คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : คำสัญญา
ผมคู้ตัวสั่น ยืนร้องไห้ฟูมฟายอยู่ข้างเตียงไอ้ตัวดี อยากโผเข้าไปกอดมันใจแทบขาด แต่กลัวเป็นการเร่งปฏิกิริยาให้เลือดที่มุมปากมัน ไหลออกมามากกว่าเดิมซะเปล่าๆ
“ขี้แยจังเล็ก อย่าร้องไห้สิ พัฒน์ยังอยู่นะ สัญญายังเหมือนเดิม” แล้วมันก็กลั้นใจยกมือกรอบๆ ของมันมาลูบหัวผม ความจริงสภาพมันตอนนั้นก็กรอบทั้งตัวนั่นแหละ
และนั่นเป็นการทำเท่ห์ครั้งสุดท้ายของมัน ก่อนจะหมดโอกาสพูดตลอดไป
“....~ ~ บางคราวยังเหมือนว่าเธออยู่ตรงนี้ เรืองราวที่ดีก็ยังฝังใจ.... บางความทรงจำเก่าๆ ก็ยังงดงามไม่คลาย กระจ่างอยู่ข้างในเมื่อไหร่ที่คิดขึ้นมา*~ ~.....”
สายเรียกข้าวของโทรศัพท์มือถือปลุกผมจากความฝัน ผมสอดมือเข้าไปในเสื้อนอน ควานหาโทรศัพท์ที่เมื่อคืนวางไว้บนพุง
“ครับๆ ตื่นแล้วค้าบ” ผมมองหน้าจอที่ไม่โชว์เบอร์แล้วกดวางสายอย่างไม่ลังเล เพราะหลายครั้งที่เคยกดรับ แต่ก็ไม่มีสัญญาณใดๆ จากอีกฝ่ายตอบกลับมาอยู่ดี
พัฒน์เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย นี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของมัน
พัฒน์รู้ว่าผมไม่ชอบนาฬิกาปลุก เพราะมันทำให้ผมตกใจ และหลังจากตื่นมาก็จะหงุดหงิด เสียสุขภาพจิตมากมาย จะให้แม่ขึ้นมาปลุก ก็ปลุกไปด่าไป เสียสุขภาพจิตไม่ต่างกัน พัฒน์มันเลยอาสาโทรมาปลุกผม
เออเวิร์คแฮะ เสียงก็กำลังดี แถมยังสั่นครืดๆ กระตุ้นสติสตังก่อนตื่นอีกต่างหาก หลังจากนั้นมันก็คอยโทรมาปลุกทุกวัน
ใช่ทุกวัน.....
จนถึงตอนนี้ ไม่มีวันไหนที่เสียงปลุกยามเช้าของผมจะเงียบหายไป ทั้งที่พัฒน์มันเสียไปได้เดือนกว่าแล้ว
เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่พัฒน์กำลังขี่มอ’ไซค์กลับบ้าน หลังจากที่มันมาส่งผม แต่ระหว่างทางดันถูกสกัดดาวรุ่ง โดยรถกระบะคันหนึ่ง
จากปากคำของพยานในที่เกิดเหตุ ให้การว่า ไอ้พัฒน์มันขับมาตามปกติ แล้วรถกระบะคันนั้นก็วิ่งมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ชนมันอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ลากมันไปพร้อมรถมอ’ไซค์เหมือนอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โบราณเขาว่าไว้ ว่าคนที่ถึงฆาต ผีมันชอบมาบังตาทำให้ต้องมีอันเป็นไป แต่ผมคิดว่าผีหนังตา มันบังตาไอ้กระบะตีนโหดนั่นมากกว่า ตอนให้การที่โรงพัก มันบอกว่าไงรู้มั้ย
มันบอกว่ามองไม่เห็น (ก็เพราะมึงหลับอยู่น่ะสิ)
แล้วที่ไม่หยุดรถทันทีเพราะไม่รู้ว่าชนคน (เพราะมึงกลัวมันตายไม่สนิทมากกว่ามั้ง)
แต่สังเกตเห็นประกายไฟจากล้อหลังเลยจอดรถลงมาดู (มึงกลัวรถมึงระเบิดเพราะสะเก็ดไฟกับน้ำมันในซากรถมอ’ไซค์พัฒน์มาเจอกันมากกว่า)
กว่าจะแงะทั้งคน ทั้งรถออกมาได้ก็นานพอดู แต่พัฒน์มันก็อึดเหมือนแมงสาบ อุตส่าห์แข็งใจมาทำเท่ห์ให้ผมได้ดูเป็นครั้งสุดท้าย
บทสรุปของเรื่องทั้งหมดจบลงโดยฝ่ายนั้นเสียตังค์ค่าโทรศัพท์โทรเรียกประกัน ส่วนผมสูญเสียคนที่ผมรักตลอดกาล
ผมก้มมองแหวนเงินเกลี้ยงเกลาที่ลอยหน้าลอยตาอยู่บนนิ้วนาง พลางนึกถึงหน้าเจ้าของแหวนที่ให้ไว้ แล้วไล้นิ้วลงไปเบาๆ อย่างเอ็นดู
“พรึ่บ ซู่ๆ” จู่ๆไฟห้องน้ำก็ติดขึ้นเอง พร้อมกับฝักบัวที่เปิดอย่างอัตโนมัติ แต่บ้านผมไม่มีหรอกนะ ไอ้ระบบอัตโนมัติน่ะ ไม่ไฮโซขนาดนั้น
“เออๆ รู้แล้ว เร่งจริง ขอเวลาเหม่อซัก 2-3 นาทีก็ไม่ได้” เอ่อ.... พ่อตัวดีเร่งมาแล้ว ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไปเรียนสาย
*****
“ไงนพ หวัดดี”
“อ้าวเล็กหวัดดี มาเช้าเหมือนเคยนะ”
“นพนี่ยังไง มา 2 ทักแค่ 1 เดี๋ยวพัฒน์มันก็น้อยใจ ตามไปทวงถึงที่บ้านหรอก”
“ไอ้บ้าเล็ก พูดอะไรวะ อย่ามาทำสยองแต่เช้าได้มั้ย” แล้วมันก็ก้มหน้างุดๆ ได้ยินมันพึมพำอะไรซักอย่าง ประมาณว่า หวัดดีพัฒน์ ทักแล้วนะโว้ย อย่าตามมาทวงล่ะ
นพ เป็นเพื่อนชายเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ตอนนี้
ไม่ใช่ว่าผมไม่มีคนคบหรอกนะ ผมออกเป็นคนที่อัธยาศัยดีจะตาย เฮไหน เฮนั่น เพื่อนงี้เพียบ
แต่หลังจากที่พัฒน์มันเอโวลูชั่น (เขียนงี้ป่าววะ) ตัวเองไปเป็นโอปะปาติกะแล้ว อิทธิฤทธิ์มันคงจะอัพเลเวลขึ้นอีกอีกหลายคุรุตจากที่ผ่านมา
ไม่รู้ไอ้ตัวดีขี้หึงมันไปออกฤทธิ์ ออกเดชอะไรไว้เพื่อนผมถึงหายไปทีละตัว 2 ตัว บางคนเห็นผมถึงกลับยกมือไหว้แล้วบอก ปล่อยกูไปเถอะซะงั้น ทีผมอยากเจอหน้ามันใจจะขาด จะมาให้เห็นแว้บๆ หรือมาเข้าฝันให้พอชื่นใจบ้าง ก็ไม่มีซะหละ ฝันถึงมันทีไรก็เห็นแต่มันมานอนพ่นเลือดอยู่บนเตียงคนไข้ให้ดูทุกทีเลย
ที่จริงผมเองไม่รู้หรอกว่าต้นเหตุที่เพื่อนผมเลิกคบ (อนาถจริง...) มาจากพัฒน์ แต่เพราะผมสังเกตเห็นว่านพเองก็เริ่มตีตัวออกห่างทั้งที่เมื่อก่อนมันเป็นคนที่พูดคุยกันรู้เรื่องมากที่สุด
วันนึงผมเลยเรียกมันมานั่งเรียนด้วยหวังเคลียร์กันไปในตัว แต่พอกวักมือเรียก มันกลับส่ายหัวดิกๆ แล้วเดินเลี่ยงไปนั่งอีกทางซะงั้น ผมก็งงดิครับ เชี่ยไรเนี่ย
เลยไปเจิมที่นั่งข้างๆ มันซะเลย
“เฮ้ยเล็ก นายมานั่งนี่ทำไมเนี่ย” อยู่ๆ มันก็กระเด้งตัวพรวด หน้าตาตื่น ผมเปล่าเอาไฟแช็กไปลนริดสีดวงมันนะ
“แล้วทำไมจะนั่งไม่ได้ นายรังเกียจเราเหรอ ถามจริงเราไปทำอะไรให้นายไม่พอใจเหรอวะ”
“ป่าว แต่....”มันยังไม่ทันพูดจบ อาจารย์ก็เดินเข้ามาซะก่อน มันไม่มีทางเลือกเลยหย่อนตูดลงมาอย่างกล้ำกลืนฝืนทน
เป็นไรมากปะเนี่ย ผมไม่ได้โปรยเข็มหมุดไว้ทักทายริดสีดวงมันซะหน่อย
“เราไม่ได้รังเกียจนาย แต่เราเกรงและ..กลัว..จนเยี่ยวจะราดอยู่แล้ว เล่นมายืนตาเขียวปั้ดค้ำหัวเราอยู่อย่างเนี้ย เป็นใครก็ไม่ไหวหรอก” นพมันพยายามยื่นตัวหมอบลงไปบนโต๊ะเลคเชอร์ให้ต่ำที่สุดแล้วกระซิบกระซาบบอกผม
“ใคร? ไหน? ไม่เห็นมีใครซักคน เรานั่งกันแถวสุดท้ายแล้วนะ จะมีใครอยู่ข้างหลังได้ไง นายพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ก็อาทิตย์ที่แล้วนายไปเผาใคร .....ก็คนนั้นแหละ” ในที่สุดมันก็เฉลยครับ
“นายหมายถึง.....”
“เออ.... นั่นแหละ เราเห็นเขาเดินตามนายต้อยๆ ตั้งแต่นายกลับจากงานศพแล้ว”
“นายแน่ใจเหรอว่าใช่”
“งั้นเราบอกความลับกับนายอย่างนึง ของพวกนี้อ่ะ เราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว” นั่นคือความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของนพที่ผมอิจฉามันที่สุด มันมองเห็นวิญญาณ
“เหรอ ดีว่ะ เราอยากเป็นนายจังเลย เราจะได้มองเห็นพัฒน์บ้าง แล้วตอนนี้... มันทำอะไรอยู่อ่ะ” มันหันไปมองแว้บนึง แล้วกระชากคอกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หมอบลงบนโต๊ะตามเดิม
“ยืนอยู่..... ข้างหลังนายแหละ”
“เหรอ..... นพนายช่วยเราหน่อยได้มั้ย เราขอร้องล่ะ นายช่วยบอกพัฒน์ให้เราที ว่า....
.
.
.
.
.
.
.
...ยืนนานๆ เดี๋ยวเมื่อย นั่งก่อนก็ได้ 555555”
“ไอ้บ้าเล็ก นายนี่....ทำไมไม่เห็นเป็นเหมือนชาวบ้านเขาเลยวะ”
“หึหึ..เรื่องอะไร”
“ปกติเขาต้องสลดกันไม่ใช่เหรอ”
“ทำไมต้องสลด มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปซะหน่อย ถึงตอนนี้เราจะมองไม่เห็นพัฒน์ แต่เราก็รู้ว่ามันยังอยู่กับเราเหมือนเดิม แถมตอนเอามันเข้าบ้านยังไม่โนแม่ด่าอีกต่างหาก สะดวกดีพิลึก”
*****
“น้องเล็กๆ” ผมหันไปมองตามเสียงเรียก
“พี่ทศ...” อ่ะครับ...
พี่ทศเป็นรุ่นพี่ที่เคยสร้างอดีตร่วมกันมาพักนึงก่อนที่ผมจะเจอกับพัฒน์ หลังจากนั้นพี่เขาก็หายไปจากสาระบบชีวิตผมเลย จนผมลืมตัวตนของคนๆนี้ไปซะสนิท
และหวนกลับมาอีกครั้งเมื่อเกิดเรื่องกับพัฒน์ เป็นคนเพียงคนเดียวที่กล้ายืนหยัดเผชิญหน้ากับผม(หรือพัฒน์...)ทั้งที่คนอื่นเลือกทำตรงข้าม
ความจริงตั้งแต่ผมว่างงาน ก็มักจะมีพวกชอบลองของแวะเวียนเข้ามาพอสมควร แต่สุดท้ายก็เหลือแต่พี่ทศคนเดียว
จากที่พี่เขาร่ายกระบวนท่าปลุกพระมาตั้งแต่ 10 เมตรแรก ผมฟันธงว่าพี่เขาทำการบ้านมาพอสมควร
“น้องเล็ก จะกลับแล้วเหรอครับ ให้พี่ไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมกลับเองได้”
“น่า.... ให้พี่ไปส่งเถอะ น่านะ”
“อย่าเลยครับพี่ ผมไม่อยากรบกวน” แล้วผมก็ทำท่าจะเดินจากมา
“ทำไมล่ะครับน้องเล็ก ทำไมถึงทำเหมือนรังเกียจพี่ ไอ้พัฒน์มันไม่อยู่แล้ว ต่อไปนี้ให้พี่เป็นคนดูแลน้องเล็กเถอะครับ”
“ขอบคุณนะครับสำหรับความหวังดี แต่ผมไม่ต้องการให้ใครมาดูแล พัฒน์ยังอยู่กับผม”
“แต่ไอ้พัฒน์มันตายไปแล้ว คนตายมันจะมีปัญญาทำอะไรได้....” พี่ทศพูดค้างอยู่แค่นั้น เพราะจู่ๆก็มีกระแสลมโหมพัดบริเวณนั้นอย่างรุนแรง
“พี่คิดอย่างนั้นจริงๆเหรอครับ แล้วที่พี่ห้อยมาเป็นพวงๆ จนคอแทบหักนั่นล่ะ เทรนด์ใหม่หรือไงครับ ไปพัฒน์... กลับกันเถอะ” ผมพูดลอยๆ แล้วไม่หันไปสนใจพี่ทศอีกเลย
“หยิ่งได้ก็แค่ตอนนี้แหละมึง คิดเหรอว่ากูจะยอมปล่อยมึงไปง่ายๆ ถ้าตอนนั้นไอ้พัดมันไม่โผล่มามึงเสร็จกูไปนานแล้ว เตรียมตัวไว้เถอะมึง ยังไงก่อนจบปีนี้กูต้องเอามึงให้ได้”
กลับถึงบ้านก็เกิดอาเพศร้อนรุ่มกายาดั่งประกาสิทธิ์องค์อินทร์ ทำให้ผมต้องจำใจถอดรูปเงาะ เอ้ย เสื้อผ้าแล้วก็ไปอาบน้ำ แต่พอปิดประตูห้องน้ำเท่านั้นแหละได้เรื่องเลย
ไฟห้องน้ำติดๆดับๆ ก่อนที่จะดับถาวรลงไปอย่างเสียจิต ผมนึกว่าหลอดขาด กำลังจะเปิดประตูออกไปบอกแม่ แต่ก็ถูกสัมผัสเยียบเย็นรั้งไว้เสียก่อน นึกอนาทรในใจ
ว๊ะเว๊ย... ทีหน้าล่ะไม่ยอมให้เห็น แต่พอเป็นเรื่องเนี้ย ไม่ให้ได้ขาดเลยนะ ไอ้ผีหื่น
ท่ามกลางความมืดมิดหมี ผมถูกดัน ให้แอ่นแนบเข้ากับผนังกระเบื้อง มือเย็นๆ เฟนฟ้อนไปทั่วร่างกายเหมือนถูกนวดด้วยแผ่นคูลลี่เจล อืม... เพลินจัง
“อุ๊”
ผมสะดุ้งวาบเมื่อคูลลี่เจลเลื้อยพรืดลงไปปฐมพยาบาลผู้ป่วยรายใหม่ ท่าทางจะอาการหนักนะนั่น น่าสงสารจริงๆ ไข้ขึ้นจนชักเลย ตัวแข็งเด่เชียว
“ซี้ดด... อื้อ อื้ออ... พัฒน์....”
ผมถูก..ประคบ..จนเสียวสะเด็ดไปถึงท้องน้อย เพราะน้องชายผมมันมีอาการเกร็ง ไอ้คูลลี่เจลมันเลยนวดคลายเส้นไม่หยุด
“อ๊ะ.... อ๊ะ.....พัฒน์...... อื้อออ”
เวลาเคี่ยวงวดเข้ามาทุกทีจนในที่สุดผมก็เหยียดขึ้นสุดตัวแล้วอะปิ๊ดใส่แผ่นกระเบื้องสีขาวจนหมดแม็ก ขอโทษครับแม่ผมทำผนังห้องน้ำแม่เปื้อนซะแล้ว
กลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่เหลวโชยมาจากเบื้องล่างที่ชุ่มโชกของผม แพงนะนั่นเพลาๆ หน่อยได้มั้ย
จังหวะหายใจยังไม่ปกติดีผมก็ถูกน้ำแข็งมือ ทะลุทะลวงเข้ามาในร่างกายซะแล้ว Oh God!! ให้เวลาหายใจหายคอหน่อยก็ไม่ได้ ไอ้นี่หนิ
“อ้า........อ้า........อ๊า........พัฒน์.......พัฒน์......อื้อออ.....”
เหมือนโดนเครื่องขุดเจาะถนนทะลวงวิญญาณ ผมต้องรีบเกร็งกำลังแขนก่อนที่ซี่โครงจะซ้นเพราะแผ่นอกกระแทกผนังห้องน้ำ
เสร็จศึกครั้งนี้ผมคงสแลนเดอร์ขึ้นเยอะ เพราะถูกอัดกระแทกจนตัวยุบหายไปครึ่งนึง หรือไม่ก็ทนแบกหน้าไปขอเสื้อในแม่มาใส่ เพราะไอ้คูลลี่เจลมันป่ำป๊ามหน้าอกผมจนบวมเป่งนมตั้งเต้าขึ้นมาแล้ว
เอาเลยท่าน พยายามอีกนิด ใกล้สู้ลูกเกดได้แล้ว
“พัฒน์......อ๊ะ.....พัฒน์.....พัฒน์.......” อะปิ๊ดๆ ไม่ใช่เสียงอะไร กระสุนสำรองของผมนี่เอง อ๋อย.... ในที่สุด น้ำแข็งมืออันเบ้งก็ละลายกลายเป็นน้ำไม่กี่จอก
ผมนั่งงอก่องอขิงอยู่บนพื้นห้องน้ำ พร้อมกับปลอบใจตัวเอง ไม่เป็นไรลูก มันจบแล้วเสร็จงานซักที
แต่แล้วตาตุ่มซ้ายขวาก็มีอันพลัดพรากจากกันด้วยว่าไอ้คูลลี่เจลยักษ์มันไล่ที่ ใจคอคิดจะปล้นกันให้หมดคลังแสงเลยรึไงค้าบ เหลือติดสต็อกไว้หน่อยก็ได้ เผื่อชาติต้องการ
“ถ้ามีเบิ้ลพรุ่งนี้เล็กไม่ไปเรียนนะ เอาสิ”
ผมยื่นคำขาดออกไปและรับรู้ว่าสัมผัสเย็นๆ รอบตัวเองก็ค่อยๆ จางหายไปเช่นกัน ไฟติดขึ้นอีกครั้ง ห้องน้ำว่างเปล่า และประตูยังปิดสนิทดีเหมือนเดิม
*****
“นิ๊ง หน่อง สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ”
พนักงานกะดึกของร้านเซเว่นแถวบ้านส่งเสียงทักทายตอนผมเดินเข้าไป คืนนี้เป็นไรไม่รู้ น้องพยาธิมันโยเยไม่ยอมนอนซักที เลยต้องออกมาหาอะไรกระแทกปากมันหน่อย เลือกขนมมาได้ 2-3 อย่างกับนมอีกกล่อง ก็ตรงไปที่เคาท์เตอร์คิดเงิน
ไอ้พนักงานคนนี้เป็นอะไรของมัน เห็นมองตามผมตั้งแต่เดินเข้ามาแล้ว แล้วเวลาคิดเงินน่ะ มองเครื่องหน่อยก็ได้ หน้าผมเหมือนแป้นกดรึไง อ่ะๆ ยิ้มอีกๆ ยิ้มทำไม ใครสั่งให้ยิ้ม เดี๊ยะๆ เดี๋ยวก็แจกเบอร์ซะนี่
“ทั้งหมด 75 บาทครับ” พอผมส่งเงินให้แทนที่จะรับเงิน กลับแถนิ้วมากุมมือผมนิ่งซะงั้น
“เอ่อ..... อะไรเหรอครับ หรือว่าไม่ครบ” หนุ่มเซเว่นหน้ามนเหมือนเพิ่งรู้ตัว ทำเป็นเขินหน้าแดง ทำเป็นเกาหัวเกาหูไปทั่ว ชันนาตุรึเปล่านั่น
“ป..เปล่าครับ ครบครับ แหะๆ เฮ้ย!!”
ไม่ต้องมีใครบอก
ผมเอี้ยวหน้าหลบเหรียญที่สาดกระจายเพราะอยู่ๆ ไอ้หนุ่มเซเว่นมันเป็นบ้าอะไรไม่รู้ สะบัดมือผมทิ้งซะเงินกระเด็นกระดอน แล้วกระโจนไปยืนตัวสั่นอยู่ข้างหลังลูกจ้างสาวด้วยกัน
“ต.....ต....แต๋ว รับเครื่องต่อที ไม่ไหวแล้ว” ครับ แล้วมันก็วิ่งหายเข้าไปในห้องพนักงานไม่ออกมาอีกเลย ถึงไม่รู้แต่ก็พอเดาออกว่าสาเหตุมาจากอะไร ไอ้ขี้หึงเอ๊ย
“คิกๆ....”
ร่างบางๆ เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนแผ่นหลังพิงหัวเตียง แต่จากเงาสะท้อนของกระจก ณ มุมใดมุมหนึ่งของห้องกลับเป็นภาพของคนสองคนนอนแอบอิงอกกัน
“5555....ตลกว่ะ หน้าพนักงานคนนั้นน่ะ ฮาชะมัด พัฒน์ทำได้ไงอ่ะ” ถามออกไปอย่างเผลอตัวทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางตอบกลับมา
“แต่ก็น่าสงสารเหมือนกัน คงไม่ถึงขนาดจับไข้หัวโกร๋นหรอกนะ หล่อๆอย่างนั้นแต่หัวล้าน น่าสงสารแย่”
หลังจากประโยคนั้นหลุดมา บรรยากาศในห้องก็เย็นลงทันที ถ้าเขามองเห็นภาพในกระจก เขาคงรู้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาบูดบึ้งแค่ไหน
“เออน่า..... ทำเป็นจี้ดไปได้ ที่สุดของเล็กก็ต้องเป็นพัฒน์อยู่ดีนั่นแหละ”
“....~ ~ บางคราวยังเหมือนว่าเธออยู่ตรงนี้ เรืองราวที่ดีก็ยังฝังใจ.... บางความทรงจำเก่าๆ ก็ยังงดงามไม่คลาย กระจ่างอยู่ข้างในเมื่อไหร่ที่คิดขึ้นมา*~ ~.....”
โชคดีที่มีโทรศัพท์เข้ามาขัดบรรยากาศมาคุในห้องซะก่อน
“สวัสดีครับ น้องเล็ก นี่พี่เองนะ”
“พี่ทศ.....” ครับ ไอ้พี่ทศ มันโทรมารังควาญอะไรอีกเนี่ย
“พี่โทรมาทำไมครับ”
“น้องเล็กอย่าทำเสียงอย่างนั้นสิ พี่มีเรื่องสำคัญนะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“รู้มั้ยตอนนี้เพื่อนเราไปมีเรื่องกับคนที่ผับ”
“ใครครับ” เพื่อนคนไหนอีกเนี่ย ก็เลิกคบผมกันไปหมดแล้วไม่ใช่รึไง
“ก็คนที่ใส่แว่นที่เดินกับเราบ่อยๆนั่นแหละ ตอนแรกคนมีเรื่องกันพี่กะจะไม่สนใจ แต่เห็นหน้ามันซะก่อน พี่เลยโทรมา น้องเล็กรีบมาเถอะ เดี๋ยวมันจะแย่ซะก่อน”
อื้อ ฮือ.... มามุขนี้ เอาหญ้ามาให้กินเลยดีกว่า มุขชวนไปเสียตัวแบบเนี้ย ในนิยายน้ำเน่าของพัฒน์มันมีเป็นตับ
“พี่แน่ใจเหรอว่าใช่ นพมันไม่เคยไปเที่ยวแบบนั้นมาก่อนเลยนะ”
“แล้วแต่น้องเล็กนะครับ พี่แค่เห็นอะไรก็พูดไปตามนั้น ในใจน้องเล็กคงมีแต่ไอ้พัฒน์ ใครจะเป็นจะตายยังไงคงไม่สนใจหรอก ขอโทษที่พี่โทรมารบกวน....”
หมายความว่าถ้าผมไม่ไปนี่... เสียเลยใช่มั้ย กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ชั่วโฉดสกปก นรกส่งมาเกิดเลยใช่มั้ย งั้นผมจะลองโง่ดูดีมั้ยเนี่ย เพื่อความดูดีอ่ะ
แล้วลองตะแคงคิดแบบนางเอกดูบ้าง ถ้าเกิดเป็นเรื่องจริงมิแย่รึ ผมเหลือเพื่อนคนเดียวแล้วนะ ถ้ามันตายผมจะคุยกะใคร จะพูดกับพัฒน์มันก็ไม่ยอมพูดด้วย ไฉนเลยลองโทรเช็คดูดิ๊
เจ้ย! โทรไม่ติด..... เอาไงดีเนี่ย
“เดี๋ยวครับพี่... ผับไหนครับ”
ไขไม่ออก ไขกุญแจไม่ออก
เมื่อวานใช้ดอกนี้ วันก่อนเมื่อวานก็ใช้ดอกนี้ จะเดือนก่อนหรือปีก่อนก็ใช้ดอกนี้ แล้ววันนี้มันเป็นอะไรถึงไขไม่ออก
หรือว่า! นี่ผมกำลัง....โดน....ผีกุญแจหลอกเข้าซะแล้ว อะฮ่อย อะฮ่อย สติปัญญาชักก่งก๊งลงทุกวัน
“พัฒน์หยุดนะ! เราจะไปช่วยนพ” อุเหม่... ต้องให้ขึ้นเสียง เดี๊ยะๆ เล่นเป็นเด็กไปได้
พอพุ่งพรวดออกจากรั้วบ้านได้ ก็กระโดดงับหูแท็กซี่ทันทีที่เห็นแล้วบังคับข่มขืนใจให้พาไปตามที่อยู่ผับ
“พี่ทศ นพอยู่ไหนพี่”
มาถึงผับที่ว่าแล้วแต่ทำไมเห็นแต่ไอ้พี่ทศมันยืนเต๊ะท่าหน้าหล่ออยู่คนเดียวล่ะ เพื่อนผมล่ะพี่ เพื่อนผม
“พี่เห็นมันแย่มากเลยให้เพื่อนพาตัวออกไปก่อนแล้ว ส่วนพี่ก็รอเจอน้องเล็กอยู่นี่ ป่ะ รีบไปเถอะ”
รอยยิ้มชั่วร้ายทำเนียนโอบไหล่กระต่ายน้อยแล้วต้อนขึ้นรถตัวเอง ต่อหน้าต่อตาเงาร่างใครบางคนที่จ้องมองจากอีกฟากถนน
ทำไมเขาจะไม่เห็นสาตตาอาฆาตของมัน แต่มันจะทำไรได้ รถกูเพิ่งไปเจิมมา แน่จริงมึงขึ้นมาดิ
*****
สามแฉกคันงามพาเจ้าของร่างโฉบเข้าโรงแรมสุดหรู
“เฮ้ยพี่ พาผมมาโรงแรม(โรงเชือด....)ทำไมเนี่ย ไม่เอาแล้วผมจะกลับ”
“นี่น้องเล็กจะโวยวายอะไรก็ดูสถานการณ์หน่อยได้มั้ย เพื่อนเรามันเด็กทุนไม่ใช่เหรอ พี่ไม่กล้าพาไปโรงพยาบาลเกิดใครรู้เข้าว่ามันไปมีเรื่องที่ผับ จะเสียซะเปล่าๆ พี่เลยให้เพื่อนมามันมาพักนี่ ถ้าน้องเล็กระแวงพี่ขนาดนั้นแล้วจะขึ้นรถมากับพี่ทำไม ทำคุณบูชาโทษชัดๆ”
โหย... ข้อมูลแน่นจริงๆ เลยพี่ รู้ด้วยว่านพเป็นเด็กทุน ศิษย์น้องขอคารวะหนึ่งจอก
“ผมขอโทษพี่ทศ ไปหานพกันเถอะครับ” ไหนๆ ก็มาจนถึงนี่แระ ลองดูซักตั้งดิ๊
“เพื่อนผมอยู่ไหนอ่ะพี่” ผมถูกดุนหลังเข้าไปในห้องๆหนึ่ง
แต่ควานหานพเท่าไหร่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแว่น เจอแต่ หัวเม่นที่มีห่วงร้อยที่หู คิ้ว จมูก ปาก อีกคนเป็นไอ้ขี้ก้างแห้งๆ ที่มีหัว 5 สี
ส่วนคนสุดท้ายนี่อืม.... ทรงผมมาตรฐาน สีผมมาตรฐาน ส่วนสูงเลยมาตรฐานไปนิดนึง ส่วนหน้าตากับหุ่นนี่..... +5ได้มั้ย แต่ถ้าอยากได้อีก 5 ต้องไปแย่งกับไอ้พี่ทศเอา 5555555
“คนนี้เหรอทศ ของดีนี่หว่า ขาวเนียนน่าฟัดชิบหาย” ไอ้หัวเม่นมันเริ่มแสดงธาตุแท้ออกมา
“พี่ทศ ผมถามว่านพอยู่ไหน” ผมยังทำนิ่งอยู่ครับ จะให้พวกมันรู้ว่าผมกลัวไม่ได้ เดี๋ยวเสียเปรียบครับ
“นพมันก็อยู่บ้านมันสิ เราน่ะแหละมาสนุกกับพวกพี่ดีกว่า”แล้วพี่ทศก็เข้ามาฉุดการชากลากถูพาผมลึกเข้าไปในห้องนอน ในสภาพที่ถูกดักหน้าดักหลัง ผมทำอะไรไม่ได้เลย
“พี่ทศปล่อยผมเถอะ อย่าทำอะไรผมเลยนะพี่”
กรี๊ดดดดด อย่ามาถูกเนื้อต้องตัวฉันนะ เดี๋ยวขวิดเลย ดูซิเนี่ย เขาโง้งสวยเชียว แหลมเปี๊ยบอีกต่างหาก
“ปึ่ก”
ใช่แล้ว..... มันเป็นฉากสุดฮ็อต ช็อตสุดฮิตที่นิยายน้ำเน่าส่วนใหญ่ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งฉาก
เตียงนอนสีขาว(สีอื่นไม่ได้มันผิดกฎ เดี๋ยวชวดคานส์)
ร่างบางๆ ที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว ถูกขึงพรืดอยู่บนเตียง
และมีเหล่าราชาแมงหื่นที่หลุดรอดออกมาจากนรกอเวจี ยืนถอดเสื้อแสง กรุ้มรุมรอบร่างบาง
และจากนี้นางเอกที่จำยอมจำนนต่อโชคชะตาจะพยายามพูดหว่านล้อม ให้พวกมารกลับใจ
“พี่ทศ ปล่อยผมไปเถอะพี่ ผมขอโทษที่เคยพูดไม่ดีกับพี่ พี่อย่าทำอะไรผมเลยนะ”
“หึ... สายไปแล้วมึง ทีกูขอดีๆไม่ชอบ เสือกเล่นตัวดีนัก คราวนี้เป็นไงล่ะมึง เจอทีเดียวพร้อมกัน 4 ไม้ กูจะเอาแม่งให้บาน”
เมื่อเห็นว่าไร้ผล นางเอกก็จะต้องรำพึงรำพันต่อโชคชะตาอันโหดร้ายต่อไป
“ไอ้สัด ไอ้พวกเหี้ย อย่าให้กูรอดไปได้นะมึง กูเอามึงตายแน่ ไอ้ทศ ไอ้ชิงหมาเกิด พวกมึงก็เหมือนกัน เลวระยำต่ำชาติยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อนหนังกลับ”
เมื่อเหล่าวายร้ายเมาขี้ฟันนางเอกกันพอกรึ่มๆ แบบไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์ ก็เข้ารุมเผด็จศึกอย่างไม่มีลังเล
“อย่ามายุ่งกับกู ไอ้พวกสวะ ไอ้เดนมนุษย์ ออกไป อย่า อย่า ช่วยด้วย พัฒน์ พัฒน์ช่วยด้วย”
ไอ้หัวเม่นดูเหมือนจะชอบใจที่ร่างเล็กกรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร้ประโยชน์ กระโจนเข้าฉีกทึ้งเสื้อผ้าอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง
“ไม่ พัฒน์ พัฒน์ช่วยเล็กด้วย พัฒน์”
“5555 ตะโกนให้คอแตกก็ไม่มีใครมาช่วยมึงหรอก เนี่ยโรงแรมเพื่อนกู มึงยอมให้พวกกูเอาง่ายๆดีกว่า” แล้วมันก็ก้มลงละเลงรอยฟันไปทั่วผิวเนียนอย่างซาดิสต์
“เฮ้ย ถนอมๆ หน่อยดิวะ ใจคอจะเหลือให้เพื่อนฝูงเลยรึไง” ไอ้หัวเม่นผงกหัวขึ้นหยุดการกระทำทันที
“เฮ้ยเป็นไรวะทำต่อดิ กูอยากจะแย่”
แต่ไร้ปฏิกิริยา ไอ้หัวเม่นยังคงนิ่งงัน
“มึงไม่ทำงั้นกูต่อนะ” ไอ้หัวเบญจรงค์คงเสี้ยนจัดเข้ามางัดเพื่อนมันออกไปให้พ้นทาง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นไอ้หัวเม่นลงไปนอนชักตาตั้ง น้ำลายฟูมปาก
“เฮ้ย!! ไอ้นิคๆ มึงเป็นเหี้ยไรของมึงเนี่ย เฮ้ย อ้ากกกกกกกกกกก ไม่อยู่แล้วโว้ย”
ไอ้หัวเบญจรงค์มันเข้ามาเขย่าเพื่อนมัน พอมันมองหน้าผม มันก็แหกปากลั่น ทำหน้าหวาดกลัวอย่างกับเห็นผี แล้วก็วิ่งตื่นถีบประตูออกไป
“เหี้ยเอ๊ย นี่มันเหี้ยไรกันวะเนี่ย ไอ้ทศ ก... กู กูกลับแล้วนะเว้ย” ไอ้คนที่หล่อเกินมาตรฐานนิดหน่อยครับ
แล้วมันก็วิ่งหายตามเพื่อนมันไป แต่ท่าทางจะคุมสติได้ดีกว่าเพื่อนมันหน่อย
*****
ในห้องจึงเหลือเพียงไอ้พี่ทศ ผม และไอ้หัวเม่นที่เงียบเสียงไปแล้ว ไม่รู้มันตายไปแล้วยัง
ไอ้พี่ทศมันมองผมอย่างเคียดแค้น
มองผมทำม๊าย ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ
“ไอ้เหี้ย มึงออกมาสิวะ กูรู้มึงอยู่นี่” ไอ้พี่ทศมันเป็นบ้าไปแล้วอยู่ๆมันก็ตะโกนออกมา เรียกใครก็ไม่รู้ ก็อยู่กันแค่เนี้ย
“สัด ตามรังควาญกูไม่เลิกใช่มั้ย มึงจะออกมาไม่ออก ถ้ามึงไม่ออกมากูจะฆ่าไอ้เล็ก” ใช่แล้วครับ แล้วมันก็เข้ามาบีบคอผม ผมพยายามแกะมือมันออก แต่แรงคนดีจะสู้แรงคนบ้าได้ไง
“ปัง”
เสียงประตูมันกระชากปิดเข้ามาเองครับ ไอ้พี่ทศมันปล่อยผมแล้วหันไปมองที่ประตู
บรรยากาศในห้องเย็นลงอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเข้าไปนั่งเล่นในตู้เย็นเหมือนที่เคยคิดจะทำหลายครั้งในวันที่ร้อนมากๆ
“ยอมโผล่หัวออกมาแล้วเหรอมึง”
เง้อ...
ตอนแรกผมก็อุตส่าห์วาดฝันว่าครั้งนี้แหละพัฒน์จะยอมปรากฎออกมาให้ผมเห็นซักทีพอชะโงกหน้าไปดูก็ไม่เห็นมีใครเลย
นี่มันหลบหน้าผมอีกแล้วใช่มั้ย พัฒน์ทำแบบนี้ได้ไง เล็กไม่ยอม เล็กไม่ยอม แงแง
“พัฒน์ พัฒน์ช่วยเล็กด้วย ไอ้พี่ทศมันเป็นบ้า”
“กูไม่กลัวมึงหรอกไอ้พัฒน์ ดูซิคนอย่างกูกับผีอย่างมึง ใครมันจะแน่กว่ากัน”
ในที่สุดโคตะระนานาพระเครื่องที่ไอ้พี่ทศมันอุตส่าห์ทนใส่คอแทบหัก ก็มีบทบาทตอนนี้แหละครับ
มันกอบพวงระย้าขึ้นบ่นพึมพำ สงสัยกำลังปลุกพระ
พัฒน์มานอนรอข้างๆเล็กเถอะมามะ ท่าทางคงอีกนานเลยกว่าจะตื่นครบหมดทุกองค์
“หึ.. เสร็จกูแน่มึง”
ผมนอนมองแล้วก็ขำท่าทางของไอ้พี่ทศ มันเหวี่ยงพวงพระไปในอากาศ ซ้ายมั่งขวามั่ง แล้วก็เดินวกไปวนมาจนทั่วห้อง เล่นอะไรของมัน
แต่ก็เริ่มขำไม่ค่อยออกเมื่อสักพักหูผมมันก็ได้ยินเสียงเหมือนคนครวญครางอย่างเจ็บปวด
“พัฒน์!!”
“พี่ทศ พี่ทศทำอะไรพัฒน์น่ะ อย่านะ” ผมกระโดดเกาะแขนไอ้พี่ทศตัวลอย มันทำอะไรไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าพัฒน์เจ็บ แค่นี้ผมก็ทนไม่ได้แล้ว
“ปล่อยพี่..เล็ก” มันสะบัดผมเต็มแรง
ไอ้ผมก็ตัวนิดเดียวโดนสะบัดก็ปลิวแล้ว แถมโดนไอ้พี่ทศมันศอกซะหน้าหงาย เลือดกำเดาไหลอย่างไม่เกรงใจใคร
ดูเหมือนไอ้พี่ทศมันจะตกใจจนเกิดช่องโหว่
ผมอาศัยจังหวะนั้น แย่งสร้อยจากมือมัน แล้ววิ่งไปที่ระเบียงหลังห้อง
“เล็กจะทำอะไร เอาสร้อยพี่คืนมา”
ตอนนี้สถานการณ์พลิกกลับแล้วครับ ผมยื่นสร้อยออกไปนอกระเบียง ไอ้พี่ทศที่วิ่งตามมาจะเอาสร้อยคืนถึงกลับเบรกเอี้ยด
“อย่านะเล็ก คืนสร้อยให้พี่เถอะ นะนะ”
ไอ้พี่ทศมันพยายามกล่อมผมครับ ทีตอนผมบอกให้มันปล่อยผมไปไม่เห็นหมาตัวไหนฟังเลย จะให้คืนสร้อยให้เหรอ เอาหญ้ามาให้ผมกินเลยดีกว่า(ขออีกรอบ)
“ไม่ มันทำให้พัฒน์เจ็บ” พูดไปก็ปาดเลือดกำเดาไป ซี้ด...
แล้วผมก็ขว้างสร้อยในมือออกไปสุดแรง
5555 ฝันไปเถอะเมิง ทีใครทีมันโว้ย(ขว้างพระทิ้งนรกจะกินกบาลมั้ยเนี่ย)
ไอ้พี่ทศถึงกับหน้าถอดสี ทรุดลงไปกับพื้นเลยครับ สักพักมันก็ตาเหลือก แล้วก็เริ่มชัก น้ำลายฟูมปากเหมือนเพื่อนมันเลย
อ้าว.... ไอ้ผมก็ลืมว่ามันกำลังฟัดกับพัฒน์อยู่ ไม่งั้นคงเหลือไว้ให้มันซักองค์ จะได้ผ่อนหนักเป็นเบา
อยู่ไม่อยู่สติผมก็ดับวูบไป ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก
*****
เช้าแล้ว
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างมึนๆ ผมกลับมาถึงห้องได้ไงกันล่ะเนี่ย ดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุด ผมรู้สึกเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัวเลย เรื่องเมื่อคืนนี้มันช่างอีรุงตุงนังดีจริงๆ
อา... ได้ยินเสียงแม่ค้าร้องขายกุยช่ายที่ท่าน้ำหลังบ้าน อยากกินจังเลย ผมรีบกระดื๊บๆ ลงจากเตียงเพราะถ้าลงไปช้าเดี๋ยวแม่ค้าพายเรือไปไกลแล้วผมจะอดกิน
“....~ ~ บางคราวยังเหมือนว่าเธออยู่ตรงนี้ เรืองราวที่ดีก็ยังฝังใจ.... บางความทรงจำเก่าๆ ก็ยังงดงามไม่คลาย กระจ่างอยู่ข้างในเมื่อไหร่ที่คิดขึ้นมา*~ ~.....”
ใครมันอุตริโทรมาแต่เช้า หน้าจอโทรศัพท์โชว์เบอร์ที่ผมไม่คุ้นเคยสักนิด รับดีมั้ยเนี่ย
“ใครครับ?”
“เล็ก นี่นพเองนะ นพโทรมาบอกเบอร์ใหม่ คือวันก่อนโทรศัพท์มันหายอ่ะ เอ่อ แค่นี้นะ”
ซะงั้น
ผมยืนเซ็งจิตอยู่พักใหญ่
คิดได้ไงอ่ะพี่ทศ
ตัวผมมีค่าเท่าโทรศัพท์เครื่องเดียวเองง่ะ แล้วสำเหนียกได้ถึงความจริงอีกอย่าง ....แม่ค้ากุยช่ายพายเรือพ้นคุ้งน้ำไปแล้ว
“ปังๆๆๆเล็ก ไอ้เล็ก แกเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ” เรื่องอะไรอีกล่ะเนี่ยแม่ก็
“เมื่อคืนไปไหนมา กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ แล้วทำไมเมื่อคืนฉันถามถึงไม่ตอบ แกรู้ตัวมั้ยว่าแกน่ะทำตัวแปลกไปทุกวัน”
อะไรอ่ะแม่ก็ เมื่อคืนผมกลับมาได้ไงผมยังไม่รู้เลย
“รู้มั้ยว่าคนแถวนี้มันเอาฉันไปนินทาเสียๆ หายๆ เพราะมีลูกทำตัวประหลาดอย่างแก”
“ประหลาดตรงไหนอ่ะแม่ แค่ผมกับพัฒน์.....”
“เงียบนะ อย่ามาเถียงฉัน แกมันไม่รักดี ชอบทำให้ฉันอับอายขายขี้หน้า”
ไม่ต้องตกใจ นี่เป็นสถานการณ์ประจำที่ผมต้องเจอ เมื่อก่อนที่พัฒน์มันดีๆ อยู่ยิ่งกว่านี้อีก
“อะ...นั่นอะไร เดี๋วยนี้แกบ้าขนาดนี้เลยเหรอ”
แม่ผมมองเห็นหิ้งของพัฒน์ที่ผมแอบทำไว้บนหลังตู้เสื้อผ้าซะแล้วครับ
ผมตั้งรูปมันไว้ข้างบน แล้วก็มีอัฐิมันที่ผมขอมาจากพ่อแม่มันครับ
แล้วก็มีเครื่องเซ่นนิดหน่อยที่ผมยักยอกจากในครัวทุกวัน
แม่จะโกรธผมทำไมเนี่ย ผมก็กินให้น้อยลงชดเชยในส่วนของพัฒน์แล้วไง
“ใครอนุญาตให้แกเอาของพรรค์นี้มาไว้ในบ้านฉัน เอาไปทิ้งเดี๋ยวนี้”
“แม่! อย่า...” ผมไม่รู้จะห้ามแม่ยังไง แม่เอาไม้กวาดมุมห้องกวาดของทั้งหมดบนตู้เสื้อผ้าลงมา ทั้งอัฐิพัฒน์ ทั้งรูปมันหล่นลงมาแตกกระจาย
“ทำไมแม่ทำอย่างนี้ล่ะ ตอนที่มันมีชีวิตอยู่แม่ก็เอาแต่ด่ามัน ไล่มัน ไม่เคยพูดดีๆ กับมันเลย จนตอนนี้มันเหลืออยู่แค่นี้แล้ว ทำไมแม่ระรานมันไม่เลิก”
ผมเก็บกระดูกมันมากำไว้ มันเหลืออยู่แค่นี้ เหลือแค่กระดูกชิ้นเล็กๆ ที่พูดไม่ได้ ตอบโต้ไม่ได้ ปกป้องตัวเองไม่ได้ แล้วทำไมแม่ถึงไม่เลิกทำร้ายมันซักที
ผมขอแค่ที่ว่างเล็กๆ ไว้ให้มัน ทำไมแม่ถึงโกรธมากมายขนาดนั้น ตอนนี้ผมไม่สามารถกอดมันได้อีกแล้ว แต่ผมก็อยากจะให้มันอยู่ในที่ๆ ผมจะมองเห็นมันได้เสมอ
“แกอย่ามาปากดีกับฉันนะ ไอ้ทรพี แกเคยสนใจมั่งมั้ยว่าฉันจะอับอายขนาดไหนที่มีลูกวิปริตผิดเพศอย่างแก ชาวบ้านเขาจะมองยังไงแกเคยสนใจมั้งมั้ย”
“แม่ก็ดีแต่สนใจคำพูดคนอื่นมากกว่าลูกของตัวเอง ผมกับพัฒน์เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราไม่เคยไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เราแค่รักกัน ทำไมแม่ไม่เข้าใจซะที ทำไมแม่ไม่เหมือนพ่อแม่ของพัฒน์บ้างเลย”
“ไอ้เล็ก ไอ้นอกคอก ถ้าไม่มีมันซักคน แกจะมายืนด่าฉันปาวๆ อย่างนี้มั้ย ฉันอุตส่าห์ดีใจที่มันตายซะที แกจะได้เลิกบ้า กลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนอย่างคนอื่นเขา”
“ทำไมแม่พูดแบบนั้น ฮึก... แม่นั่นแหละบ้า บ้าไปกับคำพูดของคนอื่น ฮึก... ถ้าแม่รักผมซักนิด อึก... แม่คงไม่พูดแบบนี้.....” ผมปล่อยน้ำตาลงมากับคำพูดเลวร้ายที่ได้ยิน ถ้าแม่รักผม แม่คงไม่แช่งให้คนที่ผมรักต้องตาย
“ฮือ...... ทำไมแม่ไม่แช่งผมด้วยล่ะ ฮึก.... ถ้าผมตาย แม่จะได้ไม่ต้องมีลูกวิปริตผิดเพศอย่างผมไง ฮือ..... ป่านนี้ผมคงได้อยู่ด้วยกันกับพัฒน์ มีความสุขไปแล้ว...”
“เพี๊ยะ ไอ้เนรคุณ ใครสั่ง ใครสอนมึงให้เป็นอย่างนี้ กูจะเอาของๆ มันไปทิ้งให้หมด ถ้ามึงยังไม่หายบ้า จะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไป”
แม่คว้าเอากรอบรูปที่แตกละเอียด แล้ววิ่งไปที่ท่าน้ำ
“แม่อย่า....” ผมวิ่งตามลงไปแต่ก็ทันได้เห็นแค่แม่เขวี้ยงกรอบรูปทิ้งลงไปในน้ำ
“เอาที่มือมานี่” ผมกำลังจะวิ่งหนี แต่ถูกแม่กระชากผมไว้
“โอ้ยแม่ เล็กเจ็บ”
แม่ปล้ำกระชากเอากระดูกของพัฒน์ไปได้สำเร็จ และบทสรุปมันก็ไม่ต่างกัน
“ฮือ.....พัฒน์....พัฒน์....” ผมนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น มือเผลอกุมสิ่งสุดท้ายของพัฒน์ที่เหลืออยู่ไว้แน่น”
“นั่นแหวนมันใช่มั้ย เอามานี่” แม่พยายามแกะแหวนออกจากนิ้วผม
“ไม่เอาแม่ เล็กขอ แม่อย่าเอาไปเลยนะ แหวนพัฒน์เล็กสัญญาว่าจะไม่ถอด”
“เพี๊ยะ มึงเอามานี่” แม่ตบผม แล้วพยายามดึงแหวนออกจากนิ้วผม
“โอ้ย นิ้ว.... แม่พอแล้ว เล็กเจ็บ” แม่ไม่ฟังเสียงผม ดึงกระชากจนนิ้วผมปวดไปหมด ในที่สุด แหวนก็หลุดติดมือแม่ไป
ประกายสีเงินตีวงโค้งลงไปในน้ำ มันเป็นวัตถุชิ้นเล็กๆ แต่แรงของคนเขวี้ยง ทำให้ผิวน้ำเกิดเป็นระรอกคลื่น
“จ๋อม”
เสียงที่ทำให้หัวใจผมเจ็บ
เจ็บจนไม่สามรถขยับตัวได้ รู้ตัวอีกทีผมก็ลงไปนอนแผ่บนพื้นแล้ว
“ไอ้เล็ก ไอ้เล็ก แกเป็นอะไรไปเนี่ย ช่วยด้วย ใครก็ได้ ช่วยด้วย” แม่วิ่งเข้ามาเขย่าตัวผม ร้องเรียกให้คนช่วย แต่ทำไมผมถึงได้ยินเสียงของแม่เบาลงเรื่อยๆ
ข้ามไหล่แม่ไป ผมเห็นใครคนนึงกำลังเดินเข้ามา
พัฒน์.....
ผมน้ำตาคลอ พยายามเรียกมัน แต่เสียงผมไม่รู้มันหายไปไหน ผมได้แต่หวังว่ามันจะรับรู้คำพูดผ่านแววตาของผม
พัฒน์ เล็กถอดแหวนพัฒน์ออกแล้ว แต่เล็กไม่ได้ผิดสัญญานะ แม่ถอดให้เล็ก แล้วอย่างนี้......
เล็กไปอยู่กับพัฒน์ได้แล้วใช่มั้ย
พัฒน์ยิ้มให้ผม ก้าวเข้ามาแทรกระหว่างผมกับแม่ แล้วอุ้มผมขึ้น
แม่ดุด่าผม เอาของรักของผมไปทิ้ง แต่แม่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เชื่อมโยงผมกับพัฒน์ไว้ไม่ใช่ของเหล่านั้น ไม่ใช่แหวนวงนั้น แต่เป็นคำสัญญาระหว่างเราต่างหาก
.
.
.
.
.
เล็ก... สัญญากับพัฒน์นะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เล็กจะไม่ถอดแหวนวงนี้
555 วันนี้มาแปลก ทำหน้าจริงจังซะขนาดนั้นแถมยังแหวนนี่อีก จะขอเล็กแต่งงานรึไง
สัญญากับพัฒน์มาก่อนสิเล็ก
อืม.... ไม่เอาอ่ะ
ทำไม
ก็พัฒน์เล่นให้เล็กสัญญาอยู่ฝ่ายเดียว ถ้าเกิดวันหน้าพัฒน์มีคนอื่นแล้วเล็กต้องทนใส่แหวนนี่ เล็กก็ขึ้นคานอ่ะดิ
แหวนวงนี้คือตัวแทนของพัฒน์ เป็นคำสัญญาว่าพัฒน์จะมีเล็กคนเดียว ในบางครั้งที่เราต้องห่างกัน พัฒน์อยากให้เล็กรู้สึกว่าพัฒน์อยู่ข้างเล็กเสมอ
ก็ได้ เล็กสัญญา ข้าพเจ้าจะไม่ถอดพระธำมรงค์วงเงินนี้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ 555 พอใจยัง?
จริงๆนะ
พัฒน์ก็รู้ สัญญาของเล็กถือเป็นที่สุด เมื่อไหร่ที่เล็กถอดแหวน ก็หมายถึงเล็กจะไม่อยู่ในโลกนี้อีกต่อไปแล้ว
.
.
.
.
.
End.
* ความทรงจำ : แมว จิรศักดิ์ ปานพุ่ม
ความคิดเห็น