ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กุ๊กกู๋น้อยค่อยๆ สยอง [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #1 : Junk Mail

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 52


    กุ๊กกู๋น้อยค่อยๆ สยอง ..ตอนJunk Mail..

    ..
    ถึงคนที่บังเอิญได้รับเมล์นี้…
    คนที่ยังหายใจได้อย่างสุขสบายอยู่ในโลกใบเน่าๆ ที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี ข่มเหง เอารัดเอาเปรียบ และรังแกกันอย่างอิสระเสรี…

    สวัสดีครับ..
    ผมก็แค่เป็นคนๆ นึง ที่คิดฆ่าตัวตาย เลยทำจังค์เมล์นี้ขึ้นเพื่อระรานโลกนี้เป็นครั้งสุดท้ายก็เท่านั้นเอง ผมส่งมันออกไปอย่างไร้จุดหมาย และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่เผอิญได้รับมัน

    ก่อนที่ผมจะฆ่าตัวตาย ผมอยากจะระบายให้ใครสักคนได้รับรู้ความรู้สึกของคนที่ไม่เหลือทางให้เดิน

    ผมเคยคิดว่าพวกคนที่คิดสั้นฆ่าตัวตายนี่มันโง่ แล้วก็ขี้ขลาดจริงๆ ไม่รู้มันจะเกิดมาเป็นคนให้เสียชาติเกิดทำไม
    แต่ตอนนี้….. ผมกำลังจะเป็นหนึ่งในบรรดาคนพวกนั้น
    ผมไม่คิดโทษใคร หรืออะไรที่บีบให้ผมต้องเลือกทางนี้ ..เพราะผมเป็นคนเลือกที่จะยอมแพ้เอง

    ชีวิตจนๆ ของผมอาศัยอยู่ในบ้านเช่าโทรมๆ ท้ายสลัม..***.. กับแม่และลูกสาววัย 3 ขวบ ส่วนเมียผม เธอหนีไปเมื่อรู้ว่าผมติดหนี้ 5 แสน จากการเป็นคนค้ำประกันเงินกู้ให้เพื่อน
    ..ใครจะรู้ว่าคนที่คบกันมานาน จะทำกันได้ลงคอ..
    ไอ้ชั่วนั่นมันชิ่งรถหนีไป …มันฆ่าผมทั้งเป็น

    ผมไม่ได้พูดเกินจริง
    ผมถูกเจ้าหนี้ตามทวงเงินไม่เว้นวัน เจอหน้ามันบ่อยกว่ามื้ออาหารที่ผมได้กินในแต่ละวันอีก

    ..5 แสน หลายคนอาจมองเห็นเป็น ..เรื่องเท่านี้ แต่สำหรับคนที่มันไม่มีจริงๆ แค่เงินบาทก็ยังยากที่จะมีไว้ครอบครอง...

    พอเห็นว่าทวงไปก็ไร้ประโยชน์ หนักๆ เข้า มันก็ขู่จะฆ่ามั่งล่ะ.. บังคับให้ผมขายอวัยวะมั่งล่ะ..
    แม่ผมกอดลูกสาวร้องไห้ทุกวัน โชคดีที่บริษัทที่ผมไปสมัครไว้ รับผมเข้าทำงานก่อนที่ผมจะตัดสินใจทำอย่างที่มันแนะนำจริงๆ

    บริษัทธุรกิจโฆษณาขนาดใหญ่แห่งนั้น เป็นความหวังสุดท้ายที่จะกู้ชีวิตปกติสุขอย่างคนธรรมดาเขา ให้กลับคืนมา ไม่ต้องถูกขู่ฆ่าเป็นรายวันแบบนี้
    ผมตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ หวังปลดภาระหนี้สินให้เร็วที่สุด แต่ผ่านไปยังไม่ทันสองเดือนมันก็จบลง..

    วันนี้ผมถูกไล่ออกจากงาน..
    โปรเจคที่หน่วยผมรับผิดชอบอยู่มีปัญหาเรื่องการตรวจสอบ มันเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่พอที่จะทำให้หัวหน้าหน่วยผมเด้งออกจากเก้าอี้ได้ง่ายๆ มันช่วยไม่ได้ที่เขาเลือกจะหาตัวตายตัวแทนมากกว่ายอมกอดความเสี่ยงไว้กับตัวเอง
    เพียงแต่ว่า…เหยื่อบูชายันต์มักถูกเลือกให้เป็นลูกแกะที่ไม่มีหนทางต่อสู้เพื่อตัวเอง ผมคือผู้โชคร้ายที่ได้แสดงเป็นลูกแกะตัวนั้น..
    "คุณไม่เหมือนผม คุณยังหนุ่มยังแน่น จะเริ่มต้นอะไรใหม่ก็ง่าย ผมน่ะปูนนี้แล้วจะทำอะไรได้ ไหนจะลูกผม เมียผมอีก ..เป็นคุณน่ะดีแล้ว"
    คำพูดสุดท้ายของหัวหน้าตอนที่เรียกผมเข้าไปรับซองขาว มันยังก้องอยู่ในหัวตลอดทางที่ผมเดินกลับบ้าน
    ผมท้อใจที่อนาคตการงานถูกตัดลงอย่างไม่เป็นธรรม อยากกลับไปบ้านหวังซบตักแม่ขอพักฟื้นฟูกำลังใจชั่วคราว ก่อนออกไปต่อสู้กับความอยุติธรรมที่รุมเร้าสังคมภายนอกอีกครั้ง


    ซองขาวที่กำไว้ในมือ..
    อย่างน้อยมันก็ยังช่วยต่อน้ำ ต่อข้าว ให้แม่กับลูกผมไปได้อีกหลายมื้อ
    ตัวผมจะเหนื่อยจะอดไม่เป็นไร ขอแค่ให้แม่ผมกับลูกไม่อดอยาก มีข้าวกินครบมื้อ ไม่ป่วยไข้ก็พอ
    ..ถ้าอับจนไร้หนทางจนถึงที่สุด ต่อให้ต้องขายเลือด ขายเครื่องในผมก็จะทำเพื่อให้แม่มีกิน..

    แต่พอผมกลับไปถึง
    บ้านเช่าเก่าๆ โทรมๆ ของผมก็แปรสภาพกลายเป็น ..ซากตอตะโก ไหม้ดำ..
    ตอนนั้นผมได้ยินเสียงแก้วหูตัวเองลั่น แล้วก็รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก แต่ก็พยายามแหวกฝูงคนเข้าไป แต่ไปไม่ถึงไหนก็ถูกดับเพลิงดึงออกมา
    ผมพยายามสะบัดตัวให้หลุด แหกปากร้องตะโกนเหมือนคนบ้า จนดับเพลิงอีกสองคนต้องเข้ามาช่วยกันล็อคผมไว้ ผมมองสภาพบ้านที่ไม่เหลือเค้าเดิมอย่างไม่อยากเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้น

    แล้วผมก็ลงไปกองกับพื้นอย่างหมดแรงตอนที่เห็นดับเพลิงเข้าไปช่วยกันงัดซากดำๆ หงิกงอ ที่ถูกมัดติดเสาไว้
    ผมทิ้งตัวนอนกับพื้นแล้วอ้วกออกมา กลิ่นเนื้อไหม้กระตุ้นให้ผมอ้วกไม่หยุด รู้สึกเหมือนมีดับเพลิงคนนึงเข้ามาพูดอะไรกับผม แต่ผมไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นหูผมอื้อไปหมด

    ผมร้องไห้ไม่หยุด ร้องตะโกนเหมือนคนเสียสติ นั่นเป็นน้ำตาครั้งแรกในชีวิตลูกผู้ชายของผมที่เคยหลั่งออกมา

    พวกมันไม่ใช่คน..
    เป็นสัตว์นรกมาเกิด ขนาดเด็กกับคนแก่มันยังทำได้ลงคอ แค่เงินไม่กี่แสน ถึงกับต้องฆ่าต้องแกงกัน หัวใจมันทำด้วยอะไร
    มันจับแม่แก่ๆ ของผมกับเด็ก 3 ขวบ มัดไว้กับเสากลางบ้าน ..แล้วจุดไฟเผาทั้งเป็น

    ..คนเป็นหนี้น่ะมันผม ทำไมต้องไปทำกับแม่กับลูกผมด้วย..

    มีตำรวจเข้ามาสอบปากคำผมตามมารยาท
    ผมรู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์ ยังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว พวกมันเป็นผู้มีอิทธิพลย่านนี้ แม้แต่พวกตำรวจเองก็ยังต้องพึ่งพาพวกมัน
    ..ความยุติธรรมไม่ได้มีไว้เพื่อคนจนหรอก..

    ผมยืนดูสิ่งที่เคยเป็นบ้านครั้งสุดท้าย ก่อนกำซองกระดาษในมือและออกเดินอย่างไร้จุดหมาย
    ผมเดินไปเรื่อยๆ จำไม่ได้ว่าเดินมาไกลเท่าไหร่ รู้แต่ว่าผมไม่อยากหยุดเดิน ผมจะหยุดเดินไม่ได้เด็ดขาด ผมอยากโดดลงไปให้รถชนหลายครั้ง ..แต่ผมก็ยังไม่หยุดเดิน

    ผมรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่น ผมกดรับสาย..
    พวกมันโทรมาขู่ บอกว่าเรื่องวันนี้เป็นการเตือนผม ภายใน 3 วัน ถ้าหาเงินมาคืนไม่ได้มันจะฆ่าผม ผมไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไปเลย ..นอกจากด่ามัน
    ผมร้องไห้ไปก็ด่ามันไปด้วย แม้โทรศัพท์จะตัดสายไปแล้วก็เหอะ แต่ผมก็ยังด่ามันไม่หยุด

    ..จะฆ่าเหรอ เอาสิเอาเลย ผมไม่มีอะไรเหลือจะให้เสียได้อีกแล้ว ตายๆ ไปก็ไม่เป็นไร เพราะผมก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเเล้วด้วย แม่ผมก็ตาย ลูกผมก็ตาย ..ถูกมันฆ่าตาย
    แต่ทำไมผมต้องยอมให้มันฆ่าด้วยล่ะ สู้ฆ่าตัวตายเองดีกว่า
    อย่างน้อยผมก็หยิบยื่นความตายให้ผมด้วยตัวของผมเอง

    ผมขึ้นมานั่งพักบนดาดฟ้าของตึกร้าง 6 ชั้นที่อยู่แถวนั้น สักพักก็เขียนเมล์นี้ขึ้น
    ผมเขียนเมล์นี้แล้วส่งมันทางโทรศัพท์มือถือ ทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวที่ผมยังมีเหลืออยู่
    ส่งมันไปมั่วๆ เท่าที่สมองของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย ..จะนึกออก

    ก็อย่างว่า.. มันเป็นแค่ความเอาแต่ใจของผมที่อยากจะระรานโลกเน่าๆ นี่เป็นครั้งสุดท้าย
    ไม่หวังหรอกว่าจะมีใครมองเห็นชีวิตที่กำลังจะดับลงนี่
    ไม่หวังหรอกว่าจะมีใครตอบกลับมา
    เพราะมันก็แค่ …Junk Mail



    RE: Junk Mail..

    ถึงคุณคนนั้นที่กำลังคิดจะฆ่าตัวตาย..
    ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเมล์ฉบับนั้น และไม่สามารถทนนิ่งเฉยดูดายโดยไม่ทำอะไรเลยได้

    ความรู้สึกของคุณตอนที่เขียนเมล์ฉบับนั้น… คงสุดที่จะบรรยาย
    และผมก็รู้ว่า คุณคงไม่มีอารมณ์ที่จะรับฟังคำโต้แย้งในสิ่งที่คุณตัดสินใจไปแล้ว ผมเองก็ไม่คิดจะทำแบบนั้นเหมือนกัน
    ..ไม่มีใครมีสิทธิกะเกณฑ์ชีวิตของใครได้ ..แม้แต่ตัวผมเอง..

    แต่ว่าก่อนที่คุณจะทำอะไรลงไป ผมอยากให้คุณอ่านเมล์ฉบับนี้จนจบ อย่างน้อยผมก็อยากให้ความรู้สึกของผมได้ส่งผ่านไปถึงคุณ และผมก็อยากให้มันอยู่เป็นเพื่อนคุณจนถึงนาทีสุดท้าย
    ..หากมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้

    …ผมรู้ว่ามันคงตลกแน่ๆ ถ้าผมจะบอกว่า…
    …เมล์ของคุณ ..คนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย ถูกส่งมายังคนที่กำลังจะตายจริงๆ…

    ผมเป็นมะเร็งในกระดูกครับ.. เป็นโรคที่ไม่ค่อยมีใครเขาเป็นกันเท่าไหร่
    พยายามยื้อยุดกันอยู่หลายครั้งซึ่งมันก็เปล่าประโยชน์ในท้ายที่สุด ตอนนี้ผมพักรักษาตัวอยู่ที่ร.พ.ศิริราช พูดกันตามจริงก็คือ… รอวาระสุดท้ายนั่นแหละครับ
    ถึงแม้ผมจะรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย แต่ผมก็ไม่เคยคิดฆ่าตัวตายหรอกครับ ผมมีแม่ มีพี่ และน้องสาวที่รักและเป็นห่วงผม คอยดูแลอยู่เคียงข้างผมตลอดมา มันน่าเสียดายที่จะทำลายช่วงเวลาเหล่านี้ลงด้วยมือของตัวเอง

    ..คุณอาจจะนึกค้านอยู่ในใจ.. ผมยังมีแม่ ยังมีพี่ ยังมีน้องสาวคอยให้กำลังใจ ส่วนคุณสิ.. ไม่เหลือใครเลย

    ผมรู้สึกเสียใจกับคุณจริงๆ ที่ต้องสูญเสียคนสำคัญไปกับเรื่องโหดร้าย
    แต่เชื่อเถอะครับ.. กับสิ่งที่ผมได้ผ่านมา มันทรมานไม่ยิ่งหย่อนกว่าที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เลย

    …คุณเคยไหมครับ
    คนที่เคยได้ทำในสิ่งที่รัก ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ คนที่เคยมีพลังที่จะคว้าโลกที่ต้องการมาไว้ในมือได้ คนๆนั้น ที่ในตอนนี้ทำได้แค่มองดูตัวเองไร้เรี่ยวแรงลงทุกวัน จากที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกำลังของตัวเอง
    จนถึงตอนนี้.. แค่จะลุกขึ้นนั่งก็ยังต้องพึ่งแรงคนอื่น…

    …คุณเคยไหมครับ
    คนที่เคยอยู่ท่ามกลางเสียงหัวเราะ อยู่ท่ามกลางเพื่อนฝูง แต่ตอนนี้ต้องผูกตัวเองติดกับเตียงสีขาว เฝ้ามองดูคนรอบข้างที่ค่อยๆ ห่างหายไปเหมือนกับลมหายใจของผมที่มันเบาบางลงเรื่อยๆ
    โลกที่เคยกว้างใหญ่ของผมค่อยๆ ถูกบีบให้แคบลงจนเหลือเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ จนในที่สุด มันก็เหลือเพียงแค่เท่าที่ผมจะสามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างในห้องเท่านั้น

    …ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนแมลงเล็กๆ ที่บินวนไปติดในใยแมงมุม ได้แต่ติดแหง็กนอนรอความตายอยู่อย่างนั้น…

    …ในตอนกลางคืน ก่อนที่คุณจะนอน.. คุณทำอะไรหรือครับ
    ผมขอเดานะ.. คุณคงนอนตาแข็งกังวลถึงวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง จะทำอะไรต่อไป.. จะไปหาเงินมาจากไหน.. ทำยังไงถึงจะใช้หนี้หมด… หรือเปล่าครับ

    แต่ผมน่ะตรงข้าม…
    ผมชอบนอนฟังเสียงลมหายใจของตัวเอง
    …เพื่อให้แน่ใจว่า.. ผมยังมีชีวิตอยู่…

    …คุณคงไม่เคยใช่ไหมครับ
    ที่จะต้องเผชิญกับความกลัวทุกครั้งที่หลับตาลง ในทุกๆ คืนผมมักคอยถามตัวเอง
    ...ถ้านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะมีโอกาสได้ลืมตาล่ะ?…
    …ถ้าผมหลับตาลง แล้วลมหายใจหยุดอยู่แค่นี้ล่ะ?…
    ไม่มีความแน่นอนอะไรเลยที่จะช่วยยืนยันว่าผมจะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกในวันรุ่งขึ้น

    ในตอนนี้.. แม้แต่เสียงลมหายใจของตัวเอง ผมก็ยังต้องเงี่ยหูฟัง…

    ผมจะไม่พูดถึงความทรมานทางร่างกายที่ได้รับจากโรคร้ายที่รุมเร้า หรือสารพัดวิธีการรักษา เพราะผลกระทบที่ผมได้รับทางจิตใจมันเจ็บปวดทุกข์ทนยาวนานกว่ามาก

    ผมขอสารภาพว่า..อันที่จริง ผมก็เคยคิดนะครับ… ว่าทำให้มันจบลงดีมั้ย?
    หยุดความไม่แน่นอนทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ..ทำให้มันหายไปให้หมด

    …บางที คำตอบในบางเรื่องมันอาจจะอยู่ที่จุดเริ่มต้น ของเรื่องทั้งหมดก็ได้นะครับ…

    อาจเป็นเพราะผมต้องเผชิญกับความรู้สึกนี้อยู่ทุกวัน ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นก็ได้นะครับ เลยทำให้ใจผมเริ่มชาชิน และเริ่มสงบลง พอสติมา ปัญญาก็คล้องแขนตามมาด้วย

    …สิ่งที่ผมคิดได้ก็คือ.. คนเราทุกคนเกิดมาต้องตายครับ…

    สำหรับผม.. คนที่เหมือนความตายมาเคาะประตูห้อง ไม่สิ.. บางทีอาจมายืนอยู่หน้าเตียงแล้วก็ได้ ในเมื่อเหลือเวลาสั้นๆ แค่นี้ ผมขอใช้สิทธิของการมีชีวิตอยู่ให้คุ้มค่าที่สุดกับคนที่ผมรัก ..และจากไปอย่างสงบดีกว่า

    …คนที่แทบไม่เหลือแรงที่จะหายใจอย่างผม …ยังไม่กลัวตาย
    แล้วคุณล่ะ.. คนที่ยังมีลมหายใจที่มั่นคง ทำไมถึงกลัวที่จะมีชีวิตอยู่…

    เป็นความจริงที่ว่าครอบครัวที่อยู่เคียงข้างคุณจากโลกนี้ไปหมดแล้ว คุณไม่เหลือใครไว้ข้างหลังให้ต้องพะวงถึงอีก แต่คุณอย่าลืมสิครับว่าคุณยังมีชีวิตอยู่..
    และชีวิตของคนเรามันก็ไม่ได้ยืนยาวอะไรนักหรอกครับ เป็นเพียงแค่ลมพัดเท่านั้น…
    ลมเบ่งของแม่ตอนคลอดเราออกมา... และลมที่โหมพัดเปลวไฟยามที่เราอยู่บนเชิงตะกอน…

    ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกับจุดเล็กๆ ที่ต้องใช้กล้องจุลทัศน์ขยาย เมื่อเทียบกับจักรภพอันยิ่งใหญ่ มันไม่ได้สำคัญไปกว่านี้หรอกครับ ..แล้วคุณจะรีบร้อนตายไปทำไม

    …ถ้าผมสามารถขอพรศักดิ์สิทธิ์ได้หนึ่งข้อล่ะก็… สิ่งที่ผมอยากจะขอมากที่สุดก็คือ.. เวลาครับ…
    ผมอยากมีเวลาอยู่กับคนที่ผมรักให้นานที่สุด ผมจะไม่ขอให้ตัวเองหายป่วยจากมะเร็ง เพราะถึงแม้จะหายจากโรคนี้ ผมก็อาจจะเป็นโรคนั้น โรคโน้นแทน หรืออาจจะประสบอุบัติเหตุลาลับโลกนี้ไปอย่างกระทันหันก็ได้

    แต่พรศักดิ์สิทธิ์ที่ว่ามันคงเป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ของคนใกล้ตายเท่านั้นแหละครับ
    ดังนั้น.. ผมจึงอยากจะเป็นกำลังให้กับคนที่มีโอกาสมีชีวิตอยู่มากกว่าผม
    ผมมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่ง เป็นเงินที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของผมเอง ถึงมันไม่มากมายนัก แต่ก็พอดูสำหรับคนอายุ 24 จะหาได้ ผมหวังว่ามันจะช่วยผ่อนผันภาระที่โถมทับคุณอยู่ให้เบาบางลงบ้าง

    08X-XXX-XXXX พี่ชายผม.. เขาชื่อกฤษณะ เป็นผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์สาขาเทเวศน์ครับ
    ผมหวังว่าคุณจะไม่คิดมาก สำหรับคนที่กำลังจะตาย …เงินมันไม่สำคัญอะไรเลย

    มีคนอีกหลายล้านคนบนโลกนี้ที่ร้องขอโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ ผมจะดีใจที่สุดถ้าโอกาสที่ผมสร้างขึ้นจะช่วยต่อชีวิตให้ใครสักคนได้
    คุณจะไม่ลองอยู่เพื่อตัวเองดูหรือครับ แล้วถ้าคุณไม่เข้าใจจริงๆ ว่าจะอยู่ไปทำไม ก็ลองมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วค้นหามันดูสิครับ โลกนี้มันกว้างนะครับ มันต้องอยูที่ไหนสักแห่งแน่ๆ
    คนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้นที่จะพบกับความเปลี่ยนแปลง ถ้าคุณตั้งมั่นอยู่ในความดี ผมเชื่อว่า.. ความดีนั้นจะพาคุณไปพบกับความเปลี่ยนแปลงที่ดีแน่นอน

    ผมหวังที่สุดว่าเมล์ฉบับนี้จะเปลี่ยนแปลงความตั้งใจเดิมของคุณ แต่ถ้าคุณยังคงเอาใจไปใส่ไว้ในอดีตที่ผ่านมาโดยไม่คิดจะก้าวไปข้างหน้า ..เมล์ฉบับนี้ก็คงเป็นเพียง Junk Mail ไปจริงๆ

    …ผมดีใจที่ได้รับเมล์ฉบับนั้นของคุณ บางที.. การที่ผมยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ อาจเป็นเพราะเพื่อรอคอยเมล์ฉบับนั้นของคุณก็ได้ แล้วอย่างนี้มันจะไม่มีความหมายกับคุณบ้างเลยหรือ…


    RE:RE:Junk Mail..

    นั่นเป็นเมล์เพียงฉบับเดียวที่เขียนตอบผมกลับมา เมล์...ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้
    ผมจำได้ดีถึงในตอนนั้น ตอนที่ผมตะบี้ตะบันกดส่งเมล์ออกไปอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด จนความเจ็บปวดจากปลายนิ้วที่บวมพองเรียกความสนใจจากผมได้สำเร็จ
    ถึงได้รู่ว่า... ตัวเองทำเรื่องบ้าๆ โง่ๆ ขึ้นอีกแล้ว

    ...จะมีใคร สนใจใครได้มากกว่าตัวเอง ผมนี่โง่จริงๆ ...

    และในตอนที่ผมกำลังจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งเพื่อระบายอารมณ์ ..สัญญานเมล์ก็ดังขึ้น มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ส่งเมล์ตอบผมกลับมา
    ผมอ่านเมล์ของเขาอย่างตั้งใจ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครตอบกลับมาจริงๆ และคิดว่าไหนๆ ก็จะตายแล้วเสียเวลาอีกนิดก็ไม่เห็นเป็นไร

    แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างนั้น...
    เรื่องราวต่างๆ ที่เขาบอกเล่าผ่านตัวหนังสือ สิ่งที่อยู่ในเมล์ที่ Re กลับมาสร้างความรู้สึกหลากหลายแก่ผม

    สุดท้าย.. พอผมอ่านเมล์นั้นจบ ผมก็ลุกขึ้นแล้วเดินกลับลงไปอย่างเงียบๆ สิ่งที่ทำให้ผมล้มเลิกความตั้งใจที่มั่นคงของผม ไม่ใช่เพราะผมมองเห็นทางรอดของตัวเอง แต่เป็นเพราะคำถามของเขาที่ติดอยู่ในใจผมต่างหาก

    ...คนที่แทบไม่เหลือแรงที่จะหายใจอย่างผม ยังไม่กลัวที่จะตาย
    แล้วคุณล่ะ.. คนที่ยังมีลมหายใจที่มั่นคง ทำไมถึงกลัวที่จะมีชีวิตอยู่...

    ทำไมถึงกลัว?..... ผมกลัวอะไรกันแน่?....

    ผมเดินถามใจตัวเองอยู่อย่างนั้นจนมาถึงป้ายรถเมล์ มีคนอยู่แค่ 2-3 คนเท่านั้นเอง เพราะตอนนี้มันก็ออกจะดึกดื่นค่อนคืนพอสมควรแล้ว

    ไม่ว่าผมจะเฝ้าถามตัวเองเท่าไหร่ ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย แต่สิ่งที่ผมรู้ในตอนนี้ก็คือ ...ผมไม่อยากตายอีกแล้ว

    ครับ.. พอผมคิดว่าไม่อยากตาย ก็เริ่มรู้สึกอยากพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ขึ้นมา
    ผมกดโทรศัพท์ที่แนบมากับเมล์ด้วยความรู้สึก 50/50 ถ้ามันจะเป็นแค่เรื่องตลกก็ไม่เป็นไร เพราะมันคงไม่ทำให้อะไรแย่ลงมากไปกว่านี้แล้วล่ะ

    ผมลองโทรไป.. คนที่รับคือคุณกฤษณะจริงๆ เขาบอกว่าเพิ่งได้ฟังเรื่องของผมจากหนึ่ง ..น้องชายของเขา
    และบอกให้ผมไปหาเขาที่ธนาคารพรุ่งนี้
    หลังจากวางสายผมรู้สึกอึ้งมากๆ คนแบบนี้มันมีอยู่จริงๆ หรือ?....
    คนที่เห็นความสำคัญของคนอื่น พร้อมที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คนที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ...

    ยังไงก็ตาม... สรุปก็คือ หลังจากที่วางหู ผมก็จับรถทัวร์เที่ยวสุดท้ายลงมากรุงเทพเลยครับ จากพิษณุโลกกว่าจะถึงกรุงเทพก็คงจะสายๆ พอดี
    พอไปถึงผมก็ไปตามนัดทันที ..แต่ก็คลาดกันครับ
    ธนาคารเขาบอกว่าผู้จัดการมีธุระด่วน ออกไปได้สักพักแล้ว ผมเลยนั่งรออยู่ที่นั่นครับ

    ระหว่างรอผมก็นึกถึงเจ้าของเมล์ที่ช่วยชีวิตผม ผมไม่ได้พูดเกินจริงเพราะถ้าไม่มีเมล์ฉบับนั้น ตอนนี้ผมคงเป็นแค่ซากก้อนเนื้อที่กำลังเเข็งตัวพอดี ผมเลยอยากโทรไปขอบคุณเขาครับ

    เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูสดใสเหมือนเสียงของวัยรุ่นทั่วไปแหละครับ แต่ผมรู้สึกว่าหนึ่งเขาอยู่ข้างนอกครับ เพราะได้ยินเสียงแทรกเข้ามาเป็นระยะ ผมถามเขาว่าออกจากโรงฯบาลแล้วหรือ เขาก็บอก ..ครับ พอผมถามเขาว่าอยู่ที่ไหน เขาก็บอกว่าอยู่ที่วัด
    แค่นั้นแหละครับ.. ผมรู้สึกร้อนวูบไปทั้งตัว ใจสั่นไปหมด

    ...ตอนแรกบอกว่าป่วยหนัก... ตอนนี้ยังบอกว่าอยู่ที่วัดอีก...


    แต่ดูเหมือนหนึ่งเขาจะรู้ครับว่าผมคิดอะไรอยู่ เพราะเขาหัวเราะแล้วบอกผมว่ามาทำธุระเรื่องงานศพให้ญาติ เห็นบอกว่าพวกผู้หญิงเอาแต่ร้องไห้จนไม่เป็นอันทำอะไร ..รึไงเนี่ยแหละครับ เขาเลยต้องช่วยงานแทน

    ผมถามเขาว่าอยู่วัดไหนผมจะไปหา อยากไปขอบคุณ เพราะผมคิดว่าคุณกฤษณะไปธุระด่วนคงสักพักกว่าจะกลับ
    ทีแรก หนึ่งเขาบอกว่าไม่เป็นไร แต่ผมดื้อจะไปให้ได้ เขาเลยยอมบอกครับ

    พอไปถึงวัด บรรยากาศดูฉุกละหุก ยุ่งวุ่นวายจริงๆ ถึงต้องไปลากคนป่วยมาช่วยงาน
    ผมพยายามโทรหาหนึ่ง เพราะตัวผมเองก็ไม่เคยเจอหน้าเขามาก่อน เดินหาให้ตายก็ไม่มีทางเจอหรอกครับ
    แต่ผมโทรเท่าไหร่ก็ไม่มีคนรับ เขาคงจะลืมวางไว้ที่ไหนหรือไม่ก็ไม่ได้ยิน เพราะเสียงรบกวนรอบๆ ก็ค่อนข้างจะดังอยู่

    ไหนๆ ก็มาถึงงานแล้ว ผมไม่อยากเสียมารยาทเลยเดินขึ้นไปจุดธูปเคารพศพเสียหน่อย
    ผมจุดธูปเคารพศพแล้วก็เพิ่งสังเกตเห็นรูปถ่ายที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาพวงหรีด น่าเสียดายนะครับ.. อายุยังน้อยอยู่เลย หน้าตาดีซะด้วย ไม่น่าล่ะญาติๆ ถึงได้เสียอกเสียใจถึงขนาดไม่เป็นอันทำอะไร ...เป็นอะไรตายนะ
    คิดไปเรื่อยแหละผม...

    บรรยากาศข้างในนี่ค่อนข้างเงียบครับ ผมเลยเลยเลือกเก้าอี้ว่างตัวนึง ก็แถวๆ ข้างหน้านั่นแหละครับ ..แล้วก็โทรหาหนึ่ง
    แล้วผมก็ต้องตกใจแทบตกเก้าอี้ เพราะจู่ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือดังอยู่ข้างหน้าผม ...ในโลง

    แขกเหรื่อในงานเริ่มแตกตื่น เอะอะใหญ่ ตัวผมไม่คิดอะไรหรอกครับ คิดว่าบังเอิญไปหน่อยเท่านั้นเอง
    แล้วก็คิดว่าเจ้าภาพนี่สัปดลจริงๆ เอาโทรศัพท์ใส่โลง ...คิดได้ไงเนี่ย
    พอผมกดตัดสาย เสียงนั่นก็เงียบลงครับ แต่พอผมต่อสายถึงหนึ่งอีก เสียงโทรศัพท์นั่นก็ดังขึ้นมาอีก ..คราวนี้ผมหน้าซีดเลยครับ นั่งไม่ติดแล้ว

    ผมได้ยินเสียงญาติๆ ร้องไห้หนักขึ้นไปอีกครับ แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาดึงเเขนผม เขาบอกว่าเขาชื่อกฤษณะ แล้วถามผมว่าใช่คนที่โทรมาเมื่อคืนหรือเปล่า
    ผมจำเสียงเขาได้ครับ เขาเป็นคุณกฤษณะพี่ชายของหนึ่งจริงๆ แต่สิ่งที่เขาถามผมต่อไปนี่สิ...

    ...เขาถามผมว่า มางานศพหนึ่งได้ยังไง...

    ผมอึ้งเลยครับ ที่ผมมาเนี่ย... งานศพหนึ่งหรอกเหรอ หนึ่งที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับผมเมื่อครู่นี้เนี่ยนะ...
    ผมเถียงเขาคอเป็นเอ็นเลยครับว่าเพิ่งโทรคุยกับหนึ่งเมื่อกี้นี้เอง แถมหนึ่งยังเป็นคนบอกที่อยู่วัดนี้กับผมด้วย
    เท่านั้นแหละครับ.. แม่เขาร้องไห้ล้มพับลงไปเลย จนคุณกฤษณะกับผู้หญิงอีกคนต้องรีบเข้ามาประคองไปนั่ง คงเป็นน้องสาวของหนึ่งนั่นแหละครับ

    ผมได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก มองพวกเขาสลับกับหีบศพหนึ่งไปมา คุณกฤษณะบอกผมว่าหนึ่งเพิ่งเสียเมื่อตอนรุ่งสาง ไปสงบมาก ตัวเขาเพิ่งรู้เมื่อเช้าก็รีบออกมาเลย ไม่ทันได้เจอผม แล้วก็บอกว่าพอไปถึง เห็นหนึ่งกำโทรศัพท์ไว้ไม่ยอมปล่อย คิดว่าหนึ่งคงอยากได้ไว้เลยเอาใส่โลงทั้งอย่างนั้นเลย

    พูดถึงตอนนี้เสียงโทรศัพท์ก็เงียบหายไปครับ...
    ผมคิดว่าโทรศัพท์มันคงตัดสายอัติโนมัติ แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูตัวเอง...
    แล้วผมก็ได้ยินเสียง... เสียงดังแผ่วๆ ของผู้คน เสียงที่เหมือนกับเสียงที่ดังอยู่รอบตัวผม ..ผมคิดว่าคงเป็นเสียงภายนอกที่ดังผ่านเข้าไปในโลง

    ...โทรศัพท์ในโลงของหนึ่งถูกกดรับสาย แต่ไม่มีเสียงคนรับ...
    แล้วผมก็เข้าใจว่าทำไมหนึ่งเขาถึงกำโทรศัพท์ไว้... หนึ่งคงจะรอผมอยู่ รอให้ผมโทรมา รอให้ผมมาหา รอที่จะได้พบกัน...

    ตอนนั้นผมรู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ที่ขอบตา แต่ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองยืนน้ำตาไหลพรากกลางงานซะแล้ว
    ผมพูดกับหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ก็ตาม

    "หนึ่งครับ ผมเองนะ ผมมาแล้วนะครับ ตอนแม่กับลูกผม ...ผมก็กลับไปไม่ทัน คราวคุณ... ผมก็ช้าไปอีก
    ดูเหมือนผมจะช้าไปเสมอ คนสำคัญของผมถึงหนีหายไปหมด...
    แต่คุณสบายใจเถอะนะ ผมไม่คิดจะตายแล้วล่ะ ผมจะมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด ในส่วนของคุณด้วย ...ผมสัญญา
    ขอบคุณครับ ..ที่รอผมมาตลอด"

    พอผมพูดจบ สัญญานก็ถูกตัดครับ ผมคิดว่าหนึ่งเขาคงสบายใจ ..แล้วก็คงไปดีแล้ว


    หลังงานศพของหนึ่ง ผมก็ได้คุยกับคุณกฤษณะหลายเรื่องครับ ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับหนึ่งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่ว่าหนึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งมากๆ แล้วก็ทั้งเรื่องที่หนึ่งเป็นมะเร็งตอนอายุ 21 แล้วก็ทรุดลงจนต้องอยู่แต่ในร.พ. ตั้ง 3ปีกว่าจะไปสบาย
    แล้วก็เรื่องที่ว่าเงินเก็บก้อนเล็กๆ ของเขาที่ยกให้ผมน่ะครับ ..โกหกคำโตเลย
    ตั้งล้านนึง.. มันก้อนเล็กๆ ที่ไหน ทำงานจนแก่ก็ไม่รู้ว่าจะเก็บได้หรือเปล่า

    ผมปฏิเสธที่จะรับไว้ทั้งหมดครับ ผมเอาเงินนั่นไปใช้หนี้ 5 แสน ส่วนที่เหลือผมก็คืนเขาไป
    ตอนแรกทำยังไงคุณนะ (ชื่อเล่นคุณกฤษณะเขาครับ) เขาก็ไม่ยอมรับคืนครับ บอกว่าเป็นความต้องการสุดท้ายของหนึ่ง แต่ผมบอกว่าหนึ่งให้ผมมากที่สุดแล้ว และผมก็ไม่อยากทำลายคุณค่าของชีวิตที่หนึ่งนำกลับมาให้ผม โดยสุขสบายไปวันๆ ไม่ขวนขวายอะไรเลย ..นั่นแหละครับถึงยอมรับเงินไปง่ายๆ

    และผมก็บอกเขาว่า เงิน 5 แสนที่ผมยืมไปผมจะทำงานหาเงินมาใช้หนี้ให้จนหมด คุณนะเลยจับผมยัดลงทำงานในธนาคารนั้นด้วยกัน บอกว่าจะได้ไม่ต้องไปเดินหางานทำใหม่ให้ยุ่งยาก แถมยังหาที่อยู่ใหม่ให้เสร็จสรรพ

    จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเมล์เพียงฉบับเดียวจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ถึงขนาดนี้ ทุกวันนี้ไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่นึกถึงหนึ่ง
    ผมขอบคุณเขาในใจทุกวัน...
    ขอบคุณต่อความอนาทรที่เขามีต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกใบเดียวกัน...
    ขอบคุณในความเข้มแข็งของเขาที่ช่วยฉุดรั้งผมออกมาจากส่วนที่มืดที่สุดในชีวิต ..สู่แสงสว่าง

    ผมอยากจะแบ่งปันความเข้มแข็งของเขาให้กับคนที่ยังหลงทางอยู่ในความมืดสลัว ผมหวังว่าเรื่องของเขาจะเป็นเหมือนเกลียวโซ่ที่คล้องความกล้าและความหวังเข้าไว้ด้วยกันกับคุณ เพื่อใช้มันค้นหาแสงสว่างที่ครั้งหนึ่ง ...ผมเคยได้รับมันมาแล้ว

    ผมอึ้งเลยครับ ที่ผมมาเนี่ย... งานศพหนึ่งหรอกเหรอ หนึ่งที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับผมเมื่อครู่นี้เนี่ยนะ...
    ผมเถียงเขาคอเป็นเอ็นเลยครับว่าเพิ่งโทรคุยกับหนึ่งเมื่อกี้นี้เอง แถมหนึ่งยังเป็นคนบอกที่อยู่วัดนี้กับผมด้วย
    เท่านั้นแหละครับ.. แม่เขาร้องไห้ล้มพับลงไปเลย จนคุณกฤษณะกับผู้หญิงอีกคนต้องรีบเข้ามาประคองไปนั่ง คงเป็นน้องสาวของหนึ่งนั่นแหละครับ

    ผมได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก มองพวกเขาสลับกับหีบศพหนึ่งไปมา คุณกฤษณะบอกผมว่าหนึ่งเพิ่งเสียเมื่อตอนรุ่งสาง ไปสงบมาก ตัวเขาเพิ่งรู้เมื่อเช้าก็รีบออกมาเลย ไม่ทันได้เจอผม แล้วก็บอกว่าพอไปถึง เห็นหนึ่งกำโทรศัพท์ไว้ไม่ยอมปล่อย คิดว่าหนึ่งคงอยากได้ไว้เลยเอาใส่โลงทั้งอย่างนั้นเลย

    พูดถึงตอนนี้เสียงโทรศัพท์ก็เงียบหายไปครับ...
    ผมคิดว่าโทรศัพท์มันคงตัดสายอัติโนมัติ แต่อะไรก็ไม่รู้ทำให้ผมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูตัวเอง...
    แล้วผมก็ได้ยินเสียง... เสียงดังแผ่วๆ ของผู้คน เสียงที่เหมือนกับเสียงที่ดังอยู่รอบตัวผม ..ผมคิดว่าคงเป็นเสียงภายนอกที่ดังผ่านเข้าไปในโลง

    ...โทรศัพท์ในโลงของหนึ่งถูกกดรับสาย แต่ไม่มีเสียงคนรับ...
    แล้วผมก็เข้าใจว่าทำไมหนึ่งเขาถึงกำโทรศัพท์ไว้... หนึ่งคงจะรอผมอยู่ รอให้ผมโทรมา รอให้ผมมาหา รอที่จะได้พบกัน...

    ตอนนั้นผมรู้สึกแสบๆ ร้อนๆ ที่ขอบตา แต่ไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองยืนน้ำตาไหลพรากกลางงานซะแล้ว
    ผมพูดกับหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะได้ยินหรือไม่ก็ตาม

    "หนึ่งครับ ผมเองนะ ผมมาแล้วนะครับ ตอนแม่กับลูกผม ...ผมก็กลับไปไม่ทัน คราวคุณ... ผมก็ช้าไปอีก
    ดูเหมือนผมจะช้าไปเสมอ คนสำคัญของผมถึงหนีหายไปหมด...
    แต่คุณสบายใจเถอะนะ ผมไม่คิดจะตายแล้วล่ะ ผมจะมีชีวิตอยู่ให้นานที่สุด ในส่วนของคุณด้วย ...ผมสัญญา
    ขอบคุณครับ ..ที่รอผมมาตลอด"

    พอผมพูดจบ สัญญานก็ถูกตัดครับ ผมคิดว่าหนึ่งเขาคงสบายใจ ..แล้วก็คงไปดีแล้ว


    หลังงานศพของหนึ่ง ผมก็ได้คุยกับคุณกฤษณะหลายเรื่องครับ ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับหนึ่งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่ว่าหนึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เก่งมากๆ แล้วก็ทั้งเรื่องที่หนึ่งเป็นมะเร็งตอนอายุ 21 แล้วก็ทรุดลงจนต้องอยู่แต่ในร.พ. ตั้ง 3ปีกว่าจะไปสบาย
    แล้วก็เรื่องที่ว่าเงินเก็บก้อนเล็กๆ ของเขาที่ยกให้ผมน่ะครับ ..โกหกคำโตเลย
    ตั้งล้านนึง.. มันก้อนเล็กๆ ที่ไหน ทำงานจนแก่ก็ไม่รู้ว่าจะเก็บได้หรือเปล่า

    ผมปฏิเสธที่จะรับไว้ทั้งหมดครับ ผมเอาเงินนั่นไปใช้หนี้ 5 แสน ส่วนที่เหลือผมก็คืนเขาไป
    ตอนแรกทำยังไงคุณนะ (ชื่อเล่นคุณกฤษณะเขาครับ) เขาก็ไม่ยอมรับคืนครับ บอกว่าเป็นความต้องการสุดท้ายของหนึ่ง แต่ผมบอกว่าหนึ่งให้ผมมากที่สุดแล้ว และผมก็ไม่อยากทำลายคุณค่าของชีวิตที่หนึ่งนำกลับมาให้ผม โดยสุขสบายไปวันๆ ไม่ขวนขวายอะไรเลย ..นั่นแหละครับถึงยอมรับเงินไปง่ายๆ

    และผมก็บอกเขาว่า เงิน 5 แสนที่ผมยืมไปผมจะทำงานหาเงินมาใช้หนี้ให้จนหมด คุณนะเลยจับผมยัดลงทำงานในธนาคารนั้นด้วยกัน บอกว่าจะได้ไม่ต้องไปเดินหางานทำใหม่ให้ยุ่งยาก แถมยังหาที่อยู่ใหม่ให้เสร็จสรรพ

    จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเมล์เพียงฉบับเดียวจะเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ถึงขนาดนี้ ทุกวันนี้ไม่มีวันไหนที่ผมจะไม่นึกถึงหนึ่ง
    ผมขอบคุณเขาในใจทุกวัน...
    ขอบคุณต่อความอนาทรที่เขามีต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกใบเดียวกัน...
    ขอบคุณในความเข้มแข็งของเขาที่ช่วยฉุดรั้งผมออกมาจากส่วนที่มืดที่สุดในชีวิต ..สู่แสงสว่าง

    ผมอยากจะแบ่งปันความเข้มแข็งของเขาให้กับคนที่ยังหลงทางอยู่ในความมืดสลัว ผมหวังว่าเรื่องของเขาจะเป็นเหมือนเกลียวโซ่ที่คล้องความกล้าและความหวังเข้าไว้ด้วยกันกับคุณ เพื่อใช้มันค้นหาแสงสว่างที่ครั้งหนึ่ง ...ผมเคยได้รับมันมาแล้ว

    ...ความกลัว ...คุณอาจมองเห็นมันยิ่งใหญ่
    เพราะคุณยังมองไม่เห็นความกล้าอันใหญ่ยิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมัน...

    ขอให้ความกล้าจงมีแด่คุณ...


    สุดท้ายผมขออภัยด้วยถ้าพาดพิงถึงบุคคล หรือสถานที่ๆ มีอยู่จริง ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินแต่อย่างใด
    ผมคงต้องจบเรื่องราวทุกอย่างไว้เพียงแค่นี้นะครับ เพราะนี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว แล้วคุณนะก็เดินแน่วมาที่โต๊ะผมแล้วด้วย คงมาชวนไปกินข้าวแบบทุกทีนั่นแหละครับ เอาล่ะ... ผมขอตัวไปทานกลางวันก่อนนะครับ บาย...


    End.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×