คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Basketball
******
“เฮ้ย!.. ตาทีมเราแล้ว ลงสนามเร็ว” กอล์ฟ เพื่อนสนิทของผม ตะปบไหล่ลากผมลงสนามบาส
“เฮ้ยไม่ลงไม่ได้เหรอวะ ให้ข้าเป็นตัวสำรองเหอะ ข้าเล่นไม่เป็นจริงๆ” ผมพยายามขืนแรงฉุดไอ้กอล์ฟ
“เฮ้ย.. ขำขำน่า ไอ้อิง.. ลงเหอะ เอ็งเล่นห่วยก็ไม่มีใครเขาว่าเอ็งหรอก” มันยังพยายามอยู่...
ไอ้เพื่อนที่แสนดีมันไม่ได้รับรู้ถึงความกระอักกระอ่วนใจของผมเลย
“เฮ้ยไม่ได้จริงๆว่ะ โทษที..” ผมเบี่ยงตัวออกจากการเกาะกุมของมัน แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังแสตนด์
“เฮ้ย’ไรว้า.. แมน...แมน..” มันผละจากผมแล้วจิกเป้าหมายใหม่ ..ไอ้แมน
“กูจีบหญิงอยู่!... เรียก’ไมวะ!” ไอ้แมนบ่นขึ้นอย่างอารมณ์เสียมากมายที่ไอ้กอล์ฟไปขัดจังหวะมัน
ไอ้แมนขี้หลี.. ขนาดมายืมสนามกีฬาต่างโรงเรียนใช้ในชม.พละ มันก็ยังอุตส่าห์หาโอกาสหลีได้นะเอ็ง ทั้งที่โรงเรียนนี้มันเป็นโรงเรียนช่างแท้ๆ ผู้หญิงมีอยู่หยิบมือ แต่ไอ้แมนก็ยังสามารถ
“พอเลยมึง... หยุดเลย เร็ว..ลงให้กูหน่อย ทีมกูขาด”
“เฮ้ย’ไรวะ.. กูเพิ่งแข่งเสร็จแหม็บๆ ยืนหอบเหมือนหมาอยู่เนี่ย ไอ้อิงง่ะ.. แม่งไปไหน?”
“มึงไม่ต้องมาอ้าง เห็นหลีเจ๊ช่างก่ออยู่คาตา ไอ้อิงมันไม่เล่น โน่น.. แม่งไปโน่นแล้ว” มันพยักเพยิบมาทางผม
“โห่’ไรว้า.. แม่ง ลำบากกูอีก” บ่นท่านู้นท่านี้ สุดท้ายมันก็ลง เรื่องโชว์ออฟหญิงมันไม่พลาดหรอก
ผมนั่งดูเพื่อนลงสนามอยู่บนแสตนด์
เกมส์เริ่มขึ้นโดยไม่มีใครรู้เลยว่าผมนั่งมองลูกบาสด้วยสายตาอาวรณ์มันแค่ไหน
ผมชื่ออิงค์ภพ พิชยกูล เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครที่มีชื่อเสียงทางด้านอาหารแห่งหนึ่ง ผมเป็นนักศึกษาเฟรชชี่ปี 1 ครับ
เหตุผลที่ผมเลือกเรียนอาหาร ก็เป็นเหตุผลเดียวกับคนส่วนใหญ่ที่นี่ คือผมชอบกินครับ
แต่สาเหตุอีกอย่างที่ผมปิดเป็นความลับก็คือ..
ผมเลือกมาเรียนเอกอาหารเพราะคิดว่าเส้นทางนี้คงห่างไกลจากโลกที่ผมคุ้นเคยมากที่สุด....
มหาฯลัยแห่งนี้ค่อนข้างที่จะไม่ใหญ่โตนัก ถึงกับมีคำขวัญที่ว่า ‘ความยิ่งใหญ่ในความเล็ก’ เลยทีเดียว ไม่รู้ว่าเป็นการปลอบใจตนเองรึเปล่า
เพราะขนาดพื้นที่ๆมีจำกัดแค่ 4 ไร่เศษ ทำให้ไม่มีสนามกีฬามาตรฐานเป็นของตัวเอง เวลาที่มีการแข่งขัน หรือเรียนวิชาพละก็จะขอยืมโรงยิมฯของมหาฯลัยที่อยู่ใกล้เคียง ก็ที่นี่แหละครับ ราชมงคลลูกพี่ลูกน้อง เพียงแต่ที่นี่เขาดังในเรื่องช่างอื่นๆ
ทุกครั้งที่มีการเล่นกีฬาทีมในชม.พละ ผมมักจะเลี่ยงไม่ลงเล่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาอะไรก็ตาม จนพวกเพื่อนๆผมมันคิดว่าผมเป็นเด็กโข่งโตแต่ตัว แต่เล่นอะไรไม่เป็น
“ปรี๊ดดดดดดด 3 แต้ม เฮ เฮ............” เสียงโห่ฮาปานได้แชมป์แกรนด์แสลมป์ดังกึกก้องสนามเมื่อไอ้แมนวาดลวดลายโชว์ออฟสาวอีกครั้ง
ผมหลับตาซึมซับบรรยากาศเหล่านั้น และพยายามกดความกระหายของตัวเองไว้
ทั้งเสียงของกองเชียร์ทั่วสนาม เสียงรองเท้าที่เสียดสีกับพื้น ความร้อนวูบวาบของกล้ามเนื้อทุกส่วน ความเย็นของเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เสียงลูกบาสที่รักขณะกระแทกเข้าไปในห่วง และกลิ่นอายของชัยชนะ
ไม่
ผมไม่มีสิทธิ์คิดถึงมันอีกแล้ว
ใช่.... มันควรจะเป็นอย่างนั้น
นับตั้งแต่..
ในการแข่งขันบาสเก็ตบอลรอบชิงชนะเลิศระดับภาค
ในวันนั้นที่การแข่งขันครั้งสุดท้ายจบลงด้วยชัยชนะของทีมเรา ผมก็ไม่สามารถสัมผัสลูกบาสฯได้อีกเป็นครั้งที่สอง
ไม่สิ....
ต้องบอกว่าไม่สามารถลงแข่งทีมได้อีกเป็นครั้งที่สองต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นกีฬาใดๆก็ตาม อนาคตทางกีฬาของผมปิดลง
ผมที่คร่ำหวอดในวงการกีฬามาตลอดรู้สึกทรมานราวกับตกนรกทั้งเป็น
แต่จะโทษใครได้ ..ในเมื่อ ผมทำตัวเอง
******************
******************
ตั้งแต่เด็ก
พ่อมักจะเข้มงวดกับพวกเราเสมอ เพราะอยากให้พวกเราเป็นเหมือนพ่อ ผมไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นๆ ที่มีพ่อเป็นนักกีฬาเก่าจะต้องเจออะไรอย่างพวกผมหรือเปล่า ความฝันของพ่อคือแกรนด์แสลมป์ ท่านไม่เคยลังเลที่ผลักดันเราไปให้ถึงที่ตรงนั้น พ่อคือโค้ชที่ยอดเยี่ยม แต่โค้ชที่ยอดเยี่ยมกับพ่อที่ยอดเยี่ยมมันคนละเรื่องกัน พ่อคงจะลืมไป
หรือไม่...ก็คงไม่เคยคิดถึงมันเลย
ในสายตาคนนอก มักมองมาที่เราอย่างอิจฉาเสมอ อิจฉาพ่อ อิจฉาพรสวรรค์ลูกชายทั้งสองคน
แต่เรารู้
พรสวรรค์ ...มีแค่ผมคนเดียว
สำหรับพี่มันไม่ใช่
พี่ไม่เคยมีมัน
น่าแปลก ทั้งที่เราก็เป็นลูกพ่อเหมือนกัน
ผมเองก็เหมือนเขา คงได้เลือดพ่อมาเยอะ อะไรที่ใครๆต้องพยายามกันเลือดตาแทบกระเด็น ผมก็คว้ามาไว้ได้ง่ายๆ และอะไรที่ใครๆ ต้องตัดใจเพราะไม่มีสิทธิ์ ผมกลับได้ครอบครองมันไว้ตั้งแต่เริ่มต้น ทุกอย่างมันง่ายไปหมด เหมือนเตรียมไว้ให้ผมตั้งแต่แรก
ถ้านี่ไม่ได้เรียกว่าพรสวรรค์ สิ่งนั้นก็คงไม่มีอยู่จริง
กับพี่
พี่มีแต่พยายาม และพยายาม
พี่ก็เหมือนคนทั่วไป ต่างกันตรงที่พี่ไม่เคยหยุดพยายาม ไม่เคยหยุดผลักดันตัวเอง เพื่อที่จะอยู่เคียงข้างพรสวรรค์ เพื่อที่จะเป็นลูกชายอีกคนที่พ่อภาคภูมิใจ
มาคิดดูถ้าถูกกดดันแบบนั้นผมคงเป็นบ้าไปแล้ว
ไม่แปลก ที่พี่จะกลายเป็นคนจริงจัง
จริงจังเกินไป
**********************
*************************
ปึง!!!!
ลูกบาสผิดทิศทางพุ่งตรงมา เฉียดหัวผมไปเพียงนิดเดียว ปลุกให้ผมหลุดจากความคิดตัวเอง
“เฮ้ย!! จะฆ่ากันรึไงวะ!” ผมปากไวออกไปตามอารมณ์ตกใจ
“โทษทีเฮ้ย โทษๆ...ส่งลูกมาดิ๊” แน่ะ... มันยังใช้ผมส่งลูกให้มันอีก
ไอ้แมนนะ... ไอ้แมน ขอโทษแบบขอไปทีแล้วมันยังมาใช้ผมให้เก็บลูกให้มันอีก เสียหล่อไปทำไงเนี่ย
ระหว่างที่ผมก้มลูกบาสฯที่กลิ้งมาแทบเท้าขึ้น ก็มีมือคู่หนึ่งตะปบลงมาบนมือผมพยายามจะแย่งลูกจากมือ และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นก็สบตาเข้ากับใครคนหนึ่งที่มีใบหน้าเหมือนผมราวกับพิมพ์เดียว ต่างกันเพียงแววตาแข็งกร้าวนั่น จับจ้องมาที่ผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เฮ้ย!!” ผมแหกปากหลับหูหลับตาโยนลูกบาสฯทิ้ง
จากนั้น
ผมก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งโรงยิมฯ ไม่เว้นแม้แต่เด็กช่างต่างโรงเรียนที่มาขอแบ่งสนามเล่นใน ชม.พละของผม
“เป็นไรวะอิง? เป็นไรป๊ะเนี่ย แม่งหน้าซีดชิบหายเลยว่ะ” ไอ้กอร์ฟมันเห็นผมแปลกๆ มันเลยเดินออกจากสนามมาดู มันเป็นคนดี รู้จักห่วงเพื่อน ไม่เหมือนไอ้แมน
“ไรวะ แม่งโยนไปให้ใครวะเนี่ย” มันบ่นกระปอดกระแปดเป็นทางขณะวิ่งไปเก็บลูกบาสฯที่กลิ้งไปอยู่มุมหนึ่งของโรงยิมฯ
“ไม่เป็นไร ปวดหัวนิดหน่อยว่ะ” ผมบอกไอ้กอร์ฟแบบขอไปทีแล้วก็มองหาคนๆ นั้น แต่ก็ไม่พบเช่นเคย
“มองไรวะ? ไปเร็ว ข้าจะไปห้องพยาบาลเป็นเพื่อน”
“เฮ้ยไม่ต้อง ข้าแค่ปวดนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย”
“เออ.. งั้นก็ดีแล้ว แต่ไงๆ มือเอ็งก็ต้องไปทำแผล เลือดไหลขนาดนั้นปล่อยไว้ได้ไง ไปโดนไรมาวะ”ผมก้มมองมือตัวเองก็เห็นรอยเล็บที่จิกลงไปบนหลังมือเป็นทางยาว มีเลือดไหลออกมาเรื่อยๆ เลยปล่อยให้ไอ้กอร์ฟลากตัวไปห้องพยาบาลโดยไม่ขืนอีก
.....หนักขึ้นทุกที คราวนี้ถึงกับเลือดตกยางออก
นายยังไม่เลิกราง่ายๆ หรอกใช่มั้ย หรือจนกว่าเราจะตาย นายถึงจะยอมหยุด.....
นี่คือสาเหตุที่ผมเลิกเล่นกีฬา
เพราะเขาจะปรากฏตัวออกมาเสมอ คอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ และจ้องมองผมด้วยแววตาที่น่าขนลุก
ผมจะเห็นเขาก็เฉพาะแค่ตอนที่ผมเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับกีฬาเท่านั้น
ไม่สิ อย่างเมื่อครู่ แค่ผมสัมผัสกับอุปกรณ์กีฬา เขาก็รุกล้ำเข้ามาในโลกของผมแล้ว ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกีฬาจะเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผม
**********************
**********************
เราอยู่ด้วยกันเสมอจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน แต่ในที่สุด ผมก็เป็นฝ่ายแยกตัวออกมา ผมมีเพื่อนกลุ่มใหม่ ได้พบได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่ ถึงจะเป็นเรื่องที่ธรรมดาในสายตาพวกมันก็เถอะ พอใจที่จะเฮฮาบ้าบอไร้แก่นสารไปวันๆ สุขสมกับการใช้ชีวิตอย่างคึกคะนองไปกับพวกมัน ในขณะที่พี่ก็ยังคงหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเดิมๆ
ในช่วงที่ผมกระหายในสิ่งที่มองเห็นว่าเป็นอิสรภาพ พวกผู้ใหญ่ไม่มีใครสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของผม พี่ไม่เคยพูดอะไร แม้แต่ในตอนที่ผมโดดเรียนหรือหนีเที่ยวกลางคืน
ที่พี่ทำก็มีแค่มองผม... เท่านั้น
ผมเองก็คิดแค่เพียงว่า ...ก็ดี
แต่ในบางครั้งผมก็สังเกตเห็น ว่าในสายตาสงบนิ่งของพี่ มันมีแววเล็กๆอยู่ในนั้น
ริษยา...
อาจเป็นเพราะตลอดเวลาเรามักถูกมองเป็นเงาของคนอีกคนเสมอ ก็เลยต่อต้านภายในกันเองล่ะมั้ง นับวันเรายิ่งห่างกัน
เราเริ่มโตขึ้น เดินทิ้งเงาของเด็กชายไว้ข้างหลัง จิตใจของผมร่ำร้องให้ค้นหาตัวเอง ยิ่งผมมองเห็นตัวเองชัดเท่าไร ตัวตนของพี่ก็ยิ่งเลือนรางในสายตาผมลงทุกที ในที่สุดผมก็มองเห็นแต่ตัวเองและลืมพี่ไป
จนกระทั่งในวันนั้นที่เราต้องเผชิญหน้ากัน
ผม... มองเห็นตัวตนของพี่อีกครั้ง
ในสนามแข่งของเรา ...แต่ไม่ใช่ในทีมของเรา
*****************
******************
*****************
******************
“อิงอยู่หอเป็นยังไงบ้างลูก ทำไมพักนี้ไม่โทรมาหาแม่เลย”
“ผมยุ่งๆ อยู่น่ะครับแม่”
“แล้วอาทิตย์นี้จะกลับบ้านรึเปล่าลูก ลูกไม่ได้กลับบ้านมานานแล้วนะ”
“พอดีผมยุ่ง คงกลับไม่ได้หรอกครับ ต้องรีบปั่นรายงานส่งอาจารย์”
“จะยุ่งแค่ไหนกันเชียว... วันๆ ก็แค่ทำอาหาร.... จริงๆ เลยนะ แม่ไม่เห็นด้วยเลยที่เราเลือกเรียนที่นั่น โรงเรียนก็เล็กนิดเดียว ชื่อเสียงก็งั้นๆ ถ้าลูกชอบทำอาหารค่อยไปเรียนเสริมเอาก็ได้”
“นี่พ่อเขาก็ไปคุยกับอาจารย์ที่นั่นดู เขาก็บอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ให้โอนเกรดไปเรียนที่นั่นได้เลย ลูกยังอยู่แค่ปี 1 ยังเรียนไม่ยากเท่าไหร่ ระดับลูกน่ะ ตามเขาทันอยู่แล้ว”
“แม่ครับเราคุยเรื่องนี้กันแล้วนะครับ”
“ฮึ... คุยอะไรกัน เราไม่ฟังที่แม่พูดซักนิด ไม่รู้แหละ เสาร์นี้ยังไงลูกก็ต้องกลับบ้าน พ่อเขามีอะไรจะคุยด้วย”
“....ครับ....ครับ ...สวัสดีครับ” เฮ้อ... เอาอีกแล้ว เรื่องเดิมๆ แถมคราวนี้ยังไปคุยเรื่องโอนเกรดไว้ล่วงหน้าอีก
ผมรู้ดีว่าตัวเองทำลายความหวังของพ่อกับแม่ แต่ผมไม่รู้จะบอกพวกท่านยังไง ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะเข้ามหาลัยที่มีชื่อทางด้านนี้ที่พวกท่านเตรียมให้ ก็ในเมื่อผมไม่สามารถเล่นกีฬาได้อีกแล้ว
กริ๊ก กริ๊ก
เสียงช้อนกระทบจานเบาๆ ไม่ช่วยให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่ดำเนินมาร่วมครึ่งชั่วโงผ่อนคลายลงเลย
“ฉันไปคุยกับครูเขามาแล้ว เรื่องโอนเกรดไม่มีปัญหาอะไร แกเตรียมตัวไว้ซะ หมดเทอมเมื่อไหร่ แกก็โอนเกรดย้ายไปได้เลย” พ่อเป็นฝ่ายเริ่มทำลายความเงียบบนโต๊ะอาหารขึ้นก่อน
“แต่พ่อครับ... ผมจะเรียนที่นี่” ผมค้านขึ้น
“ไม่ได้ แกต้องย้าย”
“แต่พ่อครับ ผมเลือกเรียนที่นี่ไปแล้วนะครับ”
“เรื่องที่แกเอาแต่ใจ ไปแอบสอบเข้าโรงเรียนบ้าๆ ฉันยังไม่ได้เอาความ ยังไงซะแกก็ต้องไปเรียนที่นั่น ไม่งั้นก็ไม่ต้องเรียน”
“คุณพ่อ!”
“เอาล่ะๆ พอแล้ว.... ลูกก็เงียบซะทีเถอะอิง พ่อกับแม่หวังดีกับลูกทั้งนั้น อย่าทำให้พ่อแม่ต้องผิดหวังเหมือนคราวโอ๊คอีกเลย” ผมได้แต่นั่งก้มหน้า รอจนมื้ออาหารเย็นผ่านไปโดยไม่แตะต้องอะไรอีกเลย
นานแล้ว... ที่ผมไม่ได้ยินชื่อนี้ ชื่อของพี่ชายผม ...โอ๊ค
****************************
****************************
มันเป็นความผิดพลาดที่เราต้องเจอกันในรูปแบบนั้น
ถ้าผมล่วงรู้ผลลัพธ์ที่จะตามมา ผมคงล้มเกมส์นั้น แล้วเดินออกจากสนามไป
แต่ในชั่วเวลานั้นสิ่งที่ผมทำกลับเป็นตรงข้าม
‘ตัวตน’ที่ผมได้มาหมาดๆ เร่งเร้าให้ผมแสดงศักยภาพออกมา
บนสนามที่มีผู้เล่นอยู่ทั้งสองทีม กลับรู้สึกเหมือนมีแค่เราสองคน
บางครั้ง
ผลลัพธ์ของศักดิ์ศรีมันก็ไม่น่าดูนัก
เราบดขยี้ ห้ำหั่นกันราวจะเป็นจะตาย แต่บทสรุปกลับไม่มีใครเกินใคร มันเป็นครั้งแรกที่ข้างๆผมไม่ใช่พี่ และเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกันที่ทีมเราได้รู้จักกับสิ่งที่นอกเหนือชัยชนะ
....เสมอ....
ตอนที่เสียงนกหวีดสุดท้ายขาดลง พี่ก็กระโดดตัวลอยกอดคอคนในทีม ยิ้มแย้มอย่างยินดีมากมาย
พี่ยิ้มทำไม
ดีใจที่ไม่ต้องเป็นเงาซ้อนใคร ดีใจที่ฟอร์มทีมมาเสมอแชมป์ได้ หรือดีใจที่ในที่สุด ...พี่ก็มาถึงผมซะที
แบบนี้หรือเปล่า ที่พี่ไม่ยิ้มให้ผมเลย
นิวทีมเสมอแชมป์ เป็นความอับอายเหนือความอับอาย
ผมเข้าพบคนที่สูงที่สุดเพื่อขจัดมัน แต่กลับได้รับคำตอบงี่เง่าว่าเป็นแผนงานกระตุ้นนักกีฬา
แล้วทำไมต้องเลือกพี่เป็นม้าใช้ หรือว่าพี่เองก็กำลังรอคอยมันอยู่เหมือนกัน....
ผมเริ่มกังวลว่าอาจจะมีที่สักวัน....
สักวันที่พรแสวงจะเทียมพรสวรรค์ และเหยียบข้ามไปยังชั้นที่อยู่สูงขึ้นไป
กีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน
แต่เกมส์กีฬาในครั้งนี้ กลับสร้างคนที่ไม่ใช่คนขึ้นมา
ไม่มีความมืดใดๆ มืดมนไร้ทางออกเท่าความมืดในใจเราเอง
***********************
***********************
***********************
***********************
“เฮ้ยไอ้อิง... ผั่วะ” ผมได้ยินเสียงหมอนรองกระดูกร้องไห้กันระงม เพราะไอ้กอร์ฟมันมาสะกิดผมที่กลางหลังอย่างแผ่วเบา
“โอ๊ย... มันเจ็บนะโว้ยไอ้กอร์ฟ ใจคอมึงจะตบให้กูพิการเลยรึไงวะ”
“โหย... ไอ้สำออย ก็กูเรียกมึงแล้วไม่ได้ยินนี่หว่า เอ้า.... กรอกซะเอ็ง รุ่นพี่เขาจะเอาเย็นนี้แล้ว” ไอ้กอร์ฟโยนกระดาษอะไรซักอย่างมาตรงหน้าผม พอหยิบขึ้นดู มันเป็นใบสมัครนักกีฬาที่จะลงแข่งงานกีฬาสีอาทิตย์หน้า
“ไรวะ เอามาให้ทำไมเนี่ย ข้าไม่ได้บอกซักหน่อยว่าจะลงแข่งกีฬาสี” ผมบอกไอ้กอร์ฟ และไม่สนใจกระดาษแผ่นนั้นอีก
“แหม่... เอ็งนี่ เวลาพี่เขาบอกดันไม่เสือกฟัง ห้องเราไม่ได้ขึ้นแสตนด์ พี่เบลล์เลยจับพวกผู้หญิงลงการแสดงหมด ส่วนผู้ชายในห้องที่เหลือให้ลงกีฬาไปให้หมดเลย นี่ข้าอุตส่าห์ไปเป๊ะวิ่งร้อยเมตรมาให้เอ็งเลยนะเนี่ย วิ่งเดี่ยวๆ แป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว ไม่ต้องไปวุ่นวายกับใครด้วย สบายจะตายห่า... เอ้าเซ็นต์ซะ”
ไอ้กอร์ฟยัดเยียดใบสมัครให้ผม ผมเลยจำต้องเซ็นชื่อลงไป พลางคิดว่า แค่วิ่งเท่านั้น วิ่งๆ ไปให้มันจบๆ คงไม่เป็นไร
*************************
****************************
นับจากวันนั้น ก็มีบ้างที่เราต้องแข่งภายใน แต่ผลก็ออกมาเช่นเดิม เราไม่สามารถช่วงชิงมาได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้สูญเสียอะไรไป
และเมื่อถึงคราวที่ฤดูการแข่งขันที่แท้จริงมาถึง น่าแปลกที่เรากลับไม่ได้อยู่สายเดียวกัน ทั้งที่มาจากที่เดียวกัน อาจจะเป็นแผนกวาดเหรียญของพวกข้างบนล่ะมั้ง เพราะดูท่าทางจะหวังกับทีมบีไม่น้อย
รอดมาให้ได้แล้วกัน.....
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็รู้ดีว่าพี่ต้องมา เพราะนอกจากผม ....พี่ก็ไม่รองใคร
เกมส์กีฬาดำเนินไป เราก้าวข้ามคู่แข่งมาเรื่อยๆ เหยียบพวกเขาขึ้นสู่ด้านบน ไม่มีความลังเลใดๆ หยุดเราไว้กลางทาง จุดหมายของเราคือสิ่งเดียวกัน
ในที่สุด
เราก็มาอยู่ตรงหน้าของกันและกัน
จะให้ไปต่ออีกไม่ได้
เพราะสิ่งที่รออยู่มีแค่หนึ่งไม่ใช่สอง ถ้ายอมให้ผ่าน ....พรสวรรค์ก็จะไม่ที่ให้ยืน
เพราะฉะนั้น.... พี่ต้องแพ้
************************
***********************
วันงานกีฬาสี
ก็อย่างที่บอก.. ว่าโรงเรียนมันเล็ก
พื้นที่แค่ 4 ไร่เศษ มันจะไปมีปัญญาเจียดพื้นที่ไปสร้างสนามกีฬาได้ไง แค่อาคารเรียนก็อัดกันเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์ดันทุรังจัดการแข่งขันที่ต้องใช้สนามกว้างๆ อย่างพวก ฟุตบอล วิ่งผลัด รวมถึงวิ่ง 4X100 ของผมก็อยู่ในรายการนั้นด้วย
พวกนักกีฬาเลยต้องอพยพไปใช้สนามกีฬาต่างโรงเรียนที่คุ้นเคยราวทางเดินในมหาลัยตัวเอง เพราะไปขอเขาใช้จนชินแล้วนั่นเอง ทางโรงเรียนนั้นก็ออกจะใจดี เปิดห้องชมรมให้เรายืมใช้อุปกรณ์กีฬาอีกต่างหาก
ฟุตบอลแข่งกันมาตั้งแต่เช้า พวกที่ยังไม่ถึงคิวลงแข่งอย่างผมก็นั่งรอไปเชียร์บอลไป พวกเด็กที่นั่นที่ไม่มีชั่วโมงเรียนก็มาร่วมเชียร์ด้วยเลยสนุกสนานฮาเฮกันใหญ่
ผมแหกปากเชียร์บ้าพลังไปหน่อยเลยหิวเร็ว หันไปหันมาไม่มีเพื่อนซักคน ไอ้กอร์ฟก็กำลังวาดลวดลายอยู่ในสนาม ไอ้แมนก็หายไปไหนไม่รู้ คงไปหลีหญิงอีกชัวร์... ไปกินข้าวคนเดียวก็ได้วะ
ลุกขึ้นหันหลังกำลังจะเดินออกนอกสนาม หูมันก็รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงลมหวีดหวิว แล้วหลังจากนั้น..... อะไรๆ มันก็มืดไปหมด
“เฮ้ย อิง ไอ้อิง ไอ้อิง เป็นไรมั้ยมึง อย่าเป็นไรนะมึง เฮ้ย ตื่นๆ” โอยยยยยเซี่ยงจี๊เต้นแร็พ เลิกเขย่าทีเหอะ กูจะตายเอา
“กูไม่เป็นไร แต่ถ้ามึงยังไม่เลิกเขย่า กูคงตายแน่ แล้วที่ไหนวะเนี่ย โอย มึนหัวชิบ”
“อ๋อ ห้องชมรมบาสของเด็กที่นี่อ่ะดิ่ กูเห็นมันใกล้ดีเลยลากมึงมา” ดีจริงๆเพื่อนกอร์ฟ ความเป็นตายเพื่อนอิงนี่อยู่ที่ระยะทางห้องพยาบาลใช่มั้ย
“ขอโทษนะเว้ยไม่ได้ตั้งใจว่ะ พอดีมันจะไซร้ก้อยอ่ะ แต่ทำไมมันฉีกโป้งที่กกหูเอ็งได้... ไอ้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เป็นไรมากป่าววะ”
“ไม่เป็นไร ชินว่ะ” เง๊ออออออ......
“เออ ดีแล้วจะได้หายห่วง เพราะพี่เบลล์ฝากบอกมา ถ้าเอาเหรียญมาให้แกไม่ได้ กลับไปแกสับไม่เลี้ยง.....” ง่ะ.....
และแล้วก็ถึงคิวประเพณีวิ่งควาย
อ่ะม่ายช่าย
วิ่งแข่งรายการของผมต่างหาก
เมื่อต้อนนักกีฬาเข้าลู่เป็นที่เรียบร้อย ทุกคนก็จดจ่ออยู่กับเสียงสนั่นโสตที่กำลังจะได้ยิน
[/b]ปัง!![/b]
ผมดีดตัวฟิ้วปลิวลมออกจากจุดสตาร์ทเป็นคนแรก นำโด่งลิ่วชนิดไม่เห็นฝุ่น แรงผลักดันไม่ใช่ใคร แค่จินตนาการถึงตอนนั่งถกทฤษฎีเรื่องความน่าจะเป็นกับเจ๊เบลล์สองต่อสอง แค่นี้อะดรีนาลินที่หลั่งตอนแอ็กซิเดนท์ก็พุ่งปรี๊ดปรอทแตกแล้ว
แต่วิ่งๆไปชักผิดแนว ทำไมมันเงียบจัง สนามก็ไม่ค่อยมีคน
ไม่สิ.... ไม่มีคนเลยต่างหาก
แล้วพอหันกลับไปดูข้างหลัง อ้าว...... แล้วทำไมมีกรูวิ่งอยู่คนเดียววะ
ไปไหนกานโม๊ดดดดดดดดดดดดด
แต่เสี้ยวหางตาก็เจ๊อะกับใครซักคนวิ่งลิบๆ อยู่ในลู่ ....วิ่งมั่งดิวะไงๆก็เอาเหรียญไปให้เจ๊แกก่อนแหละ พอออกตัวไปได้อึดใจกลับได้ยินเสียงฝีเท้ากระชั้นเข้ามา ....เร็วใช้ได้นี่หว่า
ในขณะที่เร่งฝีเท้าขึ้น เสียงวิ่งข้างหลังกลับไล่เข้ามาใกล้กว่าเดิม และใกล้ขึ้นทุกที
ชักอยากเห็นหน้าจ้าวลมกรดคนนี้แล้วแฮะ ...วิ่งเร็วชิบ ได้เหรียญเงินเจ๊แกคงอภัยแหละ ยังไงก็เหรียญเหมือนกัน
แต่เมื่อผมหันกลับไปมองคนๆนั้นเต็มตา....
เขาวิ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็วที่ไม่ใช่ของคน เข้ามาใกล้ในระยะที่แทบจะหายใจรดต้นคอ ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดนั้นจ้องมองผมเขม็งอย่างน่าขนลุก
ยิ่งกว่านั้น
บนลำคอช้ำห้อเลือดของเขา ยังมีเชือกฟั่นคล้องอยู่เลยด้วยซ้ำ
โอ๊ค.....
แล้วขณะที่ผมกำลังตื่นตะลึง ลำคอก็ถูกบ่วงเชือกคล้องลงและกระชากกลับอย่างแรง
ด้วย... เชือกเส้นเดียวกับที่เคยคล้องอยู่บนลำคอโอ๊ค
ผมดิ้นพล่านกับพื้น
พยายามแกะเชือกที่กำลังพรากลมหายใจของผมออก แต่โอ๊คไม่หยุดแค่นั้น เขาลากผมไปกับพื้นด้วยเชือกเส้นนั้นที่มันเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขา ยิ่งผมพยายามแกะมันออกเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ผมรู้สึกเหมือนเลือดมากระจุกอยู่ที่ใบหน้า อึดอัดราวจะขาดใจตาย ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือใบหน้าด้านข้างของเขาที่ไร้ความรู้สึกใดๆ
ผมได้สติขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมืดรอบตัว พอควานมือไปรอบลำคอตัวเองก็พบว่า ...เชือกหายไปแล้ว
ผมสามารถหายใจได้แล้ว
พอสงบจิตสงบใจได้ระดับหนึ่ง ก็เริ่มสอดสายตาไปรอบๆ แสงสลัวน้อยๆช่วยบอกให้รู้ว่านี่เป็นห้องชมรมบาสนั่นเอง และขณะนี้ก็เวลาเย็นย่ำเต็มที
ผมค่อยๆลุกขึ้น ควานมือเดินเข้าหาประตูทางออก และดีใจมากมายที่คลำพบลูกบิด แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่ผมกลับเปิดมันไม่ออก
ลูกบิดยังทำงานได้ดี แต่ประตูกลับปิดตัวแน่นยิ่งกว่าถูกล็อก
“ปังๆๆ เปิดที ปังๆๆๆๆ มีใครอยู่มั้ย เปิดประตูให้ที เฮ้ยย มีคนติดอยู่ เปิดประตูทีปังๆๆๆๆๆ” ทั้งทุบทั้งถีบ แต่มันไม่กระเทือนซักนิด
“เฮ้ยยยยย เปิดดด เปิดเว้ยย ไอ้กอร์ฟ ไอ้แมน เปิดให้กูด้วย ช่วยกูด้วย” ผมตะโกนเสียงสั่นพร่า
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใครจะมาช่วยมึง กูเอามึงมาไว้นี่ ใครก็มาไม่ได้” เสียงหัวเราะแทรกขึ้น มันดังสะท้อนอยู่รอบๆ ตัวผมจนไม่รู้ว่าเริ่มขึ้นจากจุดไหน
“มึงจะเอาไงกะกูห๊ะ มึงจะเอาไง ออกมาไอ้โอ๊ค กูทนไม่ไหวแล้ว ออกมาสิโว้ย” ความหวาดกลัวที่คอยหลอกหลอนมานานเข้าครอบงำผมจนคลุ้มคลั่ง ตะโกนโวยวายใส่สิ่งที่รู้ดีว่ามันไร้ตัวตนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
จะเอายังไงก็บอกมา จะฆ่าจะแกงยังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่ขอร้องที
ช่วยจบความรู้สึกที่มีอยู่ตอนนี้ที
มันทนไม่ไหวแล้ว
**********************
**********************
ในห้องพักนักกีฬา
เรานั่งหารือกันถึงแผนแบบต่างๆ
ถึงเราจะจมอยู่กับหัวข้อนี้เป็นสิบครั้ง แต่ศักดิ์ศรีของแชมป์หลายสมัยก็ไม่สามารถคลอนความกังวลภายในใจพวกเราไปได้นัก
เจอมากับตัว
รู้ดีว่าอีกฝ่ายแรงแค่ไหน เร็วแค่ไหน และแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ถึงยังไงก็มีแต่ต้องชนะเท่านั้น
ต้องชนะ...
************
*************
“มึงจะเอายังไงวะ ออกมาสิโว้ย.... แค้นกูนักใช่มั้ย มาสิมึง มาฆ่ากูนี่ มาฆ่ากูให้ตายห่าเลยแม่งจะได้จบๆ โผล่หัวออกมาสิโว้ย”
“เพี๊ยะ” เสียงดังแหวกอากาศกระทบเนื้อดังถนัดถนี่ บางสิ่งที่มองไม่เห็นฟาดลงบนแก้มผมจนแสบร้อนไปทั้งซีก
“มึงไม่ต้องมาปากดี! กูจะเอามึงให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้ กูไม่ปล่อยมึงไว้หรอก” เสียงก้องๆดุดันนั่นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“งั้นก็ฆ่ากูสิวะ ฆ่ากู”
“อย่างมึง แค่ตายมันน้อยไปไม่สมกับความชั่วของมึง กูจะทำให้มึงตายทั้งเป็น” และในตอนนั้น จู่ๆ ก็มีลูกบาสหลายสิบลูกพุ่งอัดร่างผมจากทุกทิศทาง ผมพยายามปัดป้องมัน แต่ความรุนแรงของแรงกระแทกก็มีเข้ามาไม่หยุด
ในที่สุด ผมก็ทรุดลงไปกองกับพื้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า........ ปั่กๆๆๆ....” ผมคู้ตัวหลบฝูงลูกบาสอยู่บนพื้น ชั่วเสียวนาทีก็ได้เห็นปลายรองเท้ากีฬาก่อนที่มันจะเตะอัดหน้าผมอย่างแรง
ผมหน้าหงายเซหลุนไปตามแรง
ตอนนี้ลูกบาสหายไปหมดแล้ว แทนที่ด้วยเงารองเท้าวูบวาบที่ประเคนใส่ผมไม่หยุด
“อั่ก.... อึก... อึ..อ็อก” เลือดกำเดาเป็นลิ่มไหลทะลักท่วมหน้าผม บางส่วนที่มันไหลย้อนลงในคอทำให้ผมสำลัก
“ไงมึง เป็นไงมึง ดีมั้ย” โอ๊คกระชากเส้นผมของผมจนหน้าหงาย หน้าเราอยู่ใกล้กันจนผมสังเกตเห็นแผ่นหนังที่หลุดหายไปเป็นแผ่นๆ รอบบริเวณคอเขาได้อย่างชัดเจน
“มึงมองอะไร เพราะมึงไง กูถึงต้องเป็นแบบนี้ ไอ้ชาติชั่ว ไอ้ชั่ว ไอ้ชั่ว” โอ๊คผลักผมลงพื้น แล้วขึ้นคล่อมบีบคอผมอย่างเอาเป็นเอาตาย
ผมดิ้นพล่าน พยายามพลิกตัวหนี แต่เรี่ยวแรงกลับหายไปหมด และในขณะที่ผมกำลังขาดลม แรงบีบรัดต่างๆกลับค่อยๆ ถอยออกไป ......โอ๊คยังคงนั่งคล่อมร่างผมไว้
“ชอบนักใช่มั้ยมึง เรื่องอย่างเงี้ยะมึงชอบนักใช่มั้ย ไอ้ขี้ขลาด ...กูจัดให้” โอ๊คก้มลงมากระซิบผม ผมไม่เข้าใจเรื่องที่เขาพูดซักนิด แต่ในนาทีต่อมาผมก็รู้
เขาเหยียดกายขึ้นแล้วใช้มีดปลายแหลมที่ไร้ที่มาเฉือนคอตัวเองอย่างไม่รู้เจ็บปวด เลือดมากมายไหลทะลักเปียกชุ่มทั้งตัวเขาและผม บางส่วนก็พุ่งเป็นสายลงบนหน้าผม ผมเบือนหน้าหนีภาพเหล่านั้นอย่างทนไม่ไหว
“มึงจะหนีทำไม ของชอบไม่ใช่เหรอมึง ชอบโด๊ปนักใช่มั้ย กินสิ กินเข้าไป” โอ๊คบังคับให้ผมหันหน้ากลับมา แล้วพยายามให้ผมกินเลือดของเขา
เขาใช้มืออีกข้างล้วงเข้าไปในแผลแล้วแหกมันออกกว้างจนเลือดทะลักออกมามากกว่าเดิม แล้วพยายามกดหน้าผมลงไปในนั้น
“อย่า อย่า ไม่เอา” ผมแหกปากร้องลั่นอย่าสะอิดสะเอียน กลิ่นเลือดมันคาวคลุ้งไปหมด
“ไม่ชอบเหรอมึง โด๊ปดีนะมึง หรือมึงจะเอานี่” โอ๊คเปลี่ยนเป้าหมายเป็นที่หัวใจของตัวเอง เขาแทงมีดเข้าไปในช่องอกแล้วกรีดยาวก่อนล้วงเอามันออกมา
“นี่ไงมึง กินเข้าไปเลย” เขาเอาหัวใจที่ยังเต้นตุบๆ ยัดลงมาที่ปากผม เค้นคอให้ผมกิน ผมพยายามเบี่ยงหน้าหลบ
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว ปล่อยกูเถอะ โอ๊ค อย่าทำกูเลย” ผมร้องไห้ด้วยความกลัว ให้เขาเอามีดแทงผมให้ตายไปเลยยังดีกว่าที่เขากำลังพยายามทำกับผม
“เหอะ เหอะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ต้องนี่สิมึง เด็ด” จากมีดที่เคยถืออยู่กลับเปลี่ยนเป็นค้อน จากนั้นเขาก็เริ่มใช้มันทุบหัวตัวเอง เสียงมันดังเหมือนมีคนทุบลูกมะพร้าวเลย
เขาทุบหัวตัวเองไม่หยุด เลือดสาดกระจายไปทั่ว
เขาทุบจนกะโหลกของเขาแตกยุบหายไป มันสมองสีเทากระจุกออกมาให้เห็นคาตา จากนั้นโอ๊คก็เริ่มงัดกะโหลกที่แตกยุบของตัวเองออก แล้วก็ใช้มือล้วงควานเอาสมองที่อยู่ข้างในออกมาเต็มกำมือ
“สมองไงมึง โด๊ปชั้นดีเลย กินเลย กินเข้าไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เขาบีบปากผมไว้แล้วยัดเยียดสิ่งที่อยู่ในมือเข้ามา จนเต็มปาก ผมดิ้นหนี พยายามคายมันออกมาแต่ก็ถูกปิดปากไว้แน่น
ผมตาเหลือก น้ำตาไหลพรากเพราะบางส่วนของมันไหลไปติดหลอดลมตอนผมสำลัก หายใจไม่ออกแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
เรี่ยวแรงผมอ่อนลงทุกที ผมหายใจไม่ออก และผมกำลังจะตาย
******************************
*******************************
“พวกมึงจะทำหน้าเฮงซวยไปอีกนานมั้ย เอาอย่างที่กูบอกดิ ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่หว่า”
“จะให้พวกกูเอาศักดิ์ศรีไปแลกกับของต่ำๆ พรรค์นั้นรึไง กูทำไมได้หรอก”
“อ้อ... แล้วไอ้ที่เป็นอยู่นี่มันยังไม่ต่ำพออีกเหรอวะ มันตกต่ำที่สุดแล้วโว้ย ถ้าพี่มึงไม่ออกจากทีมแล้วไปอยู่กะไอ้เอกมันมันก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก เพราะพี่มึงนั่นแหละ ถ้าครั้งนี้เราแพ้... พวกมึงทุกตัวบอกลาวงการนี้ได้เลย ไอ้หัวล้านมันเขี่ยเราทิ้งแล้วดันทีมไอ้เอกขึ้นแทนแน่”
“เราไม่แพ้หรอก... เราเป็นแชมป์นะโว้ย มึง มึง มึง เป็นแชมป์ เราทุกคนเป็นแชมป์ ไม่มีทางแพ้เด็ดขาด”
“ใช่ๆ มึงอ่ะคิดมากไอ้อาร์ต ยังไงเราก็แชมป์เก่า พวกหน้าใหม่มันจะสู้ได้ไง”
“แล้วไอ้หน้าไหนล่ะ ที่แข่งทีไรก็เสมอมันทุกทีน่ะ หึ.... แชมป์? ก็แค่ตอนนี้แหละวะ”
“แต่ก็ใช่ว่าครั้งนี้เราจะแพ้นี่หว่า ทุกคนก็ฟิตมาอย่างดี มันเสร็จเราแน่”
“แล้วมีอะไรประกันได้มั่งล่ะ พวกมึงอย่าลืมว่าครั้งนี้จะแค่เสมอไม่ได้ เสมอ=แพ้ ถ้าเราแพ้ ...เราตาย”
“กับคนอื่น... อย่างดีก็แค่กลับไปเริ่มที่ศูนย์ แต่มึงล่ะอิง มึงอยู่หน้ามันมาตลอดนะ มึงทนได้เหรอ อยู่สูงมาก... ตกไปมันเจ็บนะมึง คิดเอาเองแล้วกันว่ามีอะไรรอมึงอยู่ข้างล่างนั่น”
“ถึงเวลาที่มึงต้องเลือกแล้ว ไอ้อิง ก็แค่คว้าความแน่นอนไว้ก่อนก็แค่นั้น ไม่เห็นต้องคิดยากนี่หว่า กูรับรองว่าหลักประกันของกูคนนี้จะไม่ทำให้พวกมึงผิดหวัง” แล้วมันก็ยัดแก้วน้ำเย็นเฉียบที่มีความหมายมากกว่านั้นใส่มือผม และคนอื่นๆ
ผมจ้องมองมันอยู่อึดใจ ก่อนจะย้อมสนามศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นสีดำด้วยน้ำเพียงแก้วเดียว
**************************
*****************************
**************************
*****************************
ผมมองหน้าคนที่กำลังพรากลมหายใจผมด้วยสายตาพร่าเลือน นึกไปถึงเรื่องราวเก่าๆ ที่ผ่านมาผมทำร้ายเขาไว้มากเหลือเกิน สมควรแล้วที่เขาจะเรียกร้องเอากับผม ผมจะไม่ขอแก้ตัวใดๆอีก มันสมควรแล้วที่ผมต้องชดใช้ให้เขา ก็ดีเหมือนกัน ชดใช้กันให้หมดในชาตินี้จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก
ผมขออโหสิกรรมให้พี่ แล้วตัดใจหลับตาลงอย่างสิ้นหวัง....
“เพี้ยะ.. เป็นเหี้ยไร!”โอ๊คตบผมฉาดใหญ่แล้วตะคอกใส่ผม ควรจะเป็นผมมากกว่าที่ถาม ทั้งที่ผมยอมดีๆแล้ว ยังจะเอาอะไรอีก
“เพิ่งมาสำนึกเหรอมึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่สายไปหน่อยเหรอไง”
“แล้วมึงจะให้กูทำไง ฮึก.... กูก็ยอมมึงหมดแล้ว จะเอายังไงอีก”
“ที่กูต้องมาวนเวียนไปไหนไม่ได้ก็เพราะมึง ถ้ามึงสำนึกจริงมึงต้องมาอยู่แทนกู .....มึงต้องแขวนคอตายเหมือนกู” ผมมองบ่วงเชือกที่โรยตัวลงมาจากพัดลมเพดานอย่างช้าๆ ภาพตรงหน้ามันเหมือนกับว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันย้อนกลับมาอีกครั้ง
ห้องชมรม พัดลมเพดาน บ่วงเชือก....
จะขาดก็เพียงร่างไร้วิญญาณของพี่ที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนนั้น และตอนนี้ผมก็กำลังจะขึ้นไปอยู่บนนั้นแทนเขา
ผมลากเก้าอี้พลาสติกมารอง และก้าวขึ้นไปบนนั้น สอดคอตัวเองเข้าไปในบ่วงเชือกอย่างช้าๆ
และก่อนที่จะทิ้งตัวลงมาก็ต้องตกใจกับเสียงตวาดลั่นที่ดังขึ้นมุมห้อง
“พอซะที นายจะบ้าไปถึงไหน” เมื่อผมหันไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า ทั้งที่โอ๊คยืนอยู่ตรงหน้าแต่เมื่อกี้ผมกลับได้ยินเสียงเขาอีกทาง โอ๊คเองก็แปลกไป เขาตะคอกใส่เสียงของตัวเองในทิศทางที่ไม่มีอะไรอยู่เลย
“หุบปาก มึงอย่าเสือก กูจะฆ่ามัน กูจะเอามันมาแทนกู” แล้วโอ๊คก็เตะเก้าอี้ที่ผมยืนอยู่จนกระเด็น น้ำหนักตัวผมถ่วงลงสู่พื้นทันที
เชือกเส้นหนาตึงกระตุกคอผมแน่นจนบาดเป็นแผล สองขาของผมตะกุยอากาศดิ้นรน ในขณะที่มือเหนี่ยวเชือกไว้ ทั้งที่เตรียมใจแล้ว แต่ผมก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้ ร่างกายผมสั่นเทิ้ม สมองเองก็กรีดร้องอย่างต้องการออกซิเจน แขนขาผมเริ่มตกข้างตัวอย่างอ่อนเปลี้ย โอ๊คยืนมองผมอย่างไม่วางตา ....ผมกำลังจะตายจริงๆแล้ว
แต่ก่อนที่มันจะไปถึงจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับได้ จู่ๆเชือกเส้นนั้นก็ขาดลง
“มึงจะมาขวางกูทำไม” อีกครั้งแล้ว... โอ๊คเกรียวกราดขึ้น แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม
ผมที่เพิ่งหล่นจากเงามรณะ และกำลังหอบหายใจเอาเป็นเอาตายอยู่บนพื้นได้สังเกตเห็นกลุ่มควันหนาที่ก่อตัวอยู่มุมห้อง
“พอทีเถอะอิง ทนดูมานานแล้ว ทำไมนายถึงไม่เลิกบ้าซะที” ใครคนหนึ่งก้าวผ่านกลุ่มควันออกมา ก้าวผ่านโอ๊คมายืนอยู่ตรงหน้าผมชัดๆ
โอ๊ค!??.....
โอ๊ค!??.....
ทำไม.... โอ๊คสองคน???
โอ๊คคนที่สองนั่งลงข้างผม และถามผมด้วยสายตาผิดหวัง
“ทำไมต้องคิดสั้นด้วยอิง” ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมล่ะ... ก็นาย..เองไม่ใช่เหรอ...ที่อยากให้เราตาย”
“นายก็เป็นแบบนี้ตลอด เอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยนึกถึงใจคนอื่น ถ้าไม่พอใจก็ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น คิดมั่งรึเปล่าว่าพ่อกับแม่จะเป็นยังไง”
“แต่พี่เป็นคนพูดเองนี่ ว่า...”
“นายมัวมองอะไรอยู่กันแน่... ทั้งที่ฉันอยู่กับนายเสมอ แต่นายก็ไม่เคยมองมาที่ฉันเลย มัวแต่ไปยึดอยู่กับสิ่งบ้าๆที่สร้างขึ้นมาเอง แล้วทึกทักเอาว่าเป็นจริง เอาแต่คอยทำร้ายตัวเองด้วยสิ่งที่จิตสำนึกสร้างขึ้นจนฉันแทรกเข้าไปไม่ได้”
“หมายความว่าไง ที่ผ่านมาตลอดนั่น....” ล่ะ... คืออะไร
“ถามจริงเถอะ... อะไรทำให้นายมองฉันเป็นแบบนั้น” ผมมองหน้าเจ้าของประโยคนั้นอย่างงวยงง ทำไมนายพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย นายต้องแค้นเรา อยากให้เราตายสิ ....ก็เราเป็นคนทำให้นายตายนี่นา
“มึง! ไปให้พ้น อย่าเข้ามายุ่ง มันทำให้มึงเป็นแบบนี้ กูรู้... จริงๆมึงก็อยากให้มันตายใช่มั้ยล่ะ กูจะฆ่ามันเอง มึง! ....มานี่” โอ๊คคนแรกชี้หน้าคนที่สองแล้วเข้ามาลากผมออกมา ผมพยายามขืนตัว แต่ไม่ได้ผล เขาขึ้นมาทับผมทั้งตัวและบีบคอที่เต็มไปด้วยรอยช้ำผม
ผมพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือโอ๊คอีกคน แต่เขาก็ส่ายหน้าอย่างลำบากใจ
“...ฉันทำไม่ได้....... สิ่งที่จิตใจนายสร้างขึ้นมา ก็มีแต่นายเท่านั้นที่จะทำให้มันหายไป เลิกโทษตัวเองได้แล้วอิง ก่อนที่มันจะสาย....”
โทษตัวเอง...
ที่ผ่านมาผมเอาแต่โทษตัวเองจนถึงกับสร้างตัวตนของโอ๊คขึ้นมาเองงั้นเหรอ
ถ้างั้นที่โอ๊คคอยทำร้ายผม ก็เป็นจิตใต้สำนึกว่าตัวเองสมควรได้รับโทษงั้นเหรอ
ถ้าทั้งหมดผมคิดไปเอง แล้วใจจริงของโอ๊คล่ะ.....
“โอ๊ค.....พี่...เกลียดผม....มั้ย....?..” ผมพยายามเปล่งเสียงถามผ่านลมหายใจขาดห้วงของตัวเอง
“นายนี่! ยังจะถามอีก” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่คำตอบนั้นมันก็มากับรอยยิ้ม ....แค่นั้นก็พอแล้ว
ที่ผ่านมา ผมไม่เคยทำตัวเป็นน้องชายที่ดีเลยสักครั้ง ผมเห็นแก่ตัว และใจแคบคิดอยู่ตลอดเวลาว่าพี่จะมาแย่งที่ของผม จนในที่สุดผมก็เผลอทำเรื่องโง่ๆที่ไม่สามารถแก้ไขได้ลงไป ถึงหลังจากนั้นผมจะสำนึกผิดมากมายแต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย เพราะถึงจะคิดแค่ไหน... คนที่ตายก็ไม่ฟื้นขึ้นมา น้องเลวๆอย่างนี้ พี่ยังยกโทษให้อีกเหรอครับ ถ้าอย่างนั้น....
ถ้าอย่างนั้น ผมขอใช้ความหมายในสายสัมพันธ์ของเรายื้อชีวิตของผมไว้อีกครั้งได้มั้ย ผมอยากขอโอกาสอีกครั้ง....
คนบนร่างยังคงเค้นลำคอผมไม่หยุด ผมเองก็แย่เต็มที แต่ต้องทำอะไรซักอย่าง ในสติที่จวนเจียนรอมร่อ ผมพยายามยกแขนขึ้นเหนี่ยวคออีกฝ่าย พยายามให้เขาสบตาแล้วตะโกนใส่ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย....
“ปล่อยผม.... ผมไม่ได้ฆ่าพี่...ผมไม่ผิด.....ถึงผมจะทำให้พี่เสียใจ.....แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำพี่....พี่ฆ่าตัวตายของพี่เอง”
“.......อโหสิกรรมต่อกันเถอะนะพี่...” ผมร้องขออโหสิกรรม แต่ในคำขออโหสิกรรมนั้น มันไม่มีความสิ้นหวังเหมือนอย่างในตอนแรกอีกแล้ว
เหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของผม โอ๊คหยุดมือแล้วนิ่งอึ้ง
และผมก็เฝ้ามองเขาจนเขาเลือนหายไปจากตรงหน้า
“พี่ไม่เกลียดผมแน่นะ” ผมค่อยๆยันตัวขึ้นนั่งแล้วหันไปมองโอ๊คตัวจริง และอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
“อื้อ ไม่หรอก... ใครๆก็มีสิทธิ์ผิดพลาดกันได้ แต่ฉันโกรธนายมากกว่า โกรธโคตรๆแทบอยากจะฆ่าให้ตายตั้งหลายครั้ง”
“อ้าว... ไหงงั้นล่ะ” ตกลงกรูจะรอดมั้ยเนี่ย....
“ก็นายน่ะ.... แย่งบาสที่ฉันรักไปจนสำเร็จ แต่กลับทิ้งขว้างไม่เห็นค่าซะงั้น มันน่าแค้นจริงๆเลย”
“โหย.. ใครจะไปมีอารมณ์เล่น แค่รู้สึกผิดที่ทำให้พี่ต้องฆ่าตัวตาย ผมก็จะบ้าอยู่แล้ว”
“ที่ฉันตายก็ไม่ใช่ความผิดนาย ...ฉันอ่อนแอเอง เพราะมัวโทษตัวเองอยู่นั่น เลยสร้างของพรรค์นั้นขึ้นมา ...สุดท้ายตัวเองก็เกือบแย่ จำไว้... ถ้าทำผิดก็ต้องแก้....ถึงแก้ไม่ได้ก็คอยระวังไม่ให้ผิดอีก แต่อย่าโทษตัวเอง”
“ผมทำอะไรกับพี่ไว้ตั้งเยอะ พี่.... ไม่โกรธแน่นะ”
“เจ้าบ้า.. เราเป็นพี่น้องกันนะ ไม่มีอะไรที่ฉันให้นายไม่ได้หรอก”
“โอ๊ค... ฮึก.... ขอโทษนะ... ขอโทษ” พอโล่งใจได้ที่ผมก็ปล่อยโฮไม่อายฟ้าดินเลย มันนานมากเลยนะ กับความรู้สึกผิดที่ผมต้องแบกไว้ พอมาได้ยินว่าเขาอภัยให้ผม ไม่โกรธผม มันเหมือนอะไรๆ ที่เคยทับผมไว้มันหายไปหมดโอ๊คเป็นคนดีจริงๆ เขาอโหสิให้ผมทุกอย่าง อย่างที่ถ้าเป็นผมเองผมก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างเขารึเปล่า
“ผมขอโทษนะพี่....ผมไม่ได้อยากให้ทีมพี่โดนยุบจริงๆ.....ผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเป็นเงื่อนไขของอาจารย์....ผมไม่รู้ว่าพี่จริงจังกับมันมากขนาดนั้น....ถ้ารู้ผมคงไม่ทำ...ผมนึกว่าที่พี่ฟอร์มทีมมาแข่งกับผมเพราะพี่อิจฉาที่พ่อรักผม...ขอโทษ....ผมขอโทษ”
“เจ้าบ้า.... นายมันบ้าจริงๆ” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ผมก็รู้สึกได้ถึงอ้อมกอดของเขา
**************
***************
“ปรี๊ดดดดดดดดดดดด หมดเวลา... ทีมXXX เป็นฝ่ายชนะ...”
“เฮ เฮ เฮ.....” หลังจากนั้น ผมก็กลับไปเล่นบาสอีกครั้ง และเข้ามหาลัยตามที่พ่อตั้งใจ
ส่วนกอร์ฟเพื่อนผม ก็ยังติดกันอยู่ เราต่างมีทางเดินเป็นของตัวเอง ตอนนี้คงไม่มีใครเรียกผมว่าเป็นเด็กโข่งอีกแล้วล่ะ มีแต่เอสมือทองของบาสทีมชาติ ใช่มั้ยครับพี่....
ทุกวันนี้ก็ยังคงไม่มีอะไรแตกต่างจากวันวาน พ่อยังคงเข้มงวดอยู่เสมอ ตัวผมก็ยังคงมุ่งสู่เส้นทางนี้ต่อไป
ส่วนพี่....
นับจากวันนั้น
พี่ก็ไม่เคยห่างผมเลยแม้แต่ในตอนนี้ เราก็ยังอยู่ในสนามเดียวกัน .....ในทีมเดียวกัน
ผมไม่ได้เล่นผิดกติกานะ
ก็แค่.... กรรมการเขามองไม่เห็นพี่เองนี่นา
จริงมั้ยครับพี่....
End.
ความคิดเห็น