ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Curse of the Vampire

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : วันที่สงบสุข

    • อัปเดตล่าสุด 31 พ.ค. 49



                       ในเมืองซานดาน่า  มลรัฐแคลิฟอร์เนียทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา  อีลเวสต์คือหมู่บ้านเล็กๆที่อบอุ่น  แต่ละครอบครัวอยู่กันอย่างเรียบง่าย  เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงยิ้มแย้มแจ่มใสมีไมตรีจิต  พวกเขาอยู่กันอย่างสงบสุขมาหลายชั่วอายุคน  จนกระทั่งคืนหนึ่งในวันคริสมาสต์  คืนเดียวที่เปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง...

                       "จิล!  เสร็จรึยัง  เพื่อนมารอแล้วนะลูก"

                       "ค่า~  เสร็จแล้วค่ะ"  เด็กสาวผู้ถูกเอ่ยเรียกขานรับผู้เป็นแม่  เธอวิ่งลงมาจากบันไดชั้นบนของบ้านหลังใหญ่  ผ่านห้องอาหาร  ตรงไปที่โต๊ะที่มีชายวัยกลางคนนั่งจิบกาแฟยามเช้าและอ่านหนังสือพิมพ์ควบคู่ไปด้วย

                       "วันนี้ตื่นสายอีกแล้วนะเรา  เมื่อคืนคงกลับมาดึกล่ะสิท่า"  ชายวัยกลางคนทัก

                       "แหะๆ  คือว่า..."  ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะตอบ  แม่ของเธอก็เธอเข้ามาขัดบทสนทนาระหว่างพ่อกับลูกซะก่อน

                       "ใครว่าดึกล่ะคะ  เช้ามืดเลยต่างหาก"

                       "เช้ามืดอะไรกัน  แค่ตีสองเท่านั้นเอง" 

                       "แค่เหรอ?  ตีสองมันไม่เช้ารึไงล่ะ"

                       "ไม่เป็นไรน่า  ที่รัก  ลูกเรากลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว  กลับช้าดีกว่าไม่กลับนา"  ชายผู้เป็นพ่อทักท้วงแทนลูกสาว

                       "คุณก็..ให้ท้ายลูกอย่างงี้ทุกที  จิลถึงได้ดื้อแบบคุณไง"

                       "ใครว่า  จิลน่ะดื้อเหมือนคุณแต่ฉลาดเหมือนผมมากกว่า"

                       "ดื้อเหมือนคุณต่างหากล่ะ"

                       "พ่อคะแม่คะ!"  เด็กสาวรีบพูดขัดขึ้นก่อนจะมีการปะทะคารมเล็กๆระหว่างคู่สามีภรรยา  "หนูไปโรงเรียนก่อนนะคะ"  พูดจบก็วิ่งตื๋อไปหาเพื่อนสาวที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก

                       "แล้วทั้งสองคนไม่กินอะไรก่อนไปโรงเรียนซักหน่อยหรือจ๊ะ"  ผู้เป็นแม่เอ่ยถามเมื่อเธอเดินตามลูกสาวเข้ามาในห้องรับแขก

                       "ไม่ล่ะค่ะ  สายแล้ว"  จิลตอบ

                       "ขอบคุณมากค่ะ  แต่หนูทานอาหารเช้ามาจากบ้านแล้ว"  เทรซี่  ผู้เป็นเพื่อนสาวคนสนิทของจิลเอ่ยตอบอย่างสุภาพ  "ถ้างั้นหนูลาล่ะนะคะ  คุณเบลเวอรี่, คุณนายเบลเวอรี่"

                       "ตั้งใจเรียนทั้งคู่นะจ๊ะ"

                       "แล้วเจอกันตอนเย็นค่ะ"  จิลเอ่ยลาอีกครั้ง  ก่อนจะหยุดที่หน้าประตูแล้วหันหลังมาพูดกับแอนนา เบลเวอรี่พลางชูกุญแจรถขึ้นโบกตรงหน้า  "อ้อ  หนูขอเอารถไปนะคะ  บ๊ายบาย"

                       "หา!?  เดี๋ยว!   ไม่ได้นะ  เรายังไม่มีใบขับขี่เลย  จิล!  ยัยจิล!!"

                       สายไปเสียแล้ว  นอกจากเด็กสาวจะไม่ฟังเสียงทักท้วงของผู้เป็นแม่  กลับวิ่งเข้าไปในโรงรถ  สตาร์ทรถสปอร์ตเปิดประทุนสีขาวที่พ่อซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 17 ปีแล้วแล่นออกไปด้วยความเร็วทันทีที่เพื่อนสาวก้าวขึ้นรถ  โดยไม่ลืมที่จะหันมาส่งจูบให้นางเบลเวอรี่ก่อนที่รถจะเลี้ยวออกจากประตูรั้ว

                       "เฮ้อ..ให้ตายสิ  ยัยลูกคนนี้"

                       ไซม่อน เบลเวอรี่เดินถือกระเป๋าเอกสารออกมายืนตรงประตูตรงที่แอนนายืนเท้าเอวอยู่  "ที่รัก  ผมจะไปทำงานแล้วนะ"

                       ผู้เป็นภรรยาหันมาหาสามี  หล่อนขยับเนคไทของเขาให้เข้าที่เข้าทาง  พลางถอนหายใจแล้วพูด  "ฉันล่ะกลุ้มกับลูกคนนี้ซะจริง  เมื่อไหร่จะรู้จักโตซะทีนะ"

                       "วัยรุ่นก็แบบนี้แหล่ะ"  ชายวัยกลางคนพูด  "ลูกเราอยู่ไฮสคูลแล้วนะที่รัก  ให้โอกาสแกได้ใช้ชีวิตแบบที่แกต้องการเถอะ  ปล่อยๆซะบ้าง  คุณก็รู้จักลูกดีนี่  ยังไงแกก็ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียเลยซักครั้งนี่นา"

                       "คุณก็ตามใจลูกซะจนเสียเด็ก"  หล่อนตอบเคืองๆ

                       ไซม่อนยิ้ม  รั้งเอวภรรยาเข้ามาแนบกาย  "ใช่ว่าผมจะตามใจลูกซะจนเสียเด็กอย่างเดียวเมื่อไหร่ล่ะ  กับคุณผมก็ตามใจซะจนเสียเมียแล้วนา"

                       ขาดคำผู้เป็นภรรยาก็ทุบอกสามีดังบึ้ก  ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขิน  "นี่คุณ!  พูดอะไรน่ะ"

                       ชายวัยกลางคนไม่ตอบ  กลับยื่นหน้าเข้ามาหาภรรยาแทน  แต่ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่ใจนึกก็ถูกมือบางของคนในอ้อมกอดดันหน้าออกไปซะก่อน

                       "นี่คุณ  จะรีบไปทำงานไม่ใช่เหรอไง"

                       "ขอจูบลาก่อนสิ"  พูดเสียงอ้อน

                       หล่อนก้มหน้าเอียงอาย  ตอบรับเสียงแผ่ว  "แป๊บเดียวนะ  เดี๋ยวคุณจะสาย"

                       เขายิ้มแล้วก้มลงปิดริมฝีปากภรรยาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเน้นหนัก  สัมผัสที่อบอวลไปด้วยความรัก  ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี  ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้จวบจนลูกชายคนโตอายุ 19 และลูกคนเล็กอายุ 17 ความรักของทั้งคู่ก็ไม่ลดน้อยลงเลย  ผู้เป็นสามีละออกมาอย่างเสียดายเมื่อรับรู้ถึงแรงดันจากคนในอ้อมกอด

                       "พอได้แล้ว..."  แอนนาเอ่ยเตือนสามี  "คุณรีบไปเถอะ  เดี๋ยวจะสาย"

                       "เฮ้อ..วันนี้ผมชักนึกอยากเกเรงานแล้วสิ"  ไซม่อนพูดหยอกพลางอมยิ้ม

                       "ไม่ต้องเลยนะ  เป็นถึงประธานบริษัทกลับจะเกเรซะเองได้ยังไง  อย่างงี้ลูกน้องที่ไหนเค๊าจะนับถือล่ะ  ไปทำงานได้แล้ว"

                       "งั้น..อีกทีนะ"

                       "ไม่ได้" 

                       "น่า..นะ"

                       "ไม่ได้ก็คือไม่ได้  นี่คุณ!  สายมากแล้วนะ"

                       "โธ่..ใจร้าย"  แม้จะตัดพ้อแต่ก็ขโมยหอมแก้มภรรยาไปจนได้  จากนั้นก็เดินออกไปขึ้นรถที่คนขับรถขับมาจอดรอที่หน้าบันไดบ้าน

                       แอนนากุมแก้มตนเอง  หรี่ตามองสามีอย่างนึกบ่นในใจ  แต่ไม่ทันไรก็ยิ้มออกมาได้  ก่อนจะโบกมือลาคนรักที่ก้าวเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยแล้ว  "รีบไปรีบกลับนะคะ" 


    .................................................


                       จิล เบลเวอรี่  ลูกสาวคนเล็กวัย 17 ของตระกูลเบลเวอรี่ที่แสนเก่าแก่และร่ำรวย  เธอและพ่อแม่อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ดั่งคฤหาสภายในหมู่บ้านอีลเวสต์  หมู่บ้านเล็กๆของเมืองซานดาน่า  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  ส่วนพี่ชายคนโตวัย 19 กำลังศึกษาระดับมหาวิทยาลัยอยู่ที่ต่างเมืองและแยกออกไปอยู่หอกับเพื่อนๆ  ตระกูลเบลเวอรี่ประกอบธุรกิจค้าเพชรพลอยและอัญมณี  นอกจากนั้นยังประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยนายไซม่อน เบลเวอรี่หัวหน้าครอบครัวดำรงตำแหน่งประธานบริษัท 

                       ด้วยการเลี้ยงดูที่เหมือนถูกประคบประหงมประกอบกับฐานะและชาติตระกูล  ทำให้มีคนมองว่าจิลเป็นคุณหนูผู้บอบบางเรียบร้อย  แต่แท้จริงแล้วแทบจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง  จิลใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นอเมริกันทั่วไป  ชอบเที่ยวเล่นสังสรรค์ตามงานปาร์ตี้กับกลุ่มเพื่อนเป็นชีวิตจิตใจ  แต่เธอก็รู้จักผิดชอบชั่วดีและรักตัวเองเกินกว่าที่จะเอาอนาคตที่สดใสเข้าไปพัวพันกับพวกยาเสพติดที่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับวัยรุ่นอมเริกันที่นิยมเสพกันในงานปาร์ตี้ต่างๆ

                       "จิล..ขับช้าๆหน่อยก็ได้  ฉันกลัวนะ"  เทรซี่เอ่ยเตือน  ขณะที่รถกำลังแล่นอยู่บนถนนด้วยความเร็วโดยฝีมือการขับของเพื่อนสาวที่ยังไม่มีแม้กระทั่งใบขับขี่

                       "ไม่เป็นไรหรอกน่า  เราต้องรีบไปโรงเรียนให้ทันไม่ใช่เหรอ  ถ้าไม่เร็วแล้วจะไปทันได้ยังไงล่ะ"

                       "ความเร็วขนาดนี้เกิดไปสะดุดตาตำรวจขึ้นมาจะทำไงฮึ  เธอยังไม่มีใบขับขี่เลยนะ"

                       "แถวนี้เขาจำกัดความเร็วไว้ไม่เกิน 150 ย่ะ  นี่ฉันเหยียบแค่ 120 ไม่ถึงซะหน่อย  ตำรวจไม่จับหรอก"

                       "ก็ได้ๆ  ตามใจเธอก็แล้วกัน"  หญิงสาวตัดบท  ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง  "แล้วเรื่องปาร์ตี้คืนคริสมาสต์อีฟที่บ้านโจเซฟล่ะ  เธอจะไปมั๊ย"

                       "ไปสิ  จะพลาดได้ไงล่ะ  วันที่ 24 ฉันว่าง  แต่วันที่ 25 ฉันมีนัดกับครอบครัวนะ"  จิลตอบ

                       "แล้วดินเนอร์ของครอบครัวพี่ชายเธอจะมาด้วยรึเปล่า"

                       "เห็นว่าปีนี้จะไม่กลับมานะ  กำลังยุ่งเรื่องทำโปรเจคของมหาลัยน่ะ"

                       "งั้นปีนี้เธอก็ฉลองคริสมาสต์กันสามคนกับพ่อแม่น่ะสิ"

                       "ใช่"  จิลตอบ  "พูดถึงปาร์ตี้  แล้วปาร์ตี้วันเกิดซาร่าเมื่อคืนทำไมเธอไม่มายะ  โทรเข้ามือถือก็ไม่มีใครรับ  เพื่อนคนอื่นมากันครบ  ฉันมองหาเธอซะทั่วงานเลยนะ"

                       "ฉันปวดท้องเมนส์ย่ะ  กินไมดอลเข้าไปสองเม็ดแล้วก็เข้านอนเลย"

                       "อ้อ..งั้นเหรอ"  จิลพยักหน้าอย่างเข้าใจ  มันเป็นเรื่องสุดวิสัยของผู้หญิงที่ช่วยไม่ได้เลยจริงๆ

                       รถสปอร์ตเปิดประทุนสีขาวแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถในโรงเรียนคูลิสัน ไฮ  ทันทีที่จิลก้าวลงมาจากรถ  ท่อนแขนกำยำของชายหนุ่มคนหนึ่งก็โอบเข้ามาที่ไหล่เธอ

                       "หวัดดีจิล  วันนี้มาสายอีกแล้วนะ"

                       "หวัดดีบ๊อบบี้"  หญิงสาวทักกลับด้วยใบหน้าเฉยเมยพร้อมกับยกแขนอีกฝ่ายออกจากไหล่ตนเองทันที

                       "เมื่อคืนกลับไปตั้งแต่กี่โมงเหรอ  ว่าจะไปส่งซักหน่อย  พอตามหาก็มีคนบอกว่ากลับไปแล้ว"

                       "ไม่จำเป็นหรอก  ขอบใจ"  จิลตอบพลางออกเดินไปพร้อมกับเทรซี่  แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เลิกตื๊อ  เดินตามทั้งคู่มาด้วย

                       "แล้วเย็นนี้ว่างรึเปล่า  หลังเลิกเรียนไปเดทกันนะ"

                       "นี่บ๊อบบี้  ยัยเคธี่แฟนนายไปไหนซะล่ะ"  เทรซี่ขัดขึ้น  เธอเองก็ไม่ชอบขี้หน้าชายหนุ่มเท่าไหร่  เพราะนอกจากกิตติศัพท์เรื่องความเจ้าชู้เสเพลแล้วอีกฝ่ายยังตามตื๊อเพื่อนเธอจนน่ารำคาญ

                       "ยัยเคธี่น่ะเหรอ  โอ๊ย  เลิกกันไปนานแล้ว"  บ๊อบบี้ตอบ  แต่หันไปหาจิลเหมือนจะให้อีกฝ่ายรับรู้  "ตอนนี้ฉันว่างแล้วนะ  เธอสนใจจะเป็นคู่ควงของฉันมั้ยล่ะจิล"

                       จิลหันมาแค่นยิ้ม  "ขอบใจที่ชวนนะบ๊อบบี้  ฉันจะรับไว้พิจารณาแล้วกัน  แต่คงต้องรอให้ผู้ชายทั้งโลกเหลือแค่นายคนเดียวก่อนนะ"

                       หญิงสาวพูดจบก็สะบัดหน้าเดินจากไปพร้อมกับเพื่อนซี้ทันที  ปล่อยให้บ๊อบบี้ยืนเสียหน้าอยู่ตามลำพัง

                       "ยัยจิล  ฝากไว้ก่อนเถอะ  แล้วเธอจะเสียใจที่ปฏิเสธฉัน"


    .................................................


                       กว่าที่จิลและเทรซี่จะมาถึงห้องเรียน  อาจารย์ก็เริ่มบรรยายไปได้ครู่หนึ่งแล้ว  เมื่อเข้ามาในห้องทั้งสองก็เลือกเดินไปนั่งที่นั่งหลังสุด

                       "สมน้ำหน้าตาบ๊อบบี้ชะมัด  เธอเห็นหน้าหมอนั่นรึเปล่า  น่าขำเนอะ"  เทรซี่เปิดปากพูดทันทีที่นั่งที่เรียบร้อยแล้ว

                       จิลไม่ได้ตอบอะไร  เพียงแค่ยิ้มรับ

                       "สงสัยหมอนั่นคงไม่กล้ามาตอแยเธออีกแล้วล่ะจิล  โดนตอกซะหน้าหงายขนาดนั้น"

                       "ก็คงงั้น"  จิลบอก  "ที่จริงบ๊อบบี้ก็ไม่เลวนะ"

                       ความจริงแล้วบ๊อบบี้เป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลของโรงเรียน  เล่นในตำแหน่งควอเตอร์แบ็คที่นำทีมพบกับชัยชนะในเกมหลายต่อหลายนัด  ทั้งยังรูปหล่อ  พ่อรวย  เนื้อหอมในหมู่สาวๆ 

                       "แค่ภายนอกเท่านั้นแหล่ะย่ะ  แต่นิสัยเน่าเฟะสุดๆ"  เทรซี่ตอบอย่างใส่อารมณ์เต็มที่  "ดีแล้วที่เธอไม่บ้าจี้ตามหมอนั่น"

                       "คงไม่มีใครจะดีเท่าสตีฟล่ะมั้ง"  จิลพูดพาดพิงถึงชายหนุ่มอีกคนที่เทรซี่แอบปลื้มอยู่

                       "ไม่ต้องมาแซวเลยนะ  คนนั้นเป็นข้อยกเว้นย่ะ"  เทรซี่หน้าแดง  ก่อนเปลี่ยนเรื่อง  "แล้วเธอล่ะ  เมื่อไหร่จะสละโลด  เธอเองก็เสน่ห์แรงออกนะ  ทำไมไม่มีแฟนซักที"

                       "ไม่รู้สิ  ก็ยังไม่เจอใครที่ถูกใจเลยนี่นา"

                       "เรื่องมากล่ะมากกว่า"

                       "ไม่ใช่ซักหน่อย"  จิลแก้  "จริงๆนะ  ฉันก็เคยลองคบๆบ้าง  แต่ทำไมไม่รู้  รู้สึกว่ามันไม่ใช่  สุดท้ายก็ไปไม่รอดซักราย"

                       "แล้วนายนาธานนั่นล่ะ"  เทรซี่พูดถึงนักศึกษามหาลัยที่เป็นแฟนหนุ่มคนล่าสุดของจิลที่เลิกกันไปเมื่อสามเดือนก่อน  "ตอนคบกันเธอสองคนก็ดูสวีทกันดีนี่นา"

                       "นั่นมันก็ใช่  ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเรามีความสุขมาก  แต่สุดท้ายทั้งเขาและฉันต่างก็เริ่มห่างกันไปโดยต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีเวลาให้กัน  แต่แปลกนะ  ตอนนั้นฉันกลับไม่รู้สึกเฮิร์ทเลยซักนิด"

                       "แปลก  คนรักกันถ้าต้องเลิกลากันไปมันก็ต้องมีเสียใจบ้างไม่ใช่เหรอ"

                       "ก็นั่นน่ะสิ"  จิลเห็นด้วย  "หรือว่าฉันไม่ได้รักเขา  บางทีอาจเป็นแค่ความรู้สึกดีๆแบบเพื่อนล่ะมั้ง"

                       "ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเธอต้องขึ้นคานแน่ๆเลยจิล"

                       "คงงั้น  สงสัยเนื้อคู่ฉันคงยังไม่เกิดล่ะมั้ง"  จิลพูดติดตลก

                       หญิงสาวเองที่จริงเธอไม่เคยเชื่อเรื่องเนื้อคู่หรือพรหมลิขิต  แต่อนาคตเป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้  และเธอเองก็ไม่มีทางรู้ว่าชีวิตของตนเองจะถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงเพราะคำๆนี้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×