ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #30 : ความลับของการออกกำลังกาย ( 5 )

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.95K
      2
      20 เม.ย. 48

                                       หมายเหตุ   เขียนวันที่ 19 เม.ย. 48                หนัก 83  กิโลกรัม





                                      หลังจากผมประคองให้น้ำหนักคงที่มาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ผมจะเริ่มลดต่อแล้วล่ะครับ ต้องมาดูว่าจะลดต่อไปได้หรือไม่  เมื่อวานกับวันนี้ผมก็กิน 2 มื้อครับ  มื้อเช้ากินข้าว 1 จานเต็มๆ   มื้อเที่ยงกินพวกก๋วยเตี๋ยว รู้สึกว่าตอนนี้จะอยู่ตัวแล้วครับ มื้อเย็นไม่หิวเลย  พอถึงวันนี้แล้ว พอมองย้อนกลับไปว่าผมใช้วิธีแบบไหนเป็นเคล็ดลับสำหรับการลดน้ำหนัก มันก็จะได้ประมาณนี้ครับ



                                      เริ่มจากผู้ชายอายุ 33 ที่อ้วน 107 กิโลกรัม ชอบทานอาหารแคลอรี่สูงเป็นปริมาณมากใน 1 มื้อ แล้ววันหนึ่งเขาก็ฉุกคิดว่า ถ้ายังมีพฤติกรรมแบบนี้ต่อไป ตอนอายุ 40 จะต้องอ้วนมากๆเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย มาทำอะไรสักอย่างดีกว่า เขาเริ่มต้นเปลี่ยนเมนูจากอาหารแคลอรี่สูงเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำที่ไม่ต่ำมากจนเกินไป แต่ในบางมื้อก็ยังกินในปริมาณมากอยู่ เช่นมื้อเย็นบางมื้อกินไป 2 จานคือเกาเหลาลูกชิ้นกับสลัดผัก  หลังจากนั้นก็ค่อยๆวางแผนเพื่อที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมเคยชินของตนเองในการกินอาหารครั้งละมากๆ เป็นการกินอาหารในปริมาณที่น้อยลงและเน้นสุขภาพมากขึ้น ต้องงดน้ำอัดลมไปโดยปริยายทั้งๆที่กินติดต่อกันมาทุกมื้อเป็นเวลา 10 กว่าปี



                                      ขณะที่กิน 2 จานโดยเป็นเกาเหลากับสลัดผักนั้น การที่ค่อยๆลดปริมาณลงไปมันค่อนข้างทำได้ง่ายกว่าอาหารที่เน้นคาร์โบไฮเดรต ขณะที่ค่อยๆปรับพฤติกรรมการกินนั้น พฤติกรรมการออกกำลังกายก็ค่อยๆ เพิ่มเข้ามาในชีวิตด้วย เขาเริ่มออกกำลังกายด้วยการเดิน แรกๆก็เดินใกล้หน่อย   แล้วก็ค่อยๆเดินได้ไกลขึ้น   ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นก็ค่อยๆลดจนเหลือ 2 มื้อๆละ 1 จาน แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนเมนู จากเกาเหลา สลัดและส้มตำมาเป็นข้าวในมื้อเช้าและก๋วยเตี๋ยวในมื้อเที่ยง เพื่อให้สอดรับกับการที่เขาอยากออกกำลังกายหนักขึ้นในตอนเย็น พอทุกอย่างลงตัว ร่างกายก็ปรับตัวของมันไปตามนั้นทุกประการ จนเริ่มเข้าที่เข้าทาง จนการกินข้าว 1 จานในตอนเช้านั้นอิ่มมาก และการกินก๋วยเตี๋ยว 1 ชามในตอนเที่ยงนั้นพอดีกับความต้องการ ตอนเย็นเขาไม่หิวอีกแล้ว แต่ก็มีแผนที่จะค่อยๆเพิ่มมื้อเย็นเข้ามาทีละนิดเมื่อต้องการควบคุมน้ำหนักตัวให้คงที่ แผนการทั้งหมดก็มีหลักการเพียงเท่านี้เองครับ เพียงเท่านี้จริงๆ



                                      ตอนนี้เรามาพูดถึงการออกกำลังกายกันต่อดีกว่า เท่าที่ผมสำรวจมาอย่างไม่เป็นทางการ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่จะชอบออกกำลังกายในช่วงเย็นมากที่สุด รองมาก็ช่วงเช้า และสุดท้ายก็ออกทั้งสองช่วงครับ พอดีผมอยู่ในกลุ่มของการออกกำลังกายช่วงเย็น เลยขอเน้นประเด็นนี้ไปเลยนะครับว่า การออกกำลังกายช่วงเย็นมีผลดีผลเสียยังไง



                                      ผลดีต่อการกินก็คือ พอตื่นนอนมาเราก็ได้กินอาหารเช้า อย่างที่ผมเคยบอกล่ะครับว่ามันมีประโยชน์มากแค่ไหน ถ้ากินอาหารเช้ามากนิดนึงแต่ไม่ถึงกับมากเกินไป ระบบการเผาผลาญก็เริ่มติดเครื่องของมันไปตามธรรมชาติของระบบนั้น หลังจากนั้นการพึ่งพิงการใช้พลังงานในช่วงวันที่ผมเคยบอกไปในตอนที่แล้ว ก็ค่อยๆมาอุ่นเครื่องให้กับระบบเผาผลาญพลังงานอีกครั้ง ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้สวย พอมาได้กินอาหารเที่ยงที่มีปริมาณแคลอรี่กำลังพอดี เครื่องก็ชาร์ตอย่างได้ที่ พอใช้พลังงานในช่วงวันต่อถึงตอนเย็น ความสดชื่นบางอย่างก็ค่อยๆแทรกซึมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว พอได้กินอาหารมื้อเย็นที่แคลอรี่ค่อนข้างต่ำอย่างอิ่มหนำแล้ว แต่เครื่องยังฟิตอยู่เลย เพราะฉะนั้น การออกกำลังแบบแอโรบิคประมาณ 45-60 นาทีจะทำให้การเผาผลาญทำงานของมันอย่างเต็มที่เพราะเราได้อุ่นเครื่องมันมากพอแล้ว พอเหงื่อออก ตัวเราก็จะรู้สึกเบาสบาย พักให้เหงื่อแห้งแล้วก็อาบน้ำอย่างสดชื่น หลังจากนั้นก็หลับลึกอย่างมีความสุขเพื่อที่จะตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นในตอนเช้าเพื่อยิ้มรับกับวันใหม่ในชีวิต ข้อเสียคงมีเพียงอย่างเดียวว่า ถ้าออกกำลังกายแล้วหิวและกินมื้อดึกเข้าไปนี่สิ สิ่งที่ทำมาทั้งวันคงไม่คุ้มค่าเลย



                                       สมัยเด็กๆผมเคยคิดนะครับว่า ทำยังไงชีวิตของผมจึงจะมีความสุขได้ สังคมในสมัยนั้นก็เสนอความสุขในรูปแบบของ\"สิ่ง\"ในลักษณะที่ว่า ถ้ามีเจ้า\"สิ่ง\"นั้นแล้ว เราจะมีความสุขที่สุดในชีวิต เขาพูดเหมือนกับว่า ถ้าเรามีเจ้า\"สิ่ง\"นั้นแล้ว \"ความสุข\"ก็เหมือนจะถูกสตาฟท์ให้อยู่กับเราตลอดไป แต่พอโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมจึงพบว่า ไม่มีความสุขที่ถูกสตาฟท์แบบนั้นหรอกครับ มีแต่ความสุขตอนที่เราลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าแล้วเรามีกำลังกายกำลังใจที่พร้อมจะเรียนรู้กับชีวิตในอีก 1 วันที่เรายังอยู่ในโลกใบนี้ เรียนรู้ผู้คน เรียนรู้สุข เรียนรู้ทุกข์ และรู้จักชีวิตมากขึ้นไปอีกวันหนึ่ง พอตะวันใกล้จะลับฟ้าเราก็กลับมาทบทวนถึงชีวิตตลอดหนึ่งวันที่เราประสบมา เมื่อรู้จักชีวิตก็รู้จักความสุข และมันคือ\"ความสุข\"ที่ไม่ได้ถูกสตาฟท์ให้นิ่งอยู่กับเราตลอดไป แต่มันคือส่วนหนึ่งของตัวเรานั่นเองครับ





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×