คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 1 โอ้พระเจ้า แก้ตั้งแต่ต้น
จะมาแก้เรื่องคำผิด กับเนื้อบางส่วน แต่ไม่แปลกไปจากนี้แน่ ขอโทษที่ช้า ด่ากันได้เลย ปล้วก็ผมจะเริ่มออนเท่านที่ทำได้นะครับ มีอะไรปัญหา เจอกันพรุ่งนี้เลย ขอโทษครับ
บทที่ 1
ชิ้นส่วนที่หายไปของดอกไม้สีแดง
เชื่อเรื่องของโชคชะตามั้ย?
คำถามเพียงคำถามเดียวที่เริ่มต้นเมื่อนานแสนนานของคนๆหนึ่งที่ทุกคนลืมหายไป แต่กลับจดจำในกลุ่มคนที่เป็นดั่งผลลัพธ์ของสมการที่ค้างคามาจนตราบทุกวันนี้ เพราะเมื่อใดที่คุณไร้ซึ่งกำลังและหวังพึ่งโชคชะตาของตนจนยอมทิ้งทุกอย่างเมื่อไร จะมีกลุ่มคนที่มาช่วยเหลือเพียงคุณร้องขอในทันที
ขอเพียงแต่คุณเชื่อในหนทางที่โชคชะตา และพร้อมที่จะเดิมพันทุกสิ่งของคุณกับมัน คุณก็จะพบกับเหล่าสิ่งที่อยู่ในเงานั้น ในโลกที่ไม่มีวันจะมาเป็นจริงในชีวิตอันแสนปกติของคุณ เพียงแต่ชีวิตของคุณก็อาจจะหายไปพร้อมๆ กับค่าแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกับสิ่งที่คุณต้องจ่าย
1-2-3
ในขณะที่เธอกำลังตัดสินใจส่งคำขอร้องไปยัง ‘ร้าน’ แห่งนั้น ลีน่ามีเพียงแต่ความสับสนและจนหนทาง แม้นิ้วมือของเธอจะค้างอยู่ที่ปุ่มกดตกลงมานานหลายนาที แต่เธอก็ไม่อาจตัดสินใจได้เสียที
ส่งคำร้องขอความช่วยเหลือ
YES No
ลีน่าได้แต่กัดริมฝีปาก และปล่อยให้ความคิดของตนเองวิ่งวนไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย
ใครจะคิดกันว่าหลังจากที่เธอรอดจากสถานการณ์อันเลวร้ายนั้น หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เรื่องที่เธอพูดทั้งหมดมันจะกลับกลายเป็นเรื่องของการโกหกของเด็กสติไม่ดีคนหนึ่ง
เอาเรื่องที่ไหนมาพูด? นายตำรวจคนหนึ่งถามเธอทันทีที่เธอเข้าไปหา ถ้าจะมาร้องเรียนเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ก็อย่ามาอีก
ก่อนที่นายตำรวจจะพูดอย่างนั้น ในตอนที่เธอไปแจ้งความ เธออยู่ในสภาพเลือดโทรมกาย ไม่รู้ว่าจะหัวเราะกับตลกร้ายอย่างไรดี เพราะสถานีตำรวจกับที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้ห่างกันเลย ลีน่าแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นกับสถานีตำรวจที่อยู่ห่างออกไปประมาณสามซอย ใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมงหลังจากปฐมพยาบาลตัวเธอแล้ว เมื่อตำรวจมาถึงก็พบว่าทุกอย่างไร้ซึ่งร่องรอย
ไม่มีแม้แต่รอยเลือด หรือร่างของเพื่อนของเธอ
มีเพียงความว่างเปล่า
เป็นไปไม่ได้!?
นั่นเป็นเพียงอาการเดียวที่เธอเป็นหลังจากผ่านอาการนิ่งอึ้ง นายตำรวจกว่าสิบนายมองเธอเป็นตาเดียว เด็กสาวเพียงคนเดียวที่ทำให้ทั้งสถานีต้องวุ่นวาย คำกล่าวอ้างของลีน่ากลายเป็นคำโกหก ชั่ววินาทีที่เธอคิดว่าเธออาจได้จับเจ้าฆาตกรโหด และอาจจะช่วยเหลือเพื่อนของเธอได้กลายเป็นฝันสลายไปในทันที
เธอจะทำยังไงดี ไม่มีใครเชื่อเธออีกแล้ว
เรื่องของเธอเงียบหาย และกว่าที่คนจะรู้ว่ามีเด็กหายไปสี่คนก็ผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว ทั้งๆ ที่ลีน่าเพียรพยายามจะไปบอกพ่อแม่ของเด็กทั้งสี่คน แต่มันก็ต้องผิดหวังอยู่ร่ำไป เพราะพ่อแม่ของต้าจิง กับมาร์คนั้นอยู่ต่างประเทศทั้งคู่ จะให้เธอติดต่อก็ไม่ได้ ส่วนแม่ของลีน่ากับอามี่ เธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปหา เจสซิก้า หยาง แม่ของฝาแฝด เธอเป็นนักข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง แม่ของจินนี่กับอามี่มักไม่ได้กลับบ้าน เพราะต้องไปหาข่าวจากที่ต่างๆ ทั่วฮ่องกง โดยส่วนตัวแล้วลีน่ากลัวคนๆ นี้ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า ลองเอานิสัยของจินนี่มาคูณด้วยสองแล้วเอามายกกำลังด้วยสาม ก็จะเห็นภาพของเจสซิก้าเป็นอย่างดี
เรื่องที่เธอจะเข้าหาคนๆ นี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้
ลีน่าจึงฝากข้อความเอาไว้ในโทรศัพท์ “ถ้าคุณอยากรู้เรื่องของลูกสาวคุณ โปรดมาหาฉัน” และขังตัวเองอยู่แต่ในห้องนับตั้งแต่นั้น คอยฟังข่าวคราวที่น่าจะออกทีวีหรือหนังสือพิมพ์ เธอไม่ไปโรงเรียน แต่ใช้เวลาทั้งหมดในการขังตัวเองอยู่แต่ในห้องพักที่ญาติของเธอเปิดให้อยู่ฟรี ลีน่าใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียวโดยหวังว่ามันจะทำให้เธอลืมเรื่องทุกอย่าง แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นตามที่เธอหวังนัก เพราะเรื่องราวที่เกิดในคืนนั้นมักตามมาหลอกหลอนเธอ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่เธอเจอหลังจากตอนที่อามี่ผลักเธอลงมา เธอฝันร้ายทุกค่ำคืนจนแทบบ้า ในที่สุดเมื่อเธอคิดว่ามันทนไม่ไหว คนๆ นั้นก็เข้ามา
เจสซิก้า หยาง มาเคาะประตูห้องของเธอหลังจากผ่าน ‘วันนั้น’ มาสามอาทิตย์ เธอคนนั้นมาด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ขอบตาดำคล้ำ ไม่มีร่องรอยของนักข่าวสาวลูกสองจอมแสบแห่งสำนักข่าวใหญ่ เพราะสภาพที่เธอเป็นในขณะนั้นคือแม่ที่หัวใจแตกสลาย เนื่องจากลูกหายไปทั้งสองคน
“ลูกสองคนของฉันไม่ได้กลับบ้านมาสามอาทิตย์ ฉันแจ้งตำรวจแล้วแต่พวกเขาก็ไม่ได้ข่าวอะไรกลับมาเลย ฉันได้ฟังข้อความของเธอจากโทรศัพท์ที่บ้าน เธอรู้มั้ยว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน?”
น้ำตาของแม่เพื่อนสนิทไหลออกมาพร้อมๆ กับเธอ ลีน่ารู้ดีว่าในที่สุดแล้วก็ต้องทีใครสักคนมารับฟังเรื่องราวอันหนักอึ้งนี้ เด็กสาวเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับเจสซิก้าฟัง ทุกอย่างที่เธอเห็น ทุกอย่างที่เธอรู้ โดยที่แม่ของเด็กแฝดก็รับฟัง และเชื่อเธอ จนในที่สุดเมื่อเธอได้พรรคพวกมาอีกหนึ่ง นักข่าวที่มีทั้งกำลังและอำนาจ ในการสืบหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าความหวังของเธอก็ต้องสลายอีกครั้ง เมื่อเจสซิก้า
หายตัวไป!!!
และชิ้นส่วนที่ของผู้ที่สาบสูญทั้งสี่คน
กลับคืนมา!!
ภาพที่ยังไม่ได้จางหายไปจากสมองกลับสู่ห้วงความคิด ไม่กี่วันก่อนเธอเปิดทีวีดู แล้วก็ต้องตะลึง เพราะก่อนที่เธอจะรู้ว่าเจสซิก้าหายตัวไปนั้น ก็ปรากฏข่าวของเด็กนักเรียนสี่คนที่หายตัวไป ตอนแรกที่เธอเห็นนั้น ลีน่านึกว่าเธอจะช็อกตายไปแล้วเสียอีก เพราะเด็กทั้งสี่คนกลับมาที่บ้านของตนเองในความหมายของ “ชิ้นส่วน” ในหน้าจอทีวีแสดงถึงภาพของแขนขาที่กลับมาและถูกยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนของใคร
ไม่ต้องให้ยืนยันเธอก็รู้ว่าเป็นของใครบ้าง
แขนขวาของต้าจิงถูกแขวนอยู่ที่ประตูบ้านอพาทเม้นท์สุดหรูของเขา โดยที่แม่บ้านมาพบเข้า แขนซ้ายของมาร์คถูกวางอยู่ที่สวนหลังบ้าน น่าสงสารที่หมาของเขาคาบไปเก็บไว้ที่บ้านของมันทำให้แขนของบเขาดูสกปรก และอีกของสองคนที่เหลือนั้น เป็นขาสองข้างของลูกสาวของคนที่เธอนึกเป็นห่วงจับใจ ลีน่าไม่สามารถบอกได้ว่าเธอรู้สึกอย่างไรเมื่อทราบข้อมูลข่าวทั้งหมดผ่านหน้าจอทีวีไม่กี่นิ้วที่ห้องของตนเอง แม้จะแปลกใจอยู่มากๆ ว่าเหตุใดมีเพียงชิ้นส่วนที่กลับมา และเพราะเหตุใดจึงกลับมาหลังผ่านไปถึงเดือนหนึ่งโดยที่สภาพชิ้นส่วนนั้นยังไม่เน่าเปื่อยก็ตามที อีกทั้งตัวเธอก็ยังมีข้อสงสัยที่ใหญ่มากๆ เกี่ยวกับชิ้นส่วนของจินนี่และอามี่
เธอพยายามติดต่อเจสซิก้าทันที เพราะเธอคิดว่าเธอรู้เรื่องอะไรบางอย่าง แน่นนอนว่านั้นจะเป็นเพียงข้อมูลที่เธอรู้เพียงคนเดียว เพราะเธอเป็นคนเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เจสซิก้าก็หายตัวไป
ใช่ เธอรู้ว่าหญิงสาวที่เป็นแม่ของสองคนนั้นหายตัวไปเร็วกว่าที่ใครจะรู้เสียอีก เพราะเธอโทรหาเจสซิก้า หยางด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือที่เจสซิก้าให้ไว้เฉพาะเธอเท่านั้น ลีน่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจสซิก้า แต่ว่าเธอเองก็เริ่มรับรู้ว่า ‘อันตราย’ ได้เริ่มเข้าใกล้เธอเรื่อยๆ แล้ว
เจสซิก้าสืบเรื่องนี้ได้ลึกแค่ไหนแล้ว? และมันน่ากลัวแค่ไหนกัน
ในเวลา ณ ปัจจุบัน เธอมีแต่เรื่องกลุ้มใจ ความรู้สึกผิดนั้นเข้ามาหาลีน่าอย่างเป็นระลอกคลื่น มันไม่ปล่อยให้เธอได้หยุดพักจนกว่าเธอจะจมลงไปตาย ความรู้สึกผิดของเธอมันเกาะกุมใจ ทั้งเรื่องคืนนั้นและฝันร้ายที่วนเวียน มันไปหยุดอยู่เพราะยังมีอีกเรื่องที่เธอไม่ได้เล่า
แล้วจะให้เธอจะทำอย่างไรดี ลีน่ากัดริมฝีปาก
ตอนนี้สมองเธอกลับมาอยู่ในโลกแห่งความจริง สายตาของเธอมองไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ภาพอิเล็กทรอนิกส์ที่หน้าจอนั้นแสดงเป็นภาพของความว่างเปล่าสีดำ และมีตัวอักษรแสดงถึงคำถามที่ส่งมายังเธอ ลอยเด่นสีแดงอยู่หน้าจอคอม
ส่งคำร้องขอความช่วยเหลือ
YES No
ตู้เกมส์ทำนายดวงอาถรรพ์ที่เพื่อนของเธอเคยเล่าให้เธอฟัง ลีน่าก็ไม่รู้ว่ามันเป็นจริงแค่ไหนกัน แต่ว่าเคยมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฟังแล้วติดหู ว่ามีตู้ทำนายดวงชะตาที่เสียอยู่ในเกมเซนเตอร์ทำนายดวงได้แม่นราวกับตาเห็น ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าของร้านเกมจึงไม่เคยยกมันออกไปทั้งๆ ที่มันเก่า และตกรุ่น แต่กลับทิ้งไว้ที่มุมร้านปล่อยให้ลูกค้าบางคนที่อยากลองของได้เดินเข้าไปหลอกกินเหรียญฟรีๆ หรือเข้ามาเพื่อตอนเจอจังหวะดีๆ ให้มันทำนายดวง หรือให้คำปรึกษา เหมือนอย่างที่ลีน่าได้กำลังลองทำอยู่
ตอนที่เธอหยอดเหรียญไปตามเวลาที่เพื่อนเธอเคยเล่า “มันต้องเป็นเวลาที่หน้าจอมันแสดงขีดเวลาเป็นเลข 00.00 น เท่านั้นนะ แบบว่ามันเร็วไปชั่วโมงหนึ่งหรืออาจจะช้าไปหลายๆ ชั่วโมงก็ได้ แล้วแต่ดวงว่ามันจะขึ้นให้เรามั้ย ตอนนั้นโชคดีเป็นบ้าเลย ฉันได้คำปรึกษาเรื่องความรัก ผู้ชายคนนั้นมันเลวจริงๆ!!” ซึ่งมันเป็นเวลาตีหนึ่งของโลกแห่งความจริงในตอนนี้ ลีน่าแอบหลบออกมาจากหอ ในตอนแรกเธอก็ไม่ได้คิดจะมายืนอยู่หน้าตู้เกมทำนายดวงแบบนี้หรอก แต่เธอกะออกมาเดินเล่นให้ใจของเธอสงบต่างหาก ผลของการชมวิวคือความว้าวุ่นที่ไม่หายไปและขามาหยุดยืนอยู่ที่ร้านเกมที่มีตู้นี้ตั้งอยู่ ลีนาเข้าร้านมาในสภาพที่ไม่ได้คิดอะไร กว่าที่เด็กสาวจะรู้ตัวเธอก็กดตอบคำถามทุกคำถาม ระบายความอัดอั้นตันใจลงไปกับตู้เกมเสียแล้ว
ก็ในเมื่อเธอไม่ได้มีทางให้เลือกมากนัก จะลองอะไรบ้าๆ ดูก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรนัก จริงมั้ย? แม้จะแปลกใจอยู่สักหน่อยที่ตัวเองมายืนทำอะไรไร้สาระอยู่ก็ตาม แต่ลีน่าก็ต้องยอมรับว่าพอเธอมายืนอยู่ข้างหน้าตู้แล้ว ความรู้สึกที่ไหนในหัวใจก็ไม่ทราบที่พุ่งเข้ามาหาเธอทันที
เธอกล้าเล่าทุกอย่างที่อยู่ในใจออกมา ผ่านแป้นคีย์บอร์ดที่วางอยู่ข้างหน้า ลีน่ากด และดึงคันโยกไปมาเมื่อมันให้กรอกชื่อ นามสกุล และระบุปัญหาของตัวเธอจนมาถึงคำถามสุดท้ายของตู้เกม
ใครจะเชื่อว่าในขั้นตอนสุกท้ายมันจะเป็นไปตามนั้นจริงๆ ลีน่านึกไปถึงเรื่องสุดท้ายที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟัง “ก็นะ พอตอนที่ฉันเรื่องที่จะปรึกษา มันก็มีเกมคำถามลองใจให้เล่นไอ้โน่น ไอ้นี่ใช่มั้ย พอเราผ่านไปถึงด่านสุดท้าย มันจะขึ้นคำถามว่าให้ยื่นคำร้อง ใช่หรือไม่ ฉันก็กดใช่ไปเลย ก็เลยมีเสียงพิลึกๆ ออกมาแล้วตอบเรื่องราวที่ฉันถามออกไป แน่นอนว่าเรื่องผู้ชาย”
ลีนาที่กำลังลังเลใจอยู่นานหลายนาทีจนผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้วกด” YES” ลงไป หน้าจอของตู้เกมวูบดับลง ก่อนจะมีเสียงดนตรีเบาๆ ออกมา แล้วหน้าจอก็ฉายภาพของตัวการ์ตูนตัวหนึ่ง มันเป็นตัวการ์ตูนของคนแก่ๆ ตัวหนึ่ง เด็กสาวผงะไปเล็กน้อยเพราะเธอไม่ได้คิดว่ามันจะออกมาในแนวน่ารักขนาดนี้ แม้ว่าตัวละครลุงแก่ที่มีแผลที่หน้าจะไม่เหมาะกับตู้ทำนายดวงชะตาแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็เรียกรอยยิ้มที่ไม่ได้ปรากฏออกมาอย่างยาวนานบนหน้าของลีน่าได้ แต่ลีน่าก็หุบยิ้มทันทีเมื่อเสียงที่ออกมาจากตู้นั้นไม่ได้เหมาะกับเจ้าตัวละครที่ว่านี้เลยแม้แต่น้อย
“สวัสดี คุณลีน่า เราได้รับปัญหาของคุณแล้ว กรุณายืนนิ่งๆ หันหน้ามองกล้องที่อยู่ตรงตู้ เมื่อภาพของคุณถูกฉายขึ้นหน้าจอตู้ทำนาย โปรดยืนยันความคิดเห็น และรับใบผลการทำนายดวงชะตาด้วย” เสียงของคอมพิวเตอร์ที่ดังออกมานั้นเหมือนกับชายแก่ๆ พูดไม่มีผิด ลีน่าทำตามที่เสียงนั้นพูดด้วยความรู้สึกแปลกๆ เธอเงยหน้ามองกล้องขนาดเล็กสีดำที่อยู่ฝังอยู่บนเครื่องทำนาย ใช้เวลาไม่นานภาพของเด็กสาวผมดำ ใส่แว่นอันโตก็ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ลีน่าบอกได้เลยว่าสภาพที่ฉายออกมามันน่าเกลียดเอามากๆ!!
ยืนยันคำร้องขอความช่วยเหลือ คุณพร้อมที่จะเดิมพันด้วยดวงทั้งหมดที่คุณมีใช่หรือไม่
YES No
เธอกด “YES” อย่างไม่รอช้า
ตุบ
เสียงอะไรบางอย่างตกลงมาตรงพื้นเบื้องล่างแทบเท้าเธอ ลีน่าหยุดลูบผมที่ยุ่งเหยิงของตน แล้วก้มลงเก็บซองจดหมายสีขาวที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น เสียงดนตรีจากตู้ทำนายดวงชะตาดังอีกครั้ง ลีน่าที่เก็บจดหมายใส่ในอกเสื้อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าจอเป็นครั้งสุดท้าย ซองจดหมายสีขาวที่มีดอกไม้ป๊อปปี้สีแดงทับเอาไว้ปรากฏอยู่กลางหน้าจอ เธอยิ้มเล็กน้อยกับข้อความที่ขึ้นมาในทันที
“ขอให้โชคดี ผู้จ้างวาน”
“ฉันก็กำลังอยู่ในโลกที่มีดวงเป็นเดิมพันไม่ใช่หรือ..จะมาโชคดีได้ยังไง?” เด็กสาวพูดเสียงเบา ก่อนจะรีบตรงดิ่งออกจากร้านเกมที่เปิดจนดึกดื่น เดินกลับที่พักของตน ทิ้งให้ตู้ทำนายดวงชะตาที่เธอเพิ่งเล่นดับตัวเองลงอย่างช้า ๆ ข้อความใหม่กระพริบขึ้นบนหน้าจอก่อนที่จะหายไปไร้ร่องรอย
“ยินดีต้อนรับสู่โลกแห่งโชคชะตา คุณลีน่า”
1-2-3
กระดาษหนึ่งแผ่นกับดอกไม้กระดาษหนึ่งดอก คือสิ่งที่อยู่ในซองจดหมายนั่น ลีน่ามองมันอย่างสับสน ในขณะเดียวกันก็แปลกใจ เธอพบว่ากระดาษแผ่นนั้นเป็นเหมือนการ์ดเชิญอะไรซักอย่าง ในครั้งแรกที่เธอเปิดอ่านเธอเข้าใจว่ามันคงเป็นเรื่องตลกร้ายๆ ของเจ้าของร้านเกม แม้มันจะเสียงเล่าลือหรือความเหลือเชื่อที่เธอพบตอนที่เล่นเกมทำนายดวงก็ตามที เพราะว่าในการ์ดนั่นไม่ได้เขียนอะไรไว้เลยสักอย่างเดียว แต่เรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้นเมื่อลีน่าดับไฟลงแล้วเห็นว่าตัวการ์ดนั่นเรืองแสงได้ บนการ์ดที่เธอเกือบจะโยนทิ้งปรากฏรูปภาพเป็นแผนที่อันหนึ่งขึ้น ซึ่งในเช้าวันต่อมานี่เอง เธอจึงมาหยุดยืนอยู่หน้าร้านดอกไม้เก่าๆ ร้านหนึ่งในย่านตลาดนัดที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง
ย่านมาเรียน่า , 08.00น.
ร้านดอกไม้ โชคชะตา พาให้พบเธอ
ลีน่าอ้าปากค้าง เธอแหงนหน้ามองป้ายชื่อขนาดมหึมาที่ทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงไขกระดูกสันหลัง เธอมองแผนที่ที่คัดเอามาจากในการ์ดอีกครั้ง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองตัวอาคาร ใครจะไปคิดว่าจุดที่เธอคิดว่าจะมีผู้ช่วยเหลือ จะกลับกลายมาเป็นร้านดอกไม้ที่ดูเหมือนประภาคารกลางถนนอย่างนี้
กริ๊ง
เสียงของกระดิ่งหน้าร้านถูกลมพัดดังขึ้น เวลานี้เป็นเวลายามเช้า ร้านในตลาดหลายร้านที่เพิ่งมาเปิดก็มี และที่ตั้งแผงขายเสร็จแล้วก็มี จึงทำให้คนดูเริ่มเยอะขึ้น โดยเฉพาะจุดที่ลีน่ายืนอยู่นั้นยิ่งเยอะเพราะมันเป็นทางสามแยกของย่านมารีน่าที่ทุกๆ คนต้องเดินผ่าน เด็กสาวได้แต่หันมองซ้ายขวาอย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ในการ์ดนั่นก็ไม่ได้บอกว่าให้เธอทำอะไรบ้าง นอกจากเอาการ์ดกับดอกไม้กระดาษนั่นมาด้วย
ลีน่าคิดจะกลับ มันเป็นอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าเป็นความเซ็งหรือผิดหวัง หรืออาจเป็นทั้งสองอย่างรวมกันก็ได้ เพราะนอกจากเรื่องที่ให้เธอมาที่ตรงนี้แล้วเธอไม่ได้รู้อะไรซักอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาให้เธอมากี่โมง หรือจะได้เจอกับใครที่จะมาช่วยเหลือเธอ และอีกอย่างที่เธอคิดคือ เรื่องที่เธอทำไปเมื่อคืนอาจเป็นการเล่นตลกของใครบางคนก็ได้ ในขณะที่เธอคิดจบและกำลังหันหลังกลับ ลีน่าก็ต้องล้มลงไปกระแทกพื้นเพราะดันไปชนกับใครบางคนที่เดินมาพอดี
“โอ๊ย... เจ็บ” ลีน่าร้อง เธอเห็นมือที่ยื่นมือมาจึงจับ แล้วใครคนนั้นก็ดึงมือเธอขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็นเท่าไรนัก ลีน่าจึงได้มองคนๆ นั้นได้เต็มตาเมื่อเธอได้ยืนประจันหน้ากับเขา สิ่งเดียวที่เธอแสดงออกมาคือหน้าที่แดงก่ำราวกลับโดนน้ำร้อนลวกใส่หน้า
“เป็นอะไรรึเปล่า” เสียงผู้ยื่นมือพูดขึ้น น้ำเสียงนั้นออกโทนนุ่มจนลีน่ารู้สึกได้ เธอกระพริบตาถี่ๆ แล้วเริ่มสำรวจคนตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว เธอไม่รู้ว่าคนตรงหน้านั้นเป็นชายหรือหญิง แต่เธอก็สรุปเอาเองว่าเขาเป็นชายหนุ่ม เพราะคนตรงหน้าเธอนั่นสูงกว่าเธอมาก โครงหน้าสวยมนได้รูปจนเธออิจฉา ดวงตาสีน้ำตาอ่อนนั้นดูลึกลับ เส้นผมสีดำที่ยาวสยายนั้นปลิวมาข้างหน้าตามแรงลมที่พัดมา ชุดสีดำสนิททั้งตัวยิ่งทำให้คนตรงหน้าแลดูมีแรงดึงดูดอยู่ทั่วตัว เขาคนยิ้มให้เธอ ก่อนจะเอ่ยปากอีกครั้ง
“ไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ?”
“ค่ะ.....ไม่เป็นไร”
เสียงนั่นดูไม่สมกับเป็นเธอเลยสักนิด!! ลีน่าคิด เธอยังจ้องเขาอยู่เมื่อคนตรงหน้าพูดขึ้นมา
“ช่วยปล่อยมือก่อนได้มั้ย?”
ก่อนที่หน้าของเธอจะแดงขึ้นอีกเมื่อมองไปที่มือตัวเองที่ยังจับมือของเขาคนนี้ไว้แน่น เธอรีบปล่อยมือออกทันที แล้วก้มหน้าลง ลีน่าพูดด้วยน้ำเสียงประหม่า “ขอโทษค่ะ...ขอโทษนะคะ” เธอเพิ่งรู้ว่าตอนที่เขาตรงหน้าชนเธอนั้นของๆ เขาหล่นอยู่แทบเท้า (มารู้เอาตอนก้มหน้าเพราะความเขิน)
ของที่ตกอยู่มีทั้งหมดสามชิ้น โดยที่คนหล่อตรงหน้าของเธอได้เก็บของสองอย่างไปเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวจึงรีบก้มลงเก็บถุงใบใหญ่ใบที่ตกลงมาใกล้เธอ ลีน่าหวังช่วยคนตรงหน้า
“เอ่อ... ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเก็บ.....เอง”
เขาผู้ซึ่งกำลังเดินมาเก็บเอ่ยปากร้องห้ามทันที แต่เธอจับถุงกระดาษไว้แน่นแล้วดึงขึ้นเต็มแรง
แคว่ก
เสียงของถุงกระดาษขาด ของที่อยู่ในถุงนั้นล่วงมาตกพื้นดัง ตุบ ความเงียบเข้าปกคลุมระหว่างคนสองคน ลีน่าหน้าขาวซีดเธอรีบก้มลงเก็บของที่ตกอยู่ทันทีกลัวว่าของจะพัง คนตรงหน้ารีบเดินเข้ามาหยิบกล่องนั้นทันที แต่สายตาเจ้ากรรมของเธอดันไปหยุดอยู่ที่อักษรที่ติดอยู่บนกล่องที่คนๆ นั้นถืออยู่ซึ่งประกอบกับภาพที่ติดอยู่ที่ตัวกล่องแล้ว ลีน่าค้างไปหลายวิ
Suppressor gun - ปืนเก็บเสียง
ปืน!!
ลีน่าตกตะลึง เธอค่อยๆ มองหน้าพ่อเทพบุตรที่ยังคงตีสีหน้าเรียบนิ่งดุจเช่นเดิม แต่ทว่าบรรยากาศรอบตัวคล้ายจะมีความหนาวยะเยือกเข้ามาแทนที่เสียแล้ว
“เอ่อ
. คือว่า..”
คนตรงหน้ายิ้ม แต่เด็กสาวบอกได้เลยว่ารอยยิ้มนั้นมีแต่ความรู้สึกที่ทำให้ชาวาบๆ แถวท้ายทอย ลีน่าถอยหลังไปหลายก้าว เมื่อคนตรงหน้าเดินตรงมาที่เธอ ความกลัวของค่ำคืนนั้นกลับเข้ามาสู่ใจเธออีกครั้ง คนตรงหน้าเธอนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรรึเปล่า เธอมาติดกับอะไรบางอย่างเหมือนเจสซิก้าแล้วรึยัง
เขาจะฆ่าเธอ...ใช่มั้ย?
แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักเมื่อมีเสียงเรียก พร้อมคนที่ส่งเสียงตรงมาที่พวกเขายืนอยู่
“ฟง!!!”
เสียงของชายวัยกลางคนตะโกนขึ่น เขารูปร่างสูงแลดูบึกบึนแม้อยู่ในวัยที่อายุมาก ผิวออกสีขาวซีดๆ เส้นผมสีขาวโพนเสยไปทางข้างหลังเผยใบหน้าหลังกรอบแว่นตาเลนส์สายตาที่เต็มไปด้วยริ้วรอยและรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่พาดผ่านใบหน้าตัดดวงตาด้านซ้ายไป ทั้งท่าทางและหน้าตา ลีน่าบอกได้คำเดียวว่าไม่น่าไว้วางใจอย่างแรง
โจรชัดๆ !!!
ชายคนนั้นถือถุงที่บรรจุดอกไม้เต็มไปหมดเดินเข้ามา
“คุณคือลีน่า หว่องที่ติดต่อมาใช่มั้ย?”
1-2-3
“คิดว่าคุณจะไม่มาแล้วละ”
ใช้เวลานานที่เดียวกว่าที่ลีน่า หว่องจะยอมเข้ามาในร้าน อันที่จริงถ้าไม่เป็นเพราะว่าเธอร้องกรี๊ดดังลั่นแล้วเตลิดออกมามันก็คงเร็วกว่านี้มาก แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้ลีน่าได้มานั่งอยู่ในร้านดอกไม้อันแปลกประหลาดแล้ว ลีน่าใช้สายตาสำรวจไปทั่วทั้งร้าน ดอกไม้ที่วางอยู่รอบตัวเธอนั้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งจนทำให้เธอสงบลงบ้าง แม้จะมีท่าทีหวาดๆ กับคนที่อยู่รอบตัวบ้างก็ตามที
เด็กสาวละสายตาจากดอกไม้
ลีน่ามองไปยังคนห้าคนที่ยืนอยู่รอบตัว แม้ว่าตอนนี้ร้านจะถูกแปะป้ายปิดร้าน และม่านและบานเหล็กจะถูกดึงลงมาปิดจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่แสงไฟนีออนบนเพดานที่เปิดเอาไว้ ก็ทำให้เธอเห็นใบหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
“เอ้านี่ กาแฟนะหนู” ลีน่ารับกาแฟจากชายที่เธอเพิ่งจะร้องกรี๊ดใส่หน้า จากที่เคยเห็นหน้าตาจากที่หน้า
ร้านไปแล้ว ตอนแรกเธอนึกว่าเขาเป็นมาเฟียที่ไหนเสียอีก แต่ในความเป็นจริงแล้วคนๆ นี้เป็นเพียงชายวัยกลางคนชาวไทยที่ดูธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ชงกาแฟได้เก่งจนไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีหน้าตาแบบนั้น
“ผมชื่อเมฆ เรียกลุงเมฆก็ได้นะ” ทันทีที่เขาเรียกชื่อตัวเองด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ความคิดของลีน่าก็แล่นไปถึงตอนที่เธอเล่นเกมทำนายโชคชะตา
“คุณคือตัวการ์ตูนที่อยู่ในตู้ทำนายดวงเหรอ”
ชายวัยกลายคนพยักหน้าด้วยสีหน้าเลี่ยนแปลกๆ คล้ายจะไม่อยากระลึกถึงเท่าไรนัก เขาชี้มือไปยังหญิงสาวอีกคนที่เธอรู้จักตรงหน้าร้านอีกคน ขอย้ำอีกครั้งว่า หญิงสาว เป็นอะไรที่ลีน่าตกใจ และ หน้าแตก มากมายเมื่อเธอเพิ่งรับรู้ว่าพ่อเทพบุตรยามแรกเห็นของเธอแท้จริงแล้วเป็นผู้หญิง เธอไม่กล้าหันไปมองหน้าหญิงสาวแสนงามที่กำลังรดน้ำดอกไม้อยู่ไม่ไกลจากลุงเมฆเท่าไร
“เธอคนนั้นชื่อ ฟง” ลุงเมฆยิ้มให้เธอเหมือนรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ แน่นอนว่าความอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีของเธอกำลังพุ่งทะลุขีดสุดเลยทีเดียว และอาจจะมีความผิดหวังเล็กๆ พ่วงเขามาด้วย แต่เด็กสาวก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้งเพื่อมองไปที่เด็กหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน “เจ้าลิงสองตัวนั่นคนด้านซ้ายที่ถือลูกบาสอยู่ชื่อมัค ส่วนเจ้าตัวที่เกาะเบาะนั่งอยู่นั่นชื่อยิปซี”
เด็กหนุ่มชื่อมัคยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เขาเดาะลูกบาสเป็นจังหวะอย่างชำนาญ จนสามารถบอกได้เลยว่าผิวสีแทนคล้ำแดดนั้นเกิดจากการออกไปเล่นบาส หรือกีฬากลางแจ้งอยู่บ่อยครั้งเป็นแน่ เพราะแดดเผามาเฉพาะจุดเลย ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่นั้นตรงข้ามกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่โดยสิ้นเชิง ยิปซีมีผิวแทนก็จริง แต่ออกแนวเนียนๆ ฉบับหนุ่มเกาหลีที่ยอมลงทุนไปอาบแดดเพื่อผิวสีน้ำผึ้งมากกว่าการออกเหงื่อเพื่อผิวที่ดำไม่เป็นที่อย่างมัค เขามองมาที่เธออย่างสนใจ แต่ทันทีที่รู้ว่าเธอมองมาที่เขา เด็กหนุ่มก็เมินหน้าหนีเธอ มีอะไรบางอย่างในตัวลีน่าที่บอกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ชอบเธอเท่าไรนัก
“ส่วนอีกคนหนึ่ง....เจน”
ลุงเมฆไมได้หันไปมองที่ใคร แต่ลีน่าก็เห็นหญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่หลังโทรทัศน์ คล้ายๆ กำลังจะประกอบอะไรบางอย่างเข้าด้วยกัน เธอคนนั้นหันหน้ามาสวัสดีเธอแล้วก็กลับไปที่โทรทัศน์อีกครั้ง จากการที่เห็นหน้ากันเพียงแวบเดียว ลีน่าก็บอกได้ว่าหญิงสาวผู้กำลังก่อการ (ร้าย) บางอย่างกับทีวีคนนี้เป็นคนที่สวย แม้จะผิดกับคนที่เธอ (เข้าใจผิด) คิดว่าเป็นผู้ชายคนละแบบกันไปก็ตาม ใบหน้าของหญิงสาวออกไปแนวละตินผสมเอเชีย ผิวสีน้ำผึ้งเข้มในแบบฉบับที่ดูแปลกตา แถมด้วยชุดเสื้อผ้าที่ดูแล้วลีน่าแทบจะอายแทน แม้ปากของสาวผิวสีน้ำผึ้งคนนนั้นจะคาบอะไรอยู่ก็ไม่ได้ทำให้ความดุดันหายไปเลยสักนิดเดียว
“เอาละ....แนะนำตัวกันพอแล้ว ผมอยากให้คุณเลิกสนใจรอบตัวคุณสักครู่ แล้วถามสิ่งที่คุณสงสัย หรือจะเล่าเรื่องอะไรก็ได้เกี่ยวกับคุณ หรือคืนนั้นให้เราฟัง คุณลีน่า” ชายแก่พูดเขาหรี่ตามองมาที่เธอ “คุณรู้มั้ยว่าเรามารวมตัวกันให้คุณเห็นได้ไม่กี่ครั้งหรอกนะ?”
เด็กสาวขมวดคิ้ว
“ที่จริง...ฉันไม่รู้จักพวกคุณเลยสักนิด ไม่เคยได้ยินว่ามีร้านที่รับทำงาน หรือช่วยเหลืออะไรทำนองนี้ และก็ไม่รู้ด้วยว่าร้านเกมนั่นจะมีระบบส่งความช่วยเหลืออะไรแบบนี้ด้วย และที่สำคัญที่สุด ฉันจำเรื่องตอนเล่นตู้เกมนั้นไม่ได้อีกต่างหาก ถึงจะพอรู้รางๆ ก็เถอะ” เด็กสาวเงียบเสียงลงแล้วพูดต่อ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้มันออกจะพิลึกเกินไปแล้ว “พวกคุณเป็นใครกันแน่ ฉันไม่ได้อยากติดต่อพวกคุณสักหน่อย”
“ไม่ได้อยากติดต่อแต่ก็เดินตามแผนที่ที่ให้มาแล้วนิ?”
เสียงของเด็กหนุมที่ชื่อยิปซีพูดขึ้น เขาเกาคางตัวเองก่อนจะหันไปมองทางอื่น ลีน่าเหลือบมองที่หางตา ความเจ็บใจเล็กๆ จากที่ใดไม่ทราบผุดขึ้นมา
“ฉัน...แค่ไม่มีทางเลือก” เธอกระซิบ “ฉันก็แค่อยากลองเข้ามาดูเท่านั้นละ... เพราะว่าเพื่อนของฉันเคยเล่าให้ฟังว่ามีตู้เกมที่สามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องอยู่หรอก ฉันก็เลยมาลองปรึกษา”
“ตอนเวลาตีหยึ่งกว่า สภาพของเธอก็ดูไม่จืดเท่าไรนะ” เด็กหนุ่มคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เขาเงียบปากทันทีที่มีสายตาพิฆาตจากลุงเมฆมองมา
“เอาเป็นว่าเรื่องของคืนก่อนจะเป็นอย่างไรก็ช่าง...” ลุงเมฆพูดเรียบๆ ชายแก่ลากเก้าอี้มาหนึ่งตัวแล้วนั่งหันหน้ามาที่ลีน่า นัยน์ตาสองสีดำและขาวจ้องมาที่เธอราวกับจะประเมินเรื่องราวด้วยตนเอง ในตอนนี้สาวสวยที่ชื่อ ฟงวางมือจากที่รดน้ำต้นไม้แล้วหันมามองมายังเธอเช่นกัน “แต่ลุงอยากบอกหนูว่าเรื่องที่หนูลีน่าเล่าให้ เรา ฟังเมื่อคืนนี้มันน่าสนใจจนเราต้องลงความเห็นว่าจำเป็นต้องมีเอี่ยวด้วย และอย่างที่หนูน่าจะพอจำได้ว่าตัวของหนูเองก็เป็นคนกดตกลงส่งคำร้องขอความช่วยเหลือมาด้วยตัวเอง”
“เรื่องแบบนี้ฉันแจ้งตำรวจน่าจะดีกว่า”
“หนูควรรู้ว่าเรื่องบางเรื่องตำรวจเองก็คาดเดาไม่ออกหรอก หนูลีน่า และเท่าที่ลุงรู้ หนูเคยโทรศัพท์แจ้งตำรวจเรื่องนี้มาห้าครั้ง ติดต่อด้วยตนเองตั้งแต่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย รวมสามครั้ง แถมยังพาคนอื่นมาเสี่ยงกับหนูด้วยอย่างคุณเจสซิก้า ที่หนูเล่าให้ฟังว่าหายตัวไปใช่รึเปล่า” ลุงเมฆหยิบถ้วยกาแฟที่เขาชงขึ้นมาจิบ “แต่ไม่มีครั้งใดเลยที่สำเร็จ จนหนูปิดกั้นตัวเองอยู่ในห้อง และท้ายที่สุดก็มาทำอะไรบ้าๆ อย่างขอความช่วยเหลือจากเรา ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเราเลยสักอย่างเดียว”
ชายชราวางแก้วลง “ลุงอยากบอกคุณหนูว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่ได้เป็นงานของเราเลยสักนิด ตู้เกมนั้นอาจเป็นงานอดิเรกของใครบางคนที่ชอบรับฟังปัญหาและให้คำปรึกษา” ลุงเมฆหันมองไปที่ใครบางคนที่อยู่หลังทีวี และอีกคนที่นอนหมอบอยู่หลังโซฟา “แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องมายุ่ง ถ้าเพียงแต่เราคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวหนูในตอนนี้ ร้อยทั้งร้อย คุณหนูลีน่าหมดที่พึ่งและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เป็นแน่แท้”
“เรื่องที่เกิดกับคุณมันไม่ใช่งานที่ตำรวจรับมือได้” เสียงโทนนุ่มของฟงพูด เธอเอื้อมมือหยิบรีโมททีวี มาเปิดช่องข่าวดู จอโทรทัศน์ที่ติดตั้งอยู่ตรงผนังแสดงภาพข่าวของการหายตัวไปของนักข่าวสาวประจำสำนักข่าวใหญ่ “ดูเหมือนว่าสื่อจะเริ่มสนใจ...แต่อีกไม่กี่วันนี้ข่าวพวกนี้คงหายไปจากหน้าจอโทรทัศน์ หรือหน้าหนังสือพิมพ์แน่ๆ”
“คุณพูดเรื่องอะไรกัน นั้นเจสซิก้า หยางนักข่าวชื่อดังนะ” ลีน่าหน้าซีด เธอมองข่าวที่แสดงอยู่ สื่อเริ่มประโคมข่าวการหายตัวไปของเจสซิก้าแล้ว แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรเลย “...ลูกสาวของเธอกลายมาเป็นชิ้นส่วนอยู่ทั้งคน แถมเธอมาหายตัวไป ไม่ว่าใครก็ต้องสนใจ!!~”
“ทำไมหนูไม่คิดว่าคนที่หนูเห็นเมื่อตอนนั้นจะมีพรรคพวกคอยแบ็คอัพอยูลับหลังละ”
ลีน่าหันมองลุงเมฆอย่างไม่เข้าใจ
“เดาได้ว่าเรื่องของชิ้นส่วนมันคงจะดังอยู่หรอก แต่ลุงบอกได้เลยว่าไม่กี่วันต่อมาต้องมีการเฉลยเรื่องของการหายตัวไปของคุณเจสซิก้าแน่ๆ อาจไปเที่ยวต่างประเทศหรือไม่ก็อาจไปเจออุบัติเหตุระหว่างการทำข่าวอะไรทำนองนี้”
ลีหน้ารู้สึกว่าความเย็นนั้นแล่นมาตั้งแต่ปลายนิ้วจนกระจายไปทั่วร่างกาย เธอสั่นสะท้านก่อนจะรู้ว่าน้ำอุ่นๆ ไหลลงมาอาบใบหน้าตนเอง
“ฉัน.....”
ลุงเมฆลุกขึ้นไปหยิบกระดาษทิชชู่ แล้วมายื่นให้เธอ ลีน่าขอบคุณแล้วเอาทิชชู่มาเช็ดคราบน้ำตา “ฉันไม่ได้เล่าให้เธอฟังว่าก่อนที่ฉันไปหาตำรวจ ฉันเห็นอะไร...ฉันน่าจะบอกเธอก่อน แต่ฉันกลัว...” เธอหยุดพูด ลีน่ารู้ตัวว่าเรื่องราวที่เธอเล่ามันอาจจะเหลือเชื่อ แต่เธอก็เล่าเรื่องตั้งแต่เธอก้าวขาเข้าไปที่อาคารร้างแห่งนั้น ไปจนถึงตอนที่เธอยังไม่ได้เล่าให้ใครฟังทั้งหมดด้วย
“สิ่งที่ฉันเห็น...มันบ้ามากๆ”
ในตอนที่ลีน่ามารู้สึกตัวอีกครั้ง เป็นอีกหลายชั่วโมงต่อมาที่เธอรู้ว่ามาค้างอยู่บนต้นไม้ที่ติดอยู่กับประตูหนีไฟ เธอค้างอยู่ระหว่างชั้นสามและชั้นสอง กิ่งก้านที่แผ่ขยายไปทุกส่วนของต้น....ช่วยรองรับตัวเธอและกลายเป็นที่ซ่อนของเธออย่างดี เด็กสาวใช้เวลาสักพักกว่าจะเริ่มขยับแขนขาตัวเองได้ เนื่องจากการที่เธอใช้กล้ามเนื้ออย่างทารุณมากเกินไปในค่ำคืนทำให้อาการปวกกล้ามเนื้อกินเธอไปท่วทุกส่วนของร่างกาย ลีน่ามาเริ่มหายปวดและขยับได้ก็ตอนที่แสงอาทิตย์เริ่มทอแสงยามเช้า แต่เป็นในตอนนั้นเองที่เธอแทบจะอยากร้องตะโกนถึงความน่ากลัวปนน่าขยะแขยง
เสียงแรกที่เธอได้ยินตอนสติเริ่มกลับคืนมาทั้งหมดคือ
“เขาอยู่ที่นี่“
เสียงพูดราวกับกระซิบดังขึ้น
“เขาฆ่าคนตาย...”
เธอเห็นรถสีดำจอดอยู่หลายคันรอบตึกจากจุดที่เธอค้างอยู่ มีคนมากมายในชุดสีขาวเข้ามา พวกเขาใส่หน้ากากแปลกๆ วิ่งเข้ามาในตึกพร้อมชายชุดดำหลายคนวิ่งตรงเข้ามา มีเสียงโหยหวนของเจ้าคนโรคจิตนั้นดังลั่น ลีน่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน แต่ที่แน่ๆ มันเป็นเสียงร้องที่แสดงถึงความหวาดกลัวที่เงียบลงอย่างรวดเร็ว ความอยากรู้อยากเห็นบวกกับความตื่นตัวอยากหนีไปเร็วๆ ของลีน่า ทำให้เธอตั้งสินใจคลานจากจุดที่เธอค้างอยู่ไปที่กิ่งใกล้ๆ ที่แรงเธอสามารถเอื้อมถึงโดยไม่เกิดเสียงได้ ผลที่ตามมาคือภาพที่น่าสยดสยองของกลุ่มคนชุดสีขาวที่กำลังเลื่อยร่างกายของเพื่อนเธอป็นส่วนราวกับเป็นสิ่งขาว
เลือดสีแดงเข้มๆ ไหลทะลัก เธอจำชิ้นส่วนของคนไม่ได้หมดหรอกแต่ที่แน่ๆ คือพวกเขาบรรจงตัดชิ้นส่วนของเพื่อนเธอได้เป็นระเบียบเหลือเกิน จัดเรียงใส่ถุงพลาสติกขนาดใหญ่ก่อนแพ็คแล้วส่งไปยังคนที่รับช่วงขนไปที่รถตู้ที่จอดอยู่หน้าตึก เธอแทบจะอาเจียนเพราะความวิปริตที่เห็น เสียงของเธอก็ดูเหมือนจะเหือดหายไปจากลำคอ สายตาเธอเริ่มลางเลือนอีกครั้ง น่าแปลกที่ตอนที่พวกมันกำลังจะทำบางอย่างกับร่างของเพื่อนเธอ เจ้าฆาตกรนั้นกลับเปล่งเสียงโหยหวนอย่างทรมานเหลือเกิน
เธอกำต้นไม้แน่นเพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะไม่หล่นลงไปหรือส่งเสียงใดๆ แน่ๆ เธอรวบรวมสติแล้วมองไปยังภาพตรงหน้า ลีน่าน่าพบว่ามีอยู่เพียงหนึ่งถุงเท่านั้นที่ถูกมัดเป็นร่างของคนๆ หนึ่งอย่างเต็มตัว แน่นอนว่ามันไม่ใช่ร่างของไอ้โรคจิตนั้นแน่ แต่อาจเป็นร่างของใครคนหนึ่ง
เธอคาดว่าอาจเป็น อามี่
เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น อาจเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวของความหวังให้ร่างของเพื่อนรักของเธอยังคงดีอยู่ก็ได้ เด็กสาวรอจนแน่ใจว่าคนพวกนั้นจัดการธุระของพวกตนเสร็จสิ้นจึงทิ้งตัวลงนั่งอยู่บนต้นไม้ เธออยากรอจนแน่ใจว่าคนพวกนั้นหายไปจากเธอ
ลีน่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ รู้เพียงว่าเธอสะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย
พระอาทิตย์ทอแดดแรงกล้า และคนพวกนั้นก็ไม่ได้อยู่แถวนั้น เธอพยายประคองร่างของตนปีนป่ายลงจากต้นไม้แล้วลากสังขารแจ้งตำรวจเธอเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเห็นจนหมดเปลือก พวกเขาชวยเธอทำแผล พวกเขามองเธอราวกับตัวประหลาด จนเธอยอมเปลี่ยนเรื่องว่าโดนคนโรคจิตจับขังนั่นแหละ พวกเขาจึงได้เข้ามาช่วยดูตึกนั้นให้เธอและเธอก็กลายเป็นคนหลอกลวงตั้งแต่วันนั้นเช่นกัน
“เรื่องในวันนั้นฉันไม่ได้บอกใครอีก วันที่เจสซิก้ามาก็เช่นกัน ฉันไม่ได้เล่าให้เธอฟังว่านอกจากไอ้บ้านั้น ยังมีเจ้าพวกที่บ้ากว่ามันมา เพราะฉันกลัวว่าเจสซิก้าอาจไม่เชื่อฉัน ฉันคืดว่าคนพวกนั้นอาจจะจัดการเธอไปแล้ว” เด็กสาวพูดทั้งน้ำตา “ถ้าแม่ของอามี่เป็นอะไรไปละก็...”
“มีใครรู้ว่าหนูอยู่ที่ไหนบ้างมั้ย ลุงหมายถึงว่าตอนวันที่หนูไปแจ้งตำรวจมีใครเห็นหน้าหนูบ้างรึเปล่า แล้วเกิดเหตุการณ์แปลกๆ รอบๆ ตัวบ้างมั้ย?”
ลีน่าส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ ฉันย้ายมาอาศัยอยู่ที่ตึกของคนรู้จักทันทีที่แจ้งความ แล้วก็ให้ที่อยู่ของที่อยู่เก่าไปค่ะ”
ลุงเมฆเดินไปหยิบกระดาษและปากกามาให้ลีน่า “ช่วยจดที่อยู่ปัจจุบัน กับที่อยู่เก่าของหนูให้ลุงหน่อย” เขายิ้ม “แล้วก็...ช่วยจดชื่อโรงเรียนของหนู กับรายละเอียดเกี่ยวกับตึกทูดราก้อนเท่าที่หนูรู้ทั้งหมดให้ลุงที”
“ฉันเชื่อใจพวกคุณได้ใช่มั้ย?” ลีน่าไม่ได้เขียน เธอเมองไปยังคนตรงหน้า
“พวกเราขอสาบานเลยว่าเชื่อใจเราได้”
“งั้นถ้าเกิดว่าเมื่อคืนฉันไม่ได้จำผิด ฉันก็คือผู้จ้างวานของพวกคุณใช่รึเปล่า”
“ใช่”
“งั้นก่อนที่ฉันจะเขียนทุกอย่างที่ฉันรู้ให้คุณ...คุณช่วยบอกได้มั้ยว่าพวกคุณคือใคร”
ลุงเมฆยิ้มกับคำถามของผู้ว่าจ้าง
“....เราคือโชคชะตาทั้งหมด ที่หนูเอามาเดิมพันด้วยชีวิต” ลุงเมฆตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ลีน่าจ้องหน้าของคนที่มองมายังเธอแต่ละคน เธอวางของที่อยู่ในมือลง แล้วล้วงไปในอกเสื้อ ลีน่าหยิบโทรศัพท์มือถือที่ถูกห่อด้วยถุงพลาสติกมาวางไว้บนโต๊ะ เธอแกะมันออก สภาพของมันเต็มไปด้วยเลือดที่แห้งกรัง
“งั้นฉันก็ขอวางหลักฐานทุกอย่างที่ฉันรู้ พร้อมทั้งดวงของฉันทั้งหมดให้กับพวกคุณ”
ลีน่าพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความเด็ดขาดแฝงอยู่
“ทั้งหมดที่หนูต้องการมีเพียงการนำอามี่ เพื่อนของหนู และคุณเจสซิก้ากลับมา แล้วลากพวกมันมารับโทษ!!”
1-2-3
“มีความเห็นกับเรื่องของเด็กคนนั้นยังไงบ้าง”
เสียงของลุงเมฆพูดขึ้น เขาอยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนสีเลือดหมู กำลังยกถ้วยกาฟมาให้กับคนสี่คนที่นั่งอยู่รอบๆ โต๊ะกลมในชั้นใต้ดิน ร้านข้างบนปิดแล้ว เวลานี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ เด็กสาวที่ชื่อว่าลีน่า ถูกลุงเมฆบังคับให้พักอยู่กับพวกเขาเพราะว่าลุงเมฆกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับเด็กสาวที่พักอยู่ตัวคนเดียว เธอเข้านอนเมื่อช่วงสองทุ่มที่ผ่านมาด้วยฤทธิ์ยานอนหลับของยิปซี เมื่อเสร็จกับผู้จ้างวานพวกเขาก็ลงมายังชั้นใต้ดินที่ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่มานั่งปรึกษาเพื่อหาแนวทางการรับมือกับเรื่องของเด็กสาว
“เรื่องออกแนวสยอง” ยิปซีพูด “หรือพี่ฟงคิดว่าไง มาลองคิดดูแล้วพวกนั้นมันอำนาจมืดจากวงการมืดชัดๆ” ยิปซีเป่าไอน้ำที่ลอยมาแล้วซดดื่ม เด็กหนุ่มวางแก้วลง เขาหันหน้ามองหญิงสาวที่ชื่อฟงที่กำลังหลับตาอย่างใช้ความคิด เธอคนนี้เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารักและนับถือ อีกอย่างการถามความเห็นของหัวหน้าสาขาก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาแต่อย่างใด “พี่คง ไม่คิดจะยื่นมือเข้าไปช่วยเต็มตัวหรอกนะ ถึงเราจะเป็น ฟอร์จูน แต่การก้าวก่ายองค์กรอื่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ”
ยิปซีไม่ได้กลัวหรือเห็นแก่ตัว แต่มีกฏอยู่ในโลกมืดหลายข้อที่บางครั้งก็ห้ามเข้าไปยุ่ง
“เรื่องนี้ฉันเห็นด้วยกับยิปซี เท่าที่เด็กคนนั้นเล่า เห็นๆ อยู่ว่าต้องมีแก็งมาเฟียหรือองค์กรที่เรายังไม่รู้ว่าเป็นใครคอยแบ็คอัพอยู่แน่ๆ งานของพวกมันถึงได้เรียบหรูและเลิศมาก คิดดูสิคนตายไปตั้งสี่คนแต่เลือดซักหยดยังไม่มี นี่มันมืออาชีพชัดๆ แถมไม่ธรรมดาด้วย” เจนพูด เธอคาบใบไม้ไว้ที่ปาก เสียงของเธอเครียดและเคร่ง เพราะหญิงสาวผิวน้ำผึ้งเข้มคนนี้เคยมีประวัติอยูในโลกมืดทุกรูปแบบ แม้ตอนนี้ประวัติเธอจะหายไปหมดแต่ความประสบการณ์ของเธอก็เป็นอาวุธชั้นดีทีเดียว และตอนนี้มันกำลังบอกเธอว่างานนี้อาจเสี่ยงได้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อเลยด้วย
ลุงเมฆเองก็พยักหน้า “หนูฟง...งานนี้มันไม่ง่ายนะ และถ้ามันเกี่ยวกับองค์กรอื่นนั้นหมายถึงเราต้องส่งเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่” เขาขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด “แต่เรื่องนี้มันน่าสนใจเกินกว่าที่จะละทิ้ง ตอนที่พวกเธอใช้ยากล่อมประสาทที่ตู้ทำนายนั้นเด็กสาวคนนั้นเล่าเรื่องที่รู้มาได้เยอะพอควร รู้ได้ถึงขนาดที่ไม่น่าเชื่อว่ารอดมาได้ยังไง”
ตู้ทำนายดวง และร้านดอกไม้มีความลับอยู่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือทั้งร้านจะมีกลิ่นยาบางตัวที่ช่วยให้ผู้หายใจเข้าไปรู้สึกสบายใจ และไม่ค่อยมีสติอยู่กับตัว ทำให้เล่าเรื่องราวที่ถูกป้อนคำถามเข้าไปราวกับถูกสะกดจิต แต่จะมีผลในระยะสั้นๆ เท่านั้น ฃร้านดอกไม้เองก็มีกลิ่นตัวยาอยู่ทุกจุด แต่ที่ตู้เกมนั้นมีใครบางคนได้ดัดแปลงด้วยอารมณ์คึก ซึ่งแอบมีผู้ช่วยเหลืออยู่ห่างอย่างใครบางคนที่ชอบรับฟังเรื่องราวต่างๆ ได้ แถมพ่วงสายเข้ามาที่ห้องใต้ดินให้ลิงค์กันได้อีก แต่เรื่องที่ว่าอยู่ๆ กลายมาเป็นสถานที่รับงานก็เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงเช่นกัน
“คิดว่าเราไม่ควรรับงานนี้เหรอ” ฟงพูด หน้าของหัวหน้าสาขานั้นดูเรียบเฉย แต่ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้ว่าเธอกำลังให้ความสนใจกับงานนี้อย่างเต็มที่
คำถามของฟงไม่มีใครตอบ เกิดความเงียบเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เด็กหนุ่มคนที่เงียบมาตลอดอย่างมัคจะเอ่ยปากพูดขึ้นมา “ผมคิดว่าไม่มีใครไม่อยากช่วยหรอก เด็กคนนั้นน่ะ แต่...เราไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่เหรอครับ...อีกอย่าง ถ้ามันเกี่ยวกับองค์กรร้ายๆ จริง...” มัคไม่ได้พูดอะไรต่อ นัยน์ตาเขาสั่นไหวอย่าน่าประหลาด ก่อนที่จะหันหน้ามองมาที่ฟง
“แต่ฉันว่ามันน่าช่วย” หญิงสาวผู้เป็น หัวหน้าสาขา พูด เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้ววางไว้ที่กลางโต๊ะ “เห็นใช่มั้ยว่ามันเปื้อนเลือด...งานนนี้มันอันตราย ก็ถูกอย่างที่ทุกคนคิด แต่ที่ผ่านๆ มา เราก็ผ่านงานทุกอย่างมาได้ด้วยดี ร้านของเราเปิดมาสองปีรับงานมาเกือบสิบกว่าครั้ง หลายงานเราเสี่ยง ซึ่งก็ทุกงานนั้นแหละที่ชีวิตเราแขวนอยู่บนเส้นด้าย งานนี้อาจดูเหมือนหนัก แต่ถ้าเราไม่ทำ แล้วใครจะเรียกร้องสิทธิ์ให้เด็กคนนั้นกัน?.. พวกที่อยู่ใต้แสงสว่างอย่างนั้นหรือ?”
“ในตอนนี้มีคนตายถึงสี่คน หายตัวไปอีกหนึ่ง แถมถ้าที่ฉันหรือก็อย่างที่ทุกคนคิดนั้นแหละ คาดไม่ผิด เด็กที่ชื่อว่าอามี่นั้นก็อาจจะยัง รอด และรอคนช่วยเหลือ ถ้าเราไม่ช่วย คนสองคนอาจไม่รอด รวมถึงเด็กที่ชื่อว่าลีน่าด้วยจริงมั้ยคะ ลุงเมฆ”
“พวกนั้นรู้หน้าตา กับที่อยู่ของหนูลีน่าแล้วละ ลุงค่อนข้างมั่นใจ” ชายชราถอนหายใจ “ตอนลุงลองโทรไปถามที่สถานีตำรวจมาแล้วไม่มีใครบอกว่ารู้เรื่องการแจ้งข่าวเมื่อเดือนก่อนของหนูลีน่าเลย แปลกๆ นะ ลุงเลยลองถามเจ้าเสมียนเพื่อนก๊งของลุงดู มันถึงบอกว่าเมื่อเดือนก่อน มีเด็กแปลกๆ มาร้องขอความช่วยเหลือในสภาพที่เลือดท่วม แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องโกหก แถมมาป่วนสายโทรศัพท์โรคจิตอีกเลยเกือบมีการตักเตือนแล้วด้วย แต่เรื่องที่หนูลีน่ารอดมาได้เนี่ยลุงเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอาละ ถ้าเราไม่ช่วย ไม่ช้าไม่นานเด็กคนนั้นก็คงจบชีวิตลง” เจนพูด “ปล่อยให้ตายดีมั้ยเนี่ยยยยย”
“ผมคิดว่าผมอยากรับงานนี้ครับ คุณฟง”
“แหมม ถ้าเจ๊อยากทำงานนี้ เจ๊ก็บอกมาเถ้ออ”
“ลุงก็ว่าถ้าจะทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากกรมก็มีทางนา ลุงมีเพื่องก๊งเป็นตำรวจมือดีอยู่หนึ่งนาย ถึงมันจะโสดก็ตามเถอะ”
ฟงพยักหน้าก่อนกวาดสายตาแล้วหัวเราะในลำคอ “ไม่มีใครอยากเลิกหรอกจริงมั้ย เรื่องน่าสนใจขนาดนี้” ทุกใบหน้าไม่มีคำว่ากังวลเลย ผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ “งั้นต่อไปนี้คือการแจกแจงงาน หวังว่าทุกท่านจะสนุกไปกับงานที่ท้าทายอย่างเช่นทุกครั้งที่เจอ”
ฟงพูดพร้อมวางแก้วกาแฟลง เธอส่งยิ้มหวานให้กับทุกคน ก่อนจะเปิดมือถือที่เลอะเลือดนั้นขึ้นมา หน้าจอโทรศัพท์มือถือฉายภาพของเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังส่งเสียงกรีดร้อง เธอยิ้มแล้ววางมันลงให้ทุกคนเห็นโดยทั่วกัน รอยยิ้มของผู้ร่วมงานในสาขาปรากฏขึ้นกันทุกคนภายใต้ความเงียบที่แสนอึดอัด และความโกรธของผู้ที่เคยผ่านเรื่องบางอย่างในอดีตมา
ฟงลุกขึ้น เธอหลับตาลงพร้อมกับพูดเบาๆ คล้ายสั่งลาเด็กสาวที่อยู่ในมือถือนั่น
“ราตรีสวัสดิ์...ทุกคน”
ความคิดเห็น