ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ระดาดาวพร่างพราวฟ้า

    ลำดับตอนที่ #6 : ณรงค์เดช4

    • อัปเดตล่าสุด 6 เม.ย. 54


    “ว้าว.....!” เด็กสาวพากันร้องครางด้วยความตื่นเต้น ก็แน่ล่ะ ทำไมจะไม่ล่ะ ลำพังจะได้รู้จักกับชายหนุ่มธรรมดาๆ ก็ว่าเป็นเรื่องยากแล้ว แต่นี่ พ่อคนนี้ นอกจากรูปร่างหน้าตาที่บาดหัวใจใครต่อใคร เขายังเดินเข้ามาให้พวกเธอทำความรู้จักอย่างไม่ต้องเที่ยวไปเสาะแสวงหา พร้อมกับคุณสมบัติตามมาตรฐานที่พวกเธอกำหนดสเป็กไว้สูงลิบลิ่วตามวัยของเด็กสาวอย่างครบถ้วน

    แต่... แม่หนูน้อย โลกนี้ไม่ใคร หรือสิ่งใดจะเพอร์เพ็กอย่างใจเรา รู้หรือไม่ ว่าภายใต้ภาพลักษณ์อันสว่างสดใส ที่ห่อหุ้มฉาบกายสูงสง่าเอาไว้ เพื่อนใหม่รูปงามของพวกเธอมีมุมมืดซึ่งลวงตาด้วยความไม่รู้จัก ไม่ต่างอะไรกับผิวนวลของดวงจันทร์ซึ่งพลางหลุ่มบ่อของตนเองไว้ด้วยข้อจำกัดทางสายตาของมนุษย์

    แต่ก็นั่นล่ะ การมองความเป็นไปในทุกสิ่งอย่างฉาบฉวย เป็นธรรมชาติของเด็กหญิงผู้เยาว์ต่อชีวิต ซึ่งโลกของเธอยังคงไม่เดียงสาพอ เพื่อจะลึกซึ้งกับทุกอย่างที่เข้ามาเพียงผ่านตา อยากรู้นัก ถ้าเหล่าบรรดาคุณหนูหงส์ขาวรู้ว่าเจ้าของร่างสูงตรงหน้าเป็นลูกเมียน้อย และจนกรอบ เจ้าหล่อนทั้งหลายจะว่าอย่างไร เมื่อที่มาของพวกเธอล้วนสูงส่งและสะอาดสะอ้าน มากกว่าคนที่สังคมรังเกียจในสถานะภาพ เด็กชายกำมือแน่ เมื่อความคิดอันดูถูกตนเองได้ตื่นตัวขึ้นมาในหัวสมอง

    “เขาหล่อด้วยค่ะ มาแมร์ขา....”

    “ใครบอกว่าหล่อย่ะ ล้อหล่อต่างหาก” เด็กสาวสวมแว่นตาแย่งเพื่อนของเธออย่างก๋ากั่นเกินหน้าตา

    ซึ่งมันก็ทำให้เกิดเสียงหัวเราะดังลั่น ตามมาด้วยการโห่หาปาก ส่งเสียกรีดกราดตบมือกระทึบเท้าสะใจกันให้ขรม ผิดคาดหนุ่มน้อยผู้ยืนอยู่หน้าชั้น อะไรกัน นึกว่าจะเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ ใครจะคิดว่าเด็กคอนแวนต์จะแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าได้ใจถึงขนาดนี้ณรงค์เดชนึกคิดอยู่กับตัวเอง พลางหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อกระบวกการร้องกระเซ้าเพศตรงข้าม อันเป็นเรื่องต้องห้ามของกุลสตรีผู้เพรียกพร้อมยังคงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนาน และดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เด็กหนุ่มได้แต่ยืนนิ่ง รอคอยให้ช่วงเวลาอันแสนจะอึดอัดขัดข้องผ่านพ้นไป แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีวันสิ้นสุด

    “ใครบอกว่าล้อหล่อยะ อย่างงี้เขาเรียกว่าโคตรหล่อย่ะนังบิ๋ม ฮะๆๆๆๆๆๆ‘’

    เสียงโห่เสียงกรี๊ดดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้ง

    “โคตรหล่อน่ะยังไม่พอหรอกนังจอย หน้าหยกแบบนี้เขาเรียกโคตรๆๆๆๆ หล่อ”

    สิ้นประโยคนั้น เด็กสาวทั้งหลายก็พากันกรี๊ดอีก ราวกับพวกเธอกำลังชมคอนเสิร์ตของนักร้องดังก็ไม่ปาน จนกระทั้ง

    “มากไปแล้วพวกเธอ” มาแมร์ออกปากปรามหลังจากที่เห็นว่ามันชักจะเลยเถิด “สำรวมในความเป็นสุภาพสตรีกันหน่อย เที่ยวโห่ฮาปากแซวผู้ชายอย่างนี้ไม่งามเลย” คุณครูกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันและจริงจังอย่างตำหนิ เสียงหัวเราะกรีดกราดสงบเงียบลงไปในทันใด แต่ดูเหมือนว่าพวกสาวน้อยเหล่านั้นหาได้สำนึกผิดกับสิ่งที่พวกเธอเพิ่งจะได้กระทำลงไปด้วยความคะนอง สาวๆ เงียบเพราะกลัวท่าทีเอาจริงของครูมาแมร์มากว่า เมื่อทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาวะนิ่งสนิท ณรงค์เดชจึงได้โอกาสแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ

    แต่ว่า... สถานการณ์ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก กว่าความรู้สึกอึดอัดขัดข้องของเด็กหนุ่มจะสิ้นสุดก็ปาเข้าไปเที่ยง ณรงค์เดชรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น หลังจากถูกแกล้งเกือบจะตลอดเวลาที่นั่งเรียนในภาคเช้า

    “โอ๊ย... บังอะ ตัวสูงอย่างกะเสาไฟฟ้า” เสียงบ่นกระปอดดังลอยมาจากทางด้านหลัง เมื่อเด็กชายนั่งลงตรงโต๊ะแถวหน้าริมหน้าต่างได้ครู่หนึ่ง

    “แลกที่นั่งกันเอาไหม” เขาถามอย่างอารี เมื่อรู้ตัวดีว่าที่ตรงนี้ ไม่น่าจะใช่ที่ของเขา “ให้เราไปนั่งข้างหลังก็ได้”

    แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ณรงค์เดชรออยู่นานจึงหันหน้ากลับมา หนุ่มน้อยไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่พวกเธอจัดที่นั่งให้เขาเช่นนี้ แล้วมานั่งบ่นอยู่ข้างหลัง แต่ไม่นานนักเจ้าของร่างเสาไฟฟ้าก็เข้าใจ เมื่อกระดาษก้อนเล็ก ถูกปาใส่เขาตลอดเกือบตลอดเวลาที่นั่งเรียน แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ เมื่อลูกแก้วสีสวยลอยเข้ามาอัดกับศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างแรง

    “โอ๊ย!” ณรงค์เดชร้องลั่นด้วยความเจ็บ เด็กชายเอามือกุมจุดที่โดนโจมตี กะโหลกบางๆ ของหนุ่มน้อยปุดบวมขึ้นมาเป็นลูกมะกรูด เขาหัวโน บ้าจริง แม่สาวๆ พวกนี้เล่นหนังสติ๊กด้วยหรือ? และนี่ก็คือเหตุผล

    นั่งหน้า แกล้งสะดวกได้ทั้งห้อง

    ครูแม่ชีหันหน้าออกจากกระดาน เมื่อได้ยินเสียงของเขาร้องขึ้นมารวมไปถึงเสียงลูกแก้วกระเด็นตกกระทบกับพื้น  เธอเดินเข้ามา เพื่อเก็บเจ้าก้อนกลมแข็งที่กลิ้งอยู่บนพื้น

    “ฝีมือใคร” หล่อนถามเสียดุ

    แต่ก็ไม่มีผู้ใดตอบ ก็แน่ล่ะใครยอมรับก็โง่แล้ว

    “ที่บ้านเป็นโรงงานผลิตกระดาษเหรอ ถึงได้เอามาฉีกเล่นแบบนี้” เธอกวาดตามองเจ้าก้อนสีขาว ที่เกลื่อนพื้นอยู่เป็นวงรอบที่นั่งของเด็กหนุ่ม จนแทบจะกลบพื้นไม้สีน้ำตาลเสียเกือบมิด แต่ก็ขอขอบคุณแทนพ่อหนุ่ม ที่เธอพอจะหันมาปรามลูกศิษย์จอมแก่นของเธอบ้าง หลังจากทำเป็นดูดายไม่รู้ไม่ชี้จนเกือบจะหมดชั่วโมง “หยุดรังแกณรงค์เดชได้แล้ว”

    เธอสั่งด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาดชวนให้หนาวๆ ร้อนๆ อย่างบอกไม่ถูก และทุกอย่างจบลงด้วยกริ่งบอกเวลา เที่ยงแล้ว เมื่อเสียงบอกลาครูผู้สอนตามแบบแผนของการศึกษาที่ได้ปฏิบัติมาร่วมร้อยปีของเด็กๆ จบสิ้น และครูมาแมร์ของพวกเธอกรูกันออกจากห้องด้วยความเร่งรีบ เสียงตะโกนโหวกเหวกดังไปทั่ว เสียงตึงๆ ของฝีเท้านับร้อยกึกก้องแข่งกับเสียงโวยวายเจี๊ยวจ๊าว สาวน้อยพากันวิ่งลงบันไดอย่างโกลาหล ราวกับการหนีตายอย่างไรอย่างนั้น

    “จะรีบกันไปถึงไหน” ณรงค์เดชบ่นเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ เมื่อเขาถูกกระแทกจากทางด้านหลัง แล้วถูกผลักจนหัวทิ่ม จากเพื่อนร่วมชั้นที่รู้สึกว่าเด็กชายเกะกะ จากการอ้อยสร้อยเดินอย่างใจเย็นของของพ่อคนตัวสูง

    ก็แน่ล่ะ วัฒนธรรมรีบตาเหลือกแบบนี้ สำหรับผู้มาใหม่ ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ก็ในเมื่อเด็กหนุ่มคิดว่า นักเรียนของที่นี่ล้วนกินอาหารที่โรงเรียน ซึ่งก็มีมากพอสำหรับทุกคนอยู่แล้ว เหลือกินเหลือใช้ด้วยซ้ำไป แต่ไม่นานนักเขาก็มองเห็นเหตุผลอย่างไม่ต้องมีใครบอกกล่าว เมื่อนักเรียนชายคนเดียวของโรงเรียนเหยียบย่างเข้าไปในโรงอาหารเป็นครั้งแรกของวันจันทร์

    เด็กสาวนับร้อยแออัดยันเยียดจนแทบจะไม่มีให้ยืน มันแตกต่างจากในวันที่เขาเข้ามารับประทานอาหารมื้อแรก พื้นที่ที่เด็กหนุ่มรู้สึกกว้างใหญ่ในวันเสาร์อาทิตย์ ดูแคบไปถนัดเมื่อมาถึงวันจันทร์ จริงสิ เขาลืมคิดไป วันนี้ไม่ใช่วันที่เด็กสาวเหล่านี้จะละทิ้งโรงเรียนไปอยู่บ้าน มันจึงไม่ใช่เรียงแปลกที่ก่อนหน้านั้นโรงอาหารขนาดเท่าสนามฟุตบอลจะเกือบร้าง และเบียดเสียดในวันแรกของการทำงาน หรือเรียนหนังสือ อะไรก็แล้วแต่

    ณรงค์เดชยืนมองแถวที่ยืนรอรับอาหารของเพื่อนร่วมโรงเรียนที่ยาวเหยียดในทุกๆ แถว จากช่องแจกอาหารนับสิบอย่างตาลาย แล้วค่อยๆ พินิจดูทีละแถว เพื่อหาความเป็นที่สุดของการเรียงตัวของผู้คนอันดูสั้นกว่าแถวใดๆ แล้วไปยืนต่อท้าย

    “ก็ยังดีที่รู้จักต่อคิว ไม่งั้นคงวุ่นตาย” เด็กหนุ่มคิดกับตนเองอย่างขำๆ เขาแอบหัวเราะเล็กๆ อย่างขำๆ “ที่นี่อบรมแม่พวกนี้ได้ไม่เลว”

    ผ่านไปห้านาที ผู้คนที่ต่อคิวหายไปหนึ่งในสี่ ณรงค์เดชคำนวณเวลาอย่างคร่าวๆ  อีกสิบห้านาทีเขาก็จะได้รับถาดอาหาร ในขณะที่ท้องเริ่มกิ่วขึ้นทุกที

    “เอาน่า รอไหวๆ” หนุ่มน้อยพยายามปลอบใจตนเอง เมื่อไส้ของเขาจวนเจียนจะขาดอยู่แล้ว “อีกสิบห้านาที อดทนๆๆ” ณรงค์เดชชะเง้อมองถาดอาหารในมือของเด็กหญิงที่เดินผ่านหน้าเขาแล้วกลืนน้ำลาย ไข่เจียวใส่ต้นหอมกับมะเขือเทศ แกงจืดวุ้นเส้นหมูสับ กล้วยบวชชี หิวๆ มา กับข้าวรสชืดยังดูหน้ากิน

    ใช่ อีกแค่สิบห้านาที ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    แต่เจ้าความเปลี่ยนแปลงที่ว่า มันก็เป็นของธรรมดาคู่โลก ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยอย่างที่ใครไม่เคยฝัน และกะเกณฑ์ไม่เคยได้ นี่ก็เช่นกัน เมื่อนาฬิกายังเดินไปไม่ถึงไหน สาวน้อยผู้สูงไม่พ้นไหล่ของเด็กหนุ่มเดินเข้ามา แล้วทำหน้าซีดหน้าเหลืองส่งสายตาวิงวอน ณรงค์เดชรู้ดีว่าเธอต้องการอะไร ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เขาขยับถอยหลังให้เธอเข้ามายืนข้างหน้า แม่สอนไว้เสมอผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ ต้องเอื้อเฟื้อกับพวกเธอ

    “เอาน่า แค่คนเดียวเอง ไม่เสียเวลาสักเท่าไหร่หรอก”

    ใช่... แค่คนเดียวเอง! แต่ถ้ามันเป็นแค่คนเดียวเองจริงๆ อย่างที่เห็น  ก็คงจะไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้ามันไม่ใช่ เรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อไป เด็กผู้หญิงผู้ถูกอื้อเฟื้อตอบแทบบุญคุณณรงค์เดช โดยการ....

    “เฮ้ย... พวกแกมาทางนี้” เธอกระโดดเหยงๆ เอี้ยวตัวหันหลังกวักมือ เด็กสาวอีกประมานห้าคนวิ่งกรูกันเข้ามา พากันแทรกแถวที่เขายืนอยู่ เจอเข้าแบบนี้ เด็กหนุ่มถึงกับพูดอะไรไม่ออก ก็จะให้ว่าอย่างไรได้ล่ะ โง่ให้เขาแซงคิวเอง ช่างมันเถอะ ข้าวถาดออกจะมีเยอะแยะ ตะกละให้ตายยังไง ยายหกคนนี่ก็ไม่มีทางกินหมดแน่ มันคงจะดี หากเรื่องทั้งหมดจะจบลงแค่นี้

    เด็กสาวอีกห้าคนที่ดูท่าทางจะเป็นหัวโจก เดินเข้ามาหาณรงค์เดชอย่างอยากจะมีเรื่อง พวกเธอจ้องหน้าเด็กหนุ่มอย่างดุดัน ราวกับจะกล่าวด้วยสาวตาว่า ที่นี่ผู้หญิงเป็นใหญ่ หล่อนเป็นชนกลุ่มน้อย ต้องให้พวกฉันกินก่อน หลีกทางด้วยความที่รู้ตัวว่ามาใหม่ ณรงค์เดชไม่อยากจะเริ่มต้นความประทับใจในโรงเรียนแห่งนี้ ด้วยการทะเลาะกับผู้หญิง หนุ่มน้อยยอมหลีกทางให้พวกเธอแต่โดยดี เรื่องมันน่าจะจบ แต่ก็ไม่

    “นี่เธอ” เสียใสๆ ที่แฝงความโมโห ดังมาจากข้างหลัง ในที่สุดก็มีคนพูดกับเขา หนุ่มน้อยหันไปมอง เด็กสาวอย่างน้อยสิบคนจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ “เธอปล่อยให้ยายพวกนั้นแซงได้ไง พวกเราก็หิวเหมือนกันนะ” หนึ่งในนั้นโวยขึ้นมา

    มันจึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาต้องอึ้ง ณรงค์เดชได้แต่ยืนนิ่ง เด็กชายไม่รู้จะตอบคำถามนั้นว่าอย่างไร จริงสิพวกเธอพูดถูก ทุกคนรวมทั้งเขาต่างก็หิวด้วยกันทั้งนั้น การปล่อยให้เด็กสิบคนนั้นลัดคิวเป็นเรื่องที่ทำไม่ถูก แต่จะให้ทำอย่างไรล่ะ ก็ในเมื่อทุกสิ่งมันผ่านไปแล้ว จะให้เรียกแม่พวกนั้นให้กลับไปต่อท้ายแถว ใครจะยอม?

    “เธอต้องรับผิดชอบ” แต่พวกสาวๆ ที่อยู่ทางด้านหลังก็ใช่ว่าจะยอมง่าย “ไปนะ ไปต่อท้ายแถวเลย” เมื่อสิ้นคำพูด ณรงค์เดชก็ถอยฉากออกจากแถวอย่างช้าๆ เขาตั้งใจจะไปต่อท้ายแถวอย่างที่เด็กผู้หญิงคนนั้นว่า แต่เมื่อเห็นเพื่อนร่วมโรงเรียนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโรงอาหารอีกสี่ห้าคน พ่อสุภาพบุรุษก็เปลี่ยนใจ เด็กหนุ่มเดินถอยหลังออกไปจากแถว แล้วทรุดตัวลงนั่งที่ม้ายาวที่อยู่ใกล้ๆ

    “กินทีหลังก็ได้วะ” เขาตัดสินใจจะรอรับถาดอาหารเป็นคนสุดท้าย จะได้ไม่ต้องมีใครมาขอแซงคิวอีก จบเรื่อง

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×