ตอนที่ 1 : ตัวอย่าง 1
จากผู้เขียน
ความรัก ความฝัน กับวัยหวาน คิดถึงเมื่อใด ก็ยิ้มได้เมื่อนั้น
การจัดพิมพ์ครั้งนี้....ขอบคุณ ผู้ชายที่เป็นแรงบันดาลใจ อ.เจตน์ ตัวจริง
กลีบลำดวน
1
“รอด้วยค่ะ”แก่นจันทน์รีบสาวเท้าเร็วยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าหลังจากร้องขอ ผู้ที่อยู่ภายในลิฟต์ได้รออย่างมีน้ำใจ
“ขอคุณค่ะ”พึมพำขอบคุณเขาแล้วหันไปทางประตูลิฟต์ที่ค่อยๆปิด ลิฟต์ค่อยๆเคลื่อนขึ้นอย่างช้าๆตามสภาพที่แสนชรา หล่อนแทบไม่ได้มองหน้าคนที่กดลิฟต์รอเมื่อสักครู่ รู้แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง เห็นแวบๆว่าเขาไม่ได้แต่งชุดนักศึกษา เขาใส่เสื้อที่น้ำเงิน ใช่สีน้ำเงิน…และไม่รู้เป็นอย่างไรพอจะหันกลับไปมองเขาให้แน่ใจหล่อนกลับไม่กล้าเสียอย่างนั้น พื้นที่แคบๆในลิฟต์ก็ช่างไม่อำนวยให้หล่อนกล้าพอจะมองผู้ชายแบบตรงๆ ที่น่าเจ็บใจ หล่อนรู้สึกเหมือนกับเป็นฝ่ายถูกเขามองเสียอีก ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ภายในลิฟต์ที่มีผู้โดยสารสองคน หล่อนกับเขา ในขณะที่หล่อนตัวกระเปี๊ยกยืนลีบอยู่แถวๆประตู เขากลับเป็นยักษ์ปักหลั่นที่ยืนคุมอยู่ด้านหลังถัดเข้าไปเสียอย่างนั้น
ชั้นสอง…ชั้นสาม…หล่อนต้องการไปชั้นห้า และภาวนาให้เขาออกไปชั้นไหนก็ได้เร็วๆนี้ แต่คำภาวนาก็ไม่เป็นผล
....ขอให้มีนักศึกษา หรือใครก็ได้เข้ามาเพิ่มก็ไม่เป็นผลอีก แน่ล่ะนี่มันได้เวลาเรียนแล้ว ป่านนี้นักศึกษาคงเข้าเรียนกันหมดแล้ว รวมทั้ง อมาวดี หรือยายออมสิน เพื่อนตัวดีที่นัดให้หล่อนมาพิสูจน์ อะไรบางอย่างด้วยตาของตัวเอง
จริงๆนะ บางครั้งแก่นจันทน์ก็รู้ตัวเองอยู่หรอกว่า การเป็นนักศึกษาชั้นปีสี่ที่ออกจะพรั่งพร้อมด้วยวุฒิภาวะและคุณวุฒิพอสมควรในระดับหนึ่ง (อย่างน้อยพวกน้องๆชั้นปีหนึ่ง ปีสองก็ยกมือไหว้ยังกับหล่อนเป็นญาติผู้ใหญ่นั่นเชียวล่ะ) ไม่ควรจะทำอะไรที่ไม่เข้าท่าอย่าง การมายลโฉมใครคนหนึ่งที่บรรดานักศึกษาสาวๆในคณะกำลังโจษขานถึง
“เจตน์ ราชโยธิน อาจารย์พิเศษ สอนวิชาพับลิคโอพิเนียน โอย ออมจะกรี๊ดให้ได้เลยจันทน์”หลังจากเข้าเรียนวันแรก ออมสินก็รีบนัดหล่อนมาที่คณะเพื่อจะพร่ำเพ้อ ตาลอยชวนฝัน ยังแปลกใจไม่หายว่าทำไมออมสินถึงได้ไปลงเรียนวิชาที่ว่าด้วยประชามติโดยไม่ได้บอกเล่าเก้าสิบหล่อนสักนิด ปกติสำหรับเพื่อนซี้แล้วออมสินไม่เคยมีเรื่องปิดบัง ว่ายังไงก็ว่าตามกัน เฮไหนเฮนั่นตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปีสุดท้าย เทอมสุดท้ายมาตลอด
แต่ก็อย่างว่า สำหรับวิชาเลือกเสรีแล้วนับว่าเป็นวิชาที่พวกเราจะได้ถือโอกาสเปิดหูเปิดตาและเรียนรู้กับวิชาใหม่ เพื่อนใหม่ต่างคณะที่นอกเหนือจากการสื่อสารมวลชนทั้งหลายได้อย่างอิสรเสรี เพื่อนบางคนหันไปเลือกเรียนวิชาภาษาเกาหลี ญี่ปุ่น ก็ยังมี ที่ออมสินไม่ชวนลงวิชานี้ด้วยกันในตอนแรกอาจเพราะเคยได้ยินหล่อนเกริ่นมาตั้งนานแล้วว่าวิชาเลือกเสรีจะลงเรียนวิชาถ่ายภาพอย่างจริงจัง ซึ่งหล่อนก็รู้อีกนั่นแหละว่าออมสินไม่ชอบแบกกล้องถ่ายภาพเอาเสียเลย ถ้าเป็นนางแบบให้ถ่ายก็ถึงไหนถึงกัน…แต่วิชาเลือกเสรีก็บอกอยู่แล้วว่าทุกคนมีเสรีที่จะเลือกเรียน และจะแปลกอะไรที่ออมสินจะมาเรียนวิชา ประชามติ
“ทำไม ตอนนี้หันมากรี๊ดคนแก่แล้วเหรอ”หล่อนเย้าอย่างแปลกใจ จริงๆนะอาจารย์ในภาควิชาสื่อสารมวลชนที่เวียนเข้าเวียนออกตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสุดท้ายนี่ หล่อนบอกได้เลยว่าอาจารย์ผู้ชายแต่ละท่านล้วนอายุห้าสิบขึ้นไปแล้วทั้งนั้น และถึงแม้อาจารย์พิเศษที่มาจากข้างนอกทางมหาวิทยาลัยก็คงต้องหาคนที่มีคุณวุฒิ และวัยวุฒิไม่ต่างกับอาจารย์ประจำนักหรอก
“แก่อะไร แค่สามสิบต้นๆยังไม่แก่สักหน่อย ออมว่า อาจารย์เจตน์ไม่น่าจะเกินสามสิบห้า”อมาวดีเถียง
“ก็แก่กว่าพวกเราเป็นสิบปีล่ะ”พูดออกไปแล้วก็นึกภาพผู้ชายอายุสักสามสิบต้นๆนี่จะหนุ่มแก่สักขนาดไหน…ภาพที่นึกออกไม่ถึงกับแก่มากจริงๆ แต่ให้อย่างไรพวกเขาก็คงจะอยู่กันคนละเส้นทางกับสาวน้อยวัยยี่สิบเอ็ดอย่างพวกหล่อนอยู่ดี เอาเป็นว่ามวยคนละรุ่น ชกกันคนละสังเวียนนั่นล่ะ
“ไม่เห็นแก่เลยกำลังดี”
“กำลังดี!” หล่อนออกจะตกใจและขำ อมาวดีคิดว่า กำลังดีสำหรับอะไรกันนะ…
“ใช่ กำลังดีเลย ไม่อ่อนเหลาะแหละอย่างพวกทโมนในคณะเราด้วย”
“ออมเพ้อใหญ่แล้ว”แก่นจันทน์ส่ายหัวและชักอยากเห็นหน้าอาจารย์เจตน์ คนนี้ขึ้นมาบ้าง และถ้าไม่เป็นอย่างที่อมาวดีเอามาเพ้ออยู่ล่ะก็หล่อนจะกลับมาหัวเราะให้ฟันหักกันไปข้างหนึ่งไปเลย
“ก็อาจารย์น่าเพ้อจริงๆนี่นา จันทน์นึกภาพชายหนุ่มมาดเฉียบขาด หน้าตาดีจัดๆ ส่วนคุณวุฒิไม่ต้องพูดถึง คนที่จะมาเป็นอาจารย์ที่นี่ได้อย่างน้อยๆจบนอกทั้งนั้น และออมก็สืบมาแล้วว่าอาจารย์เจตน์จบ ดอกเตอร์มาจากแคนาดา ออมว่าต้องเป็นบุพเพสันนิวาสแน่ๆเลยที่ทำให้ออมเลือกเรียนวิชานี้เป็นวิชาเลือก แทนที่จะไปเรียนถ่ายภาพกับจันทน์”
แก่นจันทน์เบ้หน้า“เป็นเอามาก จันทน์ชักอยากเห็นหน้าอาจารย์เจตน์ของออมแล้วซิ” ถึงขนาดไปสืบประวัติ อมาวดีคงจะกู่ไม่กลับแล้วล่ะ
“อาทิตย์หน้า จันทน์ไปที่คลาสซิ อาจารย์มีสอนอีกอาทิตย์หน้า”อมาวดีนัดแนะอย่างกระตือรือร้น เห็นหรอกว่าฝ่ายนั้นอยากหาแนวร่วม และเรื่องนี้สำหรับบรรดานกน้อยในรั้วมหาวิทยาลัยก็ออกจะเป็นสีสันชวนให้ตื่นเต้นและตื่นตาตื่นใจ
“ก็ได้ อาทิตย์หน้าจันทน์เรียนบ่าย ช่วงเช้าว่างพอดี”
การตกปากรับคำเรียกว่าเกิดจากความนึกสนุกและท้าทายก็ว่าได้ ถูกล่ะความเป็นลูกผู้หญิงการไปแอบดูหน้าผู้ชายไม่เหมาะสมหรอก และยิ่งผู้ชายคนนั้นเป็นอาจารย์ ที่ถึงอย่างไรก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้สอน เป็นครูก็ยิ่งไม่เหมาะไม่ควรด้วยประการทั้งปวง แต่เจ้าประคุณเอ๋ย…กับความท้าทายต่อมโรแมนติกของยายออมสินนั่นก็ยั่วต่อมอยากของหล่อนจนไม่มีอะไรมายับยั้งได้ ถึงอย่างนั้นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ก็ทำให้พวกหล่อนรู้อยู่บ้างหรอก ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปมากกว่าการเก็บเอามาใฝ่ฝันเล็กๆน้อยๆอย่างที่อมาวดีกำลังทำอยู่
นั่นเป็นสาเหตุให้หล่อนมายืนอึดอัดกับเพื่อนร่วมโดยสารลิฟต์ที่กล้ามองเขาแค่แถวๆอกเสื้อและจากนั้นก็ไม่กล้าหันกลับไปมองเขาอีกเลย แก่นจันทน์มองแผงไฟบอกชั้นที่คลานขึ้นอย่างเชื่องช้า และมาสะดุ้งตกใจเมื่อเสียโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หล่อนควานมือลงไปหาในกระเป๋าสะพายใบใหญ่ที่บรรจุทั้งหนังสือ อุปกรณ์ในการเรียนเกือบเต็มพื้นที่ทำให้กว่าจะควานเจอโทรศัพท์ต้องใช้เวลานานจนแทบอยากจะเทกระเป๋าให้รู้แล้วรู้รอด นึกโมโหตัวเองด้วยส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมปิดโทรศัพท์ทั้งที่โดยปกติถ้ามาเรียนหล่อนจะปิดเครื่องตลอดจนกว่าจะไม่มีเรียนแล้วในวันนั้นถึงจะเปิดใช้ตามปกติ อีกทั้งก็ให้นึกแปลกใจว่าสัญญาณโทรศัพท์ก็เกิดจะมาใช้ได้ดีทั้งที่ปกติภายในลิฟต์จะไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์ด้วยซ้ำ
“จันทน์ถึงไหนแล้ว นี่ออมมาถึงนานแล้วนะ”หล่อนยังไม่ทันได้พูดเพียงแต่กดรับเสียงของอมาวดีก็ถามมาก่อนอย่างตื่นเต้นร้อนรน
“กำลังจะถึงแล้ว จันทน์อยู่ในลิฟต์ ออมก็รู้ว่าลิฟต์ตึกนี้คลานเป็นเต่า แล้วออมเริ่มเรียนหรือยัง”
“ยัง อาจารย์ยังไม่มา เจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าอาจจะเลตสักสิบห้านาที”
“อ้าวแล้วออมมาเร่งจันทน์ทำไม”
“ออมกลัวจันทน์ไม่มีที่นั่งน่ะซิ แปลกมากเลยนะวันนี้มีนักศึกษาเข้าเต็มคลาสเลย”
“แล้วที่เห็นเยอะๆมีแต่นักศึกษาสาวๆใช่ไหม”หล่อนถามอย่างรู้ทัน คาดเดาได้ จริงแล้วใครบอกว่าผู้หญิงแต่ฝ่ายเดียวที่เหมือนดอกไม้รอให้ผึ้ง ภู่ภมรมาดอมดม ในบางครั้งพวกผู้ชายก็กลายเป็นดอกไม้ได้เหมือนกัน เหมือนกับอาจารย์เจตน์ของยายออมนี่ไง
“อือ จริงของจันทน์นั่นแหละ”
“เหอะ จันทน์ว่าแล้ว นี่ถ้าให้เดานะจันทน์ว่า อาจารย์เจตน์สุดหล่อของออมคงจะหว่านเสน่ห์กับนักศึกษาสาวๆเต็มที่ล่ะซิ”ยิ่งนึกก็ยิ่งเห็นภาพ และภาพแบบนั้นก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก มันคงไม่โสภาเท่าไหร่หรอกถ้าห้องเรียนห้องหนึ่งจะอบอวลไปด้วยบรรยากาศแสนเย้ายวนชวนหลงใหลแทนที่จะเป็นบรรยากาศทางวิชาการ
“ไม่หรอก”
“ออมอย่ามาแก้ตัวเลย ออมก็เป็นคนหนึ่งที่ปลื้มอาจารย์เหมือนกัน”
“มันก็ใช่ แต่อาจารย์ไม่ใช่อย่างที่จันทน์ว่านะ”อมาวดียอมรับ และยังแก้ตัวให้อีกแน่ะ
“จันทน์ไม่ได้ว่า จันทน์สันนิษฐานเฉยๆ”
“นั่นแหละ ที่จันทน์สันนิษฐานน่ะผิด”
“ผิดหรือถูกเดี๋ยวก็รู้กันวันนี้แหละ จันทน์ล่ะอยากรู้จริงๆว่าเขาจะสักแค่ไหนกันเชียว จันทน์ไม่ได้หมายถึงแต่หน้าตานะ เพราะหน้าตาดีไม่ใช่เครื่องการันตีคุณสมบัติความเป็นอาจารย์”ยิ่งอมาวดีแก้ตัวให้เท่าไหร่ แก่นจันทน์ก็ยิ่งรู้สึกติดลบกับคนที่กำลังจะไปดูหน้าเท่านั้น…
“นี่จันทน์เป็นคณะบดีเหรอถึงได้ตั้งตัวเองเป็นหน่วยตรวจสอบคุณสมบัติอาจารย์”
“นักศึกษาก็มีสิทธิ์ตรวจสอบอาจารย์ได้น่า ยายออม เราต้องรักษาผลประโยชน์ของเราให้เต็มที่”
“โอ๊ย พูดกับจันทน์แล้วเหนื่อย เอาเถอะอยากจะมาตรวจสอบอะไรก็มา นี่ถึงชั้นไหนแล้ว”
หญิงสาวแหงนมองแผงไฟ“ชั้นห้าแล้ว”บอกเสร็จ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก หล่อนก้าวออกจากลิฟต์ทันที และก่อนจะปิดการสนทนากับเพื่อนที่รออยู่ห้องเรียนห้องใดห้องหนึ่งในชั้น หล่อนก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกมอง…สันหลังเย็นวาบ ขนที่ต้นคอพร้อมใจกันตั้งชัน…ความรู้สึกรุนแรงนั้นทำให้หล่อนหันไปหาใครคนหนึ่งที่เดินตามออกมาจากลิฟต์
คุณพระคุณเจ้า!...จากชุดที่เขาใส่มองยังก็ไม่ใช่นักศึกษาแน่ๆ นั่นยังไม่เท่ากับใบหน้าที่…เอ้อ แบบนี้เรียกว่าหล่อไหม ก็ไม่เถียงแต่สำหรับเจ้าของใบหน้าคมสัน ดวงตาฉายแววกระด้างและถือดีที่กำลังมองหล่อนอยู่นี่น่าจะนิยามใหม่ได้ว่า เด็ดขาดและเฉียบคม…ซึ่งหมายความได้อีกอย่างว่า ผู้ชายคนนี้เขาดูไม่ใช่จืดๆและอ่อนๆอย่างเพื่อนผู้ชายในคณะของหล่อนเลยสักคนเดียว
ชั่วขณะที่หญิงสาวนึกเอะใจอะไรสักอย่าง พร้อมกับ ชื่ออาจารย์เจตน์ ของอมาวดีผุดวาบขึ้นมา เสียงห้าวลึกทรงพลังกับดวงตาที่มองหล่อนอย่างเอาเรื่องก็บอกมาว่า
“ผมคิดว่า คนที่จะมาเป็นอาจารย์ย่อมตระหนักในหน้าที่และคุณสมบัติของตัวเองก่อนจะก้าวขึ้นมาสอนใคร พอๆกับที่หลายๆคนก็คาดหวังว่า นักศึกษาจะรู้จักสิทธิและหน้าที่อันเหมาะสมของตัวเองนะครับ” เขามองหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าที่ทำให้รู้สึกร้อนวูบไปทั้งหน้า ก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วถึงหันมาเล่นงานหล่อนอีกว่า
“KB503…ผมสอนห้องนั้น” บอกเสร็จเขาก็ผละไปห้อง KB503 ทันที ทิ้งให้แก่นจันทร์ยืนกำโทรศัพท์แน่นราวกับถูกสาบก็ไม่ปาน สมองสรุปและรู้สึกเหมือนตัวเองได้กรำศึกหนักทั้งที่ช่วงเวลานั้นผ่านไปไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง และศึกครั้งนี้ก็เห็นท่าจะยืดเยื้อเสียอีกเมื่อเขาหันมาถามด้วยเสียงท้าทายว่า
“คุณอยากรู้ไม่ใช่หรือว่า ผม สักแค่ไหน…เชิญครับ”
******
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไม่ได้หยิบมาจากหอพักด้วย...
ตามมาอ่านฟรีในเนตค่า
อ่านเมื่อไหร่ก็จิ้นว่าตัวเองเป็นนางเอกทุกที ฮ่าๆๆๆ (ปัจจุบันยุปีสี่เหมือนแก่นจัน อ.ที่สอน ยังอายุแค่ 27 เอง แอบจิ้นว่าตัวเองเปนแก่นจันทุกที ที่ มหาลัย มีอาจาร ชื่อเจตต์ด้วยค่าาา ^____^ มีกำลังใจไปเรียน)