ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระดาดาวพร่างพราวฟ้า

    ลำดับตอนที่ #4 : ณรงค์เดช 2

    • อัปเดตล่าสุด 2 มี.ค. 54


    ริมฝีปากหยักงามสีชมพูระเรื่อเม้มเข้าหากันแน่น เมื่อความรู้สึกที่ถูกมองเหมือนตัวประหลาดบังเกิดขึ้น ตกประหม่า และขวยเขิน เด็กชายไม่เคยอยู่ท่ามกลางผู้หญิงมากมายเช่นนี้มาก่อน และที่สำคัญ พวกเธอล้วนเป็นเด็กสาว มันจึงเป็นเรื่องปกติหากเด็กหนุ่มสักคนที่ต้องตกมาอยู่ในที่นั่งเดียวกับเขาจะทำตัวไม่ถูก ร่างอวบอ้วนของมาแมร์วัยกลางคนเดินผ่านประตูเข้าห้องไปแล้ว แต่ณรงค์เดชยังคงยืนนิ่งราวถูกสาบอยู่ที่เดิม

    “เอ้า! เข้ามาสิ” แม่ชีฝรั่งวัยกลางคนเรียกเสียงสะบัด เธอเดินกลับมาเพื่อมาตามเด็กหนุ่มที่ยังคงยืนเด๋อด๋าอยู่หน้าห้อง

    “ครับ” ณรงค์เดชรับคำอย่างสั้น แล้วเดินตามเธอเข้าไป ใบหน้างดงามราวกับรูปสลักของเดวิดแห่งตะวันออกแส้รงทำเป็นนิ่งเฉย พยายามเก็บข่มอารมณ์สะท้านอายไว้ให้มิดชิดที่สุด แต่เจ้ากรรมราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง ด้วยผิวพรรณสว่างนวลไม่ผิดอะไรกับหยกขาวเนื้อดี อันบ่งบอกถึงสายเหลือซึ่งมีส่วนปะปนของชนชาติแห่งโพ้นทะเลเริ่มปรากฏเป็นสีชมพูจางๆ แล้วเข้มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนุ่มน้อยหยุดยืนอยู่ตรงกลางหน้าชั้นเรียน

    “อา... ทุกคนทราบล่วงหน้าแล้วนะ ว่าวันนี้เราจะมีเพื่อนใหม่มาเรียนร่วมชั้นกับพวกเธอ” มาแมร์วัยกว่าห้าสิบกล่าวด้วยน้ำเสียงอันกังวาน

    “เขาเป็นผู้ชายนี่คะมาแมร์ขา.....” เด็กหญิงผิวคล้ำแย้งขึ้นมา ก่อนที่ครูประจำชั้นของเธอจะพูดจบ

    รู้ดีอยู่แล้ว แต่เพียงแค่ต้องการจะหยอกเย้าไปตามความคะนองของวัย เพื่อต้อนรับน้องใหม่ต่างเพศให้ได้อาย ในฐานะเจ้าถิ่นผู้ครอบครองสถานที่นี่มานานอย่างเป็นเอกเทศของคนเพศเดียว คอนแวนต์แห่งนี้ นอกจากภารโรงเพียงไม่กี่คน ก็มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น ทั้งครู นักเรียน ยาม รวมไปถึงผู้รับจ้างใช้แรงงาน และไม่เคยมีชายใดได้เคยได้เหยียบย่าง ผ่านเขตคามลึกเข้ามาจนถึงตึกเรียน อย่างเก่ง ก็แค่อาคารธุรการซึ่งอยู่ส่วนหน้า หลังรั้วประตูทางเข้า

    ยังคงเคอะเขิน ณรงค์เดชเบี่ยงเบนความประหม่า ด้วยการเสสายตายมองไปรอบห้องลดความกดดัน สีขาวสะอาดและสว่างไสวซึ่งถูกทาบนผนังอย่างเรียบง่าย ทำให้ห้องเรียนดูเจิดจ้า และหรูหราได้อย่างน่าประหลาด แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นเท่าไหร่นัก โรงเรียนไฮโซแบบนี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเหยียบย่าง ต่างประเทศเขาก็เคยไปมาแล้ว ป๋าไม่เคยเลี้ยงให้เขาน้อยหน้า ทุกอย่างที่ลูกบ้านใหญ่ได้ ณรงค์เดชก็ได้อย่างเท่าเทียม ออกจะมากว่าด้วยซ้ำ ในฐานะที่เป็นลูกรัก เป็นลูกคนเล็ก ซึ่งถือกำเนิดในวันที่ป๋าของเขามีอายุล่วงเลยมากว่าห้าสิบ

    แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกเมียใหญ่ แต่ด้วยใบหน้าที่เหมือนผู้เป็นบิดาราวกับถอดแบบ เจ้าสัวผู้มั่งคั่งจึงทั้งรักทั้งหลง อะไรก้ตามที่อำนาจแห่งเงินจะดลบันดาลให้ได้ ถูกประเคนให้คุณชายเล็กอย่างไม่เคยมีหมด ของเล่นราคาแพง โรงเรียนประจำชั้นดี ค่ายฤดูร้อนต่างแดน อีกทั้งโครงการเรียนต่อต่างประเทศหลังจากที่เขาจบ ม.3 เมื่อลูกคนนี้เรียนเก่งเป็นยิ่งนัก

    แต่ทว่าทุกสิ่งทุอย่างกลัยต้องสูญสลายลงไปกับตาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ราวกับปราสาททรายที่สูญสลายอย่างฉับพลัน เมื่อสิ้นกำแพงป้องกันคลื่น ป๋าสิ้นบุญอย่างกระหันด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ในบ้านราคาหลายล้านที่ท่านยกให้เขากับแม่อาศัยอยู่ และเกือบจะเป็นที่อยู่ถาวรของท่านในช่วงเวลากว่าสิบปีสุดท้ายของชีวิต

    จากโรงเรียนดังในอังกฤษ และมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ลดลงมาเหลือแค่แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนเดิม กับคณะแพทยศาสตร์ของโรงเรียนแพทย์อะไรก็ได้ในเมืองไทย แต่อนิจจา เพียงไม่กี่ปีหลังจากการเสียชีวิตของผู้เป็นบิดา แม่ก็มาจากไปอีกคน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีเคยได้ ทั้งบ้านหลังใหญ่ รถยนต์หรู และร้านดอกไม้อันเป็นที่ทำมาหากินของผู้เป็นมารดา ถูกเมียใหญ่ของพ่อยึดเอาไปจนหมดจนสิ้น สิ่งที่เขาเพิ่งจะได้รู้ ทรัพย์สินทั้งหมดทั้งมวลที่เขาเคยเข้าใจว่าพ่อยกให้ ถูกฟ้องร้องเอาคืนจากบรรดาลูกๆ และภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของป๋า คนที่เด็กชายเรียกพี่และแม่ใหญ่อย่างสนิทใจ แม่ของเขาพยายามอย่างยิ่งที่จะแย่งยื้อสิ่งที่เธอคิดว่าได้มาอย่างชอบธรรมจากมาจากคนเหล่านั้น แต่เธอแพ้ และเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ก่อนจะทันได้ยื่นอุทธรณ์ ด้วยวัยเพียงสิบสี่ปี เด็กชายณรงค์เดชถูกไล่ออกจากบ้านของตัวเอง ที่อยู่มาทั้งชีวิตอย่างหมูหมา

    จริงสิถ้าแม่ไม่ตายหนึ่งปีเต็มที่เฝ้าวนเวียนครุ่นคิด จริงสิ ถ้าป๋าไม่ตายและมากกว่าหนึ่งปีที่พ่อหนุ่มน้อยเฝ้านึกอย่างซ้ำซาก

    ชีวิตบัดซบ หนึ่งปีที่ผ่านมา เขาต้องตระเวรไปอาศัยอยู่ตามบ้านญาติ ซึ่งแน่นอน ณรงค์เดชไม่เป็นที่ต้อนรับ ญาติทุกคนรับเขาไว้อย่างเสียมิได้ ไม่นานก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ เมื่อคนหนึ่งเฉดหัวออกมา ก็ต้องซมซานไปขออาศัยอยู่กับอีกคนหนึ่ง วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่ต่างอะไรจากลูกฟุตบอลที่ไม่มีใครต้องการ

    ภาระคือเหตุหนึ่ง สถานะภาพก่อนตายของแม่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่ง ไม่มีใครอยากจะนับญาติกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยเมียเก็บ ลูกเมียน้อยอย่างเขาก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ยามที่ยังมีชีวิตอยู่ แม่ของเขาก็ช่วยเหลือคนเหล่านั้นไว้มาก แต่พอตายจาก ก็เหมือนกับว่าบุญคุณเหล่านั้นก็หายกัน เขายังจำภาพที่น้องสาวคนเดียวของแม่อ้อนวอนคนพวกนั้นได้ดี มันจึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาต้องหยุดเรียน

    ก็แน่ล่ะ ให้ข้าวกิน ให้ที่ซุกหัวนอนก็บุญนักหนา จะหวังอะไรอีก ที่มากกว่านั้น

    “ทนเอาหน่อยนะโป้ง น้าสัญญาว่าโป้งต้องได้กลับเรียนหนังสือแน่ๆ ขอเวลาน้าหน่อยนะ” นั่นคือคำมั่นสัญญาจากญาติสนิทเพียงคนเดียว น้าจา

    ณรงค์เดชไม่คิดจริงจังกับลมปากของจารินทร์ผู้เป็นน้าสักเท่าใดนัก แม้ว่าเธอจะรับปากแข็งขัน เห็นจากท่าทาง น้าจาของเขาไม่ได้โกหก หรือให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แต่ก็ดูเอาเถอะ เธอจะให้เขาหวังอะไรได้ ลำพังตัวของเธอเอง เจ้าหล่อนยังเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำไป

     

    ต้องขออภัยที่อัพทีละนิด บอกตรงๆ นิยายเรื่องนี้แต่งยากกว่าที่คิด วันหนึ่งเขียนได้ไม่กี่บรรทัด กว่าจะรวบรวมให้พออัพได้ก็หลายวัน สัญญานะคะว่าจะเข้ามาอัพให้มาที่สุด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×