ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #15 : ทฤษฎี Self Fulfilling Prophecy ( 3 )

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.57K
      4
      31 มี.ค. 48







                                         หมายเหตุ   เขียนวันที่ 31 มี.ค. 48      หนัก 85.5 กิโลกรัม



                                         วันนี้มีรายงานด่วนครับ เมื่อเช้าชั่งน้ำหนักก็ยังงงเหมือนกัน ตอนแรกคิดว่ายังไงเช้านี้ก็น่าจะหนัก 86.0 กิโลกรัม แต่พอชั่งน้ำหนักแล้วเหลือ 85.5 กิโลกรัมทั้งๆที่ผมไม่ได้ไปออกกำลังกายตอนเย็นเลย แต่พอมาวิเคราะห์ดูมันก็พอเห็นว่ามันก็น่าที่จะเป็นไปได้ ผมเล่าให้ฟังเลยดีกว่าว่าเมื่อวานผมทำอะไรบ้าง



                                         เมื่อวานตื่นสายครับ แต่มีประชุมตอนเช้า เลยรีบมาด่วน เกือบไม่ทันแน่ะ มื้อเช้าผมเลยกินน้ำไปแค่แก้วเดียว พอประชุมเสร็จ ก็ชวนเพื่อนอีก 2 คน รวมผมด้วยเป็น 3 คนไปกินส้มตำกันตอนเที่ยง เพื่อนผม 2 คนกินข้าวเหนียวคนละจาน ส่วนผมไม่ทานข้าวเหนียวเลย ผมทานส้มตำไทย 1 จาน ผักแกล้มอีก 1 จาน แล้วผมก็ใช้เทคนิค The Whole and The Part กินไก่ย่างไปอีก 1 ชิ้น ชิ้นเท่า 3/4 ของ kfc และก็กินหมูทอดขนาดชิ้นพอดีคำไปอีกประมาณ 6 ชิ้น นับว่าเป็นมื้อเที่ยงที่เอร็ดอร่อยมาก



                                        และถึงเมื่อวานผมจะไม่ได้ออกกำลังกายตอนเย็น แต่เมื่อวานนี้ผมต้องลงมาชั้น 1 บ่อยมาก ออฟฟิตของผมอยู่ชั้น 3 ผมเลือกเดินขึ้น-ลงบันไดโดยไม่ใช้ลิฟต์เลย และบังเอิญอีกว่าที่ทำงานผมเขาซ่อมห้องน้ำชั้น 2 และ 3 เวลาจะลงมาเข้าห้องน้ำทีต้องลงมาเข้าที่ชั้น 1 ผมก็เดินขึ้น-ลงบันไดอีก เมื่อวานเดินขึ้นลงหลายรอบมากครับ ผมเข้าไปดูในเว็บ www.elib-online.com พบข้อมูลดังนี้ครับ



                                       ตัวอย่างการใช้พลังงานในกิจกรรมต่างๆ เป็นเวลา 15 นาที



                                       กิจกรรม                                                พลังงานที่ใช้ไป ( กิโลแคลอรี่ )

                                       เล่นวอลเล่ย์บอล...............................................40                                                  

                                       ล้างรถ..........................................................40-50

                                       ถูบ้าน...........................................................40-50

                                       ทำสวน.........................................................50-60

                                       เดิน ( 5 ก.ม./ช.ม. )..........................................60

                                       วิ่ง ( 10 ก.ม./ช.ม. ).........................................150

                                       เดินขึ้นบันได...................................................150





                                      แสดงว่าผมกินไม่เยอะเพราะมื้อเย็นก็ไม่ได้กิน ช่วงบ่ายกินน้ำไปบ้างเลยเดินลงมาเข้าห้องน้ำบ่อย และผมก็เดินไปชั้นนั้นชั้นนี้บ่อย พอหักลบกลบหนี้กันแล้ว น้ำหนักก็ลดลงได้ ดีจังเลยครับ



                                      ตอนนี้เรามาต่อเรื่อง SFP กันต่อดีกว่าครับ เมื่อตอนก่อนผมบอกไปแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้เรากินเก่งและน้ำหนักตัวเพิ่มมันคืออะไรบ้าง และพอมันกลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว ผลที่ได้คือ ตัวเราเองมีพฤติกรรมเคยชินที่จะต้องกินเยอะๆ กินแต่ของที่มีแคลอรี่สูง กินจุกจิก ส่วนคนที่อยู่แวดล้อมตัวเราก็จะมีพฤติกรรมเคยชินเหมือนกันคือ เขาชินว่าเราต้องเป็นแบบนั้น ต้องเป็นคนที่กินเก่งและไม่ชอบออกกำลังกาย แต่สมมติฐานของผมคือ พฤติกรรมเคยชินของทุกคนที่กล่าวมาไม่ใช่พฤติกรรมเดิมแท้ที่ฝังลึกอยู่ในพันธุกรรม แต่น่าจะฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก เพราะฉะนั้นก็ต้องมีการถอนรากถอนโคนพฤติกรรมเคยชินทุกรูปแบบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน และที่สำคัญก็คือ ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน เพราะตอนแรกมันก็เริ่มมาจากตัวเราเองเหมือนกัน



                                      แต่ถ้าจะเปลี่ยนจากตัวเราเองเราต้องมีความตั้งใจจริงและจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ต้องเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอย่างจริงจัง อย่างที่ผมทำในเดือนแรกคือ ต้องกินแต่ของที่มีแคลอรี่ต่ำ เดือนแรกยังไม่ควรใช้เทคนิคการกินแบบ The Whole and The Part แล้วก็ต้องฝึกออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน ผมเองเลือกการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดคือการเดิน ผมเรียกมันว่า \"เดินเพื่อชีวิต\" แล้วก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ถ้าเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการทำต้องแก้ไปเป็นช่วงๆ



                                     ในตอนแรกอาจจะแทบไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างผมเองตอนที่ลงไป 8 โล คนรอบข้างก็ยังไม่สามารถสังเกตได้ ต้องเป็นช่วงที่ลง 15-20 โล คนรอบข้างถึงจะสังเกตเห็น เพราะฉะนั้นในช่วงแรกอาจมีการพูดแบบบั่นทอนกำลังใจว่า \"อุตส่าห์ลงทุนเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน แต่ไม่เห็นมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย\" แต่ตัวเราเองก็ต้องเข้าใจว่ากว่าเราจะอ้วนได้ขนาดนี้มันต้องใช้เวลาหลายปี พอตอนที่จะลดมันก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน กรุงโรมไม่ได้สร้างได้ภายในวันเดียวฉันใด การลดน้ำหนักเองก็ฉันนั้น มันต้องใช้เวลา และพอถึงตอนที่รูปร่างของเรามีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คนรอบข้างก็จะเริ่มชินว่า อ๋อ...ตอนนี้เราเป็นแบบนี้ เป็นคนที่กินพออิ่ม กินอย่างเป็นระบบ น้ำหนักตัวลดลง พอทุกอย่างมันเข้าที่เข้าทาง พฤติกรรมเคยชินแบบใหม่ทั้งตัวของเราเองและคนรอบข้างก็จะถูกโปรแกรมใหม่ลงไปในจิตใต้สำนึกอีกด้วย



                                    แต่ก็อย่างที่ผมเคยบอกไปในตอน\" \"ความอร่อย\" ที่ตามมาหลอกหลอน\"ว่า ตอนที่เราจะฝังรากพฤติกรรมเคยชินแบบใหม่ ไอ้พฤติกรรมเคยชินแบบเก่าที่มันยังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรามันก็ยังไม่ไปไหนและยังมารบกวนสมาธิของเราอีกด้วย มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกแบบใหม่หรือแบบเก่า มันแทบไม่ต้องคิดเลยครับว่าถ้าห่วงใยในสุขภาพแล้วมันก็ต้องเลือกแบบใหม่ นั่นแหละครับคือสิ่งที่เราต้องการ อย่างตัวผมเองที่เลือกเข้าโปรแกรมที่ตัวเองเซ็ตไว้ 4 เดือน เพราะผมคาดการณ์แล้วว่า เวลา 4 เดือนเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับผมที่จะเอาพฤติกรรมเคยชินแบบใหม่ฝังลงไปในจิตใต้สำนึกและทำลายพฤติกรรมเคยชินแบบเก่าไปให้สิ้นซาก เวลาที่เหมาะสมของแต่ละคนอาจไม่เท่ากันนะครับ ของผม 4 เดือนๆละ 10 โล ของบางท่านอาจเป็น 2เดือนๆละ 5 โล บางท่านอาจเป็น 10 เดือนๆละ 3 โล ยังไงก็ต้องเลือกให้เหมาะกับตัวเราครับแล้วเราก็จะรู้สึกดี นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผมใช้ชื่อเรื่องว่า\"ประสบการณ์\" แต่ไม่ใช้คำว่า\"ข้อแนะนำ\"



                                   ขอพูดถึงเรื่องโยโย่เอฟเฟ็คนิดนึงครับ เพราะเห็นหลายคนกลัว ผมเองคิดว่าที่เกิดโยโย่ขึ้น แทบจะทั้งหมดจะเกิดจากการลดน้ำหนักที่มีผลบังคับแค่ทางกาย เช่น การใช้ยา หรือผลิตภัณฑ์บางอย่าง แต่มันไม่มีผลถึงขั้นที่จะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมเคยชินของเราที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ถ้าเราใช้ยา ยานั้นอาจไปกดประสาทที่จุดใดจุดหนึ่ง ทำให้เราไม่หิว ไม่อยากอาหาร แต่ยังไงซะพฤติกรรมเคยชินก็จะยังอยู่และฝังแน่นอยู่อย่างนั้น และรอวันที่เมื่อไหร่ร่างกายไม่ได้ถูดกดด้วยยา มันจะเริ่มออกมาและแผลงฤทธิ์หนักขึ้นกว่าเดิมจนถึงขั้นที่เราไม่สามารถที่จะคาดคิดได้ และอาจมีผลทำให้อ้วนขึ้นกว่าเดิม ถ้าเราหันกลับไปใช้ยาอีกมันก็จะเป็นอย่างนี้อีก เพราะพฤติกรรมเคยชินของเราไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยน มันยังคงอยู่ตลอดเวลาและไม่หายไปไหน



                                  โปรแกรมที่ผมคิดและเริ่มทำนั้น มุ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเคยชินแบบเก่าให้เป็นพฤติกรรมเคยชินแบบใหม่ที่เอื้อประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพกายและจิตโดยรวม และที่สำคัญไม่มีโยโย่แน่นอนครับ เพราะเราได้ตัดรากถอนโคนมันไปแล้ว ( ถึงไม่ได้ถอนรากถอนโคนก็สามารถคุมมันได้ )



                                  ตอนหน้าถือเป็นตอนที่สำคัญอีกแล้วครับ และมีผลต่อการลดน้ำหนักได้จริงเป็นอย่างมาก นั่นคือตอน \"เมนูที่มองไม่เห็น\" ถ้าสนใจก็โปรดติดตามครับ ตอนนี้ผมขอตัวไปทำธุระก่อน ตอนหน้าเจอกันใหม่ครับ



                                              
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×