คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อันการ์แห่งปัญญา
“ เฮ้ย” อาธีฟปิดตาแน่น เมื่อจู่ๆท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งก็เกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นติดต่อกัน
“นี่มันหน้าร้อนนะ ทำไมฟ้าถึงได้มาร้องเอาตอนนี้” เขาเปรยกับตัวเอง ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายข้างสีดำใบใหญ่ยักษ์มาสะพายและลุกเดินออกจากไป
“ต้องรีบกลับบ้านแล้วสิ สงสัยฝนคงจะตก” เขาหันซ้ายหันขวา มองรถที่แล่นผ่านไป ไฟเขียวยังคงทำหน้าที่ส่งสารให้รถคันแล้วคันเล่าผ่านแยกนี้ไปได้อย่างสะดวก
“ตึ้ง” เมื่อไฟเหลืองปรากฏขึ้น นั่นเป็นสัญญาณเตือนไว้ว่า อีกไม่นาน อิสระของเจ้ารถพวกนั้นจะถูกจำกัดลงโดย
“ตึ้ง” ไฟแดง อาธีฟ รีบวิ่งข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้าไปยังอีกฟากของมุมถนน เพราะที่นั้นมีสถานีรถไฟใต้ดิน
อาธีฟเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูง แต่กลับผอมแห้ง เขาสวมแว่นทรงกลมที่หนาเตอะ และขยับมันขึ้นลงตลอดเวลา กระเป๋าสะพานสีดำใบมหึมาที่เขาแบกน้ำหนักไว้นั้น ภายในบรรจุไปด้วยสิ่งของมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคิดเลข นาฬิกาโบราณเรือนจิ๋ว สมุดจดเล่มเล็ก ปากกาหลากสี ดิกชันนารีเล่มหนาเตอะ และอื่นๆอีกมากมายที่บางครั้งเจ้าตัวเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใส่อะไรลงไปบ้าง
“กรมอุตุฯว่าไงมั่งนะ” เขาหยิบเจ้าเครื่องสี่เหลี่ยมอลูมิเนียมสีเทาที่มีรอยขีดข่วนเต็มไปหมดขึ้นมา ก่อนจะปุ่มยุกยิกๆ
“อากาศร้อน อุณหภูมิสูงสุด 35 36 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองกระจายกับมีลมกรรโชกแรง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ อ๋อ นี่คงเป็นสาเหตุให้เกิดฟ้าร้องขึ้นมาในตอนฟ้าโปร่งละมั้ง” เขาขยับแว่นขึ้น ก่อนมองนาฬิกาดิจิตอลที่บอกทั้งเวลา อุณหภูมิ และ วันที่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเขา ต้องมีเหตุผลมารองรับ อาธีฟมักใช้สติปัญญาในการตอบคำถามกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัว เขาจะไม่ปล่อยให้ปัญหาเหล่านั้นคอยรบกวนจิตใจเขาเป็นอันขาด
เมื่อแรกที่เขาจำความได้ สิ่งที่เขาพ่อของเขาคือ เขาเกิดมาได้อย่างไร แต่คำตอบที่เขาได้รับจากผู้เป็นพ่อของเขาคือ “ลูกเป็นของขวัญที่สวรรค์ประธานมาให้” หากเป็นเด็กคนอื่นคงจะยิ้มกริ่มกับคำตอบที่แสนจะอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรัก แต่สำหรับอาธีฟแล้วนั้น มันไม่ใช่ เขาอยากได้ความจริง ความจริงที่เกิดมาจากสติปัญญาของเขาเอง
ในที่สุดหลังจากการพยายามอย่างหนักในการหาคำตอบในปัญหาข้อนี้เขาก็ได้พบคำตอบจากการช่วยเหลือของผู้เป็นปู่ และผู้เป็นปู่ของเขานี่เองที่มองเห็นความอัจฉริยะในตัวอารีฟ และสอนหนังสือให้เขาตั้งแต่เขาอายุเพียงสามขวบ
แสงไฟจากรถไฟสาดส่องลอดมาผ่านอุโมงค์ที่มืดมิด ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของมันเสียอีก ฝูงคนมากมายที่วิ่งลงมาจากบันไดเลื่อนอย่างเร่งรีบ เบียดเสียดกันราวกับว่ารถไฟขบวนนี้จะเป็นขบวนสุดท้ายในชีวิตของพวกเขา
“โอ้ย” เสียงหญิงชราดังขึ้นข้างหลังเขา อาธีฟหันไปมองและพบว่ามีชายวัยกลางคนคนหนึ่งมายืนชิดหลังของเขาในอาการเมามาย กลิ่นเหล้าคละคลุ้งทั่วบริเวณในขณะที่หญิงชราผู้นั้นกลับโดนเบียดให้ขยับไปอยู่ด้านหลัง
“ขอโทษครับ ที่ตรงนี้เป็นที่ของคุณยายนะครับ” อาธีฟขยับแว่นลงมาอยู่ที่สันจมูก ก่อนจะเหลือกตามองชายผู้นั้นอย่างเอือมระอา แต่ชายผู้นั้นหาได้สนใจกับสายตาติเตียนที่ส่งมาให้เขาด้วยซ้ำ
“คุณลุงครับ คุณลุงทำยายเจ็บ” อาธีฟร้องเตือนอีกครั้ง เขามักทนไม่ได้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
“ขอโทษนะยาย” ชายผู้นั้นหันไปขอโทษหญิงชราที่ยืนหน้าเจื่อนอยู่ด้านหลังร่างของเขาง่อนแง่นเต็มทน
“ลุงควรจะเข้าแถวนะครับ หางแถวอยู่ทางโน้น” อาธีฟเสียงแข็งขึ้น จนคนรอบข้างหันมามอง และด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวของอาธีฟนั่นเอง ทำให้ชายคนนี้หันมามองเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ทำไม มีปัญหาอะไรรึ เจ้าโย่ง” เขายืดอกแสดงความกล้าหาญที่โง่เขลา
“ผมแค่อยากจะเตือนสติคุณลุงน่ะครับว่า คนที่คุณลุงชนล้มลงไปน่ะ เป็นคุณยาย” อาธีฟดึงแว่นลงมาต่ำอีก การกระทำเช่นนี้ของอาธีฟนั่นหมายถึงว่า ความโกรธกำลังคุกรุ่นอยู่ในตัวเขา
“แล้วเอ็งจะทำไม หา” เขาผลักเด็กหนุ่มอย่างแรงจนอาธีฟเซออกมานอกแถว
“ลุงไม่ควรทำอย่างนี้” อาธีฟก้มหน้านิ่ง มือของเขาสั่นระริกๆ
“ทำไม ทำอย่างนี้แล้วจะทำไม ฉันยังทำได้มากกว่านี้ ถ้าแกยังแส่ไม่เข้าเรื่อง” ชายกลางคนผลักเขาอีกครั้งจนร่างของเขาเซไปชนกับกำแพง รถไฟเทียบชานชาลา ประตูท่าเปิดออกผู้คนที่มุงดูอาธีฟ
กลับทยอยเข้าไปในรถไฟอย่างเร่งรีบ ยายแก่ที่หกล้มเมื่อครู่ก็มองมาที่อาธีฟด้วยความหวาดหวั่น
ก่อนที่เธอเองจะหันหลังให้กับเขาแล้วประตูรถไฟก็ปิดตัวลง รถไฟค่อยๆเลื่อนขบวนจากไปอย่างช้าๆ ทิ้งอาธีฟไว้เบื้องหลังกับชายที่เมาขาดสติคนนั้น
“ทีนี้ก็เหลือแต่แกกับฉัน แกมันแส่ไม่เข้าเรื่อง” เขาใช้ปลายนิ้วตบไปที่หน้าอาธีฟปลายๆ เป็นเชิงสั่งสอน อาธีฟเบือนหน้าหนี ริมฝีปากถูกกัดแน่น
“ดูสิ ยังจะปากเก่งเหมือนเมื่อกี้อยู่อีกมั๊ย” อาธีฟเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาเขาอย่างท้าทาย สายตาแบบนั้นไม่ได้ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขาบ่อยนัก
“อ๋อ นี่กล้ามองหน้าฉันเหรอ อวดดีนักใช่มั๊ย งั้นมาสู้กันสักตั้งเป็นไง” กลิ่นแอลกอฮอล์พวยพุ่งออกมาจากปากของชายคนนั้น
“ผมไม่อยากสู้ ถ้าจะสู้ผมขอสู้ด้วยสติปัญญา” อาธีฟยืดอกขึ้นเพื่อให้เสื้อของเขาหลุดออกจากมือของชายเมามายผู้นั้น
“สติปัญญารึ เจ้าทึ่ม” อาธีฟถูกเหวี่ยงออกไปจนสุดแรง เขาล้มลงนอนกับพื้นกระเป๋าสะพานหลุดไปคนละทิศละทาง แว่นที่เขาใส่มองก็หลุดกระเด็นหายไปด้วย อาธีฟหรี่ตา มือทั้งสองข้างควานหาแว่นสายตาคู่ใจที่เขาใช้มอง ในที่สุดเขาก็เจอมันตกอยู่กับพื้นใกล้ขอบเลียบทางรถไฟ โชคดีที่มันไม่หล่นลงไป เพราะไม่อย่างนั้น อาธีฟคงมีหวังเสร็จชายขี้เมาผู้นั้นแน่ เขาใช้มือแตะสัมผัสแว่นจนเจอก่อนจะกำมันไว้แน่น แต่แล้ว.............
“ฉันว่า แว่นแกน่ะ มันเชยไปแล้วว่ะ แกน่าจะใส่แว่นที่ฉันจะให้นี่นะ” ชายผู้นั้นเหยียบมือของอาธีฟที่กำแว่นไว้แน่น เขาขยี้มันอย่างแรงจนแว่นแหลกคามืออาธีฟ เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา แต่อาธีฟไม่ส่งเสียงแสดงว่าเขาเจ็บปวดใดๆทั้งสิ้น
“มานี่ เจ้าทึ่ม” เขากระชากคอเสื้อของอาธีฟให้ลุกขึ้น
“ฉันจะหาแว่นอันใหม่ให้แกเอง เจ้าเด็กแส่หาเรื่อง” ว่าแล้วชายผู้นั้นก็ง้างหมัดไปข้างหลังอย่างเต็มกำลังหมายมั่นว่าจะประทับหมัดนี้ไปที่เบ้าตาของอาธีฟเพื่อเป็นการสั่งสอนเขาไม่ให้มายุ่งเรื่องคนอื่น อาธีฟเอง เมื่อไม่มีแว่นสายตาเขาก็เหมือนคนตาบอด
“อ๊ากกกกก” ชายขี้เมากระชากหมัดเข้าใส่ใบหน้าของอาธีฟอย่างแรง แต่ก่อนที่หมัดนั้นจะได้สัมผัสอาธีฟ
“เจ้าคาดไม่ถึงหรอก ว่าความผิดที่ทำให้ อันกาอ์ หลั่งโลหิตน่ะ โทษมันจะสาหัสเพียงใด” เสียงของชายลึกลับที่เยือกเย็นและก้องกังวาลราวกับเสียงระฆัง ที่อยู่ที่ในสักแห่งในสถานีรถไฟใต้ดินแห่งนี้ ทำให้หมัดของเขาหยุดกึก อาธีฟเงี่ยหูฟังเสียงผู้มาเยือนอย่างตั้งใจ แต่เขาก็จับทิศทางไม่ได้ว่ามาจากที่ใด
“ใครน่ะ”ชายขี้เมาหันไปมองหาที่มาของเสียงมือของเขากำแน่นค้างเกร็งอยู่ เขาพยายามบังคับมันให้ชกหมัดออกไปให้โดนอาธีฟ แต่เหมือนเขากำลังใช้นิ้วชี้ดันหัวรถจักรให้เลื่อน มันไม่เป็นผล เขาไม่สามารถที่จะดันหมัดนั้นออกไปได้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ใครกันที่มาเล่นกลกับเขา
“เจ้าช่างบังอาจเสียจริง ในพุทธศาสนา พระเจ้าเทวทัตทรงทำให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นถึงนาถะของโลก ต้องประสบอันตรายถึงเสียพระโลหิตจากพระกาย โทษที่พระเจ้าเทวทัตได้นั้นร้ายแรงนัก ถึงขนาดถูกพระแม่ธรณีสูบทั้งเป็น ถึงแม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะเทียบกับองค์ตถาคตของพุทธศาสนามิได้แม้แต่ปลายนิ้ว แต่เจ้าก็มิบังควรทำให้เลือดของหน่อเนื้อเทพเจ้าแปดเปื้อนพื้นดิน”
เสียงของชายลึกลับใกล้เข้ามา แต่อาธีฟกลับไม่ได้ยินฝีเท้าของเขาแม้แต่น้อย
“แกเป็นใคร ออกมาสิวะ มัวพูดพร่าวอะไรอยู่หล่ะ” เขายังคงพยายามอย่างสุดกำลังในการผลักหมัดตัวเองออกไป กรามที่กัดแน่นจนนูนเด่นออกมาอย่างชัดเจน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นรอบใบหน้า เขากำลังเจอกับอะไรอยู่กันแน่
“เสียแรงที่เป็นถึงสาวกข้า แต่ปัญญาของเจ้านั้นหาได้มีเท่าหางอึ่งไม่” และแล้วร่างของชายลึกลับก็ปรากฏขึ้นจากหลังเสาปูนขนาดมหึมาที่ค้ำจุนพื้นดินเบื้องบนกับพื้นดินเบื้องล่างไว้ อาธีฟหรี่ตามองอย่างตั้งใจ เขาเห็นภาพชายหนุ่มรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ในอาภรณ์สีม่วง รอบๆตัวของเขามีรัสมีสีม่วงอ่อนราวกับแสงจากอัญมณีอาร์เมทิศต์ เครื่องแต่งกายของเขาเป็นแบบกรีกโบราณเสื้อสีม่วงอ่อนด้านในพาดเฉียงไปตามลำตัวนั้นเป็นผืนเดียวกับกางเกงขาสั้น ไม่สิ มันเรียกว่ากระโปรงน่าจะเหมาะกว่าถูกแยกออกจากกันด้วยเถาวัลย์ของไม้ชนิดใดสักอย่าง ส่วนเสื้อคลุมสีม่วงเข้มราวกับน้ำองุ่นนั้นก็งดงามวิจิตรยิ่งนัก อาธีฟเพ่งมองไปที่ใบหน้าของชายผู้นี้ แต่มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็น เขาเห็นแต่เพียงว่าชายผู้มีมีมงกุฏที่ถักถอมาจากเถาวัลย์ชนิดหนึ่งพันอยู่รอบศรีษะของเขา ผมของชายผู้นี้หยิกเป็นลอนสีดำขลับขดอยู่รอบๆ ชายผู้นี้เป็นใครกันแน่
“แกทำอะไรกับฉัน” เสียงชายขี้เมาอึกอัก
“หึๆ” ชายลึกลับหัวเราะ อาธีฟหันหน้ามามองชายขี้เมาที่บัดนี้ หมัดของเขากำลังหักงอ และหันไปทางใบหน้าของเขาแทน
“โอ่ะ อย่า ๆ” ชายขี้เมาร้องอย่างตกใจ
“ความโทสะที่เจ้าตั้งใจจะทุ่มใส่หนุ่มนั่น จะกลับไปหาเจ้า...............สิบเท่า” สิ้นเสียงก้องกังวาลที่ทรงพลังราวกับเสียงนั้นได้ทำให้กระเบื้องที่ฉาบผนังสถานีรถไฟสั่นคลอน หมัดของชายขี้เมาก็พุ่งตรงไปหาเขาอย่างแรงจนอาธีฟได้ยินเสียงแหวกอากาศไปดัง ฟิ้ว
“ปังงงงงงง” ทันทีที่หมัดนั้นอัดเข้าร่างเจ้าของ ร่างของเขากระเด็นลอยไปตามแรงหมัดอย่างเร็วและรุนแรงก่อนจะตกลงไปกลางรางรถไฟ
“โอ้ย” เสียงชายผู้นั้นร้องมือและขาทั้งสองข้างปัดป่ายไปมา
“เจ้าจะต้องได้รับโทษ” สิ้นเสียงชายลึกลับ มือและขาทั้งสองที่ปัดป่ายไปมาอยู่นั้นกลับกางออกและตรึงติดแน่นอยู่กับรางรถไฟ ขยับเขยื้อนไม่ได้ เขานอนขวางรถไฟที่กำลังแล่นใกล้เข้ามา
“ช่วยด้วยๆ” ชายขี้เมาส่งเสียงร้องอย่างตระหนก
“นี่ ของของเจ้า” อาธีฟหรี่ตามองไปยังแสงสีม่วงที่บัดนี้มาอยู่ใกล้ๆเขาแล้ว ก่อนจะรับบางสิ่งจากชายผู้นั้น
“แว่นผมนี่นา” อาธีฟรับมันมาด้วยความแปลกใจ เหตุใดแว่นที่แหลกละเอียดเมื่อสักครู่ กลับกลายสภาพเป็นแบบเดิม แล้วมือที่ถูกบาดเป็นแผลตอนนี้กลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“นี่มันอะไรกันแน่” อาธีฟคิด
เขาหยิบแว่นขึ้นมาใส่ ทันทีที่แว่นถูกใส่ สายตาเขาก็กลับมามองเห็นได้ชัดเจนเหมือนเดิม อาธีฟหันไปมองชายลึกลับที่ช่วยเขาไว้ เขาจะได้รู้เสียทีว่าชายผู้นี้เป็นใคร
“ เอ่อ” แต่ทันทีที่เขามองเห็นร่างชายลึกลับ สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครั้งแรก ชายที่แต่งกายแบบกรีกโบราณ รัศมีสีม่วง เครื่องประดับที่งดงามราวกับเทพบุตร กลับหายไปหมดสิ้น ภาพที่เขาเห็นตอนนี้กลับกลายเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูง กำยำ ผิวคล้ำ ใบหน้าหล่อเหลาเอาการจมูกที่โด่งเป็นสันรับกับปากที่มีหนวดแซมอยู่ประปราย เขาแต่งกายด้วยชุดธรรมดา เสื้อยืดสีขาว ทับด้วยแจ๊คเก็ทผ้าลินินเนื้อเบาสีม่วงเข้ม กางเกงยีนต์ทรงกระบอกธรรมดากับรองเท่าผ้าใบไนกี้
“ คุณมายืนตรงนี้นานแล้วหรือครับ” อาธีฟถามด้วยแววตาสงสัย ชายผู้นั้นพยักหน้า
“แล้ว เอ่อ คุณเห็นผู้ชายที่แต่งตัวประหลาดๆอยู่แถวนี้บ้างมั๊ยครับ” เขาหันไปรอบๆด้วยความไม่แน่ใจ
“ประหลาดเหรอ ข้า เอ่อ เขาแต่งตัวประหลาดมากเลยเหรอ”
“ครับ”
“ไม่เห็นหรอก ที่นี่ก็มีแต่เราสามคน ฉันเห็นนายกำลังถูกซ้อมเลยมาช่วย” ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มน้อยๆ
“แล้วลุงนั่นหล่ะ” อาธีฟนึกขึ้นได้ว่ายังมีชายขี้เมาอีกคน เขากวาดสายตามองหา และพบว่า ชายคนนั้นนอนแผ่หราตาเบิกโพรงอยู่บนรางรถไฟ
“ลุง” อาธีฟแสดงสีหน้าตกใจสุดขีด
“ลุงขึ้นมาเร็วมันอันตราย ลุง” เขาตะโกนเรียกชายขี้เมา แต่ชายคนนั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆทั้งสิ้น
“ลุง” อาธีฟก้าวขาจะลงไปช่วย
“จะทำอะไรน่ะ” ชายผู้นั้นดึงมืออาธีฟไว้
“ผมจะลงไปช่วยเขา”
“แต่มันทำร้ายนายนะ”
“เขาทำไปเพราะขาดสติ คนที่ขาดสิตย่อมพร่องปัญญา เขาดื่มเหล้าเข้าไป ฤทธิ์ของมันทำให้เขาไม่สามารถควบคุมประสาทและสมองสั่งการได้ทันเวลา แล้วมันยังไปกดสมองส่วนความคิดและการยังยั้ง ทำให้คนคนนั้นไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป ” อาธีฟสาธยายก่อนจะสะบัดมือจากเขาก่อนจะกระโดดลงไปอย่างลนลาน
“เฮ้อ สมแล้วหล่ะ อะธีน่า” เขาส่ายหน้าด้วยความเอือมระอาก่อนจะกระโดดลงไปอุ้มร่างของชายขี้เมาที่บัดนี้หมดสติไปแล้วนั้นขึ้นมาจากรางรถไฟ
“ขอบคุณมากนะครับที่มาช่วยผมน่ะ” อาธีฟกล่าวขอบคุณในระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟ ชายผู้นั้นยิ้ม เขามองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดสนิทเห็นแต่ตัวเอง หรือเขากำลังจ้องมองตัวเอง
“เออ จริงสิ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย” น้ำเสียงกระตือรือร้นกลับมาเป็นปกติ
“เราเหรอ” เขาถามกลับด้วยใบหน้าครุ่นคิด
“ก็ใช่นะสิ ก็ในนี้มีแค่เราสองคน จะให้ผมไปถามใครหล่ะ” อาธีฟยิ้มอย่างร่าเริง แต่เขากลับเงียบไปจนอาธีฟไม่รู้จะคุยอะไรต่อไป
รถไฟแล่นมาถึงขบวนสุดท้าย อาธีฟจะต้องลงที่นี่ เขาก้าวออกจากรถพร้อมด้วยชายผู้นั้น อาธีฟไม่กล้าถามว่าเขาจะไปไหน แต่ดูเหมือนเขาจงใจจะเดินตามอาธีฟมา
“เอ่อ ผมจะแยกกลับบ้านแล้วนะครับ” เขาพูดเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงทางสามแพร่ง
“วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 นายจะต้องมาพบฉันอีกครั้งที่ท่าเรือบากู จำไว้” เขาพูดในลำคอ มือทั้งสองซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อแจ๊กเก็ท
“อะไรนะครับ” อาธีฟหันมาถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไรแก่เขา
เขายังคงเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมายเช่นเดิม อาธีฟมองเขาอยู่ครู่หนึ่งหวังว่าเขาจะพูดอะไรมากกว่าการยืนเหม่อมอง ทันใดนั้นเสียงเหล่าผู้หญิงหัวเราะจากที่ไหนสักแห่งก็ดังขึ้นมา มันคล้ายกับเสียงสตรีพากันเล่นน้ำ หรือสำราลอะไรอยู่สักอย่างเพราะเสียงหัวเราะนั้นดูมีชีวิตชีวา และเย้ายวน แววตาของชายผู้นั้นกลับลุกวาวขึ้น ด้วยความสงสัยอาธีฟหันไปรอบๆเพื่อหาที่มาของเสียงนั้น
“ได้ยินรึเปล่าครับ” เขาหันมาถามชายหนุ่มคนนั้น แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
“อ้าว หายไปไหนหล่ะ แปลกจริง” อาธีฟเกาหัวด้วยความงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนนี้ เขาก้มลงมองนาฬิกา และได้พบกับใบไม้ใบหนึ่งร่วงอยู่กับพื้น
“นี่มันใบองุ่นนี่นา มาตกอยู่ตรงนี้ได้ยังไง” เขาเก็บมันใส่ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเดินกลับบ้านไปด้วยความสงสัย
ความคิดเห็น