ดูเธอจะสะใจอยู่ลึกๆที่สามารถหลอกคนหน้านิ่งเป็นปูนปั้นอย่างเขาได้สำเร็จ ทว่าเธอกลับไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังทำเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต ภีมะนันท์คว้าข้อมือเธอมาบีบไว้จนแน่น สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวดุดันขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองที่เธอราวกับจะฉีกเนื้อหักกระดูก กอหญ้าตกใจและเริ่มกลัว หญิงสาวเริ่มรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสั่นอย่างควบคุมได้ยาก
ชายหนุ่มไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมคำพูดโกหกเล็กๆน้อยๆของเธอทำให้เขาโกรธได้ถึงเพียงนี้ อยู่ๆความทรงจำวัยเด็กที่ฝังอยู่ในบึ้งลึกของหัวใจก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทของเขา ไม่บ่อยครั้งนักที่ใครจะทำให้เขานึกถึงเรื่องที่อยากลืมเรื่องนี้ได้อีก ความรู้สึกที่ถูกผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าหลอกในวันนั้นหวนกลับมาทำให้เชื้อไฟในกายเขาโหมกระพืออีกครั้ง เขาเคยคิดเสมอว่าสีหน้าของคนที่ทิ้งลูกทิ้งเมียได้สำเร็จก็คงจะระรื่นสมใจตนเองไม่ต่างจากสีหน้าของผู้หญิงคนนี้ในเวลานี้หรอก
“ปล่อยฉันนะ!” กอหญ้าสะบัดแขนสุดกำลัง หากสู้แรงมหาศาลของเขาไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ
“ฉันไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย มาบีบแขนฉันทำไม บ้าไปแล้วเหรอ ปล่อยนะ!”
หลังจากดิ้นอยู่นาน กอหญ้าก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วรีบสะบัดตัวออกจากพันธนาการของเขาอย่างรวดเร็ว ทว่ามือไวๆของภีมะนันท์กลับคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน เขาดึงร่างของหญิงสาวเข้ามากระชับใกล้มากขึ้น จนใบหน้าเกือบจะชนกัน เมื่อตาสบตา
ฝ่ามือทรงพลังที่บีบข้อมืออีกฝ่ายไว้แน่นก็เริ่มคลายตัวลง หากยังไม่ปล่อยให้เป็นอิสระเสียทีเดียว น่าแปลกที่กอหญ้าเองก็ไม่คิดที่จะดึงดันให้หลุดพ้นเหมือนวินาทีก่อนหน้านี้
ความใกล้ชิดที่สัมผัสได้แม้แต่ลมหายใจหอบถี่ของหญิงสาวทำให้ภีมะนันท์ได้สติ แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกเหมือนมีแรงหน่วงบางอย่างตรึงร่างเขาไว้อย่างนั้น ราวกับว่าข้อมูลทุกอย่างในสมองจะถูกลบเลือนหายไปชั่วขณะ เขารู้แต่เพียงว่าสิ่งที่ลอยเคว้งอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาในตอนนี้คือ ใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงโตกลมโตสุกใสมีแววไร้เดียงสา คิ้วสวยโก่งเหมือนถูกตวัดด้วยปลายพู่กันของจิตรกรชั้นยอด จมูกโด่งได้รูปรั้นขึ้นเล็กน้อยสะท้อนความซุกซนแบบเด็กๆ เรียวปากบางอมชมพูน่าสัมผัส กลิ่นหอมอ่อนๆที่โชยมาเข้าจมูก และเอวบางอรชรที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้โลกของภีมะนันท์เหมือนกับหยุดหมุนไปหลายวินาที
แรงขยับน้อยๆในอ้อมแขนทำให้ภีมะนันท์ตื่นจากภวังค์ น่าขายหน้าชะมัด ชายหนุ่มหน้าแดงจัดโดยไม่รู้ตัว ในตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ออก ได้แต่แสดงอาการโง่ๆแก้อายด้วยการผลักร่างของกอหญ้าออกไปอย่างแรง จนหญิงสาวเกือบหงายลงไปกับพื้น โชคดีที่ใช้แขนทั้งสองข้างยันกายไว้ได้ทัน
“คนป่าเถื่อน!!” กอหญ้าคำราม
“กลับไปได้แล้ว” ชายหนุ่มพยายามข่มความรู้สึก และซ่อนสีหน้าด้วยการหันไปอีกทาง
“ฉันไปแน่!” หญิงสาวยืนขึ้นประกาศเสียงกร้าว ก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่ตราบใดที่คุณยังไม่บอกความจริงกับฉัน ฉันต้องกลับมาอีกแน่นอน จำเอาไว้!”
คล้อยหลังกอหญ้าไปแล้ว ชายหนุ่มหันกลับไปมองร่างที่เดินจากไปพร้อมกับความรู้สึกหลากหลายที่อธิบายได้ยาก ทั้งความรู้สึกที่เหมือนกำลังจะเสียของรัก อารมณ์โมโหที่พลุ่งพล่านมาจากสัญชาตญาณภายใน และความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับเธอ ผู้หญิงคนนี้เหมือนกับลมพายุที่นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป เป็นลมที่กำลังจะหอบเอาบางอย่างจากไป แต่ก็ดูเหมือนกำลังหอบเอาอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้จักให้เข้ามา
ความคิดเห็น