ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chaos Legion : Damian and Derpentious

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 : ผู้บุกรุกยามวิกาล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 115
      0
      6 พ.ค. 51



                  ห่างออกไปทางชายแดนของเมืองเดเมี่ยน  กระโจมนับพันหลังตั้งเรียงรายในค่ายพักแรกชั่วคราวของข้าศึก  กองไฟที่จุดห่างเป็นหย่อมๆให้แสงสว่างเพียงสลัวในยามดึกสงัด  ทหารส่วนหนึ่งที่ถูกจัดให้เป็นเวรยามกำลังเดินวนสำรวจความปลอดภัยบริเวณรอบค่าย  ทหารส่วนมากที่เหลือนอนหลับพักผ่อนในกระโจมเล็กแต่ละหลัง  ห่างออกไปทางชายป่ามีกระโจมที่หลังใหญ่ที่สุด  ด้านในมีบุคคลสำคัญหลายคนที่ยังคงประชุมกันอย่างเคร่งเครียด

                  "หม่อมฉันให้คนไปสืบมาแล้ว  คาดว่าฝ่ายเดเมี่ยนคงมีกำลังพลไม่ต่ำกว่า 5000 เช่นกันพะย่ะค่ะ"

                  "แล้วทางเจ้าล่ะ"

                  "หม่อมฉันส่งม้าเร็วไปเมื่อตอนเย็น  ได้ข้อมูลมาว่าเดเมี่ยนจะปักหลักตั้งรับที่นอกกำแพงเมือง  ทัพหน้าเป็นพลทหารเท้าที่บึกบึน  แข็งแกร่ง  ทัพหลังเป็นพลม้าที่ปราดเปรียว  ว่องไว  และพลธนูยืนประจำการบนป้อมและกำแพงเมือง  ฝ่ายเราคงต้องยกพลไปประชิดที่หน้ากำแพงเพื่อเป็นฝ่ายรุกและให้เดเมี่ยนเป็นฝ่ายรับ  เราถึงจะได้เปรียบ"

                  "ดี  ในเมื่อต้องการจะยืนปักหลักให้เราไปเชือดถึงที่เราก็จะสนองให้\"  เวนเดอรัสตรัส  \"แม่ทัพวอเรียส  พรุ่งนี้เช้าจงจัดทัพตามที่ข้าบอก  ส่งพลม้าเป็นทัพหน้าให้ปะทะกับพลเท้าของข้าศึก  อยู่บนหลังม้าย่อมได้เปรียบกว่าบนพื้นดิน  และทัพหน้าจะเป็นเป้าให้พลธนูฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย  ใช้ความว่องไวปราดเปรียวของพลม้าเพื่อหลบหลีกธนู"

                  "ทัพกลางเป็นพลเท้า  แม้ต้องสู้กับพลม้าของข้าศึกแต่พลเท้าของเราร่างกายสูงใหญ่  ถูกฝึกมาอย่างดี  ต่อให้เป็นม้าหรือช้างก็ล้มได้ไม่ยาก"  

                  "ส่วนทัพหลังทั้งหมดให้เป็นพลธนู  แบ่งเป็นสองกอง  ระหว่างสู้รบ  พลธนูกองหน้าต้องหาช่องโหว่ของข้าศึกเพื่อจู่โจม  ไม่ว่าจะเป็นพลเท้าทัพหน้า  พลม้าทัพหลัง  ระหว่างตั้งรับศัตรูพวกมันคงไม่มีเวลามาหลบหลีกลูกธนูแน่  และหน้าที่ของพลธนูกองหลัง  จู่โจมสวนพลธนูบนกำแพงของฝ่ายตรงข้าม  กำจัดให้หมดราบคาบเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น  และให้พลธนูทุกนายพกอาวุธราบ  จะเป็นดาบ  ขวาน  หรือหอกก็ได้เพื่อพร้อมตั้งรับข้าศึกที่เข้าประชิดตัว  ทั้งหมดนี่ท่านทำได้หรือไม่"

                  "กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาฝ่าบาท  พรุ่งนี้หม่อมฉันจะเตรียมกองทัพให้พร้อมตามที่ฝ่าบาทรับสั่งไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม่แต่นิดเดียว"

                  "ดีมาก  งั้นเจ้าไปพักผ่อนได้แล้ว  จะได้พร้อมสำหรับงานใหญ่ในวันพรุ่งนี้"

                  "ขอบพระทัยฝ่าบาท  หม่อมฉันขอทูลลา"

                  แม่ทัพวอเรียสออกไปจากกระโจม  ตอนนี้จึงเหลือเพียงเวนเดอรัสกับสององครักษ์คนสนิทที่ไม่ได้เป็นเพียงราชองค์รักษ์ประจำพระองค์  แต่เป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันด้วย

                  "คืนนี้พวกเจ้าสองคนนอนกับข้าที่นี่แหล่ะ"

                  "ขอบพระทัยฝ่าบาท"  เคอร์เทียสและคาลตอบรับโดยพร้อมเพรียง

                  เมื่อแม่ทัพวอเรียสไม่อยู่แล้วพระองค์จึงวางตัวตามสบายมากขึ้นดั่งที่เคยทำเสมอเมื่ออยู่ตามลำพังกับสหายสนิททั้งสอง  พระองค์นอนไขว่ห้างบนแท่นบรรทม  ชันแขนข้างหนึ่งขึ้นหนุนศีรษะ

                  "พวกเจ้าว่าศึกนี้เมเดียสจะออกรบด้วยหรือไม่"

                  "กระหม่อมไม่ทราบ"  คาลเงยหน้าจากแผนผังที่ใช้วางแผนการรบ  แล้วตอบ

                  "แต่หม่อมฉันว่าไม่นะ  ฝ่าบาท"  เคอร์เทียสเสริม

                  "ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นล่ะ"

                  "ฝ่าบาทเคยได้ยินเรื่องคำสาปกับกษัตริย์เมเดียสหรือไม่"

                  เวนเดอรัสลุกขึ้นนั่ง  ตรัสถามด้วยความสนพระทัย  "คำสาป?"

                  "หลายปีก่อนเคยมีคนลือกันว่ากษัตริย์เมเดียสแห่งเดเมี่ยนถูกพ่อมดราอูลสาป  รายละเอียดนอกจากนั้นหม่อมฉันไม่รู้  รู้แต่ว่าเพราะคำสาปนั่นทำให้เมเดียสไม่ออกมาเจอหน้าผู้คน  เพราะเหตุนี้เลยไม่มีคนนอกรู้อะไรเกี่ยวกับตัวพระองค์เลย  มีเพียงเสียงบอกเล่าจากปากราษฎรเดเมี่ยนว่าบ้างก็เป็นหนุ่มรูปงาม  บ้างก็บอกว่าเป็นสาวงาม  มีอย่างเดียวที่พูดตรงกันคือพระองค์มีพระชนม์มายุเพียงแค่ 18 ชรรษา"  เคอร์เทียสผู้รอบรู้อธิบาย  "แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือ  ขึ้นอยู่กับว่าคนฟังจะเลือกเชื่อเรื่องไหน"

                  "แค่ 18 เองรึ"  เวอเดอรัสทวน  "นี่แสดงว่าศัตรูของข้าเป็นแค่เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมงั้นหรือ"

                 "อย่าประมาทเชียวฝ่าบาท  เมเดียสหาใช่อย่างที่ท่านพูดไม่  ตั้งแต่พระองค์ทรงขึ้นครองราชก็ไม่เคยเสียเมืองให้ใคร  แม้แต่เมืองหลักๆอย่างไซเปีย,  นอร์ทเทอเรียน  หรือปุนดาเบส  เดเมี่ยนก็เคยต้านมาแล้ว"

                  "แต่ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนรังแกเด็กอยู่ดี"  กษัตริย์หนุ่มตรัส  "ว่าแต่พ่อมดราอูลนั่นเป็นใคร"

                  "ราอูลคือพ่อมดดำแห่งเดเมี่ยน  มีอิทธิฤทธิ์เวทมนตร์สูงจนใครๆก็เกรงขาม  ต้นตระกูลเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้  เขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกที่เมืองเดเมี่ยนเมื่อราวๆ 20 ปีก่อน  บางคนก็ว่ากันว่าราอูลเป็นนักบุญ  แต่บางคนก็ประณามเขาว่าปีศาจ  เขาเลยถูกขนามนามจากประชาชนชาวเดเมี่ยนว่านักบุญปีศาจ"

                  "ตกลงเป็นนักบุญหรือปีศาจกันแน่"  พระองค์เปรยถามแบบไม่หวังคำตอบ  "หวังว่าพ่อมดนั่นคงไม่เข้ามาก้าวก่ายในศึกนี้หรอกนะ"

                  "ไม่หรอกฝ่าบาท  พ่อมดราอูลไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม  เขาอยู่อย่างสันโดษ  ไม่ขึ้นกับฝ่ายไหน  แม้จะยึดเดเมี่ยนเป็นแหล่งอาศัยก็ตาม"

                  "ขอให้มันจริงเถอะ  ข้าไม่อยากให้พวกพ่อมดหมอผีมาทำให้สงครามครั้งนี้มันยุ่งยาก"


                                                                            ................................................................


                  ในห้องบรรทมของกษัตริย์แห่งเดเมี่ยน  หลังจากที่ฉลองพระองค์ในชุดนอนเสร็จเมเดียสก็ดำเนินไปประทับที่ใกล้หน้าต่างพลางทอดพระเนตรออกไปเบื้องล่าง  บรรยากาศยามค่ำคืนเงียบสงัด  ไร้เสียงสรรพสิ่งมีชีวิต  มีเพียงแสงสลัวจากกองไฟบนกำแพงเมืองและทหารยามที่ยืนตามจุดต่างๆ  แม้จะเป็นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา  แต่ความหดหู่ในใจของพระองค์มีมากกว่าที่เคยเป็นเมื่อนึกถึงวันพรุ่งนี้ที่จะมาถึง

                  "กังวลหรือ.. ฝ่าบาท"

                  เมเดียสสะดุ้งกาย  หลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลังที่ดังแทรกความเงียบ  ชายร่างสูงโปร่งเจ้าของผมสีดำยาวสลวยก้าวออกมาจากมุมห้อง  ร่างที่โปร่งแสงค่อยๆชัดขึ้นหลักจากที่ปรากฏกายด้วยอิทธิฤทธิ์ของเวทมนตร์

                  "เจ้า!"  เมเดียสคำรามด้วยความโกรธ  "ไร้มารยาท!  ใครอนุญาติให้เจ้าเข้ามาในห้องข้าได้ตามใจชอบแบบนี้"

                  "ขอประทานอภัยฝ่าบาท  กระหม่อมมิได้ตั้งใจล่วงเกิน  เพียงแค่มีเรื่องอยากทูลถามให้แน่ใจเท่านั้น"  ราอูลบอกอย่างนอบน้อม  แต่น้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความทีเล่นทีจริง

                  พระขนงของเมเดียสขมวดขึ้นด้วยความสงสัย  "เจ้าจะถามอะไร"

                  "ฝ่าบาทแน่ใจแล้วหรือว่าจะออกรบในวันพรุ่งนี้"

                  "แล้วมันกงการอะไรของเจ้า"

                  "จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยว  จะว่าไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว"  ราอูลตอบ  "ฝ่าบาททรงลืมแล้วหรือว่าพระองค์ยังมีคำสาปติดตัวอยู่  การที่ฝ่าบาทออกไปรบต้องอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์มากมาย  เกรงว่า..."

                  "ก็เพราะเจ้าไม่ใช่รึไงที่ทำให้ข้าต้องเดือดร้อนเพราะคำสาปบ้าๆนั้น"  พระองค์สวนขึ้นทันควัน  "ไม่ต้องมาตอกย้ำหรอก  ยังไงข้าก็มีวิธีของข้า"

                  "โธ่.. ฝ่าบาท   อย่าเข้าใจเจตนารมณ์ของหม่อมฉันผิดสิ  สิ่งที่หม่อมฉันทำก็เพื่อตัวของฝ่าบาทเอง  คำสาปนั่นก็แค่บทเรียนเล็กๆน้อยๆ  หม่อมฉันหวังดีต่อฝ่าบาทเสมอนะ"  ราอูลบอกพลางก้าวเข้าไปยืนใกล้ร่างระหงส์  ก่อนจะจับพระหัตถ์ของพระองค์ขึ้นจุมพิตแผ่วเบา

                  เมเดียสยืนนิ่งเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดยามเมื่อสบสายตาลึกลับสีดำสนิท  ความรู้สึกไหววูบถูกก่อตัวขึ้นก่อนจะหายไปเมื่ออีกฝ่ายถอนริมฝีปากออก  ฉุนจัดเมื่อรู้ตัวว่าถูกสะกด  รีบสะบัดพระหัตถ์ที่ถูกกุมออก

                  "อย่ามาใช้เวทมนตร์ต่ำกับข้านะ"  พระองค์ตวาด  "เก็บความหวังดีของเจ้าไว้เถอะ  ข้าไม่ต้องการ  แล้วก็ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้  ไม่อย่างนั้นข้าจะเรียกทหาร"

                  "ไม่ต้องเรียกทหารหรอกฝ่าบาท  หม่อมฉันกำลังจะไปอยู่แล้ว"  พ่อมดหนุ่มบอกพลางก้าวถอยหลัง  "ก่อนจะไป  หม่อมฉันอยากจะขอร้องให้พระองค์รับปากหม่อมฉันเรื่องนึง"

                  เมเดียสสบตาอีกฝ่ายอย่างรอคอยประโยคต่อมา

                  "พรุ่งนี้ฝ่าบาทอย่าทรงออกไปรบได้ไหม"

                  "เราจะรบหรือไม่มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า"

                  "หม่อมฉันเป็นห่วงฝ่าบาท"

                  แววตาจริงจังของราอูลทำให้เมเดียสนิ่งอึ้ง  สะบัดพระพักตร์หนี  "ข้าทำตามที่เจ้าขอไม่ได้"

                  เมื่อได้ฟังคำตอบราอูลก็ถอนใจ  "หม่อมฉันนึกแล้วว่าฝ่าบาทต้องตรัสแบบนี้  แต่เอาเถอะ  ถ้าฝ่าบาทยืนยันว่าจะออกรบหม่อมฉันคงห้ามไม่ได้"

                  ชั่วแวบหนึ่งที่รอยจุมพิตเมื่อครู่บนหลังพระหัตถ์ของเมเดียสเปล่งแสงสีทองอ่อนๆออกมา  สัญลักษณ์บางอย่างปรากฏขึ้นก่อนจะซึมหายไปอย่างรวดเร็วใต้ผิวหนังบอบบาง  แม้แต่ตัวพระองค์เองก็ไม่ทันสังเกตถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวพระองค์แม้แต่น้อย

                  ราอูลยิ้มน้อยๆกับปรากฏการณ์นั้น  ก่อนจะเอ่ยคำลา  "หม่อมฉันไม่รบกวนฝ่าบาทแล้ว  ขอทูลลา"

                  ร่างของพ่อมดค่อยๆจางหายไป  เหลือเพียงคำพูดประโยคเดียวที่ทิ้งไว้ให้กับร่างที่ยืนอยู่กลางห้อง

                  "ขอฝ่าบาทรักษาพระองค์ด้วย..."

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×