ประสบการณ์ลดน้ำหนักด้วยตัวเอง เดือนละ 10 กิโลฯ

ลำดับตอนที่ #48 : สัญญาณที่ดี

                     หมายเหตุ       เขียนวันที่ 15 พ.ค.48                      หนัก  77.0 กิโลกรัม





                     เมื่อวานก็มีทั้งสัญญาณที่ดีกับหลักฐานที่แสดงถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผมเคยพูดไปแล้ว ก็ขอมาเล่าเสริมในวันนี้ก็แล้วกันนะครับ  เมื่อวานตอนเช้าผมก็ทานข้าวครึ่งจานกับกับข้าว 2 อย่างคือผัดผักกับกะเพราหมู พอถึงตอนเที่ยงผมอยากทานสลัดปลามากๆเลยครับ แต่จำเป็นต้องไปทานอาหารกับเพื่อน พอตกเย็นผมก็กะว่าจะไม่กินอะไรเหมือนเดิม แต่ความอยากทานสลัดปลามันมีมากจนไม่ทานไม่ได้ ก็เลยเข้าไปทานตอนเย็นครับ ตอนนี้กลายเป็นว่าอาหารโปรดของผมเปลี่ยนจากข้าวมันไก่ ข้าวกะเพราหมูเป็นสลัดปลาไปแล้ว ถือว่าเป็นการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินที่ได้ผล เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่กินสลัดปลาด้วยความอร่อยแล้วครับ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้กิน ผมจะอยากกินมันมากๆ ถือเป็นความอยากที่น่าส่งเสริมนะครับ เพราะเป็นความอยากที่ไม่มีพิษมีภัยกับเรา



                     แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ผมกินทั้งๆที่ไม่หิว เพราะผมไม่ได้กินมื้อเย็นมา 2 เดือนกว่าแล้ว มันจึงเกิดอาการปวดท้องครับ ตอนแรกก็ปวดไม่มากครับ ผมก็เลยไปเดินออกกำลังกายต่อ แต่เดินไปเดินมาผมก็ปวดท้องคล้ายๆกินผิดสำแดงมากขึ้นเรื่อยๆ คือหลงไปกินมื้อเย็นเข้าสิครับ ก็เลยต้องปวดท้องแบบนี้ คนที่งดมื้อเย็นจนอยู่ตัวจะสบายท้องมากครับ แต่ถ้าหลงไปกินเข้าก็จะปวดท้องเหมือนผม วิธีแก้ไขนั้นผมคิดไม่ออกเลยครับนอกจากจะต้องกินเพิ่ม ผมเลยแวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง แล้วกินเส้นหมี่ลูกชิ้นไปอีก 1 ชาม แล้วก็เดินต่อ แต่ปรากฏว่ามันยังไม่หายปวดครับ พอดีเดินผ่าน KFC ก็เลยคิดว่า กินเพิ่มดีกว่าจะได้หายปวด ผมก็เลยเข้าไปสั่งชุด 85 บาทที่มีข้าวยำไก่แซ่บ ไก่ไม่มีกระดูก 2 ชิ้น และน้ำอัดลม 1 แก้วก็กินไปหมดเลยครับ แล้วผมก็หายปวดท้องเป็นปลิดทิ้งเลยครับ กลับบ้านนอนได้อย่างสบายอารมณ์



                     พอตื่นเช้ามาชั่งน้ำหนักพบว่าก็ยังหนักประมาณ 77 อยู่เหมือนเดิมก็เป็นการยืนยันว่า ถ้ายังอยู่ในโปรแกรมถึงจะมีการผิดพลาดไปบ้างน้ำหนักก็ไม่ขึ้นเลยครับ ยิ่งตอนที่อยู่ในช่วงน้ำหนักตัวคงที่ ถึงน้ำหนักไม่ลดแต่มันก็ไม่ขึ้น บางคนแนะว่าช่วงน้ำหนักตัวคงที่นั้นอยากกินอะไรก็กินไปเลย เพราะรับรองว่าน้ำหนักตัวไม่ขึ้นแน่ มีน้องคนหนึ่งเขาไปกินบุฟเฟ่จนเดินแทบไม่ไหวในขณะที่น้ำหนักตัวคงที่ ผลปรากฏว่าน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่ยังไงผมก็ยังไม่กล้าลองครับ แต่คิดว่าจะยอมกินเยอะก็เฉพาะคราวที่จำเป็นเท่านั้น อย่างเช่นเมื่อวานนี้



                     อีกเรื่องที่อยากบอกคือผมอาจจะมาเขียนเรื่องแต่ละตอนสักประมาณ 2-3 วัน ต่อ 1 ตอนนะครับ ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากจะเขียนหลายตอนมากจนเกินไป เพราะจะทำให้หลายๆคนขี้เกียจอ่านได้ แต่ผมก็อยากเขียนตอนสุดท้ายในวันที่ผมมีน้ำหนักตัวอยู่ในระดับพอใจแล้วด้วย ซึ่งผมคาดว่าคงจะเป็นประมาณเกือบกลางเดือนมิถุนายน แล้วก็ยังเหลือ 2 เรื่องสำคัญที่อยากเขียนครับคือ

1. ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวกับการลดน้ำหนัก

2. การลดน้ำหนักเป็นเรื่องของศิลปหรือวิทยาศาสตร์

ผมอยากจะเขียนสองเรื่องนี้เป็นบทสรุปของบทความชิ้นนี้ครับ และคิดว่าบทความชิ้นนี้น่าจะยาวประมาณ 52-55 ตอนก็น่าจะกำลังดี ถ้าปล่อยให้ยาวถึง 60 ตอนอาจทำให้หลายท่านที่เห็นจำนวนตอนคงไม่อยากเข้ามาอ่านกันพอดี แต่สำหรับคำถามที่มีนั้นก็เข้ามาถามได้ทุกวันครับ แล้วผมจะหาเวลาว่างเข้ามาตอบในทุกๆคำถามแบบเป็นกลางและมีข้อมูล แต่พยายามจะไม่ให้เป็นวิชาการมากจนเกินไปครับ