ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โลกหลากสีของราชินีบ้าหัว

    ลำดับตอนที่ #61 : Little Cry of The Abyss [AB ver.]

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 56




    เปลี่ยนเพลงกะทันหัน 

    เพราะเพิ่งตระหนักได้ว่า โฮพก็เพลงนี้ไปแล้ว

    อย่าให้บีลีฟมาเพลงนี้ด้วยเลย จะกลายเป็นพี่น้อง Ama no Jaku ไปหน่อย #?


     

    ( :: อยากไปเที่ยวค่ะ พาไปหน่อย #โดนตรบ :: )

     
     




    ... นี่มันก็แค่นิทานเรื่องหนึ่งเท่านั้น ...

    ... ตัวฉันนั้นคือลูกสาวของราชาแห่งท้องทะเล ...

    เป็นเจ้าหญิงนางเงือก 

    พวกพี่สาวที่เป็นนางเงือกด้วยกันเคยบอกกับฉันเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว

    'ถ้าเราอายุ 15 เมื่อไหร่จะขึ้นไปว่ายน้ำบนผิวน้ำได้ล่ะ'

    ...

    แต่เพราะพวกเราเป็นนางเงือกก็ควรอยู่ใต้น้ำ

    จึงไม่มีใครอยากจะขึ้นไป คงมีแต่ตัวฉันล่ะมั้ง... ที่เฝ้ารอให้ตัวเองอายุครบ 15 ปีไวๆ

     ... และเมื่อเวลานั้นมาถึง ...

    ฉันก็ขึ้นไปเล่นบนผิวน้ำบ่อยๆ คอยมองดูผู้คนที่กำลังหัวเราะ และพูดคุยกันอย่างมีความสุข

    การได้มองดูผู้คนที่พูดคุยกันนั่นทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขไปด้วย

    ... จนกระทั่งวันนั้นที่มีพายุหนักมาก ...

    ฉันกำลังจะขึ้นไปบนผิวน้ำตามปกติ ... ตัวฉันเองไม่กลัวกระแสน้ำที่ไหลรุนแรงอยู่แล้ว

    แต่ระหว่างที่กำลังว่ายขึ้นไป ฉันก็ดันเหลือบไปเห็นร่างร่างหนึ่งที่กำลังจมลึกลงไปยังก้นทะเล

    ... ร่างกายของฉันก็ขยับเข้าไปหาเขาเอง ...

    ฉันช่วยเขาขึ้นมาจากความมืดมิดของท้องทะเลที่กำลังจะกลืนกินร่างของเขา

    คงเพราะตอนนี้เกิดพายุทำให้ไม่มีใครอยู่บริเวณทะเลเลยแม้แต่น้อย

    ฉันจึงตัดสินใจนำเขาขึ้นไปวางแถวชายทะเล

    ยังคงสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่อ่อนลงของเขา และไม่ได้ยินเสียงหัวใจที่ควรจะดังเป็นจังหวะ

    ร่างกายของเขาเย็นขึ้นเรื่อยๆจนฉันอดกลัวไม่ได้ว่าเขาจะตายลงต่อหน้า

    แสงจันทร์ที่ส่องสว่างกระทบลงบนใบหน้าขาวซีดของเขา

    ผมสีดำนิลเช่นเดียวกับสีผมของฉันสะท้อนอยู่ภายในนัยน์ตาของตัวฉันเอง

    หัวใจของตัวฉันเองเต้นระรัวอื้ออึง แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น

    ...

    "อย่าตายนะคะ"

    ฉันจรดริมฝีปากของตัวเองลงกับฝ่ามือของเขาราวกับจะวิงวอน

    ชั่ววินาทีนั้นเขาก็เด้งตัวขึ้นพร้อมสำลักน้ำออกมา

    แล้วตวัดตาสีดำนิลเช่นเดียวกับสีผมนั่นหันมาทางฉัน

    ฉันปล่อยมือของเขาออกโดยอัตโนมัติแล้วว่ายลงไปในทะเล

    ... ใบหน้าของเขายังคงติดอยู่ในความทรงจำ ...

    ...

    "แลกเสียงของเธอกับขา"

    นั่นคือข้อแลกเปลี่ยนที่แม่มดเสนอฉัน

    และตอนนั้นฉันคงโง่มาก หรือไม่ก็หลงเขาคนนั้นจนถอนตัวไม่ขึ้น

    ฉันถึงได้ตอบรับข้อเสนอนั่นไป

    ...

    ฉันได้มีขาสมใจอยาก

    แต่ทว่าก็ไม่มีเสียงที่จะเอื้อนเอ่ยถามหาเขาคนนั้นได้

    ตอนที่ฉันนั่งอยู่ริมทะเลมองขาสองข้างของตัวเองนั้น

    เสียงของแม่มดผู้นั้นก็ดังขึ้นมาในหัวของฉัน

    'แลกเสียงของเธอกับขา'

    'ถ้าผ่านไป 3 วันเธอยังทำให้เขารักเธอไม่ได้ เธอจะกลายเป็นฟองคลื่น'

    ... ฉันบ้าหรือเปล่า ...

    ไม่มีเสียงแล้วจะบอกเขาได้ยังไง...?

    "คุณครับ?"

    ฉันหันไปมองตามเสียงที่มาก่อนจะอ้าปากค้างอย่างคนพูดอะไรไม่ออก

    ภาพที่เห็นคือเขาคนนั้นกำลังมองมาที่ฉันพร้อมยิ้มน้อยๆ

    "...?"

    และเพราะฉันไม่สามารถพูดอะไรได้จึงทำได้แค่พยักหน้าหงึกงักไปก็เท่านั้น

    ... และเพราะโชคชะตาหรืออะไรก็ไม่รู้ ...

    ฉันก็ได้คุยกับเขาผ่านตัวอักษรที่ขีดเขียนขึ้นจากทราย

    "ที่ผมทักบีลีฟตอนแรกน่ะนะ

    เพราะผมเห็นบีลีฟเหมือนผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่วยชีวิตผมไว้ล่ะ"

    ก็ฉันเองนี่แหละที่ช่วยเขาเอาไว้

    ตอนแรกฉันกะจะเขียนเล่าเรื่องราวให้เขาฟังแล้ว

    ถ้าไม่ติดตรงที่เขาได้กล่าวชื่อและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงอีกคนขึ้นมาก่อน

    "แต่หลังจากวันนั้นไปผมก็ได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งล่ะนะ..."

    ท่าทีตอนที่เขาพูดถึงผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความดีใจจนฉันไม่กล้าขัด 

    ... ดูเหมือนฉันจะต้องกลายเป็นฟองคลื่นซะแล้วล่ะมั้ง ...

    ...

    คืนนั้นฉันไปนอนที่บ้านชาวบ้านแถวชายทะเล

    และในตอนเช้าฉันก็มาหาเขาที่เดิม คราวนี้เขาไม่ได้มาคนเดียวแต่พาผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย

    เธอคนนั้นมีผมเปียสีน้ำตาลฮันเซล ดวงตาสีเขียวเข้ากับโครงหน้า

    ... รู้สึกคุ้นหน้าของเธออย่างบอกไม่ถูก ...

    "บีลีฟ! นี่ไง... ผู้หญิงที่ผมบอกเมื่อวานน่ะ..."

    ฉันได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ 

    "สวัสดีค่ะ... เรรันค่ะ"

    ชื่อของเธอคนนั้นถูกจารึกติดตรึงเข้าไปในสมองของฉัน...

    ... คุ้นเคยแต่กลับนึกไม่ออก ...

    แต่ภาพตรงหน้าที่สะท้อนผ่านนัยน์ตาสีแดงของฉันก็คือภาพของทั้งคู่ที่ดูท่าจะรักกันจริงๆ

    บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์เรียกมันว่า 'น้ำตา' ค่อยๆไหลลงมาจากตาของฉัน

    "บีลีฟเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?"

    แม้เขาจะเข้ามาดูด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใยขนาดนั้น

    แต่ฉันก็แค่ส่ายหน้าแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่เข้าใจตัวเองก็แค่นั้น...

    ...

    วันที่ 2 ผ่านไปโดยที่ฉันได้แต่มองพวกเขาสองคนเดินด้วยกัน

    แต่ฉันก็ตระหนักได้แล้วล่ะ...

    ...

    วันนี้คือวันสุดท้ายที่ฉันจะต้องพยายามแล้ว

    เวลาจากนาฬิกาที่ใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกทีทำให้ฉันหายใจไม่ทั่วท้อง

    'อยู่ดูดาวที่นี่ด้วยกันได้ไหมคะ?'

    ฉันเขียนข้อความลงบนทรายแล้วหันไปมองเขาที่พยักหน้ายิ้มๆเหมือนเคย

    เรรันมองพวกเราแปบหนึ่งก่อนทีี่เธอจะยกยิ้มราวกับพอใจอะไรบางอย่าง...

    "ตรงนี้ดาวเต็มเลยล่ะค่ะ"

    เรรันร้องขึ้นพลางเดินเข้ามาลากแขนฉันและเขาไปดูดาวทางของเธอ

    ฉันยิ้มก่อนจะเขียนคำบนทรายลวกๆว่า 'เดี๋ยวไป' เรรันจึงพยักหน้าแล้วลากเขาไปก่อน

    จังหวะนั้นฉันก็นึกถึงคำพูดของแม่มดผู้นั้นอีก

    'แต่มีทางแก้คำสาปอยู่ ถ้าเขาตายเธอก็จะไม่ต้องกลายเป็นฟองคลื่น'

    ... ถ้าเขาตาย ...

    ฉันคิดอย่างเลื่อนลอยขณะล้วงมือไปคว้ามีดเล่มเล็กในกระเป๋าเสื้อขึ้นมามอง

    ... ถ้าเขาตาย ...

    ... ฉันก็จะไม่ต้องกลายเป็นฟองคลื่น ...

    "อุ๊! อยู่ๆก็หิวขึ้นมาซะงั้น... งั้นฉันไปเอาของกินมาเพิ่มนะคะ"

    เรรันพูดหัวเราะพลางๆก่อนจะวิ่งรี่ออกไป

    ฉันจึงค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ร่างของเขาคนนั้น

    เข็มนาฬิกาใกล้ตีบอกเวลาเที่ยงคืนเต็มที 

    แสงจันทร์ยังคงส่องลงกระทบบนมีดสีเงินของฉันจนมันสะท้อนออกมาสวยงามชวนมอง

    ทั้งที่มันเป็นอาวุธไว้คร่าชีวิตแท้ๆ...

    "ดาวตรงนี้สวยมากเลยนะครับ... บีลีฟ"

    ... ฉันทำไม่ได้หรอก ...

    เขาที่อ่อนโยนกับฉันขนาดนั้น เสียงของเขาที่เรียกชื่อฉันแบบนั้น...

    ฉันโยนมีดในมือทิ้ง และไม่มีความคิดจะหยิบมันขึ้นมาอีกด้วยซ้ำ...

    ฉันพยักหน้าให้ตัวเอง

    อยากจะแน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองจะทำมันถูกต้องแล้ว

    "... อะ... อา...อาคิ"

    และก็พยายามจะเปล่งเสียงของตัวเองออกไป

    เจ้าของชื่อหันมามองฉัน

    "อาคิ..."

    ฉันจับคอของตัวเองเอาไว้ราวกับไม่อยากให้เสียงจางหายไป

    น้ำตาไหลลงมาจากตามากมาย

    ฉันร้องไห้ฟูมฟายอย่างกับคนบ้าในช่วงเวลานั้น...

    "... ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ"

    อาคิระมองมาทางฉันอย่างแปลกใจก่อนที่เขาจะลุกขึ้นมาหาฉัน

    "..."

    เราสองคนเงียบไปนาน

    ฉันเหลือบตามองเข็มของนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนไว้บนหอคอย

    'อีก 30 วินาทีจะเที่ยงคืน'

    ... เพราะมันใกล้เที่ยงคืนหรือเปล่านะ ...

    แม่มดผู้นั้นเลยให้เสียงฉันคืนราวกับจะให้ฉันพูดคำที่ค้างคาใจก่อนกลายเป็นฟองคลื่น

    "... ฉันกำลังจะหายไป"

    ฉันเริ่มพูดขึ้น อธิบายเรื่องของฉันตอนนี้ก็คงไม่ทัน 30 วินาทีแน่นอน

    "...?"

    อาคิระมองฉันเหมือนฉันพูดอะไรแปลกๆออกไป

    "ฉันจะกลายเป็นฟองคลื่น"

    ฉันพูดพร้อมยิ้มทั้งน้ำตาก่อนจะเดินเข้าไปประชิดตัวเขา

    แล้วดึงใบหน้าเขาลงมาประทับริมฝีปากเบาๆและผละออก

    "แต่ถึงยังไงก็อยากให้รู้ไว้... ฉันรักเธอค่ะ... อาคิระ"

    ฉันหัวเราะร่า...

    อีก 5วินาทีทุกอย่างก็จะจบลง

    ฉันรีบผละออกจากอาคิระแล้ววิ่งลงทะเลไป

    อยากจะตายในสถานที่บ้านเกิดของตัวเองมากกว่าบนดิน...

    และภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาก็คือภาพที่ใบหน้าของเขาที่กำลังร้องอะไรบางอย่าง

    ... แต่เหมือนสัมผัสทั้งหมดในร่างกายฉันจะไม่รับรู้อีกแล้ว ...

    ...

    ... แล้วฉันก็หลับไป ...

    ...

    แสงสีขาวสาดเข้ามาปะทะใบหน้า

    ฉันลืมตาขึ้นมองเห็นเรรันกำลังนั่งมองฉันอยู่ทั้งรอยยิ้ม

    "ขอบใจสำหรับนิทานอีกเรื่องจ๊ะบีลีฟ"

    เธอพูดก่อนปิดสมุดในมือลง แล้วยัดปากกาใส่กระเป๋าตัวเอง

    "ทำไมนิทานของเธอถึงไม่สมหวังทุกเรื่องเลยน้า~?"

    เรรันพูดพลางถอนหายใจก่อนหันไปยิ้มหวานให้บีลีฟอีกครั้ง

    "แล้วเจอกันในโลกแห่งความเป็นจริง"

    เธอพูดก่อนที่ฉันจะรู้สึกได้ว่าทุกอย่างดับมืดลงอีกครั้ง...

    ...

    ผลปรากฏว่าทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝันของฉันก็เท่านั้น

    ... แน่ล่ะสิ ... อาคิระเป็นใครฉันยังไม่รู้จักเขาเลย

    เรรันก็อีก... แต่ทำไมไม่รู้ถึงรู้สึกคุ้นเคยเสียเหลือเกิน...

    "บีลีฟ~ ไปกวาดโบสถ์หน่อยสิ"

    พี่โฮพพูด ฉันพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินไปคว้าไม้กวาด

    และจังหวะนั้นตาของฉันก็กวาดไปเห็นผู้ชายผมดำคนหนึ่งที่ทำท่าเหมือนกำลังตามหาอะไรบางอย่าง

    "คุณค่ะ... กำลังหาอะไรอยู่เหรอคะ?"

    ฉันเอ่ยถาม ผู้ชายคนนั้นหันมามองฉัน และนั่นทำให้ฉันต้องเบิกตากว้าง

    เขาเหมือนกับผู้ชายที่ชื่ออาคิระในฝันของฉันทุกอย่าง

    "หาน้องสาวของผมน่ะครับ"

    เขาตอบก่อนจะหันมายิ้มให้ฉัน

    "งั้น... เดี๋ยวฉันช่วยหาก็ได้ค่ะ..."

    ฉันพูดยิ้มๆก่อนจะเอ่ยแนะนำตัวขึ้น

    "ฉันชื่อบีลีฟค่ะ"

    เขาชะงักไปเมื่อได้ยินชื่อฉัน ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉันแล้วพูดขึ้น

    "ผมชื่ออาคิระครับ"

    ...

    "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ..."

    ...

    โชคชะตากำลังเล่นตลกกับฉันอยู่หรือไงกัน...?




     
    ✖ qual ity
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×