ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักอลวัน หอพักอลเวง

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 : ข้อสันนิษฐานของบิล คอนเนลลี่

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 49



                   เมื่อเจสสิก้าออกไป  บรรยากาศผ่อนคลายภายในห้องก็กลับเข้าสู่บรรยากาศที่เป็นการเป็นงานอีกครั้ง  เพราะชายหนุ่มทั้งสองกลับมาคุยเรื่องงานกันต่ออย่างขะมักเขม้น 

                  คดีฆาตกรรมนี้ผู้ตายชื่อโรเจอร์ แคมเบล  อายุสิบห้าปี  เป็นนักเรียนชั้นจูเนียร์ไฮสคูล เกรดเก้า (ม.3) ของโรงเรียนเซนต์มาร์ติเนท  ถูกฆาตกรรมในหอพักชาย แมนฮู้ด (manhood = ความเป็นลูกผู้ชาย ความกล้าหาญ) ของโรงเรียน  สาเหตุของการฆาตกรรมครั้งนี้ยังเป็นปริศนา  เนื่องจากตามที่สืบประวัติมาผู้ตายเป็นคนมีความประพฤติดี  ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทหรือมีศัตรูที่ไหน  อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานของการฆาตกรรมสักชิ้น  นอกจากศพของผู้ตายที่ถูกพบภายในห้องพักหมายเลข 204  เวลา 7.45 น.  ที่คอมีรอยแดงโดยรอบ  ที่มาของรอยเป็นลักษณะของเชือกเส้นเล็กหรือลวด  จึงสันนิษฐานว่าตายเพราะถูกรัดคอ   

                  ผู้พบศพคือนายมาร์ค เมเยอร์  เป็นเพื่อนร่วมชั้นและเป็นรูมเมทของผู้ตาย  มาร์คให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าก่อนคืนวันเกิดเหตุ  เวลา 12.35 น.  ตนเองได้รับโทรศัพท์ว่ามารดาของตนที่อาศัยอยู่คนละรัฐกับตนเองล้มป่วยกระทันหัน  เนื่องจากมารดาอาศัยอยู่ตามลำพัง  ไม่มีญาติคอยดูแล  ตนจึงเป็นห่วงและขอลากิจกับทางโรงเรียนเพื่อไปเยี่ยมมารดา  แต่เมื่อกลับไปถึงกลับพบว่ามารดาของตนเองสุขสบายดี  ไม่ได้ล้มป่วยตามที่ได้รับแจ้งทางโทรศัพท์แต่อย่างใด  ดังนั้นในคืนวันเดียวกันนั้นตนจึงนอนพักอาศัยอยู่ที่บ้านของมารดาก่อนจะเดินทางกลับในเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น  เนื่องด้วยนายมาร์คเป็นคนเอาใจใส่กับการเรียนจึงไม่อยากขาดเรียนโดยไม่จำเป็น  แต่เมื่อกลับมาถึงห้องพักหมายเลข 204 ก็พบนายโรเจอร์นอนห่มผ้าหันหลังให้อยู่บนเตียงในสภาพปกติ  เขาคิดว่ารูมเมทของตนยังไม่ตื่นจึงเดินเข้าไปปลุกเพราะเวลานั้นใกล้จะได้เวลาเข้าเรียนแล้ว  แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่านายโรเจอร์เสียชีวิตแล้ว  โดยสภาพของผู้ตายมีรอยแดงปรากฏที่คอและดวงตาเบิกกว้าง  และจากการที่เจ้าหน้าที่มาพิสูจน์ศพก็ทราบว่าผู้ตายเสียชีวิตมาประมาณหกชั่วโมงก่อนที่นายมาร์คจะกลับมา

                  เจ้าหน้าที่สอบถามต่อถึงที่มาของโทรศัพท์แจ้งอาการป่วยหลอกๆของมารดานายมาร์ค  นายมาร์คกล่าวว่าตอนที่ตนรับโทรศัพท์นั้นผู้โทรไม่ได้บอกว่าเป็นใคร  บอกเพียงแต่ว่าเป็นเพื่อนบ้านของมารดาตน  แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบถามเพื่อนบ้านของมารดานายมาร์คบริเวณรอบๆแล้วกลับไม่มีใครรู้เห็นเรื่องโทรศัพท์แจ้งอาการป่วยเลย  เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกบันทึกไว้ในมือถือของนายมาร์คก็พบว่าเป็นเบอร์ของโทรศัพท์สาธารณะของบริเวณหน้าโรงเรียนเซนต์มาร์ติเนทนั่นเอง

                  เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้พยายามเข้าไปสำรวจและตรวจหาหลักฐานในบริเวณห้องพักหมายเลข 204 ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ  กลับไม่พบแม้แต่รอยนิ้วมือ  รอยเท้า  หรือสิ่งผิดปกติอื่นเลยๆ  ทุกอย่างภายในห้องอยู่ในสภาพปกติ  ไม่มีของสูญหาย  และไม่มีร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด  แต่จากเบอร์โทรศัพท์และสถานที่เกิดเหตุนั้นมีความคล้องจองกัน  จึงสรุปได้ว่าฆาตกรต้องเป็นคนๆเดียวกับคนที่โทรศัพท์ไปแจ้งเรื่องอาการป่วย  และที่สำคัญ  เป็นคนในโรงเรียนและต้องเป็นคนในหอพักชายด้วยอย่างแน่นอน 

                  แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีสอบปากคำนักเรียนชายทุกคนในหอพักชายแล้ว  แต่กลับไม่พบพิรุธแต่อย่างใด  ทุกคนไม่เคยมีประวัติทะเลาะวิวาทหรือขัดใจกับผู้ตายเลย  จึงเป็นการยากที่จะสืบหาตัวฆาตกร  และก็เป็นสาเหตุให้ฆาตกรลอยนวลอยู่จนถึงทุกวันนี้

                  "แปลกนะ"  บิลเอ่ยขึ้นหลังจากที่ได้รับฟังข้อมูลเกี่ยวกับคดีทั้งหมดจากปากของเรย์แลนด์และแฟ้มในมือจนหมดสิ้น  "ประวัติการทะเลาะวิวาทก็ไม่มี  คู่กรณีของผู้ตายก็ไม่มี  อะไรๆก็ไม่มีซักอย่าง  แล้วเหตุจูงใจของฆาตกรคืออะไรกันแน่"

                  เรย์แลนด์รับฟังแล้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นบ้าง  "ที่รู้ๆคือฆาตกรคนนี้ต้องมีความแค้นกับผู้ตาย  ถ้าไม่เช่นนั้นก็ถูกจ้างวานฆ่า"

                  "ไม่  ไม่  เรื่องจ้างวานฆ่าตัดไปได้เลย  ไม่มีทางเป็นไปได้  เพราะถ้าเป็นการจ้างวานฆ่าจริงฆาตกรสามารถลงมือสังหารนายโรเจอร์นอกโรงเรียนได้  อาจจะเป็นระหว่างเดินทางหรือกลับไปเยี่ยมบ้านแล้วก็ได้  เพราะนายคนนี้ก็ต้องเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านทุกๆสุดสัปดาห์อยู่แล้ว  มีโอกาสถมเถไป  ไม่จำเป็นต้องลักลอบเสี่ยงเข้าไปในหอพักชายเพื่อลงมือ  นอกเสียจากว่าตัวฆาตกรจะลงทุนปลอมเป็นนักเรียนเข้าไปอยู่ในหอพักและหาโอกาสลงมือเมื่อถึงเวลาเหมาะ"  บิลแย้ง  "แต่จากที่ดูในรายงานประวัติการเข้าออกของนักเรียนในหอพักชายไม่พบผู้ใดหายไปหลังจากเกิดเหตุ  และที่สำคัญกว่านั้น  ไม่มีนักเรียนเข้าใหม่ในระยะเวลาสองปีก่อนเกิดเหตุอีกด้วย  แล้วคิดดู  จะมีพวกมือสังหารหรือพวกรับจ้างฆ่าคนไหนจะลงทุนปลอมเข้ามาเป็นนักเรียนถึงสองปีแล้วค่อยลงมือกันล่ะ  จริงมั๊ย"

                  เรย์แลนด์ครุ่นคิดตามก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย  "จริงอย่างที่บอสว่าครับ  แล้วหลังจากเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาครึ่งปีแล้วกลับไม่พบนักเรียนในหอพักคนไหนหายตัวไปหรือลาออกไปกลางคันซักคน  ดังนั้นฆาตกรก็ต้องเป็นนักเรียนในหอพักที่มีความแค้นกับผู้ตายจริงๆ"

                  "ชู้สาว"  จู่ๆบิลก็โพล่งขึ้นจนนายเรย์แลนด์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  "ในเมื่อเรื่องทะเลาะวิวาทก็ไม่ใช่  คู่กรณีก็ไม่มี  ก็อาจจะเป็นเรื่องชู้สาว  ประเภทรักสามเศร้า  หึงหวงกันอะไรประมาณนั้น"

                  เรย์แลนด์ส่ายหน้า  "เรื่องนั้นทางตำรวจก็สืบมาแล้วครับ  สอบถามจากเพื่อนผู้ตายทั้งชายและหญิง  ผู้ตายโสด  ไม่มีแฟน  ไม่มีคนรัก  ผู้ตายไม่เคยสนใจสาวคนไหนนอกจากการเรียน  จะเรียกได้ว่าเป็นพวกแก่เรียนก็ไม่ผิด"

                  "ไม่เคยสนใจสาวคนไหน?"  บิลทวนคำอย่างแปลกใจ  "ผู้ชายภาษาอะไรวะ  ยังหนุ่มยังแน่นไม่รู้จักสนใจสาว  อะไรจะแก่เรียนขนาดนั้น  เป็นฉันหน่อยไม่ได้  สมัยฉันเป็นนักเรียนน่ะนะ..."

                  "ฮะแฮ่ม  บอส  อย่านอกเรื่องครับ"  เรย์แลนด์เตือนด้วยน้ำเสียงและสายตาตำหนิ

                  "เอ่อ...โทษที  ลืมตัวไปหน่อย"  บิลยิ้มแห้งๆก่อนจะปรับท่าทีมาเอาจริงเอาจังดังเดิม  "งั้นเรื่องชู้สาวก็คงไม่ใช่  ก็ในเมื่อไม่สนใจผู้หญิง  แล้วถ้า....."  จู่ๆบิลก็สะดุดกึกกับความคิดของตัวเองอย่างกระทันหันจนเรย์แลนด์ที่กำลังตั้งใจฟังอยู่เอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

                  "ถ้าอะไรครับ  บอส"

                  บิลนึกขำกับความคิดของตัวเอง  แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยซะทีเดียว  จึงพูดออกไปอย่างทีเล่นทีจริง  "ถ้าผู้ตายไม่สนใจผู้หญิง  แต่สนใจผู้ชายล่ะ"

                  เรย์แลนด์เลิกคิ้วสูง  "บอสหมายความว่า....."

                  "ใช่  ถ้าสมมติเป็นเรื่องชู้สาวจริง  แต่เปลี่ยนจากสาวเป็นชายหนุ่ม  ก็เท่ากับว่าเป็นเรื่องรักๆใคร่ๆของผู้ชายด้วยกัน  หรือจะเรียกให้ถูกก็พวกเกย์  ก็ไม่แน่น้า  เหตุเกิดในหอพักชายซะด้วย  อาจจะเป็นรักสามเศร้าของผู้ตายที่เป็นเกย์กับคู่กรณีซึ่งเป็นเกย์อีกสอง  แล้วฆาตกรก็เป็นหนึ่งในสองคนนั้น  อาจจะเกิดอาการหึงหวงจนถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยก็ได้"

                  "แล้วทำไมเรื่องนี้ถึงไม่มีมูลแล้วไม่มีใครพูดถึงเลยล่ะครับ  อีกอย่าง  ไม่มีนักเรียนคนไหนในหอพักชายที่บ่งบอกว่าตนเองเป็นคู่เกย์ของผู้ตายอีกด้วย"

                  "ก็ขึ้นชื่อว่าเกย์เชียวนะเฟ้ย  พวกนี้น่ะมักจะถูกหาว่าวิปริต  แล้วใครจะกล้ายอมรับว่าตัวเองเป็นเกย์  ในหมู่นักเรียนด้วยกันเองไม่เท่าไหร่  แต่นี่มีตำรวจมาเกี่ยวข้องด้วย  แล้วไหนยังจะข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆที่ประกาศดังออกครึกโครม  โรงเรียนนั้นก็ไม่ใช่โรงเรียนกระจอกๆ  รู้ถึงไหนอายถึงนั่น  แม้แต่ผู้ตายเองคงไม่กล้าเปิดเผยหรอก"

                  เรย์แลนด์ทำสีหน้าครุ่นคิดกับเรื่องดังกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง  ผิดกับบิลที่สันนิษฐานออกมาเล่นๆไม่ได้คิดจริงจังอะไร  "ก็มีส่วนครับ  งั้นผมจะเก็บข้อสันนิษฐานนี้ไว้เป็นเคสในรายการนี้ด้วยเลยก็แล้วกัน  เพื่อจะได้สืบเพิ่มเติมแล้วยังเป็นประโยชน์ในการสืบด้วย"

                  "เฮ้ย!  เอาจริงน่ะ  ฉันแค่สันนิษฐานเล่นๆนะ"  บิลตกใจในการที่เรย์แลนด์ยกเอาเรื่องที่เขาล้อเล่นเอามาจริงจัง

                  "นี่บอสสันนิษฐานเล่นๆหรอกหรอ  แต่เอาเถอะ  เรื่องที่บอสคิดว่าเป็นแค่เรื่องเล่นอาจจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็ได้  ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยซะทีเดียว  ดังนั้นเราก็ไม่ควรจะมองข้าม  จริงมั๊ยครับ  บอส"  เรย์แลนด์อธิบายด้วยน้ำเสียงเกือบจะประชดประชัน  โดยเฉพาะเมื่อเขาเน้นเสียงคำว่า 'เรื่องเล่น'

                  บิลโบกไม้โบกมืออย่างยอมแพ้  "เออๆ  เอาเป็นว่าตามใจนายก็แล้วกัน"

                  "สำหรับการดำเนินงานผมเตรียมแผนไว้แล้ว  โดยจะให้ทางนักสืบของเราปลอมตัวเข้าไปในโรงเรียนแล้วเข้าไปอยู่ในหอพักชาย  จากนั้นก็เริ่มดำเนินการหาเบาะแสอย่างลับๆ  แล้วรายงานความคืบหน้าให้ทางเราทราบเป็นระยะๆ  จนกว่าจะสามารถหาตัวฆาตกรที่แท้จริงได้  บอสว่ายังไงครับ" 

                  "ดี  งั้นเอาตามนี้แหล่ะ  ส่วนเรื่องนักสืบของเราที่จะต้องปลอมตัวเป็นนักเรียนคงต้องเอาคนที่อายุน้อยที่สุด  ถึงแม้ประสบการณ์จะน้อยไปหน่อยแต่ฝีมือก็ใช้ได้"

                  "บอสหมายถึงจอร์จ แม็กคลิน"  เรย์แลนด์เอ่ยถาม

                  "ใช่  หมอนั่นอายุสิบเก้า  อายุน้อยที่สุดในสำนักงานของเราแล้ว  ถึงแม้จะยังศึกษาอยู่ในระดับมหาวิยาลัย  แต่หน้าตาของหมอนั่นก็ยังดูอ่อนกว่าบุคคลระดับเดียวกันหลายคน  ถ้าให้พักการเรียนชั่วคราวระดับหัวกะทิอย่างหมอนั่นคงไม่มีปัญหา"   

                  "ตกลงครับ  แล้วผมจะติดต่อให้จอร์จเริ่มเตรียมตัวและจะรีบดำเนินงานตามแผนภายในอาทิตย์นี้" 

                  "ดีมาก  แล้วอย่าลืมเรียกตัวจอร์จมาพบฉันในห้องทำงานวันพรุ่งนี้เช้าด้วย"  บิลสั่ง 

                  "ได้ครับบอส  ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวไปเตรียมดำเนินงานเลยนะครับ"  เรย์แลนด์รับคำพร้อมโค้งลาให้เจ้านายก่อนจะเดินออกไป  แต่ไม่ทันจะพ้นประตูบิลก็เรียกไว้ก่อน

                  "อ้อ!  เรย์"

                  "ครับ?"  เรย์แลนด์หันกลับมาถาม

                  "พรุ่งนี้ก่อนสองทุ่มอย่าลืมเคลียร์คิวให้ว่างล่ะ  เรื่องคดีนี้ก็พักไว้ก่อน  ไม่งั้นยัยเจสไม่พอใจแล้วจะบ่นไม่รู้ด้วย"  บิลบอกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

                  เรย์แลนด์ยิ้มน้อยๆให้แทนคำตอบ  ก่อนจะโค้งให้หัวหน้าอีกครั้งแล้วออกจากห้องไป


    ......................................................


                  เย็นวันเดียวกันนั้น  บิลกลับมาถึงบ้านตอนหกโมง  พบหลานสาวคนสวยกำลังนั่งดื่มนมไปดูทีวีไปอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น  หญิงสาวกำลังตั้งหน้าตั้งตาดูรายการมวยปล้ำสุดโปรด(?)เลยไม่ทันสังเกตผู้เป็นอาซึ่งเดินย่องเข้ามาข้างหลังอย่างเงียบกริบ  บิลเดินไปหยุดยืนหลังโซฟาแล้วก้มลงขโมยหอมแก้มหลานสาวหนึ่งฟอด  ทำเอาเจสสิก้าสะดุ้งโหยงก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อหันไปพบว่าเป็นอาของเธอนั่นเอง 

                  "คุณอา!  เล่นอะไรแบบนี้เนี่ย  ตกใจหมด"  หญิงสาวโวย

                  "แหม  ก็เห็นกำลังเพลินเลยอยากแกล้ง  เนี่ย  อาเดินย่องเข้ามาประชิดตัวขนาดนี้ยังไม่รู้สึกตัวอีก  ถ้าเกิดเป็นคนร้ายจะทำยังไงฮึ"  บิลแหย่หลานสาว

                  "ก็เจสกำลังดูรายการทีวีเพลินๆนี่  อีกอย่าง  คนร้ายไม่มีทางเข้ามาถึงนี่ได้หรอก  ระบบรักษาความปลอดภัยของบ้านเราออกจะแน่นหนา  ยามก็คุ้มกันหนาแน่น  หรืออาจะดูถูกคนของอาว่าไม่มีประสิทธิภาพคะ"

                  บิลหัวเราะรื่นในความช่างพูดของหลานสาว  "โอเคๆ  อายอมแพ้  ว่าแต่ดูอะไรอยู่ฮึ  เพลินเชียว"  ระหว่างที่พูดก็หันไปมองทางทีวีขนาดใหญ่ที่ตั้งรวมอยู่กับชุดโฮมเธียเตอร์ด้านหน้า  แล้วก็ต้องทำหน้าเหยเกเมื่อเห็นว่ารายการที่หลานสาวกำลังดูอยู่คืออะไร  "อะไรกันเนี่ย  หลานอาชอบดูรายการแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน"

                  "ก็ตั้งแต่ที่อาให้เจสเรียนศิลปะการต่อสู้น่ะแหล่ะค่ะ"  เจสสิก้าบอก  แต่เมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆของอาก็เอ่ยถาม  "ทำไมคะอา  ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยกับแค่รายการมวยปล้ำ"

                  "มันไม่แปลกหรอกนะถ้าไม่ใช่เพราะเจสเป็นหลานสาวแสนสวย  คุณหนูผู้เพรียบพร้อมแห่งตระกูลคอนเนลลี่น่ะ"  อาหนุ่มตอบ

                  "โถ...คุณอาคะ  นี่มันสมัยไหนแล้ว  ถ้าเมื่อก่อนน่ะใช่  แต่ตอนนี้เจสไม่ใช่คุณหนูบอบบางอ่อนแอแบบนั้นแล้วนะ  อาพูดเหมือนกับอาไม่ชอบให้เจสเป็นแบบนี้งั้นแหล่ะ"  เจสสิก้าบอกอย่างไม่สบอารมณ์นิดๆ  เธอไม่ค่อยพอใจยามเมื่ออาของเธอพูดเหมือนกับว่าตัวเธอตอนนี้ไม่สำคัญเท่ากับเมื่อก่อน

                  "ไม่ใช่ๆ  อาไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นจ้ะหลานรัก"  บิลรีบบอกเมื่อเห็นหลานสาวตัวเองหน้างอ  "ไม่ว่าเจสจะเป็นแบบไหนอาก็รักเจสเหมือนเดิม  ไม่ว่าเจสจะเปลี่ยนไปยังไงเจสก็ยังคงเป็นหลานสาวที่อารักที่สุดไม่เคยเปลี่ยน"

                  เจสสิก้าได้ยินเช่นนั้นก็ใจชื้น  ยิ้มกว้างตอบกลับพร้อมยืนขึ้นสวมกอดอาของตน  บิลก็กอดตอบหลานสาวอย่างรักใคร่เช่นกัน  เขาหมายความอย่างที่พูดจริงๆ  ไม่ว่าหลานสาวของเขาจะบอบบางอ่อนแอ  หรือเข้มแข็งแก่นแก้วซักเพียงใดเขาก็ยังมีความรักให้กับหลานสาวคนนี้อย่างหมดหัวใจ

                  "เจส....."  บิลเอ่ยขึ้นเสียงเบา

                  "คะ"  เจสสิก้าขานรับแต่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากอกของอาหนุ่ม

                  "สูงขึ้นอีกแล้วใช่มั้ย"  คอนเนลลี่พูดต่อด้วยเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อย

                  เจสได้ยินดังนั้นก็ผละออกจากอ้อมแขนของผู้เป็นอาทันที  "อารู้?"

                  "รู้สิ  หลานอาทั้งคน  ยิ่งเวลากอดล่ะก็ชัดเลย"  บิลเอ่ยพลางทำสีหน้าเหมือนจับผิด

                  "แหม..ก็แค่สองเซ็นฯเอง"  เจสสิก้าบอกเสียงอ่อย

                  "สองเซ็นฯ!"  บิลทวนพร้อมทำตาโต  "แค่ครึ่งเดือนนี่นะสองเซ็นฯ?  โอ  ทำไมหลานสาวอาถึงได้โตเอาๆแบบนี้ล่ะ  รู้มั้ยเราน่ะชักจะโตเกินวัยผิดกับเด็กสาวทั่วไปแล้วนะ  ปกติเด็กผู้หญิงวัยประมาณนี้กว่าจะสูงขึ้นซักเซ็นฯสองเซ็นฯใช้เวลาตั้งครึ่งปีถึงปีนึงเต็มๆเลยรู้มั๊ย  แล้วดูหลานอาซิเนี่ย  ครึ่งเดือนสองเซ็นฯ  ปาเข้าไปตั้ง 173 แล้วนะ"

                  "173 น่ะเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ  ตอนนี้ 175 เซ็นฯแล้วต่างหาก"  เจสสิก้าแย้ง  ขณะนี้เธอสูงกว่าเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันซะอีก  แล้วในการที่เธอมีรูปร่างเพรียว  สมส่วน  จึงทำให้เธอยิ่งดูสูงขึ้นไปอีก

                  "ยิ่งแล้วใหญ่เลย  เป็นผู้หญิงน่ะต้องสูงไม่เกิน 160 ถึงจะน่ารัก"  บิลประท้วง

                  "แหม...อาก็  160 น่ะเตี้ยจะตาย  ที่จริงเจสอยากสูงกว่านี้อีกนะเนี่ย  ประมาณ 180 กำลังดี"

                  "พอเลยๆ  ไม่ต้องแล้ว  เดี๋ยวอีกหน่อยสูงกว่าอาแล้วจะทำยังไง"

                  "โห!  อา  ถ้าเจสสูงกว่าอาเจสก็ไม่ใช่คนแล้ว  อาน่ะสูงตั้ง 187 เชียวนะ  ไม่มีทางหรอก"  เจสสิก้าเถียง

                  "อารู้อยู่แล้วน่าว่าไม่มีทาง  อาก็พูดไปอย่างนั้นแหล่ะ"  บิลบอกก่อนรั้งหลานสาวมาแนบอกแล้วตบหัวเบาๆ  "สำหรับอา  เจสจะสูงจะเตี้ยก็ยังเป็นหลานรักของอาอยู่เสมอก็จริง  แต่มากกว่านี้ก็ไม่ไหวนา  มันจะไม่สมกับเป็นเด็กผู้หญิงน่ะสิ"

                  "ค่ะอา  เจสจะไม่พยายามเร่งความสูงตัวเองอีกแล้วค่ะ  แต่อาอย่าลืมสิคะ  ที่เจสเป็นแบบนี้ก็เพราะกรรมพันธุ์ด้วยนา  นอกจากอาแล้ว  อาเคยบอกว่าพ่อของเจสก็เป็นคนสูงมากด้วยนี่"

                  "ใช่  พี่เชสเซอร์สูงกว่าอาอีกนะ  ก็เป็นนักบาสนี่นา  แต่คุณนายเจสซี่ก็ค่อนข้างสูงเหมือนกัน  แต่สูงน้อยกว่าเราตอนนี้นิดนึง"  บิลเล่าพลางนึกภาพของคนทั้งคู่ซึ่งเป็นพ่อแม่ของเจสิก้าและเป็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ของเขา

                  แต่ก่อนที่เจสสิก้าจะถือกำเนิดขึ้น  ครอบครัวของคอนเนลลี่ประกอบไปด้วย  พ่อ  แม่  และลูกชายอีกสองคน  ซึ่งเชสเซอร์เป็นพี่และบิลเป็นน้อง  พวกเขาอายุห่างกันสามปี  แต่เมื่อบิลมีอายุได้เพียงเก้าขวบ พ่อของบิลซึ่งทำงานเป็นตำรวจก็เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่  แม้ผู้เป็นภรรยาและลูกๆทั้งสองจะเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของหัวหน้าครอบครัว  แต่พวกเขาก็ไม่เคยนึกเสียใจที่สามีและบิดาต้องเสียชีวิตเพราะอาชีพตำรวจ  พวกเขากลับภาคภูมิใจเพราะเป็นการทำเพื่อหน้าที่และเสียสละเพื่อประเทศชาติ  นอกจากนั้นเพราะการเสียสละชีวิตในครั้งนั้นทำให้สามารถจับอาชญากรคอมพิวเตอร์ที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติและโลกได้อีกด้วย  คุณงามความดีทั้งหมดจึงตกอยู่กับครอบครัวคอนเนลลี่ 

                  หลังจากเหตุการณ์นั้นแม่ของพวกเขาจึงเลี้ยงดูพวกเขาตามลำพังจนเติบโต  เชสเซอร์เป็นนักกีฬาบาสเกตบอลให้กับมหาวิทยาลัย  เมื่อเรียนจบก็ยึดเป็นอาชีพจนได้เป็นทีมชาติเข้าแข่งขันในระดับประเทศ  ส่วนบิลเมื่อเรียนจบปริญญาตรีด้านกฏหมายเขาก็ต่อปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์พร้อมกับเข้าอบรมที่มหาวิทยาลัยตำรวจด้วย  และในที่สุดบิลก็ได้ยึดอาชีพตำรวจตามพ่อซึ่งเขาเองก็ใฝ่ฝันที่จะทำอาชีพนี้มาตลอด 

                  ในขณะที่เชสเซอร์อายุได้เพียงยี่สิบปี เขาก็แต่งงานกับเจสซี่แล้วพาเธอมาอยู่ร่วมกันที่คฤหาสตระกูลคอนเนลลี่  ทั้งคู่เรียนมหาลัยเดียวกันและพบรักกันที่นั่น  เหตุผลที่ทั้งคู่แต่งงานตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวเพราะเจสซี่ตั้งท้องได้เดือนนึงแล้ว  แต่พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรมากนักเพราะทั้งคู่รักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ  เจสซี่ให้กำเนิดบุตรสาวนามว่าเจสสิก้าในอีกแปดเดือนต่อมา  เจสสิก้าเป็นที่รักใคร่ของครอบครัวคอนเนลลี่  แต่แม่ของพวกเขาก็อยู่ชื่นชมหลานได้ไม่นานเพราะต้องมาเสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในขณะที่เจสสิก้ามีอายุได้เพียงขวบเศษ  สร้างความเสียใจให้กับครอบครัวคอนเนลลี่เป็นอย่างมาก  พวกเขาจึงเหลือเพียงสองพี่น้องคอนเนลลี่  และเจสซี่กับเจสสิก้าลูกสาววัยแบเบาะ  ส่วนครอบครัวของเจสซี่  พ่อและแม่ของเธอได้ย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามลำพังฉันสามีภรรยา
     
                  แต่เหตุการณ์เศร้าโศกก็มาเยือนพวกเขาอีกครั้งเมื่อสองสามีภรรยาเชสเซอร์กับเจสซี่เสียชีวิตในเหตุการณ์เครื่องบินตกระหว่างที่กำลังเดินทางไปเยี่ยมอาการป่วยของบิดาของเจสซี่ที่ฝรั่งเศสโดยฝากเจสสิก้าให้บิลช่วยดูแลแทน  ตอนนั้นเจสสิก้ามีอายุได้เพียงห้าขวบ  เธอไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก  ยังไม่รู้จักความตาย  รู้แต่ว่าพ่อกับแม่ของเธอไม่อยู่และไม่มีวันกลับมาหาเธออีกแล้ว  เธอเศร้าโศกเสียใจและกลายเป็นเด็กซึมเศร้า  อ่อนแอ  แต่ได้รับการเลี้ยงดูจากบิลซึ่งเป็นอาแท้ๆของเธอด้วยความรักและความเอาใจใส่  จึงทำให้เธอร่าเริงขึ้นได้และไม่กลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่น  ตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็เหลือกันอยู่สองคนอาหลาน  บิลให้สัญญากับวิญญานของพ่อแม่เจสสิก้าและสาบานกับตัวเองว่าจะรักและดูแลเลี้ยงดูเจสสิก้าอย่างดีที่สุดให้เหมือนกับเจสสิก้าเป็นลูกแท้ๆของตัวเอง  และตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำเพื่อเจสสิก้าไม่ใช่เพียงเพราะคำสัญญาหรือคำสาบานเท่านั้น  ทั้งหมดนั่นเขาทำด้วยหัวใจรักที่บริสุทธิ์ที่เขามอบให้กับหลานสาวของเขาแด่เพียงผู้เดียว

                  "อา...อาคะ!"

                  บิลสะดุ้ง  ออกจากภวังค์เพราะเสียงที่ตะโกนเรียกข้างหู  "อ๊ะ...หือม์?"

                  "อาเป็นอะไรคะ  อยู่ๆก็เงียบไป  เจสเรียกตั้งหลายครั้งก็ไม่ตอบ"  เจสสิก้าถาม

                  "ก็...ไม่มีอะไรหรอก  แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆน่ะ"  บิลตอบพลางยิ้มให้หลานสาว  ก่อนจะเหลือบไปเห็นแก้วนมที่เจสสิก้าดื่มเมื่อครู่จึงนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่คุยค้างไว้  "เอาล่ะ  เอาเป็นว่าเชื่อตามที่อาบอกก็แล้วกันนะ  อาเข้าใจว่าเราอยากสูงเพราะเราเป็นนักกีฬา  ซึ่งเรื่องนี้อาก็ไม่ห้าม  แต่อย่าพยายามไปฝืนหรือไปเร่งความสูงด้วยการดื่นนมมากๆหรือออกกำลังกายหักโหม  ปล่อยให้สูงไปเองตามธรรมชาติจะดีกว่า  เพราะแค่ปล่อยตามธรรมชาติก็สูงเกินไปจนน่าใจหายแล้ว  พูดตามตรงนะ  ที่จริงอาไม่อยากให้เราสูงขึ้นไปกว่านี้อีกแล้วแม้แต่เซ็นเดียวเลยล่ะ  แล้วเรื่องนมน่ะ  เดี๋ยวนี้ดื่มวันละกี่แก้ว"

                  "เอ่อ...วันละสองลิตรค่ะ"  เจสสิก้าอำอึ้งตอบ  เรื่องเหตุผลในการอยากสูงของเธอที่อาพูดก็มีส่วนถูก  เธอเป็นนักกีฬา  ชอบเล่นกีฬาหลายชนิด  ที่ชอบที่สุดก็คือบาสเกตบอล  ความสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญ  แต่จะให้บอกความจริงได้ไงล่ะว่าเธอกำลังแข่งความสูงกับเพื่อนผู้ชาย (เพื่อนชายคนนี้สูง 180 ซึ่งเป็นความสูงปกติของวัยรุ่นชายอเมริกันวัยสิบห้าปีขึ้นไป)  แค่นี้ก็โดนดุจะแย่แล้ว  ขืนบอกเหตุผลไร้สาระแบบนั้นให้อารู้  มีหวัง.....

                  "สองลิตร!  สองลิตรก็ประมาณห้า-หกแก้ว  อะไรกัน  นี่เพิ่มอีกแล้วเหรอ  เมื่อก่อนอย่างมากก็สามแก้ว  แอบเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่  ฮึ!"  บิลทำเสียงดุ

                  "ขอโทษค่ะ"  เจสสิก้าทำหน้าจ๋อยอย่างสำนึกผิดเต็มที่

                  "ไม่รู้ล่ะ  ต่อไปนี้ลดเหลือสองแก้ว  ตอนเช้าและก่อนนอนก็พอแล้ว  ดื่มเพื่อสุขภาพก็พอ  ไม่ใช่เพื่อความสูง  เข้าใจมั๊ย"

                  "เข้าใจค่ะ"  เจสสิก้าตอบอย่างว่าง่าย

                  บิลยิ้มน้อยๆให้หลานสาวแล้วลูบหัวเธอเบาๆ  "ดีมาก  เป็นเด็กดีต้องเชื่อฟังอารู้ไหม"

                  "โธ่...อาคะ  เจสไม่ใช่เด็กแล้วนะคะ  สิบหกแล้ว  โตเป็นสาวแล้วก็จะขึ้นไฮสคูลแล้วด้วย"  เจสสิก้าบอกพลางทำหน้ามุ่ย
        
                  บิลยีผมหลานสาวแรงๆอย่างหมั่นไส้  "จะสิบหกหรือยี่สิบหกเราก็ยังเป็นเด็กในสายตาของอาเสมอแหล่ะน่า  เด็กน้อย"

                  "โอ๊ย!  อาอ่ะ  หัวยุ่งหมดแล้ว"  เจสสิก้าโอดครวญแต่ยังยิ้มระรื่น  เธอเข้าใจดีว่าสิ่งที่อากำลังทำเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง

                  บิลหยุดการกระทำแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าทำงานที่วางอยู่ที่พื้นข้างโซฟา  "เอาล่ะ  อาจะขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ  เสร็จแล้วจะลงมาทานอาหารเย็นพร้อมกัน" 

                  "ค่ะ  เจสจะรอนะคะ"  เจสสิก้าตอบ  ก่อนที่อาของเธอจะเดินขึ้นบันได  แต่เมื่อก้าวขึ้นไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดหันมามองเพราะเสียงเรียกของเธอ  "อาคะ!  แล้วเรื่องงานใหม่ล่ะค่ะ  อาสัญญาแล้วนะว่ากลับมาจะเล่าให้ฟัง"

                  บิลคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า  ในใจคิดว่าแม่หลานสาวตัวดียังไม่ลืมเรื่องนี้อีกรึไงกัน  "ไม่ลืมหรอกน่า  ติดไว้หลังอาหารเย็นก็แล้วกัน"  พูดจบก็โบกมือเป็นเชิงหยุดการสนทนาแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเอง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×