ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

    ลำดับตอนที่ #93 : ถาโถม...โรมรัน พร้อมกับข้อคิดมันส์ๆที่เห็นภาพชัดซะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 974
      0
      7 พ.ย. 48





                         ถึงวันนี้ยัง 79 กก. อยู่ครับ แต่เป็นการรักษาระดับของ 79 ไว้อย่างไม่ง่ายนัก ที่หายไปก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ มามะ เดี๋ยวผมจะเท้าความให้ฟัง



                         มันต้องเริ่มต้นในวันที่ 30 ต.ค. 48 ที่ผมอยากเล่ามาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสสักที วันนั้นทางร้านนายอินทร์เชิญไปสัมภาษณ์ที่ศูนย์การค้าอยุธยาปาร์ค จังหวัดอยุธยาครับ ผมก็ไปถึงประมาณ 3 โมงเย็น ก็ขึ้นเวทีเลยครับ คนฟังก็พอควรครับ ไม่มากไม่น้อย วันนั้นพิธีกรบนเวทีก็คือน้องอ้น ร้านนายอินทร์นี่แหละครับ น้องเขาสัมภาษณ์ได้ดีมาก พอลงจากเวทีเราก็คุยกันยาว แล้วก็มาคุยกันถึงวิธีที่ผมทำ ผมว่าน้องเขาเปรียบเทียบไว้ได้ดีมากเลยครับ ขอนำมาเล่าต่อดังนี้ครับ (ผมขออนุญาติน้องเขาแล้วนะ)



                        น้องเขาเปรียบเทียบวิธีการของผมเหมือนกับการต้มน้ำให้เดือดได้ดีโดยใช้เตาถ่านของคนสมัยก่อน  การที่ผมบอกว่าควรกินอย่างพอเหมาะและกินมื้อเช้าด้วยนั้น น้องเขาเปรียบเหมือนกับการที่เราใส่ถ่านลงไปในเตาให้พอดี เพราะถ้าถ่านน้อยไป พลังงานมันก็น้อย ส่วนการที่ผมออกกำลังกายตอนเย็น น้องเขาเปรียบเหมือนกับการที่คนสมัยก่อนเขาใช้พัดโบกเพื่อช่วยให้น้ำเดือดได้เร็วขึ้น



                        ผมเลยลองมาขยายความต่อว่า น้องที่ไม่ออกกำลังกายเลย แต่เน้นกินให้น้อยที่สุด ก็เปรียบเหมือน การต้มน้ำด้วยเตาถ่านที่มีถ่านน้อยมาก กว่าน้ำจะเดือดมันก็ช้า



                       ส่วนน้องที่กินน้อยมากๆ และ ออกกำลังกายหนักแทบเป็นลมเปรียบเหมือนคนต้มน้ำด้วยเตาถ่านที่แทบจะไม่ใส่ถ่าน แต่โหมพัดข้างเตา ผมว่ากว่าน้ำจะเดือด คงเป็นลมไปก่อนครับ การเปรียบเทียบตรงนี้ถือว่าใกล้เคียงกันมากเลยนะ เพราะถ้าโหมวิ่งแต่ไม่กินอะไร คงเป็นลมก่อนจะผอมอ่ะครับ





                      ตอนนี้ขอเปรียบเทียบมากขึ้นไปอีก ผมขอเปรียบกาต้มน้ำเป็นร่างกายของคน เปรียบน้ำเป็นไขมันที่สะสมไว้ เปรียบถ่านเป็นพลังงานที่ใช้เผาผลาญในแต่ละวัน และเปรียบพัดเป็นการออกกำลังกาย สิ่งที่เราต้องการคือ จะทำยังไงให้น้ำที่อยู่ในการะเหย ซึ่งเปรียบกับการเผาผลาญไขมัน



                      สำหรับคนที่เลือกจะไม่กินอะไรเลย และไม่ทำอะไรเลย นั่นคือการเลือกที่จะ ไม่เติมถ่าน ไม่พัด และปล่อยกาทิ้งไว้อย่างนั้น ผลคือแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้น



                     บางคนเลือกที่จะกินแต่น้อย คือการที่ไม่เติมถ่าน จริงๆแล้วมันก็ไม่สู้ดีนะครับ



                    ทางดีที่สุดที่จะทำให้น้ำระเหยคือ



    1.    การไม่กินของที่มีไขมันสูงในปริมาณมากๆ เพราะนั่นคือการที่เราไม่เติมน้ำสะสมลงไปในกาอีก

    2.    การกินอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย นั่นคือการเติมถ่านแต่พอเหมาะ จะให้ดีต้องเติมถ่าน 3 มื้อเลยนะ

    3.    พอไฟติดได้ที่คือการที่เรากินอย่างพอเหมาะและใช้พลังงานในช่วงวันอย่างพอดี  ตอนนี้ถ่านเริ่มแดงแล้วครับ แต่น้ำยังไม่เดือดเลย เราก็เลยต้องไปออกกำลังกายตอนเย็นคือการใช้พัดมาพัดที่เตาถือเป็นการเร่งให้น้ำเดือดเร็วขึ้นนั่นเอง



                   สรุปว่า การเปรียบเทียบแบบนี้ถือว่าใช้ได้นะครับ





                  ต่อมาขอมาพูดช่วงที่ผมหายไปกันบ้าง พอถึงวันอังคารที่ 1 พ.ย. 48 สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันคือ เจ้าความอร่อยที่ตามมาหลอกหลอนครับ มันเข้ามาถาโถมโรมรันจนแทบตั้งตัวไม่ติด จนคนรอบข้างเขางงว่าทำไมผมกินเยอะจัง ประกอบกับเทอมนี้ผมต้องไปสอนที่องครักษ์ถึง 2 วันคือวันอังคารกับวันศุกร์ ทั้ง 2 วัน ผมต้องมาขึ้นรถที่ประสานมิตรตอน 8.30น. แล้วไปถึงองครักษ์ 10.00 น. สอนตั้งแต่เวลา 10.30น. จนถึง 16.30น หลังจากนั้นก็นั่งรถกลับกรุงเทพฯ กว่าจะถึงก็ประมาณ 18.30-19.00น กลับมาก็แทบสลบเลย บังเอิญสัปดาห์ที่แล้วเป็นสัปดาห์แรกที่ต้องไปองครักษ์ถึง 2 วัน ผมก็เลยยังปรับตัวไม่ค่อยได้ ประกอบกับเจ้า \"ความอร่อยที่ตามมาหลอกหลอน\" กลับมาป่วนได้เหมือนเดิมอีก แต่โชคดีที่มา late ไปเป็นเดือนเพราะผมจำได้ว่าผมทำนายไว้ว่ามันจะมาประมาณ 8 ต.ค. 48 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับงานมหกรรมหนังสือ แต่มันก็ไม่มา แต่ดันมาเอาวันที่ 1 พ.ย. 48 ซึ่งเป็นวันแรกที่ผมต้องไปองครักษ์และสอนทั้งวัน



                 ประกอบกับงานเลี้ยงในวันศุกร์และเสาร์ ที่ยังพอประคับประคองอยู่ได้ให้น้ำหนักคงที่ประมาณ 79 กก. ก็ต้องยกให้กับ \"การเดิน\"เท่านั้น

    การเดินช่วยให้ผมอยู่รอดปลอดภัยมาได้อีกหนหนึ่งแล้ว และมันก็คงจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ผมเลยคิดว่าช่วงที่เกือบจะถึงตอนที่ 100 นั้น ขอพูดถึงคุณประโยชน์ของการเดินดีกว่า แล้วหลังจากตอนที่ 100 ไปแล้ว ขอพูดถึงเรื่องของอาหารที่มีประโยชน์กันบ้างตามที่คุณโรโบนินแนะนำมา ผมว่ามีหลายทฤษฎีมันจะขัดๆกันอยู่ เดี๋ยวเราจะมาวิเคราะห์กันหลังจากนี้ แต่ตอนนี้เจ้า \"ความอร่อยที่ตามมาหลอกหลอน\" ยังถาโถมอยู่มิเสื่อมคลาย และที่สำคัญมันกระตุ้นให้ผมอยากกินเค้กช็อคโกแล็ตมาก



                ผมทำยังไงรู้ไหมครับ เมื่อไม่กี่วันก่อน พอดีไปเดินแถวราม แล้วไปเจอเค้กช็อคโกแล็ตจำลอง เหมือนมากทีเดียว ผมเลยซื้อมาวางไว้บนโต๊ะทำงานเลยครับ กะเอามาดูให้หายอยากเลย พอทำแบบนี้ก็ประจักษ์เลยว่า ที่ผมชอบกินเบเกอรี่นั้น เพราะหลงใหลในความงามของมัน เวลาไปซื้อมากินทีไรผมก็จะนั่งมอง อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากกินเลยเพราะมันสวยออกขนาดนั้น แต่อีกใจหนึ่งก็อยากกินก็เพราะมันสวยนั่นแหละ แต่ตอนนี้พอเอาเค้กช็อคโกแล็ตจำลองมาวางไว้บนโต๊ะ ความอยากกินก็ลดไปเหมือนกันนะ แต่บางคนก็ไม่เป็นอย่างนั้นเพราะนิสิตบางคนพอมาเห็นเค้กช็อคโกแล็ตบนโต๊ะผมก็จะบอกว่า \"อาจารย์เอามาตั้งทำไมก็ไม่รู้ ทำให้หนูอยากกินเค้กขึ้นมาเลย เดี๋ยวต้องลงไปซื้อก่อนนะ\" อ้าว...เป็นงั้นไป





              
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×