คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 1 เลห์ลาเดีย จักรพรรดินีแห่งความมืด
บทที่ 1
เลห์ลาเดีย จักรพรรดินีแห่งความมืด
ทุกสรรพสิ่งล้วนมีเส้นทางเป็นของตน
เมื่อห้าร้อยปีก่อน แดนปีศาจถูกโลกทั้งใบเกลียดชัง ทั้งมนุษย์ที่ตั้งรกรากกันที่ใจกลางทวีปและเหล่าทวยเทพที่สถิตอยู่ ณ นครเหนือ ต่างก็พิโรธโกรธา หาเรื่องมาบุกดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ที่ถูกเรียกว่า ดินแดนทมิฬ ซึ่งตั้งอยู่ที่แดนใต้กันอย่างไม่ว่างเว้น สาเหตุนั้นมีมากมาย แต่ใจความหลักของข้อหาที่ถูกกล่าวอ้างกลับไม่เคยมีความจริงแท้แต่ประการใด ไม่มีผู้ใดรู้ได้แน่ชัด และถึงแม้ว่าจะจับผู้นำเหล่านั้นบางคนมาเปิดปากให้ยอมบอกถึงสาเหตุที่ทำ ก็ไม่เคยมีใครเอ่ยมันออกมา เพราะเหล่าปวงประชาแห่งโลกไกอาต่างรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขามาจับดาบ และเข่นฆ่าเหล่าปีศาจนั้นเหตุผลมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือ...
ศิลาไร้นาม
ต้นเหตุแห่งความวิปโยคทั้งหลาย อันก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าความละโมบ หมายจะได้ครอบครองในหมู่มนุษย์ และสิ่งที่เรียกว่าความชิงชังในหมู่ปวงเทพที่ยึดหลักของความดีงาม ถือความเป็นอยู่เพื่อส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ซึ่งปัญหาของความวุ่นวายเกิดมาจากการที่มีจักรพรรดิองค์หนึ่งในแดนมารเลือกขอพรให้เป็นผู้ครอบครองศิลาที่มารดาแห่งไกอามอบให้แก่เหล่าบุตรของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว บุตรของไกอา หรือเหล่าคนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งนี้ ต่างรับรู้ว่าเทพีผู้เป็นทั้งธรณี เป็นทั้งท้องฟ้า มารดาของทุกสิ่งสร้างมันขึ้นมา และมอบให้พวกเขา
ศิลาก้อนนั้นจึงเป็นของทุกๆ คน และทุกๆ คนต่างมีสิทธิ์ในตัวของหินก้อนนั้น ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แม้มันจะเป็นเหตุให้เกิดโศกนาฏกรรมทั้งหลาย แต่เขาทั้งหลายก็ได้รับผลจากการขอพรจากศิลาก้อนนั้น และเพราะเป็นเช่นนั้นเองการกระทำของจักรพรรดิแห่งความมืดจึงเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์!!
เมื่อจ้าวปีศาจที่แสนชั่วช้ายึดตัวของศิลาไว้กับตน ศิลาที่สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่ผู้ครอบครองปรารถนา อยากให้เป็น สามารถกำหนดความต้องการของคนที่อยู่ใกล้ได้อย่างเสรี พลังอำนาจจากเทพมารดรที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้ในทุก ๆ ห้าร้อยปีสามารถขอพรจากมันได้หนึ่งครั้ง ทุก ๆ สิ่ง พลังอำนาจของมันมีไว้เพื่อทุกๆ คน กลับถูกริบรอนไว้ที่คนเพียงคนเดียว นั้นคือ บุรุษแห่งรัตติกาล จักรพรรดิแห่งความมืดที่ครองดินแดนใต้มายาวนานนับพัน ๆ ปี
ครั้งนั้นเมื่อเขาได้ขอนางเป็นคู่ครองตราบจนอายุขัย สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกผู้ตกใจคือการที่หินก้อนนั้นจะมีอายุขัยในร่างๆ หนึ่งไปนานนั้นพัน ๆ ปี โดยที่ไม่มีผู้ใดสามารถขอพรจากมันได้เลยสักคนเดียว!!
(ตามกฎของศิลาไร้นามกล่าวไว้ว่า หลังจากเสร็จสิ้นการขอพรหรือหมดสิ้นความปรารถนาของผู้ครอบครองแล้ว ร่างของมันต้องดับสลายทันทีที่เสร็จสิ้นภารกิจ ศิลาสามารถถูกกำหนดรูปร่างจากผู้พบมันครั้งแรก มันจึงสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ แต่ต้องอยู่ในรูปร่างของสิ่งมีชีวิตที่เป็นเพศหญิงเท่านั้น โดยที่มีตัวกำหนดคือความต้องการจะได้เห็นของผู้พบมันครั้งแรกว่าเป็นอย่างไร)
ไม่ว่าจะด้วยเหตุเพราะความโลภ หรือกิเลศตัณหาของจ้าวปีศาจ โลกทั้งใบต่างก็ได้รับผลกระทบจากการขอพรของเขาผู้นั้นทั้งสิ้น
ไกอาก้าวเข้าสู่ยุคมืด ดินแดนของเหล่ามนุษย์แห้งแล้ง เกิดโรคระบาดนานาชนิด สัตว์เลี้ยงล้มตาบ ฝูงแมลงเข้าโจมตีไร่นา คนแก่ต้องตายอย่างน่าเวทนา เด็ก ๆ ต่างต้องอดอยาก ในขณะที่คนหนุ่มสาวต่างต้องทำทุกวิถีทางให้ตนเองดำรงอยู่ ไม่ว่าปล้น ฆ่า หรือข่มขืนต่างก็เห็นได้จากสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม แต่โดยมากแล้วมักหันเหความสนใจทั้งมวลมุ่งสู้ดินแดนทมิฬเพื่อสงครามที่ทุกประเทศร่วมใจกันหวังทำลายแดนปีศาจ และนำตัวศิลากลับคืนมา
เพียงแต่มันอาจเป็นเหมือนแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ เพราะจะยกทัพมาเท่าไร ก็ไม่เคยเข้าถึงแดนมารได้เสียที พวกเขาต่างอ่อนแอ ไร้ซึ่งพลังมาต่อกร พวกเขาแพ้ไม่เป็นท่ากลับดินแดนกลางเสมอ
เหล่าเทพก็ไม่เคยสนใจพวกมนุษย์ที่แส่หาเรื่องนัก พวกเทวายังคงอาศัยในดินแดนเหนือตามที่พวกเขาจะดำรงได้โดยไม่สนใจโลกภายนอก แม้ว่าจะชิงชังเหล่าผู้มากกิเลศอย่างเหล่าปีศาจเพียงไรก็ตาม แต่ไม่ว่าจะอย่างไรบานประตูผู้ฝึกตนของแสงสว่างก็ไม่เคยแง้มเปิด
จนกระทั่งมีเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อเกิดขึ้น....
หลังการขอพรของจักรพรรดิแห่งความมีด ผ่านไปสักเก้าสิบปีโดยประมาณ ดินแดนของมนุษย์ก็ยิ่งเสื่อมโทรมลงมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีสงครามก่อตัวขึ้นเป็นระยะๆ ที่เกิดกับเผ่าปีศาจ และกับมนุษย์ด้วยกันเองก็ตาม ดินแดนกลางของไกอาก็แทบเรียกได้ว่าดินแดนของคนตาย แต่แล้วก็เหมือนมีแสงแห่งความหวังฉายส่องเข้ามา หากแต่ผู้ที่มาเปลี่ยนแปลงกลับไม่ใช่เหล่าเทพ หรือกษัตริย์องค์ใด ผู้ที่ก้าวเข้ามาช่วยเหลือ กลับเป็นเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ที่มีตำแหน่งเป็นจักรพรรดินีแห่งแดนมาร นามของเธอผู้นั้นคือ...
เลห์ลาเดีย
(คัดมาจาก บันทึกของแฟล์ เอเรนไทม์)
สี่ร้อยปีต่อมาในดินแดนทมิฬ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงกระทบกันของปากกาขนนกด้ามงามกับโต๊ะประชุมดังขึ้นตัดความเงียบวังเวงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ สายตานับสิบคู่มองไปยังสตรีที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ร่างระหงนั่งตัวตรงเคาะปากกาเป็นจังหวะ เส้นผมสีดำยาวถูกเกล้าไว้อย่างเรียบร้อย สตรีท่านนั้นแต่งชุดแซคสีดำ เธอนั่งอยู่ตรงตำแหน่งของผู้นำการประชุมครั้งนี้ ใบหน้าของหญิงสาวนั้นงดงามแต่งแต้มใบหน้าอย่างบางเบาแต่คงไว้ซึ่งความเคร่งขรึม เธอเผยอยิ้มเล็กน้อยเมื่ออ่านบรรทัดสุดท้ายของแผ่นกระดาษในมือจบ
“นี้มันเรื่องอะไรกัน?” เธอถาม ลดมือวางแผ่นกระดาษที่อยู่ในมือลง สายตามองไปยังชายชราร่างเล็กมีเขาคล้ายแพะที่นั่งอยู่อีกฝากของโต๊ะประชุมตัวยาว ชายคนนั้นตัวสั่นเทาเมื่อเธอจับจ้อง “ข้าถามท่านว่านี้มันเรื่องอะไรกัน? เมืองท่าแอเรียสถูกพวกแรงงานปิดประท้วงขอขึ้นแรงงาน? ท่านปล่อยให้เกิดเรี่องแบบนี้ได้อย่างไร ท่านฟาอูล” ปลายเสียงของหญิงสาวตวัดขึ้นเสียง ฟาอูลก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาของหญิงสาว เขาค่อยๆ ตอบเสียงเบา
“ฝ่าพระบาท ตอนนี้ที่เมืองท่าเกิดภัยแล้ง น้ำในการใช้อุปโภคบริโภคก็เหลือใช้น้อยเต็มที จำเป็นต้องได้รับการแบ่งน้ำจากดินแดนข้างเคียงโดยด่วนที่สุด แต่ผลที่ได้กลับกลายเป็นว่าเมืองโอเลอุสที่อยู่ข้างๆ เมืองท่านั้นไม่ยอมมอบน้ำให้แก่เราด้วยเพราะราคาจ่ายไม่พอที่พวกเขาจะได้ ทำให้เมืองท่าแอเรียสยิ่งนับวันก็แห้งแล้งลงพวกผู้ใช้แรงงานที่เป็นมนุษย์จึงออกมาประท้วงขอขึ้นค่าแรงของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเงินไปแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อประทังชีวิตพะยะค่ะ”
“แล้วท่านมอบเงินให้แก่พวกเขาไม่ได้รึ กองทุนส่วนกลางไปไหนหมด”
“เดิมที่กระหม่อมเองก็คิดเช่นนั้น แต่เพราะโรคระบาดเมื่อปีกลายนี้เองที่เราใช่เงินทุนตรงนั้นไปกับการรักษาพยาบาลประชาชนไปจนหมด ประกอบกับภัยแล้งในขณะนี้เลยไม่สามารถหมุนเงินทุนได้ทัน เกิดสภาพฝืดเคืองทางการเงินพะยะค่ะ”
เมื่อฟาอุลพูดจบ สตรีที่นั่งเพ่งอยู่ก็เริ่มเคาะโต๊ะขึ้นอีกครั้ง ฟาอุลเริ่มรู้สึกโล่งอกที่นายของเขาไม่พูดอะไร อันที่จริงเขามั่นใจว่าเมื่อเธอฟังจบต้องนั่งคิดก่อนจึงจะพูดออกมา นายหญิงแห่งแดนมารเป็นเช่นนั้น เธอชอบที่จะฟังและตรองความคิดของตนเสมอ เพื่อแก้หาทางออกที่ดีที่สุดให้แก่เหล่าประชาชนเผ่าปีศาจทั้งหลาย ในขณะนี้เขาเองก็หวังว่านางจะคิดแก้ปัญหาได้โดยเร็ว
ดินแดนทมิฬนั้นตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปไกอา มีกระแสน้ำเชี่ยวตัดทางทุกสาย และมีลาวาร้อนระอุไหลผ่านเป็นดั่งกำแพงเทืองที่ตัดแยกกันระหว่างคนกับปีศาจ เมืองท่าแอเรียสเป็นเมืองของเหล่ามนุษย์ที่อยู่ใกล้กับดินแดนทมิฬมากที่สุด เดิมทีเมืองนี้แทบจะร้างผู้คนเพราะชาวเมืองทั้งหลายต่างเกรงกลัวเผ่าปีศาจ ถึงขนาดที่ไม่มีใครตั้งตนเป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งนี้เลย และเมืองท่าแอเรียสยังเป็นทางผ่านของทหารให้เข้ามาบุกดินแดนปีศาจอีกจึงทำเมืองแห่งนี้ไร้คนมาอยู่มาอาศัย แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเผ่าปีศาจเมื่อครั้งก่อน พวกมนุษย์จากดินแดนอื่นๆ จึงแห่เข้ามาตั้งรกรากกันเป็นจำนวนมาก ด้วยเพราะความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ยังถูกรักษาเอาไว้ และแร่ธาตุจำนวนมากที่มีอยู่ในผืนดิน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักโทษการเมืองที่มาหลบภัย หนีอะไรสักอย่างมา หรือผู้ที่ไร้ที่อยู่อาศัยที่แน่นอนมาอยู่กันอย่างถาวร
เพียงแต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองที่เกิดความปั่นปรวนในธรรมชาติ ทั้งน้ำท่วม โรคระบาด และภูเขาไฟที่ควรดับกลับระเบิดขึ้นมา หลายคนกล่าวว่าเป็นเพราะพวกปีศาจแย่งเอาพลังงานไป แต่แท้ที่จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้ปั่นป่วนนั้นอยู่ใกล้เสียจนไม่อยากจะพูดถึง...
มนุษย์ต่างหากที่ตักตวงผลประโยชน์ทางธรรมชาติเสียจนธรรมชาติพิโรธ
“ข้าคิดว่า...เราควรปันทรัพยากรของเราให้พวกเขาสักเล็กน้อย พวกท่านทั้งหลายมีความคิดว่าอย่างไร?” เลห์ลาเดียพูดขึ้น นางหันมาสบตาทุกๆ คนที่นั่งอยู่รอบตัวเธอ “อย่างไรซะข้าคิดว่า หากปล่อยให้เกิดความอดอยาก และการประท้วงอยู่อย่างนี้ คงไม่เป็นผลดีกับบรรดาลูกครึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองเป็นแน่”
เมืองท่าแอเรียสยังมีความสำคัญตรงที่มีชาวปีศาจบางคนแต่งงานมีลูกหลานอยู่ที่นั่น การปล่อยไว้ หรือละเลยปัญหาที่เกี่ยวกับประชาชนของเธอคงทำให้หญิงสาวฝันร้ายไปทั้งเดือนแน่นอน
“กระหม่อมคิดว่าเราควรนำพืชพันธุ์ของเราไปปลูกไว้สักอย่างนะพะยะค่ะ อย่างต้นไทรปีศาจที่รูปร่างคล้ายๆ กับของพวกต้นไทรของพวกมนุษย์ มันมีคุณสมบัติพิเศษในการชอนไชดินทำให้ดินร่วนซุยเหมาะแก่การเพาะปลูกเป็นอย่างมาก...หรือไม่ก็พวกวัชพืชของเผ่าเราที่เติบโตได้ดี...” เสียงของชายรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่สีผิวเป็นสีม่วงพูดขึ้น แต่คำพูดเขาถูกขัดจากหญิงสาวร่างบางที่มีผมสีเทายาว และสยายคล้ายอยู่ใต้น้ำพูด
“กระหม่อมไม่เห็นด้วยฝ่าบาท” นางพูด ก่อนหันไปขออภัยแก่ชายผิวสีม่วงแล้วพูดต่อ “ข้าคิดว่าเราไม่ควรส่งอะไรไปปลูกสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเรายังไม่รู้ว่าหน้าดินของพวกมนุษย์เป็นเช่นไร การเอาพืชเราไปปลูกอาจกลายเป็นการสร้างปัญหาให้แก่พวกเขาได้ ทางที่ดีเราควรจัดหางานให้พวกเขาทำเสียยังจะดีกว่า อีกอย่างปัญหาหลักของพวกมนุษย์คือการขาดแคลนน้ำใช้ กระหม่อมคิดว่าควรให้ท่านฟาอูลเร่งเจรจากับเมืองข้างเคียงจะเป็นผลดีกว่ามาก”
สตรีผู้นี้คือผู้นำเผ่าปีศาจธาตุน้ำ ชื่อว่า วอร์เธอรีน เมื่อเธอพูดจบ เกิดเสียงฮือฮาขึ้นเล็กน้อย คนรอบโต๊ะประชุมเริ่มส่งเสียงหารือกันเต็มที่ บ้างเห็นด้วยกับความคิดของชายผิวม่วง หรือที่ชื่อว่าเครก บ้างก็เห็นด้วยกับความคิดของวอร์เธอรีน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจักรพรรดินีของพวกเขา เลห์ลาเดีย
สตรีผู้มีศักดิ์ระดับสูงสุดของเผ่าปีศาจหยุดคิดสักครู่ก่อนจะตัดสินได้อย่างเด็ดขาด
“เร่งจัดหางาน ข้าคิดว่าท่าน...ฟาอูล ผู้ดูแลเมืองท่าแอเรียสคงจัดการได้ หาทางเข้าถึงตัวผู้นำของโอเลอุสทำให้เขาแบ่งน้ำให้เมืองท่าแอเรียส ถ้าทำได้โดยดีก็ทำไป แต่ถ้าไม่ได้ให้ลองหาวิธีการจากเมืองอื่นๆ ดู ยังไงซะข้าจะให้ท่านเบิกเงินทุนสำรองจากท้องพระคลังไปก่อน แล้วเมื่อเศรษฐกิจของบ้านเมืองท่านกลับมาดีดังเดิมแล้วก็ค่อยนำมันมาคืน และตัวข้าคิดว่าความคิดของท่านเครก วิลสันเป็นความคิดที่ไม่เลวนัก” เลห์ลาเดียยิ้มให้กับเครกที่นั่งปั้นปึ่งอย่างเซ็งๆ จนเขาตกใจกลับมาทำสำรวม “ทำไมพวกท่านไม่ลองทำโครงการทดลองปลูกพืชปีศาจกันซะหน่อยละฟาอูล เมืองท่าของเราน่าจะมีพื้นที่ในการทดลองไม่ใช่หรือ พวกท่านลองบุกเบิกเรื่องนี้ดูสิ ข้าคิดว่าไม่แน่เราอาจมีทางออกที่ดีสำหรับภัยแล้งคราวต่อไปก็ได้ ประชาชนชาวมนุษย์จะได้ไม่ต้องอดอยากและมาประท้วงกันอยู่อย่างนั้น”
เลห์ลาเดียพูดจบ เธอก็ลุกขึ้น หญิงสาวร่างระหงส่งยิ้มอย่างสง่างามให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นชาวปีศาจทั้งหมด
“ข้าขอให้พวกท่านทั้งหลายโชคดี” เธอพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและส่งยิ้มให้กลับฟาอูล “และข้าขอให้ท่านช่วยเมืองของท่านสำเร็จ...จบการประชุม”
สิ้นเสียงที่ดังก้องกังวาน ร่างทุกร่างพลันสูญหายไปในชั่วเวลาเดียวกัน ร่างอันงดงามของเลห์ลาเดียยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังให้กลับโต๊ะประชุมไม้โอ๊ค เดินตรงไปยังประตูยักษ์ที่มีคนเปิดให้ เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เลห์ลาเดียทำหน้าที่เป็นจักรพรรดินีมากกว่าสี่ร้อยปีแล้วนับตั้งแต่การจากไปของบิดาเธอ หญิงสาวต้องรับภาระมากมาย และต้องเปลี่ยนขนบธรรมเนียมเกือบทุกอย่างที่เคยมีเพื่อการอยู่ร่วมกันของทุกคน แต่ถึงแม้จะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด โดนกดดันแค่ไหน เลห์ลาเดียจักรพรรดินีแห่งแดนปีศาจก็รู้ว่าเธอทำไปเพื่ออะไร...
เธอทำให้สันติสุขเกิดขึ้นมานานนับตั้งแต่ตัวเธอได้ขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิ
นานหลายศตวรรษแล้วที่การคงอยู่ของเหล่าปีศาจถูกแปรเปลี่ยนไป จากที่ถูกรังเกียจกลับกลายเป็นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างคนและมาร นั้นเพราะองค์จักรพรรดินีเลห์ลาเดียของพวกเขาได้สร้างแนวทางการปกครองรูปแบบใหม่ขึ้นมา เธอแก้ไขในจุดบกพร่องที่ว่าปีศาจชั่วร้ายและเห็นแก่ตัว มาเป็นปีศาจเป็นผู้เอื้อเฟื้อและรักพวกพ้องแทน เธอให้เหล่าปีศาจคอยช่วยเหลือเหล่ามนุษย์ บ้างกลายเป็นคนคอยอารักษ์ในเมืองใหญ่ คอยพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ หรือคอยบริหารจัดการดูแลทุกข์บำรุงสุขอย่างที่ฟาอูลปีศาจเขาแพะทำ โดยมีข้อแม้ว่าให้พวกเขาเหล่านี้อยู่ในร่างมนุษย์ และปะปนไปอย่าให้พวกมนุษย์กลัวเกรงแม้เขาทั้งหลายจะรู้ว่าเป็นปีศาจก็ตาม
อันที่จริงใช่ว่าเหล่าปีศาจจะเกลียดชังมนุษย์ ในความเป็นจริงแล้วหากพวกมนุษย์ไม่กลัวพวกเขาเพราะว่ารูปร่างที่แปลกประหลาด อายุขัยที่ยาวนาน และพลังที่แสนอานุภาพ พวกปีศาจก็คือสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ที่สุดแล้ว เพราะต่างก็มีความรู้สึกนึกคิดคล้ายๆ กัน
นางเปิดโอกาสให้มนุษย์และมารได้มีความเข้าใจขึ้น อย่างไรก็ตามแต่ในปัจจุบัน พวกเขาก็อยู่ร่วมกันได้ดี....หลักฐานคือลูกครึ่งทั้งหลายที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทวีปไกอานี้
เธอรู้ว่าเธอทำไปเพื่ออะไร..
เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นดังขึ้นเพียงลำพังไร้ผู้ติดตาม เลห์ลาเดียเดินออกมาจากวังของเธอมาได้หลายชั่วโมงแล้ว เธอหันหลังให้กับวังของเธอ หรือสวนดอกไม้ที่งดงามที่ปลูกอยู่ในเขตวัง แต่กลับเดินตัดป่าที่รกร้างซึ่งเป็นเขตหวงห้ามของประชาชนปีศาจ ที่ตั้งอยู่ในเขตพระราชวังของเธอ
หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะบิดตัวขับความเหนื่อยล้าเล็กน้อยเมื่อเข้าเขตส่วนตัวของเธอเอง สถานที่ ๆ เธอสั่งห้ามไม่ให้ปีศาจตนใดเข้ามาย่างกราย เลห์ลาเดียยืนยิ้ม เธอเงยหน้าไปยังหอคอยสูงใหญ่ หอคอยสูงที่มีดอกไม้สีแดงสดดั่งโลหิตนานาพันธ์ขึ้นเลื้อยเข้าปกคลุมคล้ายจะพันธนาการหอคอยให้ตั้งอยู่ที่เดิมของมันไม่ให้ไปไหน ครั้งแล้วเธอก็ก้าวขาเข้าไปในสวนต้องห้ามของปีศาจทุกๆ ตน
...ไม่ว่าเหนื่อยมากมายเพียงใด...เพื่อเธอแล้วฉันไม่มีวันยอมแพ้แน่นอน...เลห์ลาเดียฮัมเพลงในลำคอเธอรู้ดีเสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไร หญิงสาวเอื้อมมือเปิดประตูเหล็กอันหนักอึ้งอย่างง่ายดายก่อนจะบรรจงปิดมันแล้วลงกลอนมนตราอย่างแน่นหนา ครั้นแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดของหอคอย เลห์ลาเดียมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูไม้ เธอเปิดมันอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดฮัมเพลงลงเมื่อมีแสงเทียนสว่างจ้ามากระทบสายตา
ร่างของเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ในห้องแห่งหอคอยต้องห้ามแห่งนี้ ริมฝีปากอันเรียวได้รูปเหยียดยิ้มขึ้น เธอเดินเข้าไปแล้วปิดประตูลง
ใช่แล้ว...ไม่ว่าจะผ่านไปนานซักเท่าไร เธอก็ยังเป็นของๆ ฉันตลอดมา...
และจะเป็นของๆ ฉันตลอดไป
ศิลาไร้นาม!!
ความคิดเห็น