ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #71 : ค่อยยังชั่วหน่อย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 911
      1
      16 ก.ค. 48





                        เขียนวันที่ 16 ก.ค. 48                                      หนัก 74.7 กก.





                        ค่อยยังชั่วอย่างกับชื่อตอนที่เขียนไว้เลยล่ะครับ เพราะน้ำหนักก็ลดลงมาหน่อย เมื่อวานผมค่อนข้างควบคุมได้ดี เมื่อวานนี้ผมก็ไม่ได้กินข้าวเช้าครับ ตลอด 166 วันที่ผ่านมาผมแทบจะไม่งดมื้อเช้าเลย แต่เมื่อวานคงมีหลายเหตุผล เหตุผลแรกคือวันพฤหัสบดีตอนเย็น ผมไปร่วมงานเลี้ยงบุฟเฟ่มา และด้วยบรรยากาศพาไป ผมกินมากไปจริงๆในมื้อนั้น คำว่ามากไปนั้น ไม่ใช่ว่าจะมากเหมือนก่อนนะครับ เพราะเมื่อก่อนถ้ามีงานแบบนี้ผมจะกินได้ประมาณ 5-6 จานจึงจะรู้สึกแน่น แต่เย็นวานกินไป 2 จานพูนๆ กับอีกครึ่งจานก็รู้สึกแน่นมากแล้วล่ะครับ แน่นเหมือนกับสมัยที่เคยกินได้ 6 จาน แสดงว่าความอิ่มมันก็ปรับตามเราเหมือนกันเนอะ



                       เมื่อเย็นวันพฤหัสฯ ผมกินมากขนาดนี้ ทำให้เช้าวันศุกร์มันมีผลต่อทั้งกายและใจ ทางร่างกายก็คือ มันยังรู้สึกแน่นอยู่เลย จนเช้าวานนี้ยังกินอะไรไม่ลง แต่อีกสิ่งหนึ่งก็คือ ความรู้สึกผิดบางอย่าง เพราะการที่ผมเองปล่อยให้บรรยากาศพาไป ตลอด 165 วันที่ผ่านมา ผมไม่เคยแน่นเหมือนกับเย็นวันพฤหัสฯมาก่อน คือมันแน่นเกินคำว่าอิ่มครับ และก็รู้ตัวว่าเรากินมากเกินไปจริงๆ องค์ประกอบที่ทำให้ผมกินมากเกินไปเมื่อเย็นวันพฤหัสบดี ถ้าจะวิเคราะห์กันในเชิงจิตวิทยาให้ได้เป็นความรู้ออกมานั้น ก็สามารถสรุปได้ว่า มันครบองค์ 4 ครับ คือ



    1. ตั้งแต่ 2 มื้อแรกของวันพฤหัสบดี เป็น 2 มื้อที่กินเกินอยู่แล้ว บางคนอาจคิดว่า ถ้า 2 มื้อแรกเรากินเกิน มื้อที่ 3 เราน่าจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ผมว่าผมเองกับใครอีกหลายๆคนคงไม่คิดแบบนั้น การที่ 2 มื้อแรกกินเกินพอดีไป และแถมอาหารที่กินเข้าไปทั้ง 2 มื้อมันเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความอร่อยแบบสุดๆ ทำให้ผมเริ่มติดในรสชาติของอาหารขึ้นมาอีกครั้ง แถมเย็นวันพฤหัสบดียังทานบุฟเฟ่ที่อร่อยเหาะอีกด้วย และทั้งวันผมกินฟรีครับ ไม่ได้เสียตังแม้แต่สลึงเดียว พอ 2 มื้อแรกมันกระตุ้นความอยากในอาหารให้มากขึ้น พอมาเจอมื้อเย็น ทุกอย่างก็พุ่งพรวด



    2. เพราะมื้อเย็นวันพฤหัสบดีเป็นบุฟเฟ่ด้วย มันเลยกระตุ้นกันไปใหญ่ แถมกินเกินพอดีมาตั้ง 2 มื้อก็เลยดันไปคิดว่า ไหนๆมันก็เกินมาทั้งวันแล้ว เย็นนี้ก็ช่างมันเถอะ นึกว่าปล่อยผีก็แล้วกัน ก็ยังดีนะครับที่ร่างกายของผมเองมันช่วยไว้ให้ผมหยุดที่ 2 จานครึ่ง ถ้าร่างกายยืดหยุ่นให้เหมือนกับสมัยก่อนคงได้ปล่อยผีทั้งป่าช้าแน่ๆ ต้องขอขอบคุณร่างกายของผมไว้ ณ ตรงนี้ด้วยนะครับ แต่... จริงๆแล้ว ต้องขอบคุณตัวผมเองในเดือน ก.พ.-พ.ค. 48 มากกว่า



    3. เพราะเป็นของฟรีครับ หลายคนก็แพ้ตรงนี้เหมือนกัน ถ้าใครให้กินอะไรฟรีๆแบบเท่าไหร่ก็ได้ ความเสี่ยงมันก็ย่อมมีสูงเป็นธรรมดา



    4. และเป็นเพราะบรรยากาศครับ หัวข้อที่ 4 นี้มันไม่ใช่เรื่องของเหตุผลแล้วล่ะครับ แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัว หลายคนก็คงเคยเจอนะครับ ที่กินบางที่จะดูเจริญอาหารมากกว่าบางที่ เรื่องนี้เป็นเรื่องของความรู้สึกเฉพาะบุคคลที่ยากจะอธิบาย แต่สามารถสาธยายได้เป็นคุ้งเป็นแควถ้าใครอยากฟัง



    เมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ผมเองก็ไม่รอดล่ะครับ เช้าวันศุกร์ก็เลยต้องมามีความรู้สึกผิด ยังดีที่ผมเองยังไม่ซีเรียสกับมันมาก แต่หลายคนบอกว่า ใครเจออย่างผมตอนเย็นพฤหัสฯ ถ้ากินเยอะเกินไป และรู้สึกผิดอย่างแรง จะต้องไปอาเจียนทันที และนั่นก็คือ บ่อเกิดของโรคบูลิเมียที่ใครเผลอไปเป็นแล้วรับรองว่าหายยากมากๆๆๆๆ เมื่อมีคนช่วยวิเคราะห์ให้แบบนี้ ผมเลยรำพึงกับตัวเองว่า \"โชคดีจังเลยตู รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด\"  เพราะถ้าผมเป็นโรคบูลิเมียขึ้นมาจริงๆ ลองนึกภาพดูสิครับ หนังสือก็ใกล้จะออกเต็มทีแล้ว แต่คนแต่งกลับเป็นบูลิเมียขั้นต้น เฮ้อ...ทำให้นึกถึงความฟอนเฟ๊ะของฮอลลวู๊ดขึ้นมาทันทีเลยครับ ที่หน้าฉากสวยงาม แต่หลังฉากเละเทะไปหมด รอดมาได้ก็นับว่าบุญ



    สรุปว่า เช้าวันศุกร์ไม่ได้กินมื้อเช้าครับ มื้อเที่ยงกินข้าวน้อยกว่าครึ่งจานครับ แต่เน้นกับที่เป็นผักล้วนๆมีไก่บ้างประปราย มื้อเย็นเป็นสลัดไก่จานโปรด และที่สำคัญคือ เมื่อวานมีเวลาได้ไปเดินออกกำลังกายด้วย ถึงแม้จะดึกสักหน่อยคือ 4 ทุ่มถึง 5 ทุ่มครึ่ง แต่ก็ถือว่าใช้ได้ เหงื่อออกได้ที่จริงๆและมันทำให้ผมมีความสุขมาก เมื่อเช้าตื่นสายหน่อยครับ แต่พอชั่งน้ำหนักดูมันจะประมาณ 74.7 กก. แค่นี้ก็นับว่าปลื้มแล้วครับ อย่างวันนี้ผมก็เลยกินมื้อแรกเป็นมื้อเที่ยง ผมกินสลัดปลา กับน้ำเปล่าถึง 3 ขวด และแถมท้ายด้วย ไอศครีมฟรุ๊ตสลัด การกิน ไอศครีมฟรุ๊ตสลัด ในมื้อเที่ยงวันนี้ของผมถือเป็นการ \"ฉวยโอกาส\" ครับ เพราะมื้อเย็นผมคงกินส้มตำเน้นผัก แล้วก็ไปออกกำลังกาย การกินไอศครีมฟรุ๊ตสลัด จึงไม่น่าจะสร้างปัญหาให้กับผม และผมก็กินมันแบบพอดีด้วยครับ



    ถ้าเป็นการกินไอติมสมัยก่อนผมจะชอบกินถ้วยใหญ่ๆแบบทรงกระบอกแบบพวกสายรุ้งพาเฟ่อะไรพวกนั้น ถ้วยนึงก็ 100 กว่าบาท หรือไม่ก็บานาน่าสปลิท 1 ถ้วย ไอติม 3 ลูกโตๆ สมัยนี้กินไอศครีมฟรุ๊ตสลัด ที่มีไอติม 1 ลูกก็เกินพอแล้วครับ ถ้วยละ 35 บาทก็นับว่าสร้างสีสันได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อก่อนที่ผมกินไอติมหลังอาหารนั้น กินถ้วยใหญ่ยังไม่พอครับ แถมเบิ้ลอีกต่างหาก บางมื้อกินถึง 3 ถ้วย และแถมกินแบบแซนวิชอีกต่างหากคือ คาว-หวาน-คาว  พอกินข้าวผัดไป 2 จาน ไอติม 2 ถ้วย ยังสั่งก๋วยเตี๋ยวอีก 2 จานเป็นการปิดท้าย นึกถึงเรื่องวันวานของตัวเองก็ยังสงสัยอยู่เลยครับว่า กินเข้าไปได้ยังไงอ่ะ ตั้งมากมายขนาดนั้น แต่วันนี้ก็ดีขึ้นแล้วล่ะครับ ต้องบอกว่าดีขึ้นมากๆเลย คงต้องติดตามและตามติดกันต่อไปว่า การลดครั้งใหม่นี้จะมีอุปสรรคใดๆอีกหรือไม่ หรือหนทางจะสะดวกโยธินไปตลอด ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันครับ ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไปครับผม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×