ตอนที่ 20 : 20 | Back To December
20 | Back To December
ลมหนาวหวนเยือน
ย้อนคืนความทรงจำสีจาง
Secrets of Garden
กระแสลมหอบเอาความหนาวเหน็บมาเยือน ณ ผืนป่า ความอบอุ่นของฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะผ่านพ้น และถูกแทนที่ด้วยความเยือกเย็นของเกล็ดหิมะยามแรกแย้มเหมันต์
ดอกไฮยาซินธ์แย้มกลีบเบ่งบาน ธารน้ำแข็งเริ่มจับตัวเหนือผิวทะเลสาบ เสียงหวีดหวิวของลมหนาวหวนกลับมาเยือนอีกครั้งในรอบปี
หลากหลายเรื่องราวเกินขึ้น ณ ปางไม้แห่งนี้ ทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตากลายเป็นเพียงอดีตที่ผ่านพ้น ทว่าสิ่งเหล่านั้นย่อมกลับคืนมาเฉกเช่นการผันเปลี่ยนของฤดู
นอกเฉลียงบ้านบนชั้นสองของเรือนไม้หลังเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ในทิวป่า แสงสุดท้ายของวันย้อมร่างของใครบางคนที่นั่งรับลมหนาว ดวงตากลมสวยทอดมองแสงสีส้มที่ค่อยๆ ลาลับเหนือยอดเขา เฝ้ามองความมืดมิดของราตรีที่คืบคลาน
ความเยือกเย็นของอากาศบาดผิวเนื้อจนแสบคัน ทว่าไม่เท่ารอยแผลเป็นบนก้อนเนื้อที่เย็นชืด ร่องรอยของบาดแผลแม้จางหาย หากแต่ความเจ็บปวดที่เคยได้รับยังฝังแน่นราวกับว่าเวลาเพิ่งผ่านมาได้ไม่นาน
ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงมันเรื้อรังมานานนับสิบปี
กุหลาบขาวเพียงดอกเดียวในแจกันใบสวยเริ่มโรยรา กลีบดอกบางค่อยๆ บอบช้ำเมื่อกาลเวลาเคลื่อนผ่าน บ่งบอกให้รู้ว่าราชินีของมวลบุปผาไม่ได้งดงามชั่วนิรันดร์
“หึ..”
ลู่หานแค่นยิ้มด้วยความรู้สึกเย้ยหยันในตัวเอง ใบหน้าสวยแม้ประดับด้วยรอยยิ้มทว่ามันไม่ได้น่ามองเหมือนเช่นที่ผ่านมา ความปวดร้าวสะท้อนอยู่ในดวงตากลมสวยที่เปราะบางราวกับแก้วร้าวที่ใกล้จะแตกสลาย
กาลเวลาผันผ่านแปรเปลี่ยนทุกสิ่งไม่รู้จบ ทุกชั่วโมงยามที่ผ่านพ้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสำหรับลู่หาน ทว่าที่ชัดเจนกว่าคือความเคียดแค้นที่ล้นทะลักอยู่ภายในใจ
และมันเฝ้ารอเวลาที่จะระเบิดออกมาในสักวัน
“คุณลู่หานขา”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภักดีดังขึ้นพร้อมกับร่างอวบของเด็กรับใช้คนสนิท อเดลค่อยๆ เดินเข่าเข้ามาหาผู้เป็นนายอย่างนอบน้อม แม้ว่าเจ้านายของเธอจะไม่แม้แต่ปรายตามองก็ตาม
“คุณลู่หานของเดล, ได้เวลาทานยาแล้วนะคะ” เม็ดยาหลากสีในแก้วใบใสถูกยื่นมาให้ ทว่าคนที่ต้องทานมันทุกวันกลับเมินเฉยอย่างไร้เยื่อใย
“คุณลู่หานขา”
“…”
“คุณ—”
“ออกไปซะ”
น้ำเสียงเย็นเยียบที่ได้ยินทำให้สาวใช้ร่างอวบสะดุ้ง หลายวันมานี้เจ้านายของเธอเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะว่าคนที่เฝ้ารอไม่เคยมาหาที่เรือนเล็กหลังนี้เลย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณท่านก็—”
“ฉันบอกให้ออกไป!!”
เสียงตวาดลั่นทำให้อเดลลนลานและรีบคลานออกมาจากตรงนั้นด้วยความตื่นกลัว รอยแผลที่หัวคิ้วจากเศษแจกันเมื่อวันก่อนทำให้เธอหวาดกลัวลู่หานสุดหัวใจ เพราะแม้ว่าจะภักดีแค่ไหนแต่เธอก็ยังรักชีวิตของตัวเอง
กระแสลมเริ่มเกรี้ยวกราดเป็นสัญญาณบอกว่าค่ำคืนนี้จะเกิดพายุ กลุ่มเมฆสีดำทะมึนค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาปกคลุมผืนป่า เป็นความโหดร้ายของธรรมชาติที่ต้องการเอาคืนมนุษย์
ลู่หานกำแก้วยาในมือแน่นก่อนจะขว้างมันลงพื้นจนเนื้อแก้วแตกละเอียด ฝ่ามือบางทุบลงบนขาของตัวเองด้วยความชิงชัง แน่นอนว่ามันไร้ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ควรจะเป็น แต่นั่นไม่ใช่กับหัวใจที่บิดเบี้ยวดวงนี้
“ฉันไม่ยอมเจ็บคนเดียวหรอก”
เพราะคนเรามีสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก มันแปรเปลี่ยนได้ง่ายและเข้าใจยาก อีกทั้งยังเปราะบางเสียจนเปลี่ยนความรักให้กลายเป็นความอาฆาตและเกลียดชัง
(15 years ago)
ปลายเดือนพฤศจิกายนที่ลมหนาวเริ่มพัดผ่าน เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ภาคเรียนแรกของมหาวิทยาลัยบาเซิลเปิดภาคเรียน นักศึกษาหลากหลายเชื้อชาติกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของมหาวิทยาลัย หนึ่งในนั้นคือนักศึกษาใหม่ที่ย้ายมาจากประเทศบ้านเกิด
ร่างเล็กบางตามแบบฉบับคนเอเชียท่ามกลางร่างสูงใหญ่ของชาวยุโรปเรียกสายตาหลายคู่ให้หันมามอง ใบหน้าสวยที่เด่นออกมาจากพวกฝรั่งตาน้ำข้าวทำให้หลายคนสนใจ และสายตาเหล่านั้นก็ทำให้คนถูกมองรู้สึกอึดอัดจนกลายเป็นประหม่ากลัว
เจ้าของดวงตากลมสวยกลอกมองไปมาด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก แววตาที่ฉายแววสั่นกลัวคล้ายกับลูกกวางหลงป่า แผ่นหลังบางงองุ้มอย่างคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง
“อ๊ะ..”
และเพราะไม่ทันได้สังเกตว่าทางข้างหน้าคือมุมตึกทำให้ร่างบางปะทะเข้ากับแผ่นอกแกร่งของใครบางคน ดวงตากลมสวยปิดสนิทอย่างหวั่นกลัวว่าจะถูกรังแก เพราะเด็กเอเชียมักถูกแกล้งอยู่บ่อยครั้ง
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ”
ทว่าสำเนียงเจ้าถิ่นที่เอ่ยออกมากลับทำให้คนที่หวาดกลัวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง ใบหน้าคมเข้มบ่งบอกถึงสัญชาติคือสิ่งแรกที่มองเห็น หากแต่รอยยิ้มเป็นมิตรกลับเป็นสิ่งที่ตราตรึงในคราที่สบมอง
หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยวคล้ายได้รับความชุ่มฉ่ำของหยาดฝน ก้อนเนื้อที่เคยเย็นชืดกลับมามีชีวิตอีกครั้งแถมยังสั่นระรัว
“ผมขอโทษนะครับที่ไม่ระวังจนชนคุณเข้า”
“เรา.. เราต่างหากที่ไม่ระวัง”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ผิดกันคนละครึ่งแล้วกันครับ”
รอยยิ้มใจดีกับนัยน์ตาคมที่ทอความอบอุ่นทำให้หัวใจของคนมองสั่นไหว ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้ช่วยหลอมละลายความหนาวเหน็บที่กัดกินหัวใจ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวที่ทั้งหวานและขม
“นาย เอ่อ.. ชื่ออะไร”
“ชานยอลครับ, ปาร์ค ชานยอล”
“เรา.. ลู่หานนะ”
“ครับลู่หาน”
ความสัมพันธ์เริ่มต้นขึ้นและค่อยๆ เติบโต ลู่หานที่ไร้ญาติเพราะกำพร้าตั้งแต่เด็กได้รับการเอาใจใส่และดูแลอย่างดีจนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ความรู้สึกชื่นชมประทับลงบนก้อนเนื้อภายใต้แผ่นอกเล็ก หัวใจที่เคยโดดเดี่ยวเหมือนได้กลับมามีไออุ่นอีกครั้ง
แม้จะเรียนกันคนละคณะแต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มีแต่จะเพิ่มขึ้น ชานยอลกลายเป็นที่พึ่งเดียวของลู่หานไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ ความใกล้ชิดทำให้ทั้งคู่ยิ่งสนิทกันจนทุกคนคิดว่าสถานะของพวกเขาคือคนรัก
“มึงชอบลู่หานใช่ไหม”
เย็นวันหนึ่งยามย่างเข้าฤดูร้อน – คำถามของคิม จงอินทำให้เรียวขาของใครบางคนชะงัก ดวงตากลมสวยเผยความสดใสเช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างมั่นใจในคำตอบ ทว่าทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
“กู.. ไม่รู้”
“ไม่รู้? แต่ที่มึงเป็นอยู่ทุกวันนี้ทุกคนเขาก็เข้าใจว่ามึงคบกับลู่หานแล้วนะเว้ย”
“เราไม่ได้คบกัน”
“แล้วที่ผ่านมามันหมายความว่าไงวะ”
ในวันนั้นลู่หานไม่ได้ยินคำตอบจากปากของชานยอลเพราะคนตัวสูงทำเพียงแค่เงียบและมองหน้าเพื่อนสนิทเท่านั้น ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปการแสดงออกของอีกฝ่ายก็ยิ่งชัดเจน และนั่นทำให้ลู่หานคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้ง
“ลู่หานคือกุหลาบสีขาวของเรา”
กุหลาบขาวช่อใหญ่ถูกยื่นมาตรงหน้าในวันวาเลนไทน์ปีที่พวกเขาเรียนอยู่ปีสุดท้าย ทุกอย่างชัดเจนอยู่ในหน่วยตาคมกริบแม้ว่าชานยอลจะไม่ได้เอ่ยมันออกมา แต่สัมผัสอ่อนหวานที่ประทับลงบนกลีบปากอิ่มก็ย้ำให้ลู่หานมั่นใจว่าตนคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับชายหนุ่ม
กาลเวลาผันผ่านจวบจนกระทั่งพวกเขาสำเร็จการศึกษา ในบ่ายวันหนึ่งของปลายเหมันต์ที่กลับมาเยือนอีกครั้งในรอบปี – นั่นคือครั้งแรกที่ลู่หานได้มาเยือนปางไม้เติมฝัน
“สวัสดี, พี่ชื่อลู่หานนะครับ”
ลู่หานได้พบกับปาร์ค เซฮุนตัวน้อยในวัยแปดขวบ พวกเขาสนิทกันมากและเซฮุนก็รักลู่หานมากเสมือนพี่ชายร่วมสายเลือด ทว่าความสัมพันธ์ไม่ได้ถักทอกับแค่ปาร์คคนเล็กเท่านั้น
“ฉันชอบเธอ”
ปาร์ค ยองจิน, พ่อของชานยอลกับเซฮุนตกหลุมรักลู่หานตั้งแต่วันแรกที่ลูกชายคนโตพาอีกคนเข้ามาในบ้าน เขาหลงรักดวงตากลมสวยที่เหมือนกับภรรยาที่ตายไป และนานวันเข้ามันกลับกลายเป็นความลุ่มหลงจนอยากครอบครอง
“เธอไม่ได้เป็นคนรักของชานยอลใช่ไหม”
“ผม..”
“อย่าปฏิเสธเลยถ้าเธอรู้สึกเหมือนกันกับฉัน”
น้ำมันใกล้ไฟย่อมกระพือเปลวเพลิงให้ลุกโหม ความชัดเจนที่ไม่เคยได้รับจากคนลูกทำให้ลู่หานเริ่มอ่อนโอน ความอบอุ่นและความรู้สึกมั่นคงที่ได้รับจากคนเป็นผู้ใหญ่ทำให้เด็กกำพร้าคนนึงเริ่มโหยหา และในที่สุดมันก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว
“ชานชอบเราหรือเปล่า” แรงกดดันทำให้ลู่หานเอ่ยถามหลังจากที่เก็บมันเอาไว้ในใจมานาน และจุดเล็กๆ ภายในหัวใจกำลังร้องขอให้ได้ยินคำตอบอย่างที่ใจหวัง
“เรา..” ทว่าความลังเลในหน่วยตาคมก็ทำให้ลู่หานเข้าใจทุกอย่าง มันหมดสิ้นแล้วความอดทนที่พยายามมาตลอดหลายปี
“เรารอชานมาสิบกว่าปีแล้วนะ”
“ลู่หาน”
“และเราไม่ใช่คนโง่ที่จะรออีกต่อไปแล้ว”
ความสัมพันธ์ของชานยอลกับลู่หานจบสิ้นลงในวันนั้น และไม่นานหลังจากนั้นลู่หานก็ตอบรับคำขอแต่งงานของปาร์ค ยองจิน เวลาผ่านความรู้สึกย่อมเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับลู่หานที่จากเคยรู้สึกดีๆ กับชานยอลก็เปลี่ยนไปเป็นความชิงชัง
ความไม่ชัดเจนตลอดระยะเวลากว่าสิบปีมันสะสมจนเปลี่ยนความรักให้กลายเป็นความคับแค้น ลู่หานอยากให้ชานยอลรู้สึกเจ็บปวดบ้างเหมือนกับตอนที่ตนทนอยู่กับความไม่ชัดเจนในความสัมพันธ์ ซึ่งมันคือบทลงโทษที่สาหัสนักสำหรับคนที่ความรู้สึกยังคงเหมือนเดิมอย่างชานยอล
“เรา.. เรารักลู่หาน” ถ้อยคำที่รอคอยถูกเอ่ยออกมาในวันที่สายเกินไป เพราะคนที่ได้ฟังมันไม่ได้รู้สึกเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“หึ ไม่คิดว่ามันสายไปแล้วหรือไง”
“เรารู้ว่าลู่หานไม่อยากได้ยินมันแล้ว แต่ที่เราไม่เคยพูด ที่เราเก็บไว้ในใจมาตลอดเพราะเรากลัวว่าจะเสียลู่หานไป”
“ใช่, นายเสียเราไปแล้วชานยอล”
“…”
“และจำเอาไว้ว่านายจะไม่มีวันได้เราคืน”
กุหลาบสีขาวที่เคยหลงรักกลับถูกชิงชังและเหยียบย่ำด้วยเท้าของคนที่เป็นความหมายของมัน ชานยอลทอดมองกลีบดอกบอบช้ำที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นผ่านม่านน้ำตา และหัวใจที่เคยอบอุ่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชานับตั้งแต่วันนั้น
นกเงือกตัวผู้เริ่มออกหาอาหารเมื่อฤดูผสมพันธุ์มาถึง ฤดูกาลผันเปลี่ยนรอบแล้วรอบเล่าตามเงื่อนไขของเวลา และมันส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงตาม
ในเรือนไม้หลังใหญ่ที่เคยมีเสียงหัวเราะเหลือเพียงร่องรอยของคราบน้ำตา เสียงเจื้อยแจ้วของปาร์คคนเล็กเงียบหายจนบรรยากาศหม่นหมอง จากที่เคยออกไปวิ่งซนทั่วปางกลายเป็นเก็บตัวอยู่ในห้องเพียงลำพัง
จากเด็กที่เคยสดใสกลับกลายเป็นเด็กซึมเศร้า ทุกวันเซฮุนเอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย และทุกวันที่ต้องคอยปิดหูเพราะไม่อยากได้ยินเสียงของผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัว
“พ่อจะพาลู่หานไปไหน!”
“เรื่องของผัวเมีย! คนนอกอย่างแกไม่ต้องมายุ่ง!!”
จนกระทั่งวันหนึ่งที่หลากหลายความสัมพันธ์เดินทางมาถึงจุดแตกหัก – เสียงตะโกนด่าทอดังลั่นบ้านท่ามกลางความพิโรธของพายุ ก่อนจะจบลงด้วยโศกนาฏกรรมนองเลือดที่นำมาซึ่งความสูญเสีย
พ่อเลี้ยงแห่งปางไม้เติมฝันเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุโดยที่ภรรยาซึ่งนั่งไปในรถคันเดียวกันกลายเป็นคนทุพพลภาพ ดอกกุหลาบสีขาวที่ริมรั้วกลายเป็นดอกไม้ที่ถูกชิงชัง ความรักแปรเปลี่ยนเป็นความคลั่งแค้น
“เพราะนาย!! นายทำให้พ่อเลี้ยงจากฉันไป!!”
“…”
“นายทำให้ฉันกลายเป็นคนพิการ!!”
หยาดน้ำตาแทบจะไหลเป็นสายเลือดบนดวงหน้าสวย ลู่หานร่ำไห้ถึงคนที่ตายจากและเคียดแค้นคนที่ยังอยู่ แววตาที่เคยงดงามมีเพียงความแข็งกร้าว และชานยอลที่ได้รับสายตาเช่นนั้นก็เอาแต่กล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง
“เราจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
น้ำเสียงทุ้มเข้มเอ่ยออกมาอย่างแหบพร่าราวกับคนหมดเรี่ยวแรง ห่างออกไปไม่ไกลนักมีร่างของลู่หานที่นั่งกำหมัดแน่นอยู่บนวีลแชร์
“นายได้รับผิดชอบแน่ ปาร์ค ชานยอล”
“…”
“ตลอดทั้งชีวิต!!”
ร่องรอยของบาดแผลต้องได้รับการเยียวยาและต้องมีคนรับผิดชอบ ซึ่งลู่หานเลือกแล้วว่าคนๆ นั้นคือชานยอลคนเดียวเท่านั้น
ทุกคนล้วนเจ็บปวดจากทุกสิ่งที่พังทลาย และคนเรามักเห็นแก่ตัวที่จะไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการเพื่อเป็นหลักประกันให้กับชีวิต
เช่นเดียวกันกับลู่หาน
(ปัจจุบัน)
แสงแดดยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผืนผ้าม่าน วิหคน้อยใหญ่ส่งเสียงขับขานอยู่นอกระเบียงกว้าง เคล้าคลอกับเสียงหวีดหวิวของลมหนาวที่หวนมาเยือน
ผิวเนียนละเอียดที่โผล่พ้นจากผ้าห่มผืนหนาถูกความหนาวเหน็บโลมเลีย ร่างเล็กบางขยับกายซุกเข้าหาความอบอุ่นราวกับลูกแมวขี้หนาว ขดกายเป็นก้อนกลมๆ จนแทบจะจมหายไปกับผืนเตียง
“อืออ..”
แรงขยับกับเสียงครางแผ่วปลุกใครอีกคนที่นอนอยู่ข้างกันให้ตื่นจากนิทรา หน่วยตาคมกริบค่อยๆ ปรือเปิดรับแสงแดดในยามเช้า และสิ่งแรกที่ปรากฏในกรอบสายตาก็คือใบหน้าหวานที่หลับพริ้มอยู่ในอ้อมกอด
ปาร์ค ชานยอลทอดมองใบหน้าของภรรยาตัวเล็กด้วยสายตารักใคร่ ความรู้สึกรักเปี่ยมล้นอยู่เต็มอกจนหุบยิ้มไม่ได้ และยิ่งได้เห็นร่องรอยสีกุหลาบที่ประทับอยู่บนผิวกายขาวก็ยิ่งทำให้ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
นับจากคืนแรกที่พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันที่เมืองอัลพ์บัช, ประเทศออสเตรีย เวลาก็ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ทว่าหลังจากวันนั้นชานยอลก็ยังหลงใหลในร่างกายหอมหวานของภรรยาและชอบรังแกอีกฝ่ายอยู่แทบทุกคืน
และดูเหมือนว่าเมื่อคืนพ่อเลี้ยงหนุ่มจะเอาแต่ใจมากไปหน่อยทำให้เช้านี้ภรรยาตัวน้อยตื่นสายกว่าทุกวัน
“ที่รักครับ” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูคนที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ซึ่งมีเพียงแรงขยับน้อยๆ เท่านั้นที่ได้รับกลับมา
“…”
“สายแล้วนะ”
สัมผัสแผ่วเบาที่คลอเคลียปลายจมูกปลุกให้คนที่กำลังฝันหวานลืมตาตื่น แพขนตาสีอ่อนค่อยๆ ปรือเปิดเผยให้เห็นลูกแก้วกลมใส เรียวตารีสวยกะพริบถี่ก่อนจะหยีลงเพื่อหนีแสง
แม่นางคนใหม่ของปางไม้เติมฝันขยับตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยขบ กิจกรรมรักที่ยาวนานค่อนคืนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียจนแทบไม่มีแรง ผิดกับใครอีกคนที่กระปี้กระเปร่าเพราะสบายตัว
“เช้าแล้วหรือครับ” เสียงแหบหวานเอ่ยถามเจ้าของอ้อมแขนแกร่ง ซึ่งชานยอลก็พยักหน้ารับพร้อมกับงับปลายจมูกรั้นด้วยความมันเขี้ยว
“ลุกไหวไหม”
“คิดว่าไหวครับ”
แบคฮยอนเอ่ยตอบเสียงแผ่วก่อนจะค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง ทว่าทันทีที่กายบางพ้นจากผืนผ้าเจ้าตัวก็รีบมุดกลับเข้าไปเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสักชิ้นปกปิดร่างกาย
“คุณใหญ่ครับ”
“หื้ม”
“ชุดนอนของผมอยู่ไหนครับ”
แม้จะเขินอายมากแค่ไหนที่ต้องเอ่ยถามแต่แบคฮยอนก็ไม่มีทางเลือกเพราะคนที่ถอดมันเมื่อคืนคือคนตรงหน้า ทว่ารอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าคมก็ทำให้แบคฮยอนรู้ว่าไม่น่าเอ่ยถามอีกคนเลย
“ฉันคิดว่านายไม่น่าจะใส่มันได้แล้วล่ะ เพราะเมื่อคืนเหมือนกระดุมจะขาด”
“กระดุมขาด?”
“ใช่, ก็ตอนที่ฉันกระชาก—”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลยครับ”
เรียวตารีสวยที่ตวัดมามองราวกับลูกแมวพองขนทำให้พ่อเลี้ยงหนุ่มหัวเราะ ไหนจะฝ่ามือบางที่ปิดทับลงมาบนริมฝีปากอีกที่ทำให้คนมองยิ่งรู้สึกเอ็นดู
“ใส่เสื้อของฉันก่อนก็ได้” ชานยอลส่งเสื้อนอนตัวโคร่งของตนให้กับผู้เป็นภรรยา ซึ่งแบคฮยอนก็รับมาใส่อย่างไม่อิดออด
“แล้วกางเกงล่ะครับ”
“ฉันใส่อยู่”
พอได้ยินแบบนั้นแบคฮยอนก็ค้อนใส่คนที่นอนยิ้มอยู่อย่างงอนๆ แน่นอนว่าท่าทางเช่นนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากชานยอลได้เป็นอย่างดี ก่อนที่เสียงหัวเราะของทั้งคู่จะดังขึ้นพร้อมกันภายในห้องนอนอันอบอุ่น
หลังจากที่จัดการธุระส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้ว – ชานยอลกับแบคฮยอนก็ลงมาที่ชั้นล่างพร้อมกันเพื่อทานมื้อเช้า ระหว่างที่เดินมายังโถงหน้าบันไดทั้งคู่ก็พบกับก้อนสีเทาแซมน้ำตาลที่นอนขดอยู่บนพื้น และเมื่อดวงตาสุกใสหันมาเห็นมันก็เดินนวยนาดเข้ามาคลอเคลียแบคฮยอนทันที
“ว่าไงคุณโช, หายไปไหนมาหลายวันหืม”
เมี้ยว~
แบคฮยอนอุ้มเจ้าแมวอ้วนที่ชอบหนีเที่ยวขึ้นมาแนบอกพร้อมกับเอ่ยถาม ซึ่งมันก็ส่งเสียงร้องตอบกลับมาราวกับว่าเข้าใจคำพูดของเจ้านาย
“เข้าไปในป่าช่วงนี้บ่อยๆ เดี๋ยวก็เจอไฟป่าเข้าสักวัน”
“อย่าพูดเป็นลางสิครับ”
แบคฮยอนรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องไฟป่าที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว เพราะมันทำให้แบคฮยอนนึกสงสารคุณโชที่เคยสูญเสียครอบครัวเพราะพิษของธรรมชาติ
“มันจะไม่มีเรื่องน่าเศร้าแบบนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว”
“แต่ผมรู้สึกไม่ดี”
“อย่ากลัวไปเลยนะ, เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะปกป้องนายเอง”
ความอ่อนโยนจากอ้อมกอดที่แสนคุ้นเคยทำให้แบคฮยอนยกยิ้มบาง หัวกลมเอนซบลาดไหล่กว้างเช่นเดียวกับท่อนแขนแกร่งที่กระชับแน่น หัวใจสองดวงแนบชิดกันเป็นหนึ่งเดียว และมันจะคงอยู่เพื่ออีกคนตราบนานเท่านาน
ในยามบ่ายคล้อยที่แสงแดดเริ่มเจือจาง – ไม่ไกลจากหน้าเรือนใหญ่มากนักมีร่างของสองนายบ่าวที่กำลังวุ่นวายอยู่กับจักรยานคันสีฟ้า แบคฮยอนก้มมองล้อรถเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจ อีกคนคือป้าแมรี่ที่กำลังจัดกระบอกน้ำลงในตะกร้าหน้ารถ
หลังจากที่ทานของว่างในช่วงบ่าย แบคฮยอนที่ได้ยินแมรี่คุยกับเด็กรับใช้ว่าดอกไฮยาซินธ์เริ่มบานรับลมหนาวแล้วก็อยากออกไปเก็บมาจัดแจกัน แน่นอนว่าเจ้าตัวรีบเอ่ยถามหากแต่แมรี่กลับห้าม เพราะว่าสถานที่ที่ดอกไฮยาซินธ์บานมันอยู่ไกลจนเกือบถึงท้ายปาง
ทว่าคำสั่งของผู้เป็นนายที่บอกให้ตามใจภรรยาทุกเรื่องบวกกับท่าทางออดอ้อนของแม่นางคนใหม่ก็ทำให้แมรี่จนใจจะเอ่ยห้าม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้จนต้องเตรียมน้ำให้เอาติดไปด้วยเพราะกลัวว่าจะเหนื่อยระหว่างทาง
“ถ้าคุณเล็กอยู่ด้วยป้าคงเป็นห่วงคุณน้อยกว่านี้” แมรี่เอ่ยถึงเด็กซนของตนที่วันนี้ตามคุณหมอคิมไปเที่ยวในตัวเมือง ซึ่งแบคฮยอนก็ทำเพียงยกยิ้มบาง
“ป้าแมรี่อย่ากังวลเลยนะครับ, ผมสัญญาว่าจะดูแลตัวเองดีๆ”
“ถ้าพ่อเลี้ยงรู้เข้าต้องโกรธป้าแน่ๆ เลยค่ะ”
“เขาไม่โกรธหรอกครับ”
แบคฮยอนเอื้อมไปจับฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยมาลูบเบาๆ เพื่อให้คนแก่กว่าคลายกังวล แน่นอนว่าท่าทางอ้อนกลายๆ เช่นนั้นก็ทำให้แมรี่ใจอ่อนอีกครั้งและยอมในที่สุด
“ดูแลตัวเองดีๆ นะคะคุณ”
“ครับ”
แบคฮยอนรับคำคุณป้าแม่บ้านพร้อมกับยิ้มให้เพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ ก่อนที่เรือนกายบางจะปั่นจักรยานออกไปจากหน้าเรือนเพื่อไปยังสวนไฮยาซินธ์ที่กำลังผลิบานอีกครั้งในรอบปี
อุณหภูมิที่เริ่มเย็นลงเพราะลมหนาวทำให้อากาศในยามบ่ายเย็นสบาย แบคฮยอนค่อยๆ ปั่นจักรยานอย่างระมัดระวังด้วยความเร็วไม่มากนัก อีกอย่างก็เพื่อซึมซับความงดงามของธรรมชาติที่มีให้เห็นตลอดสองข้างทาง
“อากาศดีจัง”
เสียงฮัมเพลงดังขึ้นเบาๆ ในลำคอผสานไปกับเสียงนกน้อยที่บินล้อสายลม กลิ่นหอมสดชื่นของพงไพรเรียกรอยยิ้มเล็กๆ บนดวงหน้าหวานได้เป็นอย่างดี ชายเสื้อสีครีมพลิ้วไหวราวกับการขยับปีกของผีเสื้อ เกิดเป็นภาพความงดงามที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง
ทว่าเมื่อปั่นจักรยานมาได้สักพักแบคฮยอนก็แว่วยินเสียงบางอย่างดังใกล้เข้ามา เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยระคนกังวลใจ และในเวลาต่อมากรอบสายตาก็ได้เห็นที่มาของเสียงนั้น
ฮี่~
อาชาหนุ่มตัวสูงใหญ่วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าด้วยการบังคับของเจ้านาย เจ้าแบล็คชูขาหน้าขึ้นเมื่อบังเหียนถูกกระตุกก่อนที่มันจะยอบต่ำเมื่อเห็นผู้เป็นนายอีกคน แน่นอนว่าท่าทางแสนรู้นั้นเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากแบคฮยอนได้เป็นอย่างดี
“หวัดดีแบล็ค”
ฮี่~
อเมริกันแซดเดิลสีดำนิลของพ่อเลี้ยงหนุ่มร้องตอบราวกับรู้ความ แบคฮยอนจึงยื่นมือไปลูบหัวมันอย่างรักใคร่ก่อนจะช้อนตามองคนที่นั่งอยู่บนหลังอาชา สายตาสองคู่สบมองกันก่อนที่พวกเขาจะหลุดยิ้มออกมา
“หนีเที่ยวหรือครับแม่นาง” ชานยอลเอ่ยเย้าภรรยาของตนด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่ออีกฝ่ายค้อนให้
“ป้าแมรี่โทรมาบอกใช่ไหมครับ”
“ท่านแค่เป็นห่วงนาย”
“ผมไม่ใช่เด็กสักหน่อย”
“เด็กสิ, เพราะดื้อเหมือนเจ้าเล็กไม่มีผิด”
คนที่ถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับเด็กซนประจำปางแอบมุ่ยหน้าอย่างไม่ชอบใจนัก จังหวะเดียวกันนั้นเจ้าของร่างสูงที่นั่งอยู่บนหลังม้าก็กระโดดลงมายืนบนพื้น ก่อนจะตบก้นม้าหนุ่มเพื่อให้มันวิ่งกลับไปที่คอก
“จะไปเก็บดอกไฮยาซินธ์ใช่ไหม”
“ครับ”
“ไปสิ, เดี๋ยวฉันปั่นให้”
ชานยอลเดินเข้ามาใกล้แบคฮยอนเพื่อจะปั่นจักรยานให้คนตัวบางซ้อน ทว่าแบคฮยอนกลับส่ายหัวพร้อมกับเพยิดหน้าไปทางเบาะหลัง ซึ่งนั่นทำให้ชานยอลขมวดคิ้ว
“ผมเคยพูดแล้วไงว่าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมซ้อนคุญใหญ่ไหว”
คำพูดเมื่อครั้งที่พวกเขาไปฮันนีมูนทำให้ชานยอลหัวเราะออกมา หน่วยตาคมกริบทอดมองใบหน้าของคนรักด้วยความเอ็นดูพอๆ กับความรู้สึกมันเขี้ยว
“แน่ใจใช่ไหม”
“ขึ้นมาเลยครับ”
ฝ่ามือบางที่ตบปุๆ ลงบนเบาะหลังทำให้ชานยอลส่ายหัวอย่างอ่อนใจ ทีเมื่อครู่ยังหน้ามุ่ยอยู่เลยที่เขาบอกว่าดื้อเหมือนเจ้าเซฮุน แล้วดูตอนนี้สิ, ไม่ให้เรียกว่าดื้อจะให้เรียกว่าอะไร
ภาพของเจ้านายทั้งสองที่คนตัวเล็กกว่าปั่นจักรยานให้คนตัวโตนั่งเรียกสายตาของคนงานในปางให้หันมามอง พวกเขาต่างก็อดยิ้มตามไม่ได้เมื่อสัมผัสได้ถึงความน่ารักของคนทั้งคู่ เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากราวกับดอกไม้งามกับแมลงภู่ผึ้ง
“เหนื่อยหรือยัง” ชานยอลที่นั่งเกาะเอวบางยื่นหน้าไปถามคนที่ปั่นจักรยานเก่งเอาเรื่อง และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะสนุกมากจนแทบไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อน
“ไม่ครับ”
“ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนนะ”
“อื้ม”
น้ำเสียงหวานที่ขานรับเสียงใสทำให้ชานยอลได้แต่ยกยิ้มและยอมตามใจ และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสวนดอกไฮยาซินธ์ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งกำลังชูช่อเบ่งบาน
กลิ่นหอมอ่อนๆ กับกลีบดอกหลากหลายสีสันทำให้แบคฮยอนยกยิ้มกว้าง ภาพตรงหน้างดงามมากจนไม่อาจละสายตา เรียวตารีสวยเป็นประกายสดใสจนคนมองอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นคนรักมีความสุข
“ไปตัดกันครับ”
ใบหน้าหวานหันมายิ้มให้คนข้างกายพร้อมกับจูงฝ่ามือหนาเข้าไปในสวน เสียงหัวเราะและรอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าของทั้งคู่ และเชื่อเถอะว่ามันมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน
ชานยอลกับแบคฮยอนใช้เวลาอยู่ในสวนไฮยาซินธ์ไม่นานนักพวกเขาก็กลับมาที่จักรยานเตรียมกลับเรือนใหญ่ แน่นอนว่าขากลับแบคฮยอนก็ยังคงดื้อจะปั่นให้สามีซ้อน และมีหรือที่คนซึ่งยอมตามใจอีกฝ่ายทุกอย่างจะขัดใจ
ทว่าเมื่อปั่นออกมาจากสวนได้ไม่ไกล ชานยอลก็กระโดดลงจากเบาะหลังและใช้มือผลักจักรยานให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า ท่าทางของทั้งคู่จึงเหมือนกับคุณพ่อที่หัดลูกน้อยปั่นจักรยานไม่มีผิด
“ฮ่าๆ เร็วไปแล้วนะครับคุณใหญ่”
แบคฮยอนหัวเราะร่วนเมื่อความเร็วของรถค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังก้องไปทั่วบริเวณบ่งบอกถึงปริมาณความสุข โดยที่ไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนที่เกลียดชังความสุขเหล่านั้น
ไม่ไกลจากตรงนั้นมีร่างของคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ไฟฟ้า ดวงตากลมสวยฉายแววชิงชังและเคียดแค้น รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนดวงหน้าสวยไม่เหมือนกับรอยยิ้มงดงามอย่างที่เคยเป็น
ลู่หานจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกขมปร่า ความแค้นที่สุมอยู่ในใจยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้าย เพราะถ้าเพียงลู่หานปล่อยวางสักนิด เขาจะพบว่าในทุกรูปแบบของความสัมพันธ์ย่อมงดงามในแบบของมัน
“พาฉันไปหาพวกเขา” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยสั่งเด็กรับใช้คนสนิท ซึ่งอเดลก็รีบเข็นวีลแชร์ออกเดินเพราะกลัวว่าเจ้านายจะโกรธและพาลมาลงที่ตน
วีลแชร์คันเล็กเคลื่อนไปตามแรงบังคับจนกระทั่งเข้าไปอยู่ในกรอบสายตาของคนที่ยังคงหยอกล้อกัน เป็นแบคฮยอนที่หันมาเห็นก่อนจึงเอ่ยบอกคนตัวสูงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ซึ่งชานยอลก็ชะงักไปเพราะตั้งแต่ที่ลู่หานย้ายมาอยู่ที่เรือนเล็กท้ายปางพวกเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
“สบายดีนะครับคุณลู่หาน”
“ก็ตามสภาพครับ”
แม้คำตอบจะห้วนสั้นแต่รอยยิ้มสวยที่มักประดับอยู่บนดวงหน้าสวยเสมอก็ทำให้แบคฮยอนยกยิ้มบาง อย่างน้อยๆ อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีเกลียดชังแถมยังยิ้มให้เหมือนอย่างเคย ซึ่งแบคฮยอนก็ได้แต่หวังว่าเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีตจะจบสิ้นลงเสียที
“มาเก็บดอกไม้หรือครับ” ลู่หานเอ่ยถามแบคฮยอน ทว่าดวงตากลมสวยกลับทอดมองใบหน้าคมอย่างตัดพ้อ กลีบปากอิ่มเม้มแน่นด้วยความน้อยใจที่อีกคนไม่แม้แต่จะเอ่ยทักกันสักคำ
“ครับ” แบคฮยอนซึ่งเห็นทุกอย่างทำเพียงยิ้มบาง ก่อนจะหยิบดอกไฮยาซินธ์หนึ่งดอกจากในตะกร้ายื่นไปให้คนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์
“ให้ผมทำไม”
“เพราะว่ามันสวยและเหมาะกับคุณลู่หานน่ะครับ”
แบคฮยอนเอ่ยบอกเพียงเท่านั้นก่อนจะแตะฝ่ามือลงบนหลังมือหนาเพื่อบอกให้คนตัวสูงรู้ว่าตนจะกลับแล้ว ซึ่งชานยอลก็พยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มให้คนข้างกาย
ท่ามกลางสายลมหนาวที่หอบเอากลิ่นหิมะลงมาจากยอดเขา ดวงตากลมสวยทอดมองแผ่นหลังของคนสองคนที่ค่อยๆ พร่าเบลอเพราะระยะทางที่ห่างออกไป ก่อนจะก้มมองดอกไฮยาซินธ์ในฝ่ามือด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ภาษาดอกไม้ของดอกไฮยาซินธ์คือการเริ่มต้นใหม่
กึก!
และแน่นอนว่ามันจะสวยงามหากจิตใจของคนที่ได้รับไม่ได้มืดบอดจนขยำกลีบดอกที่แสนบอบบางจนช้ำคามือ
tbc.
ตอนนี้ก็แค่ย้อนเรื่องราวในอดีตของลู่หาน
พวกเธอจะกลัวดราม่ากันทำไมเนี่ย
ps. เวลคัมสามจิ๋วทูไทยแลนด์จ้า
#ซคกด
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ต่างคนก็ต่างเจ็บปวดมามากพอแล้ว ลู่หานก็ควรจะมูฟออนบ้างนะะะะะ
ยังหวังกับไรท์ที่บอกว่าแบคไม่ได้อ่อนแอน๊า แงงงง คือลู่หานอ่ะ...เค้าให้อยู่ที่ปางก็ดีแค่ไหนแล้ว จะโทษแค่ชานยอลก็ไม่ได้อ่ะ เป็นคนที่แบบ ..โลกหมุนรอบตัวฉันอ่ะ ฉันไม่ผิดและฉันไม่เคยผิด ปฏิเสธชานเอง เลือกพ่อชานไปอีก ึึึงพวงมาลัยพ่อชานจนตายแต่ตัวเองดันพิการไ เลือกเองทั้งน้านนนน บอกว่าชานไม่แน่ชัดละตัวเองเข้าหาขานบ้างป่าว?บอกชอบเค้าบ้างป่าว?จีบบ้างป่ะ? น่ารำคาญ
พี่ลู่น่ากลัวจริงๆ กลัวแบคจะเป็นอันตรายจัง
ไม่อยากให้ลู่หานเป็นแบบนี้เลยอ่ะคืออยากให้ลู่หานปล่อยวางและยอมรับความจริงให้ได้มากกว่ารู้ว่ามันยากแต่มันจะดีเพื่อตัวลู่หานเองนะ ขอร้องว่าอย่าทำร้ายแบคฮยอนเลย :(