ลัทธิมาร
เรื่องสั้นที่เขียนไว้สักพัก เรื่องราวหลอนๆของเด็กข้างถนนที่ต้องพบเจอกับสิ่งไม่คาดฝันที่จะมาทำลายมนุษย์ทุกคน ระวังมันแพร่พันธุ์ใส่คุณ!!!
ผู้เข้าชมรวม
127
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เรื่องราวที่เกิดขึ้น...เกินกว่าจินตนาการของใครบางคน
คืนนั้นผมวิ่งอยู่ในความมืด วิ่งอย่างสุดชีวิต เพื่อหนีตัวอะไรบางอย่างที่ผมไม่รู้จัก และคุณก็อาจจะไม่รู้จักมัน มันไล่ล่าผมอย่างกระชั้นชิด ไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้มันแค้นเคืองตอนไหน มันถึงได้พยายามไล่จับผมขนานนี้
ที่สุดของความเหนื่อย ขาผมอ่อนล้าก่อนล้มลงกองกับพื้น ผมเอี้ยวตัวอย่างอ่อนแรงเพื่อเผชิญหน้ากับมัน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่สามารถทำอะไรมันได้แต่แรงปราถนาก็เรียกร้องขอดู ‘มัน ‘ ให้เต็มตาที
ในแสงสลัวผมมองเห็นตัวมันใหญ่ประมาณรถตู้ รอบตัวมันมีเมือกดูลื่นลื่นเหนี่ยวๆ แขนขาของมัน ไม่ใช่สิมันดูคล้ายหนวดปลาหมึกมากกว่าอยู่รอบตัว มีขนสีขาวคล้ายๆม็อบถูพื้นอยู่ตามหนวดของมัน แต่ละเส้นเคลื่อนไหวเป็นอิสระดั่งงูบนหัวเมดูซ่า มันคืบคลานตัวเข้ามาใกล้ผมจนเห็นหน้ามันได้ชัด ใบหน้าของมัน ราวกับสัตว์ประหลาดที่เคยดูในการ์ตูนหลายๆตัวรวมกัน มันใช้หนวดของมันโอบล้อมผม เพื่อปิดทางหนี มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ผมเห็นฟันมันชัดถนัดตา แหลมคมดูน่ากลัว กลิ่นเหม็นเน่าจากปากของมันโชยมาเตะจมูก จนผมโก่งคออ้วก แต่มีเพียงน้ำย่อยเท่านั้นที่ออกมาเพราะผมไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่ตอนบ่าย มันอ้าปากของมันช้าๆ ฟันที่เคยสนิทปิดช่องปากไว้ เผยให้เห็นลิ้นแปลกประหลาดของมัน ภายในปากมีฟันแหลมคมนับซี่ไม่ถ้วนเรียงชิดสนิทกัน มันยื่นลิ้นกลมๆคล้ายใส้กรอกถูหนูแทะออกมานอกปาก หยุดอยู่ตรงจมูกของผม ผมจ้องดูตาไม่กระพริบ เหงื่อแตกไปทั่วรูขุมขนร่างกายเบาโหว่ง ปลายลิ้นกลมๆของมันแยกออกจากกันเป็นสี่แฉกช้าๆ ภายในมีเขี้ยวเล็กเรียงกันอยู่นับร้อย ลิ้นของมันอ้ากว้างขึ้น กว้างขึ้น จนใหญ่กว่ากบาลของผม มันคงกะจะกลืนผมทั้งหัว เหมือนพวกงูที่สวาปามเหยื่อ ผมหลับตา รู้ว่าวาระสุดท้ายของตัวเองมาถึง ก็ดีเหมือนกัน ผมเบื่อชีวิตข้างถนนของผมเต็มที ตายแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเหลือซากให้เป็นที่อุจาดตาของพวกคนมีตัง น้ำเหนียวๆที่หยดลงบนกะหม่อม คงเป็นน้ำลายของมัน เมือกลื่นๆไหลแหนะเต็มหน้า แก้มของผมเริ่มถูกบีบเขาหากัน ยู่ไปยู่ มา กระแสน้ำสายหนึ่งพุ่งเข้าปะทะใบหน้า
ผมสะดุ้งตื่น
ผมสะดุ้งตัวลุกขึ้นนั่ง น้ำเปียกเต็มหน้า ไอ้เปี๊ยกสองตัวนั่งหัวเราะ จนตัวงอ มีไอ้ตัวนึงถือขวดน้ำไว้ในมือ ผมมองไปที่มัน มันนี่เองที่เป็นตัวการ ผมชี้หน้ามันเป็นความหมายว่ามึงโดนแน่ๆ
“ผมเปล่านะลูกพี่ ไอ้จ้อยมันทำ แล้วเอาขวดมายัดใส่มือผม” มันบอกด้วยเสียงลนลาน รอยหัวเราะหายไปจากใบหน้า ชี้มือไปทางไอ้จ้อย
ไอ้จ้อยอยู่ในท่าเตรียมโกย แสงไฟสลัวสีส้มจางจากข้างถนน ส่องเห็นใบหน้ามอมแมมอ้อนบาทาของมัน
“ก็ปลุกตั้งนาน ลูกพี่ไม่ยอมตื่น”มันบอกด้วยน้ำเสียงทะเล้น ใบหน้ายิ้มเยาะ “ ละเมออะไรอยู่ได้ งึมงำงึมงำ จ๋อยเลยอยากช่วยให้ลูกพี่ตื่นไง”
ผมสำเร็จโทษพวกมันไปคนละป๊าบ การเตะคนเป็นการออกกำลังกายที่ดีหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ
ผมกับไอ้จ้อยไอ้ทึก(ลูกน้องอีกคนของกระผม) เป็นเด็กไม่มีที่อยู่ ไม่มีพ่อแม่ เด็กจรจัด เด็กเหลือขอ เดนสังคม หรือห่าอะไรก็ตามแต่คุณจะเรียก พวกเราอาศัยอยู่ใต้ทางด่วนแถวๆประชาชื่น ยึดที่นี่เป็นที่หลับที่นอน ที่กิน ที่ขี้ ที่เล่นของพวกเราโดยไม่ต้องขออนุญาติใคร ที่นี่เป็นเสมือนบ้านของพวกเรา ถ้าเรียกให้เท่เหมือนในหนังที่เคยดูก็ต้องเรียกว่าเป็นแหล่งกบดาน แหล่งกบด่านของวายร้ายสุดเท่สามคน โดยมีผมเป็นหัวหน้าแก๊ง เออ!พูดถึงหนัง คงเป็นไอ้หนังพรีเดียเตอร์ปะทะเอเลี่ยนนั่นแน่ๆที่ทำให้ผมฝันอะไรห่าๆเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดพรรค์นั้น ผมไปลอบยืนดูเมื่อเย็นที่วินมอเตอร์ไซแถวนั้น ดูเหมือนมันจะไม่เต็มใจนักหรอกแต่ก็ปล่อยให้ผมดูจนจบเรื่องจนเก็บเอามาฝันระยำให้ไอ้สองตัวนั้นหัวเราะเอาได้
การเป็นเด็กจรจัดอย่างพวกเรา อย่านึกว่าสบาย พวกเราก็มีงานที่ต้องทำในแต่ละวันเหมือนกัน สงสัยกันใช่ไหมครับงานอะไรบ้าง เอาอย่างง่ายๆเลยนะครับ ตอนกลางวันพวกเราก็ต้องไปคุ้ยถังสมบัติหาอาหาร ถังสมบัติของเราก็ถังขยะแหละครับ อย่างบางทีโชคดีเจอบ้านไหนทิ้งพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆเสียๆ เราก็เอาไปขายได้เงินมาเข้าไปนั่งเท่ในร้านเกมส์รับแอร์เย็นฉ่ำเลียนแบบเด็กมีพ่อมีแม่เหมือนกัน งานอีกอย่างของเราคือเก็บค่าที่นอน คืออย่างนี้ ใต้ทางด่วนเนี่ยถือเป็นพักชั้นเลิสของพวกจรจัด กันแดด กันฝน แถมมีมุมให้ขี้อีก มันก็จะมีพวกตาแก่จรจัดพลัดถิ่นไม่มีที่ซุกหัวนอนประจำแวะเวียนมาใต้ทางด่วนแห่งนี้เรื่อยๆ กระผมในฐานะเจ้าของสถานที่ก็เลยต้องดูแลกันหน่อย เก็บค่าที่นอนคืนละสิบบาทแค่นั้นถือว่าช่วยเหลือกัน ส่วนถ้าใครจะมานอนแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่จ่ายละก็ ผมกับไอ้เปี๊ยกสองหน่อก็จะจัดการกระทืบให้สาสมใจก่อนปล่อยมันนอนจมกองเลือดไปอย่างนั้น ช่วยไม่ได้ มาอยู่บ้านผมดันไม่เคารพกฏของผม ส่วนงานกลางคืนของพวกกระผมนั้น เป็นงานหนักที่ต้องใช้ทั้งแรงและทักขะหรือทักษะ อืม อะไรทักๆนี่แหละช่างแม่งเหอะ บางคืนเราก็แอบเข้าไปหยิบของในบ้านหลังโตๆแถวๆนี้ (จริงๆแล้วผมก็ไม่ค่อยเลือกหรอกครับว่าบ้านไหนโตหรือไม่โต บ้านไหนเข้าง่ายผมเอาหมด)บางคืนเราก็เป็นนักแสดงหลอกขอเงินจากพวกขี้เมาถึงตรอกข้าวสาร ฝรั่งมันใจดี ส่วนคืนไหนที่ไอ้ตรงนั้นเราแข็งเมื่อไหร่ เราก็จะออกไปหาสาวๆที่ชอบออกมาอ่อยพวกเด็กแว๊นตามข้างทางมาซอยซอยซอยจนหน่ำใจ
เห็นไหมครับงานพวกเราเยอะขนานไหน
นี่ก็เป็นอีกคืนนึงที่เราจะต้องออกหาเงิน เพราะเงินที่จะใช้ซื้อใช้กินใช้เข้าร้านเกมส์เริ่มหมดแล้ว ผมจัดการล้างหน้าล้างตา หวีผมยาวของกระผมให้เข้าทรง ก่อนเดินออกหาเหยื่อสำหรับค่ำคืนนี้ ธรรมดาครับ หนุ่มๆอย่างพวกเราต้องดูดีกันหน่อย ออกไปหากินหน้าโทรมๆไม่หล่อเฟี้ยวฟ้าวนี่มันไม่ใช่แนว หลังจากเสร็จภาระกิจดูแลตัวเอง ผมก็ออกเดินนำสองสมุน พากันลัดเลาะไปตามทาง เพื่อหาเงิน
ถนนเส้นใต้ทางด่วนในเวลากลางคืน เงียบเชียบปราศจากผู้คน แสงไฟจากเสาไฟข้างทางส่องลงมาให้เห็นเพียงสลัวๆเท่านั้น บางดวงติด บางดวงดับ ป่าหญ้าคาที่สูงท่วมหัวส่งกลิ่นชื้นของน้ำค้างตึกเก่าร้างซ่อนตัวอยู่ในนั้น ผมใช้ตึกพวกนี้เป็นแหล่งปล้นจี้และซ่อนตัวบางครั้ง ถนนเส้นนี้ในช่วงกลางคืนนานๆจะมีรถยนต์แล่นผ่านมาคันหนึ่ง ยากที่จะเชื่อว่านี่คือส่วนหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานครเมืองที่ตื่นตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ด้วยข่าวจี้ปล้นข่มขื่น ปาหินปาไข่ทำให้ผู้คนไม่ค่อยผ่านทางนี้มากนักในเวลาค่ำคืนเพราะแม้แต่ผู้พิทักสันติราษฎร์เองก็เคยถูกทุบกบาลชิงปืนเป็นข่าวหน้าหนึ่งมาแล้ว แน่นอนครับเป็นฝีมือของพวกผมเอง(เรื่องจริงคือ ตาตำรวจคนนี้แกเมาแล้วขับมอเตอร์ไซล้ม พวกผมไปเจอแกหลับกลิ่นเหล้าเหม็นฉึ่งโฉยออกมาจากเครื่องแบบ ผมเลยจิ๋กปืนแกมา แกคงกลัวจะเสียหน้าเลยกุข่าวว่าโดนดักตี) และตอนนี้ปืนกระบอกนั้นถูกเสียบไว้ที่ข้างเอวของผมเพื่อใช้ในการทำงาน
ผมเดินนำพวกมันสองตัว ไอ้จ้อยกับไอ้ถึกเดินสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยตามมาห่างๆ ผมมองสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณเพื่อหาเหยื่อที่พลัดหลงมาในถิ่นทำมาหากินของพวกผม แต่คืนนี้เงียบจริงๆครับ แม้แต่เสียงรถบนทางด่วนยังไม่มี ผมเดินเรื่อยเปื่อยไปตามทางพักใหญ่ เดินต่อไปอีกพักก็เห็นกลุ่มของพวกไอ้โตนั่งอยู่กับขอบฟุตบาท ศัตรูคู่แค้นแย่งถิ่นทำมาหากินของเรา เหมือนมันจะเห็นแก๊งของพวกผมเช่นกัน พวกมันลุกยืนขึ้น เดินเข้ามาหาพวกผม เมื่ออยู่ห่างกันไม่ถึงสองก้าวผก็ต้องเงยหน้ามองมันเพราะมันตัวสูงและใหญ่กว่า
“ว่าไงมึง มาทำอะไรในถิ่นกู”ไอ้โตหัวหน้าฝูงของพวกมันพูด
“เก็บปากเน่าๆของพวกมึงไว้แดกขี้ในถังเถอะ”ผมทำเสียงเข้ม “นี่มันแถวทางด่วน ที่พวกกู”ผมตอกหน้ามันกลับ ส่วนไอ้จ้อยไอ้ถึกควักแป๊ปเหล็กมาไว้ในมือแล้ว
พวกไอ้โตก็เตรียมพร้อมรบเหมือนกัน
“ที่พวกมึง กูขำตาย ไปซะ กูจะทำงาน อย่าให้กูต้องเปลืองตีนกระทืบพวกมึง” ไอ้โตพูดเสร็จก็ผลักอกผม แรงผลักทำให้ผมถอยหลังไปครึ่งก้าว มือของผมแตะไปที่ด้ามปืนที่ซ่อนอยู่
“ลุย!”ผมตะโกนสั่งไอ้จ้อยไอ้ทึก เหมือนพวกมันรอคำสั่งอยู่แล้ว กระโจนเข้าหาพวกไอ้โตทันที
หลังจากนั้นในคืนที่เงียบสงัด สนามรบย่อมๆก็เกิดขึ้น
ไอ้จ๋อยไอ้ทึกพัวพันชุลมุนอยุ่กับลูกน้องไอ้โต ส่วนผมตัวๆกับไอ้โต ผมโดนไอ้โตจับเหวี่ยงไปมา เพราะตัวเล็กกว่า ผมสู้มันไม่ได้ต่อยมันแทบไม่โดน สุดท้ายก่อนที่จะโดนไอ้โตยำใหญ่ไปมากกว่านี้ ผมควักปืนออกมาเล็งไปที่มัน เหมือนปืนมีอำนาจบางอย่างเพียงแค่ผมควักมันออกมาเหตุการณ์ชุลมุนก็หยุดลง ถนนกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้งและสายตาทุกคู่ที่อยู่ตรงนั้นจ้องมาที่ผม ปลายกระบอกปืนในมือผมชี้ไปที่หน้าไอ้โต สายตางงงันของมันจับจ้องอยู่ที่ปากกระบอกปืน สีหน้าเริ่มถอดสี ผมสั่งให้มันคุกเข่า มันทำตามอย่างว่าง่าย
ที่นี้มันก็ตัวเล็กว่าผมแล้ว
ไอ้จ๋อยไอ้ทึกเดินมายืนอยู่เบื้องหลังผม ถ้าเป็นฉากในหนังผมคงจะเท่มากเหมือนพวกเจ้าพ่อมีสมุนสองคนยืนประดับบารมีในขณะที่เอาปืนจ่อหัวคู่แค้น สองสมุนของผมส่งเสียงเชียร์ให้ยิงมันเลย ยิงมันเลย แต่ไม่หรอกผมจะไม่ยิง ทำแบบนั้นมันไม่เท่เอาซะเลย แค่ขู่ให้มันเยี่ยวแตกจะได้ไม่กล้าหือกับพวกผมอีกก็พอแล้ว
“ยิงทิ้งซะดีไหม”ผมพูดขู่เสียงเข้ม
พูดแค่นี้ไอ้โตก็กลัวจนลนลาน พูดจาไม่รู้เรื่อง อย่าอย่าอย่า แค่นั้นที่ออกมาจากปากมัน น่าสมเพชจริงๆ ผมตัดสินใจจบเรื่องนี้ด้วยการใช้ด้ามปืนทุบไปที่หน้าผากของมันทีนึง เลือกแดงข้นทะลักพุ่งย้อยออกมาตามแผลแตก ไอ้โตล้มกองกับพื้น สีเลือดและกลิ่นเลือดปลุกความสุขให้กับผม ผมชอบกลิ่นและสีของเลือด ยิ่งเห็น เลือดในร่างกายของผมยิ่งคึก ผมย่อตัวลงไปนั่งในท่าชันเข่า มองไอ้โตด้วยสายตาที่เหนือกว่า
“ที่หลังอย่ามาเสือกกับพวกกู เข้าใจ๋” ผมว่ามันเป็นคำพูดที่ห้าวหาญทีเดียว
ไอ้โตหงึกหงักๆรับปากแต่โดยดี ก่อนจากกันผมเตะไปที่หน้าของมันอีกทีเพื่อเรียกเลือดก็ของเดิมมันยังน้อยไปสำหรับความสุขของผม
ผมเดินนำไอ้สองสมุนกลับแหล่งกบดานของพวกเราเหมือนขามา คืนนี้ไม่ต้องหาเหยื่อแล้วเพราะเราตบเงินพวกไอ้โตได้มาพอสมควร ไอ้จ้อยไอ้ทึกพูดคุยถึงเรื่องเมื่อกี้นี้ด้วยน้ำเสียงชื่นชม
ผมยืดอกเดินใหญ่คับถนน
แต่วันนี้แปลก ผมว่ามันเงียบแปลก ๆไม่มีรถผ่านไปมาสักคันเหมือนเมืองจะล้างผู้คน หมาสักตัวก็ไม่มีให้เห็น อากาศก็ดูเหมือนจะร้อนกว่าปกติ ‘วันนี้คงเป็นวันนอนหลับแห่งชาติมั่ง’ผมขำให้กับมุขที่คิดขึ้นเดี๋ยวต้องเล่นมุขนี้ให้ไอ้สองตัวนี่ฟังคงจะฮาไม่น้อย หวนกับไปคิดถึงเรื่องที่ผมกระทืบไอ้โต นึกถึงภาพเสือดและกลิ่นหอมของเลือดที่ไหลออกมาจากแผลของมัน สะใจจริงๆมีความสุขที่ได้เห็นเลือดทะลักออกมาอย่างนั้น คืนนี้เป็นคืนที่ดีจริง
ระหว่างที่ผมกำลังคิดเพลินๆไอ้ทึกก็สะกิดผมให้หลุดออกมาจากความคิด ผมเห็นใครคนนึงในชุดคลุมยาวยืนอยู่ไกลๆใต้เสาไฟข้างทาง แสงสีส้มสลัวๆฉาบร่างของเขา เขายืนนิ่งก้มอ่านหนังสืออยู่ ผมมองหน้าไอ้สองตัว พวกมันรู้งาน ไอ้จ้อยออกวิ่งไปที่ตึกร้างในป่าหญ้าคา ผมกับไอ้ทึกยืนรอทิ้งเวลาแป๊ปนึง เพื่อทิ้งเวลาให้ไอ้จ้อยไปเตรียมตัวได้ทัน และสังเกตุไปด้วยว่าเหยื่อของผมมาคนเดียวหรือเปล่า เมื่อแน่ใจว่ามาคนเดียวผมก็เดินตรงเข้าไปหาพลางบีบน้ำตาไปด้วย
มันใส่เสื้อคลุมยาวเหมือนบาทหลวงที่เห็นในหนังฝรั่ง แต่ไม่ใช่สีดำเหมือนในหนังมันเป็นสีเขียวเข้มๆ ร้องเท้าของมันขัดจนเงาวับสะท้อนแสงไฟ ในมือที่ถือหนังสือถูกสวมไว้ด้วยถุงมือสีดำ ตัวอ้ว พุงที่ยืนล้ำออกมาเหมือนผู้หญิงท้องแก่ หัวของมันล้านเลียนไม่มีผมสักเส้น ผิวขาวเนียนบ่งบอกถึงความเป็นผู้ดีมีเงิน ผู้ไม่เคยต้องทำงานตากแดดตากลม ผมสังเกตุเหยื่อของผมเช่นนี้เสมอ นึกแปลกใจเหมือนกันว่าร้อนขนานนี้มันจะสวมถุงมือทำไม แต่ใครจะสนผมแค่ต้องการเงินจากมันเท่านั้น ปืนพิสูจน์อำนาจความยิ่งใหญ่ของมันมาแล้วทำให้ผมมั่นใจ มันยืนอ่านหนังสืออยู่อย่างนั้น ปากท่องอะไรขมุบขมิบไม่มีทีท่าว่าสนใจพวกผมสองคน ที่กำลังเดินเข้าไปหา แสงไฟสลัวกับสีหน้านิ่งๆทำให้มันดูลึกลับและทำให้ผมรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ปืนที่เหน็บอยู่ข้างเอวทำให้ผมอุ่นใจ
ผมเดินเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ จนได้ยินเสียงมันท่อง ด้วยน้ำเสียงเนิบนาบคงที่
“..........พระองค์ผู้มีพลังเหนือพระเจ้าองค์ใดบนโลกนี้ทั้งปวง เหนือกว่าศาสดาองค์ใดบนโลกนี้ทั้งปวง...............”
ผมขัดจังหวะ พร้อมบีบเสียงสะอื้น
“คุณครับ ช่วยน้องชายของผมด้วย เขาป่วย เขาไม่สบายผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร ผมไม่มีเงินพาเขาไปหาหมอ ช่วยไปดูเขาหน่อยได้ไหมครับ”
แต่มันก็ยังก้มหน้าท่องบทสวดนั่นต่อไป ผมสะเอื้อนและบีบน้ำตาตอแหลขอความช่วยเหลือต่อ ไอ้ทึกก็ทำเหมือนกัน
“ข้อร้องละครับ พวกเราไม่มีพ่อไม่มีแม่ เป็นเด็กผู้น่าสงสาร ผมกับน้องต้องหาของเน่าๆกินจากถังขยะ”จังหวะนี้น้ำตาผมไหลเป็นสาย “ตอนนี้น้องผมนอนป่วยอยู่ที่ตึกร้างหลังนั้น”ผมชี้มือไปที่ตึกที่ไอ้จ๋อยแกล้งไปนอนรออยู่ “ขอร้องละครับไปดูน้องของผมหน่อย”
ไอ้ทึกแกล้งลงไปนั่งคุกเข่าขอร้อง เหมือนจะได้ผลมันใช้หางตามองไอ้ทึก แล้วสวดต่อ ผมพูดขอร้องมันอีกหนถ้าไม่สนใจกัน ผมจะใช้ปืนจี้แม่งตรงนี้แหละ
“............ข้าของพระองค์ผู้นี้ขอมอบอาหารอันโอชะให้แก่พระองค์”พูดจบมันปิดหนังสือ เก็บมันไว้ในเสื้อคลุมแล้วมองหน้าพวกผมนิ่งๆ มันสบตากับผม มองผมตั้งแต่หัวถึงตีน มองไอ้ทึกที่นั่งคุกเข่าหน้าเปื้อนน้ำตา ตอแหลเก่งจริงๆไอ้นี่
“นะครับ ช่วยพวกเราหน่อย”ผมพูดน้ำเสียงสั่น
มันพยักหน้า ผมรีบพูดขอบคุณและสรรเสริญมันไปต่างๆนานาตามแต่หัวกบาลผมจะคิดออก วันนี้กินหมูอีกแล้ว ท่าทางจะรวยซะด้วย จากนั้นเป็นก็ออกเดินพาเขานำไปสู่ตึกร้างมันเดินตามผมมาช้าๆ ช้ามากจนผมต้องหยุดรอหลายครั้ง ไอ้ทึกเดินตามหลัง ผมว่าถ้ามันอุ้มไอ้ผู้ชายคนนี้ได้แม่งคงอุ้มไปแล้ว คนอะไรกว่าจะก้าวขาได้แต่ละก้าวเหมือนขามันหนักมาก แถมท่าเดินก็สั่นๆเหมือนจะล้ม ผมต้องใช้ความอดทนกับเหยื่อคนนี้สูงมาก อยากจะจี้มันตรงนี้เลยด้วยซ้ำ ติดที่ว่าพื้นที่มันเหมาะ เกิดใครเห็นแล้วโทรไปแจ้งตำหนวดขึ้นมาจะยุ่งเปล่าๆ
เราเดินลุยป่าหญ้าคาที่สูงท่วมหัว ผมเดินทิ้งห่างเหยื่อของผมเล็กน้อย มันยังคงเดินตามมาช้าๆไม่สบตาไม่พูดไปถามสักคำ ดีสบายเลยงานนี้ ไม่ต้องมีเปลืองแรงแหลตอบคำถามอะไร แต่ไอ้ท่าเดินของมันนี่ยิ่งดูผมยิ่งหงุดหงิด เข้าไปในตึกเมื่อไร พ่อจะเตะตัดขาให้ล้มเลยคอยดู ข้อหาเดินช้าเสียเวลาทำมาหาแดก
ตึกเก่าร้างซ่อนตัวอยู่ในดงหญ้าคา แสงจันทร์ส่องลงมาพอให้มองเห็นทางไม่ค่อยชัด แต่ก็พอเห็นกันอยู่บ้าง เมื่อเดินถึงหน้าตึกผมล้วงเอาไฟแช็กในกระเป๋ากางเกงจุดเทียนแท่งเล็กๆที่ผมทิ้งไว้ ไฟจากเทียนสว่างขึ้นพอไล่ความมืดไปได้บ้าง ภายในตึกมีหมาดำอยู่ตัวนึงนอนหลับหมอบอยู่ตรงด้านในสุด มันเงยหน้าขึ้นมามอง เมื่อมันเห็นพวกผมแทนที่มันจะดีใจวิ่งหางกระดิกมาหาพวกผมเหมือนทุกที รอบนี้มันกับเห่าหอนชวนขนลุก ตัวสั่น หางตก น้ำลายย้อยเต็มปาก แยกเขี้ยวขู่ ขี้เหยี่ยวแตกส่งกลิ่นเหม็น เป็นอะไรของมันสงสัยจะติดหมาบ้าแน่ ๆ ผมเองก็กลัวเหยื่อจะกลัว เลยตวาดแล้วหยิบก้อนหินขวางไล่มัน มันครางเอ๋งๆโกยเหน็บมุดหนีไปทางรูโหว่ของกำแพงขี้เปื้อนเป็นทาง คอยดูเถอะเสร็จธุระกำไอ้ขาเป๋นี่เมื่อไหร่ไอ้หมาดำนี่จะโดนเตะแน่ ผมหันมาปลอบขวัญเหยื่อของผมซึ่งหยุดยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างหลัง
จากนั้นผม เดินนำเหยื่อของผมขึ้นชั้นสองท่าเดินขึ้นบันไดเก้ๆกังๆของมันทำให้ผมรำคาญลูกตา
”ทางนี้ครับ ช่วยรีบหน่อยเถอะครับ คุณผู้มีเมตตา น้องผมกำลังแย่”ผมแกล้งพูดให้มันเร่งตีนเดินเท่านั้น แต่มันก็ยังค่อยๆเดินขึ้นมาจนถึง
บนชั้นสองไอ้จ้อยแกล้งนอนทำป่วย ร้องโอดโอยปวดท้องอยู่ข้างผนัง แสงจากเทียนที่ไอ้จ้อยจุดทิ้งไว้ทำให้ชั้นนี้ดูสว่างตาไม่ต้องเพ่งมองมาก ผนังหนังตึกทั้งสี่ด้านปิดสนิท ช่องที่เคยเป็นหน้าต่างพวกผมปิดไว้ด้วยกระดาษเพื่อบังสายตาจากพวกสอดรู้ข้างนอก เพดานข้างบนมีน้ำซึมหยอดลงมา พวกผมไม่เคยขึ้นไปถึงชั้นสาม เพราะไม่มีบันไดให้ขึ้นไป
มันหยุดยืนดูรอบห้องอยู่ ไม่รู้สนใจอะไร แทนที่มันจะตรงเข้าไปก้มดูไอ้จ้อยเหมือนเหยื่อคนอื่นๆเสือกยืนมองห้องนิ่งๆ
“น้องผมครับ เขาปวดท้อง ช่วยดูเขาหน่อยเถอะครับ”ผมพูด
มันเดินขาสั่นตรงไปหาไอ้จ้อย ผมกับไอ้ทึกเดินตามหลังไปติดๆ เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้า หัวใจเต้นแรงจนรัว จังหวะที่มันก้มลงไปมองไอ้จ้อยนั้น ไอ้ทึกก็หวดแป๊ปเหล็กเข้าไปที่กบาลของมัน แป๊ปเหล็กยุบลงไปในกะโหลก ยุบลงไปเหมือนใช้ตีนเหยียบห่วงยาง ผมมองหน้าไอ้ทึก สลับกับมองเหยื่อที่มันยังอยู่ในท่าก้มเหมือนเดิม ไม่เข้าใจทำไมมันไม่ล้มลงนอนกลิ้งร้องครวญคราง
“ตีอีกที เร็วๆ”ผมตะโกนสั่งไอ้ทึก กลัวเหยื่อจะหันมาสู้
รอบนี้ผมเห็นไอ้ทึกง้างจนสุดแขน ฟาดลงที่เดิมไปไม่ยั่ง แป๊ปเหล็กยวบลงไปในกะบาลมัน จนหัวมันเบี้ยวผิดรูป ไม่มีเลือดไหลสักหยด มันค่อยๆยืดตัวขึ้นตรง รอยเบี้ยวที่กบาลของมันเคลื่อนไหวยุบยับเหมือนมีหนอนเป็นพันๆตัวอยู่ในนั้น จากนั้นรอยยุบที่หัวมันก็หายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเตะกวาดลานไปที่ขามันสุดแรงหวังให้มันล้ม เสียงดังสวบ! คล้ายกับเตะเข้าไปในลูกบอลยางที่ไม่มีลม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับมัน มันยังยืนนิ่งคงที่อยู่อย่างนั้น ผมกับไอ้ทึกมองหน้ากันสีหน้ามันแสดงความกลัว อย่าว่าแต่มันเลยผมก็เริ่มกลัวแล้ว ส่วนไอ้จ้อยเลิกเล่นละครยืนงงเป็นไก่ตาแตก
มันล้วงมือเข้าไปในเสื้อ ผมตกใจคว้าปืนไว้ในมือจ่อไปที่หลังของมัน
“อย่านะมึง ไม่งั้นกูยิงไส้แตก” ผมบอกมันรู้เลยว่าเสียงตัวเองสั่นแบบไม่ต้องแกล้งทำ
มันค่อยๆหันหน้ามาทางผม ปากกระบอกปืนผมจิ้มอยู่ที่พุงอ้วนๆ ในมือมันถือหนังสือกางออก แล้วมันก็เริ่มสวด
“ข้าพเจ้าของสวดบทสวดนี้แด่ผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งปวง ผู้เป็นจ้าวจักรพรรดิแห่งจักรวาล”เสียงที่มันใช้สวดทำให้ผมกลัว เหมือนเสียงปีศาจในหนังสยองขวัญ แหบแห้งเกาะเข้าไปในหัวใจ “ผู้เป็นนายเหนือศาสดาองค์ใดในจักรวาล เหนือสวรรค เหนือนรก เหนือมุษยน์เหนือเดระฉานและเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวงบนจักรวาล ผู้เป็นผู้ตัดสินชะตากรรมให้แก่ชีวิตทั้งปวง พระองค์ผู้สถิตอยู่ ณ หลุมว่างของกาลเวลา พระองค์ผู้ซึ่งเป็นผู้ที่จะยากหานามเรียกขานเป็นผู้มีอำนาจเหนืออื่นใดทั้งหมด ผู้ซึ่งประทานส่วนของท่านมาอยู่ในร่างของข้า โปรดประทานอภัยให้แก่ข้าผู้ต่ำช้าเกินกว่าจะคู่ควรกับอำนาจของท่าน ขอให้พระองค์ใช้ร่างข้าผู้ซึ่งต่ำต้อยเกินกว่าธุรีดินนับล้านเท่า ของให้เศษเสี้ยวชิ้นเนื้อของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในร่างข้า....”
“หยุดนะ มึง” ผมตะคอกสุดเสียงกู”ยิงจริงๆนะโว้ย!”
“....ผู้ซึ่งยังไม่พร้อมจะแสดง พลังใดๆทั้งปวงให้สัตว์โสโครกประจักษ์......”
“ยิงมันเลยลูกพี่ แม่งคนบ้า”ไอ้จ๋อยร้องลั่น
“.........ผู้ซึ่งพร้อมจะกินทุกสรรพสิ่ง จนไม่เหลือจิตวิญณาณ.....”
“ลุกพี่ยิงมัน!! ยิงมัน !!”ไอ้ทึกตะโกน
“ ....ข้าพระองค์ของประทานอาหาร ที่ประกอบไปด้วยจิตใจอันต่ำช้าและไร้เดียงสาของมนุษย์แด่พระองค์........”
เหมือนแสงไฟจากเทียนบางลง เมื่อผมเหนี่ยวไกลปืน แรงถีบของปืนสะบัดจนปืนกะเด็นหลุดมือกระทบพื้นแล้วลั่น กระสุนปืนลูกที่ผมยิงวิ่งเข้าไปที่พุงล้ำหน้าของมัน ยุบลงไปเป็นหลุมเล็กๆแล้วกระสุนก็หมุนควงเป็นสว่านเร็วจี้อยู่แค่นั้น จนมันหมดแรงตกระทบพื้นไม่ละคายผิวหนังแม้แต่น้อย และมันก็ยังคงยืนสวดบทสวดเหี้ยๆนี่ต่อไป
“..........เพื่อประคองให้พระองค์ สืบอยู่ตลอดกาล........”
ไอ้ทึกตะโกนลั่น ว่า ผีหลอก ผีหลอก ผมหันไปมองเห็นแต่หลังของมันที่วิ่งหนีไป ไอ้จ้อยนอนร้องไห้เสียงดัง กองกับพื้นปากพร่ำว่า กูโดนยิงๆๆ มือสองข้างกุมไปที่หน่องซ้ายมีเลือดแดงคล่ำดำๆไหลรินออกมาตามซอกนิ้วมือ
ขาผมแข็งก้าวไม่ออก มองไอ้จ้อยทีมองไอ้สัตว์ประหลาดนี้ทีไม่รู้จะทำยังไง ผมรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่ค่อยๆไหลไปตามขา ผมยืนเยี่ยวแตกอยู่ตรงนั้น และมันก็ยังคงสวดต่อไป
“...........ขอพระองค์ทรงละเว้นแก่ร่างข้าพเจ้าที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยเถิด...”
ทุกอย่างในตึกเงียบ เงาของมันใหญ่ทะมึนทาบไปกับกำแพงตัวของมันดูสูงขึ้นกว่าตอนที่ผมเจอลิบลับ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากเสียงในหัวตัวเองที่บอกให้หนี แต่ขามันก้าวไม่ออก และร่างกายของผมไม่ยอมทำตามคำสั่งผมสักอย่าง แม้แต่จะกระดิกนิ้วยังไม่ได้ ได้แต่ยืนมองจ้องหน้าไอ้ตัวประหลาดอย่างเดียว ลูกตาดำของมันเหลือกขึ้นไปด้านบนจนเหลือแต่ตาขาว ผิวหนังเริ่มแยกตัวออกจากกัน ตัวอะไรบ้างอย่างคล้ายๆใส้เดือนออกมาเต้นยุบยับตามรอยแยก ไล่ตั้งแต่หน้าผากไปหว่างคิ้ว จมูกปากคาง ลำคอ รอยแยกห่างออกจากกันเรื่อยๆช้าๆ ทั้งตัวมันโย้ไปมา หัวของมันเริ่มบิดซ้ายขวาจากช้าๆกลายเป็นรัวเร็ว แขนขาหดหายเข้าไปให้ลำตัว ปากของมันอ้าออกกว้างจนฉีกถึงหู ลิ้นยาวเฟื้อยแลบออกตามลิ้นมีขนแท่งๆส่ายไปมา ผิวเนื้อเริ่มบวมเป่งคล้ายศพขึ้นอึดขยายออกเหมือนลูกโป่งสูบลม สีผิวเปลี่ยนเป็นเขียวคล่ำช้ำเลือดช้ำหนองก่อนจะปริแตก เสื้อผ้าหลุดลุ่ย เปิดให้เห็นส่วนท้อง ผิวหนังส่วนท้องเคลื่อนไหวไปมาเหมือนมีมือคนพยายามจะแหวกว่ายหาทางออกจากนั้นมันก็ปริแตก ลำไส้เส้นยาวๆร่วงลงมาเต้นเร่าๆอยู่กับพื้นเหมือนงูที่เลื้อยอยู่บนกะทะร้อนๆ ตรงหน้าอกมีบางอย่างทะลักพลั่วพุ่งขึ้นสูงจนสุดเพดาน ลิ้นกับไส้ที่ทะลักอยู่ที่พื้นเลื้อยเข้ามาพันกับสิ่งที่ออกมาจากหน้าอกเป็นเกลียว เมือกเหนียวเหนอะหนะกลิ่นเหม็นเน่ากว่าถังใส่เศษอาหารบูด มันขดตัวลงมาเป็นวงเหมือนงูไม่มีผิด แต่เป็นงูที่ตัวกลมๆเหมือนไส้กรอกโดนแทะ ขนยาวทู่ๆตามลำตัวของมันเต้นส่ายไปมาเหมือนงูบนหัวเมดูซ่า มันชูหัวกลมๆที่เปื้อนไปด้วยเมือกขาวมาทางผม ชอนไช้แหวกอากาศมาจนหยุดอยู่ตรงปลายจมูก ตาเท่าลูกปิงปองสีดำสนิทประดับอยู่ตรงปลายสองข้างจ้องมาที่ผม ภาพผมยืนตัวสั่นสะท้อนอยู่ในดวงตาของมัน ปากของมันเริ่มแยกอออกจากกันเป็นสี่แฉก พอที่จะกลืนกินคนทั้งตัว มันพ่นน้ำเหนียวใส่ผมจนเต็มหน้า ผมอยากหลับตาแต่ทำไม่ได้ อยากให้มีคนมาปลุกให้ตื่นจากฝันเหี้ยๆนี่สักที แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าผมเป็นเรื่องจริง ผมเห็นตาเล็กๆของไอ้ตัวประหลาดสะท้อนภาพไอ้จอ้ยที่กำลังจะคลานหนี ก่อนจะถึงบันไดเพียงช่วงตัวเดียว ไอ้ตัวประหลาดนี่ก็พุ่งเข้าหาไอ้จ้อย เงาดำสะท้อนทาบกำแพงเป็นภาพที่ไอ้จ้อยถูกกลืนอยู่ครึ่งตัว มันแหกปากร้องโหยหวนสองมือทุบไปที่ไอ้ตัวประหลาด ไอ้ตัวประหลาดสบัดร่างไอ้จ้อยไปมา หัวของไอ้จ้อยกะแทกเพดานดัง “โพละ” ไม่มีเสียงโหยหวลของไอ้จ้อยอีกต่อไปเหลือไว้เพียงเงาที่ฉาบอยู่บนกำแพงเป็นภาพที่ไอ้ตัวประหลาดกำลังค่อยๆกลืนไอ้จ้อยลงไปจนหมดตัว
ผมเยี่ยวแตกเต็มกางกาง
หลังจากที่มันจัดการไอ้จ้อยเสร็จ มันเลื้อยตัวกลับมาพันโอบผมไว้จนถึงคอหลวมๆ ขนที่ส่ายไปส่ายมาไร้ไปตามตัว เมือกเหนียวๆเปื้อนซึ่มไปในเสื้อผ้า น้ำตาผมไหลพราก อยากจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาแต่ก็ไม่มีแรง คอแหบแห้ง หัวใจเต้นแรงจนหน้าอกสั่น เส้นประสาทที่หัวเต้นตุบๆจนได้ยิน ผมอยากให้มันเป็นเหมือนในหนังที่มีพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาช่วย แต่ลึกๆมันก็แย้งอยุ่ว่าพระเอกจะมาช่วยแต่คนดีเท่านั้น คนเลวๆอย่างผมเขาจะมาช่วยทำไม ที่สำคัญตึกนี้หน้าต่างถูกปิดไว้ด้วยมือผมเองคงไม่มีใครมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้แน่
ตาดำขับของมันจ้องเข้าไปในดวงตาของผม จ้องเข้าไป ล้วงลึกลงไปทำเหมือนมันพยายามจะอ่านผม ผมอยากหลับตาเบื้อนหน้าหนีแต่ผมทำไม่ได้ มันมีแรงเรียกร้องอยู่ในใจให้มองมันตอบ ส่วนนึงของสมองสั่งให้ผมหลับตา สมองอีกส่วนสั่งให้มองมัน ดวงตาของมองช่างมีอำนาจเย้ายวนให้จับจ้อง00000000000000 ยิ่งมองเข้าไปในตาของมัน ดวงตาของมันสะท้อนภาพอดีตของผม ภาพอดีพที่โหดร้ายและทำให้ผมมาอยู่ตรงนี้ ภาพเหล่านั้นปรากฎในดวงตาดำขลับของมันเหมือนจอทีวีขาวดำ ภาพผมกำลังเอามีดจ้วงแทงพ่อเลี้ยงอย่างบ้าครั้ง เสือดกระเซ็นเปรอะไปทั้งตัว ผมหัวเราะทั้งน้ำตาอย่างบ้าคลั่ง พ่อเลี้ยงผมล้มลงกองกับพื้นมือข้างหนึ่งกำชายเสื้อผมไว้แน่น แววตาเต็มไปด้วยความงุนงงว่าลูกเลี้ยงคนนี้ที่เขาเคยกระทืบเช้าเย็นจึงกล้าสู้และแทงเขาจนใกล้จะเห็นนรก แม่ผมแม่แท้ๆของผมวิ่งเข้ามาทางด้านหลังทุบตีผม ก่อนถลาลงไปประคองร่างของไอ้ชั่วที่กระทืบลูกชายตัวเองเช้าเย็นอย่างรักใคร่อาวรณ์ ตั้งแต่จำความได้แม่ไม่เคยช่วยผมเลยสักครั้งจากการถูกไอ้พ่อเลี้ยงกระทืบ บางครั้งยังเข้าข้างและร่วมวงทุบตีผมด้วย ผมทิ้งมีดวิ่งหนีออกจากบ้าน โดยมีแม่แท้ๆตะโกนด่าทอตามหลัง จากนั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นภาพขนานที่ผมออกมาใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน ออกคุ้ยอาหารกินตามถังขยะ ภาพผมทุบตีขอทานพิการแก่ๆเพื่อแย่งเอาเศษเงิน ตีด้วยไม้ให้หัวแตกเพื่อเรียกเลือดออกมาดูเล่น และยืนดูเลือดที่ไหลออกมาอย่างสะใจ ภาพผมละเลงเลือดศัตรูของผมไปตามกำแพง ภาพผมเอามีดกรีดท่อนแขนตัวเองเพื่อดูเลือดที่ไหลออกมาซิบๆ ภาพไอ้โตหัวแตกเลือดทะลักและผมกระทืบซ้ำเพื่อให้มันทะลักกว่าเดิม
ผมมองดูภาพเหล่านั้นผ่านดวงตาของมัน เลือดไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสุขสมอีกต่อไป ในตอนนี้มันกลับทำให้ผมอยากอ้วก น้ำลายเปรี้ยวๆเหนียวๆเต็มปาก บางส่วนย้อยออกมาจากปาก พอที พอทีผมดูต่อไปไม่ไหวแล้ว
“พอทีไอ้สั้ตว์นรกกกกกกกกกกกกกกก”ผมตะโกนออกไป รู้สึกว่าตัวเองหายใจสะดวกขึ้นที่ได้ตะโกน ผมหอบแหกๆเหมือนต้องใช้แรงทั้งชีวิตในการตะโกน ร่างกายผมเริ่มขยับได้ตามใจอีกครั้ง ผมกระพริบตาและหลบตามันได้ สติกลับคืนมาผมเริ่มดิ้นเพื่อให้หลุดออกจากการรัดของมัน แต่ก่อนที่ผมจะหลุดมันส่งเสียงขู่ดังก้องอยู่ในหัวสมอง มันไม่มีเสียงร้องของสัตว์บนโลกนี้มีเสียงเหมือนมัน ทรงพลัง เยือกเย็นและผมไม่ได้ยินเสียงมันผ่านหูแต่ได้ยินผ่านสมอง ดังจนสมองสั่น น่ากลัว แข้งขาอ่อนแทบทรุด มันรัดผมแน่นกว่าเดิม กระดูกซี่โครงผมบีบเข้าหากันจนหายใจเชข้าแต่ละทีรู้สึกเจ็บ ตายแน่ๆมึงตายแน่ๆในสมองผมคิดออกแต่คำนี้
อยู่ๆมันก็ดังขึ้นในสมอง
‘ท่านจะไม่ตาย’
ผมหันหาต้นเสียงนั้น แต่ในตึกนั้นไม่มี มีเพียงมันกับผมเท่านั้น ผมมองตามัน รู้สึกว่าขนบนตัวของมันหยุดส่ายไป
‘ข้าจะให้ทางเลือกกับท่าน’
น้ำเสียงของมันนุ่มนวลน่าฟัง โอบไปด้วยไออุ่น
“ทำอะไรร จะให้ผมทำอะไร ผมยอมทุกอย่าง”ผมพูดออกไป เสียงสั่นอย่างไม่ต้องแกล้งดัด
มันคลายตัวจากการรัดผมออกหน่อยนึง ทำให้ผมหายใจได้สะดวกขึ้น
‘รับใช้พระองค์ ผู้อยู่เหนือทุกอย่าง’
“ทำครับ”ผมพยักหน้าดิกๆทางรอดชีวิตเห็นอยู่ร่ำไร รับปากไปก่อนรอดชีวิตแล้วค่อยว่ากัน
”ผมยินดีทำให้ทุกอย่าง”
‘ อย่า ท่านอย่าโกหกพระองค์ พระองค์รู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ในใจท่านทำให้พระองค์โกรธ’
มันรัดผมแน่น ผมได้ยินเสียงกระดูกตัวเองลั่นชัดเจน ผมพยายามดิ้นเพื่อให้พ้นจากความทรมาน แต่ยิ่งขยับยิ่งเจ็บ
‘เราจะกินท่านให้เหมือนกับที่เรากลืนกินท่านผู้นั่นเมื่อสักครู่นี้’
ปากของมันอ้าออกสี่แฉก ฟันแหลมคมนับร้อยอยู่ในนั้น เมือกขาวๆย้อยอย่างน่าสะอิดสะเอียน ลัวมันก็งับลงมาที่หัวผม
“ยอมแล้ว ยอมแล้วจริงๆให้ทำอะไรก็ได้ ผมยอมแล้ว อย่ากินผม อย่ากินผม” ผมบอกออกไปยอมแล้วจริงๆจากหัวใจก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวเพียงเสี้ยววินาที มันคายผมออกจากปาก เมือกชุ่มเต็มหัวผมไปหมด ในจ้องตาผมล้วงลึกลงไปในทุกส่วนของความคิด
‘เรายินดีที่ท่านอยากรับใช้พระองค์ สืบทอดเจตจำนงของพระองค์ เพื่อดำรงและขยายเผ่าพันธุ์ของพระองค์’
ผมหมดแรงแล้ว หมดสิ้นทุกอย่าง ไม่มีทางที่ผมจะสู้ได้เลยมันเข้ามากลืนกินแม้แต่ในจิตใจของผม ผมไม่สามมารถควบคุมร่างกายตัวเองได้อีกตอนนี้ร่างกายของผมไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองอ้าปากออกกว้าง มันเองก็อ้าปากเหมือนกันแต่รอบนี้ปากมันเหมือนท่อมากกว่า ยื่นเข้ามาใกล้กับปากของผม ตัวอะไรบางอย่างคล้ายปลิงคลานออกมาจากปากของมัน ผมเห็นมันช่วงแวบนึงเหมือนขนที่เต้นยุบยับตามตัวของมันไม่มีผิด มันมาหยุดที่ปลายปากท่อ แล้วงอตัวพุ่งเข้ามาในปากมันคลานไปทั่วปาก ก่อนจะไช้ตัวเข้าไปในลิ้น ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ไม่เจ็บ ไม่แม้แต่อยากจะอ้วกหรือดิ้นรนบ้วนเอามันออกมา ยังไม่จบแค่นั้นลูกกลมๆสีเทาใสๆขนานประมาณลูกแก้วกลิ้งออกมาจากปากมันเข้าปากของผม ไหลลงไปในคอเม็ดแล้วเม็ดเล่า เม็ดไหนพลาดตกลงพื้นมันก็แตกฝ่ออกเป็นควันจางๆ ไอ้ตัวหนอนเล็กๆเหมือนเส้นขนของมันอยู่ในนั้น ขยับดุกดิกสองสามทีก่อนจะนิ่งไป ผมรู้สึกว่าไอ้ลูกกลมๆพวกนี้มันไปกระจุกอยู่ทั่วลำคอไปไปหมด มันทำให้ร่างกายของผมเริ่มหายใจไม่สะดวก แต่ตอนนี้ผมเป็นเพียงแค่ผู้ชมเท่านั้นไม่มีสิทธิ์สั่งการอะไรร่างกายได้ ไข่ของมันยังคงทะลักเข้ามาในปาก อย่างพรั่งพลู ร่างของผมเริ่มกระตุกเพราะขาดอากาศ
แล้วผมก็หมดสติ
ผมรู้สึกตัว มองไปรอบห้อง งงอยู่ไม่น้อยที่มานอนอยู่บนเตียง สะอาดสะอ้านเพราะปกติที่นอนของผมที่ใต้ทางด่วนเป็นฟูกเก่าๆ ผมขยี้ตาเผื่อว่าละเมอ ทองสำรวจไปทั่วร่างกายเห็นสายยางเจาะอยู่ที่หลังมือ มองตามสายยางไปพบถุงน้ำเกลือห้อยอยู่กับเสาข้างเตียง ตรงหัวนอนมีเครื่องที่แสดงตัวเลขสายของมันต่อมาที่หน้าอกผม เกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ ผมพยายามคิดทบทวน แต่หัวปวดตุบๆ เหมือนสมองไม่ใช่ของผมเอง ยิ่งคิดมากเท่าไรก็จะมีคำพูดบางคำหลุดเขามากวนความคิดบ่อยๆ ‘เผยแพร่พระองค์ ‘ บ้าง ‘ดำรงอยู่เพื่อพระองค์’บ้าง
ผมมองสำรวจไปรอบห้องมีเตียงอยู่สี่เตียง สองเตียงว่าง เตียงหนึ่งเป็นของผม อีกเตียงเป็นของไอ้อ้วนหน้าตาบวมปากเจ๋อ มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบหัวนอน สภาพเหมือนไปโดนส้นตีนใครมานอนหลับอ้าปากกรนสนั่นห้อง ที่ข้อมือของมันมีกุญแจมือล็อคไว้กับเตียง ฉิบหายแล้วนี่ผมอยู่โรงบาลตำหนวดแน่ๆ ผมยกมือเกาหัวยิกๆถึงได้รู้ว่าบนหัวไม่มีผมสักเส้น ผมโกรธขึ้นมาจับใจใครบังอาจโกนผมอันงดงามของกูวะ จับได้พ่อจะกระทืบให้มือหักเลยคอยดู
‘หล่อเลี้ยงพระองค์’ คำพวกนี้ไหลผ่านมาเป็นวูปๆ
ประตูห้องถูกเปิดเข้ามา มีชายร่างเล็กผอมเดินเข้ามาพร้อมพยาบาลเดินตามหลัง เขาหยุดมองที่ผมส่งยิ้มให้ ผมเก๊กหน้าบึ่งใส่ (ไอ้นี่แน่ๆที่โกนหัวกู สักวันเถอะมึง) หมอเดินเข้ามาตรวจนั่นนี่ตามร่างกาย ผมรู้สึกรำคาญอยู่ไม่น้อย มันบอกว่าผมหลับไปสองอาทิตย์ ชีพจร(คืออะไรวะ)เต้นช้ามาก ความดันก็ต่ำแบบไม่เคยเจอคนไหนต่ำเท่าผม ผมเหมือนคนใกล้ตายแต่เท่าที่ดูด้วยตาผมยังแข็งแรงปกติ สงสัยไอ้เครื่องพวกนี้มันจะเสียต้องส่งให้ตรวจสอบ ผมถามหมอไปว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง มันตอบว่าเดี๋ยวตำรวจเขาจะมาให้ถามตำรวจเอาเอง
ก่อนหมอจะไปตรวจไอ้อ้วนเตียงตรงข้ามผม ผมเอ๋ยปากถามหมอ
“ท่านเห็นคัมภีของข้าพเจ้าหรือไม่ขอรับ”ผมถามออกไปโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำแถมยังไม่รู้อีกว่าคัมภีคืออะไร ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อยกับปากของตัวเองที่พูดสุภาพเล่านั้นหลุดจากปาก
‘หมอบภัตราหารแด่พระองค์’
“อยู่ในลิ้นชักตู้ข้างเตียง”หมอตอบพลางเดินไปตรวจไอ้อ้วน
ผมหยิบคัมภีจากลิ้นชัก ความรู้สึกบางอย่างพุ่งผ่านมือเข้าสู่ร่างกาย มันเป็นความสบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เวิ่งว้าง ว่างเปล่าแต่พลังเต็มเปี่ยมไปทุกสัดส่วน แม้แต่ลำไส้ผมก็เคลื่อนตัวไปมาอย่างยินดี
‘สวดให้แก่พระองค์’
ผมเปิดคำภีอ่าน ภายในมีตัวหนังสือแบบที่ผมไม่เคยเห็น ไม่เหมือนทั้งภาษาไทย อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น มันเป็นเส้นกระยึกกระยือราวกับไส้เดือนพันกัน แต่ผมกับอ่านได้อย่างเข้าใจและทราบซึ้งในเมตตาที่พระองค์หมอบให้ พระองค์ผู้เป็นหนึ่งในจักรวาล พระองค์ผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง พระองค์ผู้มอบเศษของพระองค์ให้แก่ผม ผมอ่านมันจนพระอาทิตย์เปลี่ยนเป็นพระจันทร์ ยิ่งดึกพลังของพระองค์ในร่างผมยิ่งแจ่มใส ลิ้นผมยาวแผลบเข้าแผลบออกเลื้อยเล่นไปตามใบหน้า
ผมโขยกขเยกลงจากเตียง เดินไปที่ไอ้อ้วนที่นอนกรนสนั่นอ้าปากกว้าง ผมก้มมองดูใบหน้าบวมช้ำของมันนึกสงสารขึ้นมาจับใจ ผมอยากให้มันรู้จักกับพระองค์เหลือเกินจะได้ไม่ต้องมานอนทรมานอยู่เช่นนี้ ผมก้มหน้าลงไปชิดกับมันมากขึ้น ปากอ้าออกจากกันเป็นสี่แฉก ลิ้นของผมเลื้อยเข้าไปในปากของไอ้อ้วน ปล่อยลูกๆของพระองค์ไหลไปในคอ หลังจากนั้นแล้วข้าพเข้าก็เริ่มสวดบทสวดแบบชายหัวโล้นผู้นั้น เป็นประจำทุกคืน
................................................................................................................................................................................
ผลงานอื่นๆ ของ ศิษย์ธา ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ศิษย์ธา
ความคิดเห็น