ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ANGAR มือขวาเทพเจ้า

    ลำดับตอนที่ #1 : สหายข้าเอ๋ย

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 52




         เงาจันทร์ที่พาดผ่านศิลาสีดำขลับบวกกับแสงตะเกียงเจ้าพายุสะท้อนให้เห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ภายใต้เสื้อลุมยาวสีเทาหม่น เขามีท่าทางร้อนรน และเร่งรีบ
    เสื้อคลุมที่ยาวระพื้นดินนั้นสะบัดไปมาตามแรงก้าวของเท้าที่สาวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก  ชายผู้นั้นเดินผ่านร่องภูเขาหินสีดำ

    ทั้งสองข้างของร่องทางเดินนั้นเต็มไปด้วยก้อนหินที่คล้ายอัญมณีสีดำสนิท ที่สะท้อนแสงระยิบระยับเมื่อต้องแสงตะเกียงเจ้าพายุ ชายผู้นั้นใช้ไม้เท้าสีทองเรียบยาวเหนือหัวเป็นสิ่งค้ำยันไม่ให้เขาต้องลื่นไถลไปตามแรงลมที่โหมกระหน่ำ

    “วู่วววววว” สายลมแรงที่พัดผ่านภูเขาลูกนั้น เมื่อมันได้ไหลผ่านช่องแคบที่ชายผู้นั้นเดิน มันจึงเพิ่มกำลังแรงขึ้นเป็นทวีคูณ ผ้าคลุมที่คลุมศรีษะและใบหน้าชายผู้นั้นได้ถูกแรงลมกระชากไปข้างหลัง เขาหรี่ตาเล็กน้อยยามที่สายลมพัดผ่านโดยไม่ไยดีกับเสื้อคลุมที่ปลิวไปตามลมเผยให้เห็นใบหน้า
     
     เขาเป็นชายชราที่มีดวงตาสีเทาอ่อน คิ้วที่หน้าแต่เป็นสีดอกเลา รวมทั้งผมและหนวดที่ปล่อยยาวจนเกือบถึงหน้าอกนั้นก็เป็นสีดอกเลาเช่นกัน หนวดนั้นปกคลุมเรื่อยมาจนไม่สามารถสังเกตเห็นริมฝีปากที่เม้มแน่นได้    เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาใช้ไม้เท้าคู่ใจยันร่างฝ่าแรงพายุที่โหมกระหน่ำ  เหตุการณ์ร้ายแรงอันใดจึงทำให้ชายชราผู้นี้ออกมาเดินฝ่าพายุในค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้

    “เซพเพอรัส ใจคอท่านจะขัดขวางข้าให้ได้ใช่หรือไม่”    ชายชรานั้นเปรยเบาๆ น้ำเสียงตัดพ้อต่อเทพแห่งลมตะวันตกในที

    “ท่านก็รู้ว่ามันไม่สำเร็จหรอก เซพเพอรัส”     สิ้นเสียงยิ้มเยาะของชายชราผู้นั้น เหมือนเป็นการยั่วยุ แรงลมที่พัดแรงเมื่อสักครู่ได้เพิ่มกำลังเป็นทวีคูณ จนบัดนี้ ก้อนหินสีนิลก้อนมหึมาที่นอนแน่นิ่งอยู่กลับขยับไปมา  ลมพายุนั้นได้พัดหอบเอาเศษหิน และผงฝุ่นสีดำให้ฟุ้งคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ อีกทั้งเสียงหวีดร้องของสายลมที่พัดผ่านร่องภูผา ก็ได้แผดเสียงก้องราวกับอสูรไฮดรากำลังฟื้นตื่น

    “ท่านลืมไปแล้วรึ ว่าข้าหาได้เป็นแค่เทพแห่งความชราเพียงอย่างเดียวไม่”    ชายชราผู้นั้นหยุดนิ่งไม่ไหวติง มือข้างซ้ายกำไม้เท้าแน่น เขาเงยหน้าขึ้นบนฟ้า ราวกับกำลังยั่วยุเทพเจ้าเบื้องบน ก้อนหินสีนิลเหล่านั้นกำลังขยับอย่างช้าๆ และทันใดนั้นเองเหล่าหินสีนิลขนาดยักษ์เหล่านั้นก็ได้พุ่งทะยานเข้าหาชายชราผู้นั้นตามแรงผลักของลมพายุ

    “เปโลโปนีซุส กาลเวลาเอ๋ย ข้าร้องขอให้ท่านจงหยุดนิ่ง”    เขาตะโกนเสียงดังสนั่น แววตาสีทองสว่างวาบขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนกระแทกไม้เท้าด้วยมือซ้ายลงบนพื้นหินสีดำอย่างแรง เสียงดังสนั่น ประกายไฟจากไม้เท้าที่กระทบหินนั้นส่องแสงวิบวับ 
     
    สิ้นเสียงนั้น ทุกสิ่งเงียบงัน จากเสียงลมที่ดังราวกับฟ้ารั่วเมื่อครู่นี้ ฝุ่นผงธุลีสีดำที่ปลิวว่อนจนมองทางไม่เห็น ก้อนหินขนาดมหึมาที่พุ่งทะยานเข้าใส่ร่างชายผู้นั้น ทุกสิ่งอย่างหยุดนิ่งราวถูกมนต์สะกด ก้อนหินก้อนหนึ่งค้างนิ่งอยู่ห่างจากใบหน้าเขาแค่ไม่ถึงช่วงแขน ฝุ่นผงสีดำที่คล้ายก้อนเมฆทะมึนที่ถูกลมพายุหอบเมื่อสักครู่ บัดนี้กลับกลายเป็นเพียงเส้นบางๆคล้ายเส้นไหมละเอียดสีดำที่พันเกี่ยวกันจนหยุ่งเหยิง ชายชรากลอกตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะหลับตาลง แสงสีทองในแววตาของเขานั้นกลับอันตรธานหายไป

    “ข้ามิได้ชราจนหลงลืมไปหรอกนะ ว่าข้าก็ยังเป็นเทพแห่งกาลเวลาด้วย” ชายผู้นั้นลืมตาขึ้น ดวงตาคู่นั้นกลับกลายเป็นสีเทาหม่นเช่นเดิม เขายิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนจะยกตะเกียงเจ้าพายุขึ้น และมุ่งหน้าเดินทางต่อไป

     พายุลมสงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน  ชายชราผู้นี้ยังคงมุ่งเดินต่อไปในความมืดโดยมีเพียงแสงตะเกียงเจ้าพายุนำทาง ความมืดปกคลุมรอบพื้นที่ ทุกสิ่งเงียบสงบ ได้ยินเพียงแต่เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบของชายผู้นั้น

    ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง เขาเผยอรอยยิ้มออกมาอย่างเบาใจ ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นอีก

     บัดนี้แสงจากตะเกียงเจ้าพายุได้นำพาร่างของชายชราผู้นี้มาถึงฝั่งทะเล เสียงที่เขาได้ยินเมื่อสักครู่เป็นเสียงคลื่นที่ม้วนตัวกระทบฝั่งอย่างแผ่วเบา ชายฝั่งที่ชายชรายืนอยู่ล้วนเต็มไปด้วยหินง่อนสีดำที่แหลมคม ไม่มีตะไคร่น้ำ หรือสิ่งโสโครกใดๆมาเกาะก้อนหินสีนิลเหล่านี้ พวกมันแวววาว และระยิบระยับยามต้องแสงตะเกียง  ชายชรา มองหาโขดหินที่ยื่นออกไปในทะเลมากที่สุดอย่างตั้งใจ ก่อนที่เขาจะพยายามปีนป่ายขึ้นไปอย่างยากลำบาก
             ทันทีที่เขามายืนยังแหลมนอกสุดของเกาะ เขามองออกไปรอบๆทะเลอันกว้างใหญ่ กลิ่นทะเล เสียงคลื่น และความเวิ้งว้างอันเป็นตัวแทนของอิสระภาพภายในจิตใจเขาที่เขาไม่เคยได้รับหลังจากถูกจองจำโดยบุตรชายของเขาเอง  เขาอ้าแขนออกไปรับลมทะเลที่เย็นฉ่ำอย่างสบายใจ สูดอิสรภาพที่โหยหามาตลอดเวลาอย่างเต็มที่ ความเหน็ดเหนื่อยและอุปสรรคที่เขาได้พบเจอระหว่างการเดินทางที่ยาวไกล บัดนี้ได้ถูกลมทะเลพัดหายไปจนหมดสิ้น

    “ขอบใจเจ้ามากนะ ออร่า ที่ทำให้ข้าได้คลายความทุกข์ยาก เจ้าช่วยข้าได้มากทีเดียว” ชายผู้นั้นเอ่ยปากขอบใจออร่า เทพธิดาแห่งลมทะเล นางยังคงเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนอยู่เสมอ หากไม่นับคราใดที่นางพิโรธ

    “ได้เวลาแล้วสินะ” ชายชราสูดหายใจลึกจนหน้าอกเขากระเพื่อมขึ้น ก่อนจะค่อยๆยก ไม้เท้าสีทองจุ่มปลายลงไปในทะเล

    “โอเชียนัส ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน” ทันทีที่ปลายของไม้เท้าแตะพื้นน้ำ น้ำโดยรอบก็กระเพื่อมออกไปเป็นแสงสีทองประกายงามจับตา ชายผู้นั้นจุ่มไม้เท้าไว้ครู่ใหญ่ ทันใดนั้นสายน้ำที่ไหลอยู่ใต้มหาสมุทรที่สงบนิ่งก็ส่งเสียงคำรามแผ่วเบาอย่างเกียจคร้าน  ไอความร้อนที่ไหลมาพร้อมสายน้ำนั้นพวยพุ่งขึ้นมาจนเห็นเป็นกลุ่มหมอกควันสีขาวจางๆ มันเคลื่อนตัวแหวกผ่านน้ำทะเลที่สงบนิ่งราวกับเป็นงูยักษ์ สายน้ำไหลใกล้เข้าหาฝั่งตรงที่ชายชราผู้นั้นยืนอยู่ เมื่อเกือบจะถึงโขดหิน มันกลับม้วนตัวแทรกผ่านน้ำทะเลเบื้องบนขึ้นมา

    “ซู่”   และสายน้ำนั้นก็ได้กลับกลายร่างเป็นชายที่ท่าทางชราไม่แพ้ชายบนฝั่ง ร่างของเขาโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเพียงครึ่งตัว

    “โครนัส ไม่เจอกันเสียนาน ท่านแก่ลงไปมากโขเชียวนะ” น้ำที่ก่อตัวเป็นชายชราผู้นั้นไหลวนไปมา เสียงของเขาทุ้มและก้องกังวาล ไอความร้อนพวยพุ่งออกมาจากปากของเฒ่าผู้นั้น

    “ท่านก็ไม่เบานะ โอเชียนัส สหายข้า น่านน้ำที่ท่านครอบครองเป็นอย่างไรบ้าง” ชายชราบนฝั่งอมยิ้ม เขาต้องแหงนหน้ามองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ก่อตัวอยู่เบื้องหน้าเขา ไอความร้อนเกาะบนใบหน้าของเขาเห็นเป็นหยดน้ำเล็กๆ

    “ก็ดี แต่คงไม่ดีเหมือนครั้งก่อน” โอเชียนัสเค้นหัวเราะเบาๆ น้ำกระเซ็นเป็นฝอย

    “ว่าแต่ท่านดั้นด้นมาถึงฝั่ง และเรียกข้ามา เพื่อมาทักทายเพียงแค่นั้นรึ”  สายน้ำที่ก่อตัวเป็นเกลียวผมสะบัดไปมา

    “ข้าระลึกถึงสหายเก่าเยี่ยงท่านเสมอ โอเชียนัส แต่อีกเรื่องที่ข้ามิอาจนิ่งนอนใจก็คือ...........”เขานิ่งเงียบไปสักครู่

     ท้องฟ้าที่อยู่เหนือพวกเขาทั้งสองนั้นเงียบสงัด หมู่ดาวที่อดีตเคยล้วนเป็นผู้กล้า หรือเป็นคนโปรดของเหล่าทวยเทพต่างพากันเปร่งแสงแข่งกัน โฟสโฟรุส เทพประจำดาวประกายพฤกษ์อวดความงามของนางเมื่อยามใกล้รุ่ง นางยังคงยินดีและเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของนางต่อไปโดยไม่มีเบื่อหน่าย รางวัลตอบแทนอย่างเดียวของการทำหน้าที่ของนางอย่างเคร่งครัดก็คือ การที่นางได้รับการชื่นชมในความงามจากเหล่านักเดินเรือและมนุษย์ทั้งหลาย

    “ข้าคิดว่ามันอาจสายเกินไปเสียแล้ว” โอเชียนัสพูดขึ้นหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่ทำให้ชายชราออกเดินทางไกลมาเพื่อพบเขา

    “หากไม่เริ่มต้น นั่นต่างหากที่เรียกว่าสาย ข้าเชื่อว่า พวกอันกาอ์ มีอยู่จริง เหล่าทวยเทพที่หลับใหลย่อมคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว” แววตาที่มุ่งมั่น และเชื่อมั่นส่องประกายขึ้นมาจากดวงตาอันอิดโรย

    “ท่านจะให้ข้าทำเยี่ยงไร” น้ำเสียงคำรามในลำคอของโอเชียนัสส่อแววกังวลใจ “บัดนี้ข้าหาใช่เจ้าสมุทรผู้ยิ่งใหญ่อีกต่อไปแล้ว” น้ำเสียงของโอเชียนัสสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    “ข้าเข้าใจท่าน สหายเอ๋ย และข้าต้องขอโทษในการกระทำอันอุกอาจของบุตรของข้า ที่ได้ทำการแย่งอำนาจครอบครองผืนมหาสุทรไปจากเจ้า ข้าไม่อาจสั่งให้ท่านทำในสิ่งที่ข้าประสงค์ สิ่งเดียวที่ข้าจะทำคือ การขอร้องฉันท์สหายแต่เก่าก่อน”

    “ท่านมิต้องกล่าวขอโทษข้าหรอก ทั้งหมดหาใช่ความผิดของท่านไม่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากความทะยานอยากของบุตรท่านเองทั้งนั้น ดูแต่ตัวท่านเองสิ” เสียงตัดพ้อกันของชายชราเงียบลงหลังจากบทสนทนานี้มาถึงทางตัน

    “เอาหล่ะ บอกจุดประสงค์ของท่านมาเถิด โครนัส” โอเชียนัสเอ่ยปาก

    “ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าตามหาคนคนหนึ่งให้ข้าหน่อย ด้วยอำนาจของข้าที่มีอยู่จำกัดเพียงบนเกาะแห่งนี้ ข้าจึงไม่สามารถทำสิ่งอย่างประสงค์ได้” ชายชราเงยหน้าจ้องมองสายน้ำที่ขดเกลียวเป็นรูปร่างคน

    “บอกมาเถิดสหายข้า สิ่งที่ใดที่ข้าพอจะช่วยท่านและทั้งสามโลกไว้ได้ ข้ายินดี”

     แสงแรกอรุณจากเทวีอีออสส่องประกายระยิบระยับยามกระทบผืนน้ำ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่า การมาเยือนของเฮลิออสสมุนของอพอลที่หลับใหลใกล้เข้ามาแล้ว บัดนี้มีเทพเพียงไม่กี่องค์เท่านั้นที่ไม่ยอมละทิ้งมนุษย์ไป เหมือนที่มนุษย์ละทิ้งเหล่าทวยเทพให้หลับไหล หนึ่งในนั้นคือเฮลิออส เทพแห่งแสงสว่าง
    ชายชราทั้งสองยังคงสนทนากันอยู่พักหนึ่ง  ก่อนจะรีบแยกจากกันก่อนที่แสงอาทิตย์จะสาดส่องมาถึง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่พวกเขาสนทนากันในยามค่ำคืนจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป ไม่มีอะไรเป็นความลับสำหรับเทพอย่างเฮลิออส โอเชียนัสม้วนตัวและจมหายไปกับน้ำในทะเล ส่วนโครนัสนั้นยิ้มต้อนรับแสงอรุณของเฮลิออสอย่างสง่างาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×