ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chaos Legion : Damian and Derpentious

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : เยือนดินแดนเดเมียน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 238
      0
      14 ส.ค. 53


                  ดินแดนชายฝั่งตะวันออกติดทะเล  สวยงามและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย  บ้านเรือนสองข้างทางตั้งเป็นระเบียบ  ไกลออกไปเป็นพื้นที่ทำนาปลูกพืชที่ถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วน  ฟาร์มและคอกสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ขายและใช้งานถูกกันไว้ให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม  สองข้างทางของถนนมีต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่นตั้งเรียงราย  ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสมีอัธยาศัยไมตรี  อากาศบริสุทธิ์สะอาด  สภาพแวดล้อมมองไปทางไหนก็ล้วนแต่สบายตาและสบายใจ  เป็นดินแดนที่เหมาะสมกับสมญานามที่ใครๆที่ได้มาพบเห็นกล่าวไว้ว่า 'สวนแห่งสวรรค์'

                  ในตัวเมืองเป็นที่ตั้งของพระราชวังขององค์จักรพรรดิ์  ใหญ่โตหรูหราและสง่างาม  หอคอยสองข้างสูงเสียดฟ้า  เป็นที่ตระการตาของผู้พบเห็น  กำแพงวังรายล้อมรอบด้านกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่  เบื้องหลังประตูสองข้างทางเป็นสวนกว้างมากไปด้วยดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง  ทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตานำไปสู่ตัวพระราชวังสีขาวอันวิจิตรงดงามเป็นพื้นหินรูปหกเหลี่ยมที่ต่อเรียงราย  ระหว่างทางบนพื้นจะพบหินหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่สลักตราของพระราชวงค์เป็นระยะ  เบื้องหน้าพระราชวังเป็นน้ำพุสามชั้นที่ถูกออกแบบนำสมัย  ตรงกลางน้ำพุเป็นรูปปั้นเทพีสีขาวบริสุทธิ์ยืนดีดพิณด้วงท่วงท่างดงาม

                  ห่างจากกำแพงวังไปเล็กน้อยมีตลาดมากไปด้วยผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง  ของกินของใช้และสินค้าที่ระลึกตั้งเรียงรายตามแผง  เสียงพ่อค้าแม่ค้าและเสียงลูกค้าต่อรองราคาดังเจื้อยแจ้วไม่ขาดปาก  ขณะนั้นเอง  บนทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่เพื่อเลือกซื้อสินค้าต้องพากันหลีกทางให้ม้าใหญ่ 3 ตัวที่เดินเฉียดมาใกล้  คนบนหลังม้าเป็นที่เด่นสะดุดตาสำหรับชาวบ้านแถวนั้นไม่น้อย  ร่างสูงใหญ่บนหลังม้าที่นำหน้าอยู่ในอาภรณ์สีดำสนิททั้งตัว  มีผ้าคลุมปิดบังหน้าตา  แต่ดูจากรูปร่างลักษณะแล้วดูน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่ชวนเข้าใกล้  อีกสองคนที่ตามหลังมาอยู่ในอาภรณ์และผ้าคลุมสีเทา  เรือนกายแกร่งบึกบึนดั่งทหารชาตรี

                  "พ่อหนุ่มเป็นคนต่างถิ่นสินะ  สนใจผ้าสวยๆมั้ยจ๊ะ  ซื้อไปฝากลูกฝากเมียที่บ้านก็ได้นะ  พวกเขาคงชอบ"  เสียงแม่ค้าวัยกลางคนเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  ชักชวนให้ซื้อสินค้าเมื่อม้าตัวแรกเดินผ่านแผงลอยของตน

                  ร่างสูงบนหลังม้าหันมาสบตาด้วยแวบเดียว  เพียงแค่สายตานิ่งๆที่ลอดผ่านผ้าคลุมหน้าก็พอที่จะทำให้แม่ค้าผู้นั้นหุบปากสนิทและก้มหน้าก้มตาทำเป็นจัดของบนแผง  จนกระทั่งม้าทั้งสามผ่านเลยไปเธอถึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

                  ม้าทั้งสามตัวมาหยุดอยู่ที่ท้ายตลาดห่างจากประตูเมืองไม่มากนัก

                  "ดินแดนเดเมี่ยน  ไม่ผิดหวังเลยที่ได้มาเหยียบถึงนี่"  เสียงห้าวของชายชุดดำเปรยออกมา  แม้สุ้มเสียงแผ่วเบาราวกระซิบแต่ก็ฟังดูมีอำนาจ

                  "ฝ่าบาท  หม่อมฉันว่าเราอยู่ใกล้ประตูวังเกินไปนะพะยะค่ะ  เดี๋ยวทหารยามเฝ้าประตูจะสงสัยเอาได้  ทอดพระเนตรดูเถิด  มองมาทางนี้ใหญ่แล้ว"  ชายในชุดเทากระซิบให้ได้ยินกันเพียงพวกเขา

                  "ก็ช่างประไร  ถ้ามันสงสัยเราก็อ้างว่าเป็นนักท่องเที่ยวหรือไม่ก็พ่อค้าก็ได้"  เขาตอบ  "ถ้ามีปัญหามากนักก็จัดการไปเลย  ทหารยามแค่นี้คงไม่คนามือราชองครักษ์อย่างพวกเจ้าหรอกนะ"

                  "โธ่..ฝ่าบาท  ถ้าแค่นั้นมันก็ดีสิ  แต่หลังประตูยังมีทหารอีกเป็นร้อยเป็นพัน  เรามีแค่สามจะไปสู้ไหวได้ยังไง"

                  "จริงของเจ้า"  ร่างสูงใหญ่หัวเราะเบาๆในลำคอแล้วหันกลับไปมองพระราชวังสูงใหญ่ด้วยแววตาวาววับ  "แต่แค่หน้าประตูวังแค่นี้ไม่พอหรอก  ใจจริงข้าอยากจะเข้าไปดูถึงข้างในด้วยซ้ำ"

                  "ทำอย่างนั้นไม่ได้นะฝ่าบาท  ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมาท่านจะแย่  อย่าลืมสิว่าเราปลอมตัวแฝงเข้ามาในดินแดนแห่งนี้เพื่ออะไร"  ชายชุดเทาคนที่สองเอ่ยขึ้นบ้าง

                  "ข้ารู้น่า  ข้าไม่โง่ถึงขนาดเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในวังนี่หรอก  ในเมื่อข้ายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ"

                  "หม่อนฉันว่าเรากลับกันเถอะฝ่าบาท  วันนี้เราเดินทางสำรวจเมืองนี้มาครึ่งวันแล้วท่านควรพักผ่อนเสียบ้างเพราะพรุ่งนี้ยังต้องออกตระเวณต่อ  ถ้าขืนยังด้อมๆมองอยู่หน้าประตูแบบนี้ต่อไปทหารยามสงสัยเราแน่"

                  "ตกลง  งั้นกลับที่พักเถอะ" 

                  ขาดคำชายชุดดำก็หันม้ากลับ  ดึงบังเหิยนให้ม้าออกเดิน  ชายอีกสองคนบังคับม้าตามหลังไป  ทั้งสามไปตามทางเก่าที่เข้าสู่ตลาด  ก่อนจะมุ่งหน้าหายไปในฝุ่นควัน


    ...............................................................


                  ในท้องพระโรงของพระราชวังสีขาวของบ่ายวันหนึ่ง  หญิงชราร่างท้วมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับทหารคนหนึ่งที่ถือกระดาษม้วนอยู่ในมือ  ใบหน้าของนางดูร้อนอกร้อนใจเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ  ทั้งสองเข้ามาหยุดอยู่หน้าฉากกั้นซึ่งเป็นม่านแพรบางๆ  เบื้องหลังม่านมีเงาเลือนลางของร่างที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่  ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือน

                  "ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า  กระหม่อมได้รับสาส์นนี้จากชายต่างถิ่นคนหนึ่งซึ่งอ้างตัวว่าเป็นทหารของเดอเพนเทียส  ชายผู้นั้นบอกว่าองค์เหนือหัวของเขาฝากสาส์นลับนี้มาให้ท่าน  แล้วกำชับว่าต้องส่งมอบให้ถึงมือพระองค์พะยะค่ะ"

                  คิ้วเรียวขมวดมุ่น  ก่อนที่ร่างโปร่งระหงในอาภรณ์ดุจชายทรงเครื่องกษัตริย์จะลุกขึ้นจากเก้าอี้  เสียงนุ่มตรัสถามแผ่วเบา  "จากเดอเพนเทียส?"

                  "พะยะค่ะ"

                  "ท่านนม  ส่งสาส์นนั้นมาให้ข้าทีสิ"

                  "เพคะ" 

                  หญิงชราร่างท้วมย่อตัวลงถอนสายบัวก่อนจะหยิบม้วนกระดาษในมือของทหาร  แล้วแหวกม่านออกเล็กน้อยพอให้ตัวแทรกเข้าไปได้  แล้วส่งม้วนกระดาษนั้นให้กับเมเดียส

                  มือเรียวคลี่ม้วนกระดาษที่มีตราประทับของราชวงศ์เดอเพนเทียสออกอ่าน  ดวงพระเนตรสีฟ้ากวาดมองตัวหนังสือเรื่อยลงมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย  ก่อนจะเม้มปากแน่น  กระดาษในมือถูกขยำอย่างไม่เหลือเค้าโครงเดิม 

                  "คนของเดอเพนเทียสผู้นั้นยังอยู่รึเปล่า!"  สุรเสียงแข็งกร้าว  บ่งบอกถึงความไม่พอพระทัย

                  "กระหม่อมให้รออยู่ที่หน้าประตูวังพะยะค่ะ  ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันจับตัวมันผู้นั้นมาลงโทษหรือไม่  โปรดรับสั่ง  หม่อมฉันจะรีบดำเนินการโดยทันที"

                  "ไม่ต้อง  ไปบอกคนผู้นั้นให้กลับไปบอกองค์เหนือหัวของตนเองด้วยว่า  ข้าขอปฏิเสธข้อเสนอ  และอย่าได้มาดูถูกกษัตริย์แห่งเดเมี่ยนอย่างข้าอีก  มิเช่นนั้นแล้วเราจะได้เห็นดีกัน  ต่อให้เป็นเวนเดอรัสหรือพระเจ้าหน้าไหนก็ตาม!"

                  "น้อมรับคำสั่งพระยะค่ะ"  ทหารก้มหัวเคารพก่อนจะหันหลังออกไปทันที  แม้จะงุนงงกับคำตรัสของเจ้าเหนือหัวของตนเองก็ตาม

                  คล้อยหลังทหารแล้วเมเดียสก็หันมาหาคนข้างกาย  "ท่านนม  ช่วยเอาสาส์นนี้ไปทิ้งให้ไกลจากสายตาข้าที!"  รับสั่งเสร็จก็หุนหันออกไปจากห้องทางประตูอีกบาน

                  หญิงร่างท้วมส่ายศรีษะเล็กน้อยในความใจร้อนและไม่รู้จักเก็บอารมณ์ของผู้ที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ  แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้  เนื่องจากองค์เมเดียสยังทรงพระเยาว์นัก  อาจจะเผลอเรอหรือแสดงอาการของคนในวัยนี้ออกมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก  นางก้มลงเก็บม้วนกระดาษที่ยับย่นขึ้นมาแล้วคลี่ออกอ่านด้วยความสงสัยว่าเพราะสาเหตุใดถึงทำให้องค์เหนือหัวของนางถึงพิโรธนัก...

    กราบทูลกษัตริย์ที่ลือล่ำรูปงาม...
    พระนามเมเดียสแห่งแดนสรวงสวรรค์...
    อนิจจาเมืองท่านหาต้องวอดวายพลัน...
    ด้วยน้ำมือองค์ราชันแห่งแดนไกล...
    จงรักษาบัลลังก์ไว้ให้มั่น...
    พอถึงวันขึ้น 3 ค่ำจะมุ่งใต้...
    แต่หากท่านยังคิดรักตัวกลัวตาย...
    จงยอมพ่ายมอบเมืองให้แล้วจะเมตตา...

    เวนเดอรัส


    ...............................................................


                  "ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

                  เสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด  ในห้องมีชายสามคนนั่งล้อมวงสนทนากันรอบโต๊ะ  เจ้าของเสียงเป็นชายร่างสูงใหญ่ที่ยืดขาพาดบนโต๊ะด้วยท่าทางสบายๆ  กับชายอีกสองคนที่มีสีหน้าลำบากใจแม้อยากจะร่วมหัวเราะไปด้วยก็ตาม 

                  สามคนนี้เป็นคนกลุ่มเดียวกับชายลึกลับที่ปรากฏตัวที่บริเวณท้ายตลาดเมื่อหลายวันก่อน  แต่ครั้งนี้อาภรณ์ที่สวมใส่ของแต่ละคนแตกต่างออกไป  เป็นชุดลำลองสบายๆและไม่มีผ้าคลุมปกปิดหน้าตา  เผยให้เห็นความหล่อเหลาบนใบหน้าคมคายซึ่งแม้ยังคงมีหนวดเคราที่ยังไม่ได้โกนของชายผู้เป็นผู้นำ  คิ้วเข้มหนาที่โก่งขึ้นอย่างคนมีลักษณะเอาแต่ใจและมั่นใจในตัวเองสูง  ตาเรียวยาวคมปลาบดั่งเหยี่ยว  ดวงตาและเส้นผมสีรัตติกาลยิ่งเพิ่มความลึกลับและทรงพลังให้กับบุรุษผู้เป็นเจ้าของ

                  "ฝ่าบาทเกือบทำให้หม่อมฉันต้องหัวขาดแล้วยังมีอารมณ์มาสรวลอีกเหรอพะยะค่ะ"  อีกเสียงดังขึ้นจากเคอร์เทียส  หนึ่งในสองขององครักษ์คนสนิท

                  "ใช่ๆ  ตามที่เคอร์เทียสเล่ามาหม่อมฉันแทบใจหายใจคว่ำ  ถ้าเกิดองค์เมเดียสทรงพิโรธแล้วเอาเรื่องขึ้นมา   เจ้าเคอร์เทียสมีหวัง..."  คาลพูดแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย  นึกใจเสียแทนสหายสนิทที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เด็กผู้ซึ่งโดนใช้ให้นำสาส์นเจ้าปัญหานั่นไปส่งให้กับกษัตริย์เมเดียส

                  "เอาน่าๆ  ยังไงเจ้าก็รอดกลับมาไม่ใช่เหรอเคอร์เทียส  นับว่าดวงเจ้ายังดีนะที่ยังมีหัวอยู่บนบ่า  ไม่เสียแรงที่เป็นคนของข้า"  หันไปตรัสด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะกับองครักษ์คู่ใจอีกคน

                  เจ้าของชื่อยิ้มแหย  ไม่รู้จะเสียใจหรือดีใจในคำชมขององค์เหนือหัวของตนดี

                  "หม่อนฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมฝ่าบาทถึงส่งสาส์นท้าไปแบบนั้น  มันไม่เป็นการแหย่หนวดเสือหรือพะยะค่ะ"

                  "ก็นั่นแหล่ะที่เราต้องการ"  เวนเดอรัสตรัสพลางหันมามองชายสองคนที่ทำหน้าเหวอ  "ไม่เอาน่า  นั่นเป็นแค่การล้อเล่นของเราเท่านั้น  ก็แค่อยากจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะทำยังไง  แต่เท่าที่เจ้าเล่ามาข้าว่าเมเดียสนี่ใจเด็ดแล้วก็หัวแข็งน่าดู  แบบนี้สิถึงไม่น่าเบื่อ"

                  "ล้อเล่น!?"  คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้เคอร์เทียสหน้าเหวอยิ่งกว่าเก่า  ล้อเล่นจนเขาเกือบตายเนี่ยนะ

                  "ฝ่าบาทเนี่ยทำอะไรไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อน  ส่งสาส์นแบบนั้นไปเป็นการดูหมิ่นกันชัดๆ  สมควรแล้วที่กษัตริย์แห่งเดเมี่ยนจะพิโรธ  ยังดีที่องค์เมเดียสทรงมีเมตตา  ไม่อย่างนั้นเคอร์เทียสคงไม่รอดกลับมารายงานและถ่ายทอดข้อความจากองค์เมเดียสให้พวกเราฟังหรอก"

                  "ความเมตตาคือความอ่อนแอสำหรับกษัตริย์  แต่เอาเถอะ  ยังไงข้าก็ต้องนึกขอบใจเมเดียสที่ปล่อยเคอร์เทียสกลับมาโดยไม่มีส่วนไหนบุบสลาย"  ทรงตรัสอย่างอารมณ์ดี  ก่อนหันมาตบไหล่องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์  "ไม่ต้องห่วงน่า  ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องตายเปล่าหรอก  ข้ารับรอง"

                  "เอ่อ..ขอบพระทัยฝ่าบาท"

                  องครักษ์ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมาโดยพร้อมเพรียง  พวกเขารู้ซึ้งแล้วว่ากษัตริย์ที่พวกเขาเคารพและซื่อสัตย์นักหนานั้นเมตตาและเอ็นดูพวกเขามากเพียงใด...?

                  "น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ส่งสาส์นนั้นด้วยตัวเองนะ  เคอร์เทียส  ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าเมเดียสที่ร่ำลือกันนักหนาว่ารูปงามนั้นจะจริงเท็จซักแค่ไหน  แล้วเป็นหญิงหรือชายกันแน่"

                  "ทหารรักษาการณ์แน่นหนาและเข้มงวดมากฝ่าบาท  กระหม่อมเองยังได้แค่ยืนรอที่หน้าประตูวัง"  เคอร์เทียสเอ่ยตอบ

                  "ถ้ารูปงามจริงแล้วจะปิดบังหลบซ่อนทำไม  ควรจะอวดโฉมให้คนอิจฉาคลั่งไคล้ยังมีประโยชน์ซะกว่า  ข้าว่าตรงกันข้ามมากกว่าล่ะมั้ง  คงจะอับอายความอัปลักษณ์ของตัวเองถึงต้องปกปิดและกุข่าวลือเรื่องความงดงามดั่งเทพบุตรเทพยดาอะไรนั่นเพื่อกลบเกลื่อนซะมากกว่า"

                  "แล้วที่ลือกันว่าองค์เมเดียสเป็นสตรีฝ่าบาทว่าเป็นไปได้หรือไม่"

                  "มันก็น่าจะทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้  แต่ความเป็นไปไม่ได้มีมากกว่า  ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวจะปกครองแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ให้อยู่รอดมาได้โดยไม่เสียเอกราชให้ใคร  แล้วเท่าที่รู้มาอายุก็ยังไม่ถึง 20  ยังเด็กเกินไปที่จะเป็นกษัตริย์  ข้าว่าทั้งหมดนี่ก็คงเป็นแค่ข่าวโคมลอยที่กุขึ้นเพื่อทำให้ศัตรูตายใจมากกว่า  ตัวจริงคงจะเป็นชายชาตรีที่โชกโชนสมรภูมิรบไม่น้อยไปกว่าข้าแน่"

                  "ฝ่าบาททรงตรัสมีเหตุผล  หม่อนฉันก็เชื่อเช่นนั้น"

                  สีหน้าของเวนเดอรัสเคร่งเครียด  จมอยู่ในห้วงคิดของตัวเอง  เห็นทีความต้องการครั้งนี้ของเขาจะไม่ได้มาได้ง่ายๆเหมือนครั้งที่ผ่านๆมาซะแล้ว  ศัตรูที่เขาจะต้องเผชิญหน้าด้วยท่าทางฉลาดและมีไหวพริบไม่ใช่เล่น  แตกต่างจากศัตรูที่เขาเคยเผชิญหน้ามาทั้งหมด  เวนเดอรัสไม่เคยรู้สึกหนักใจในการตัดสินใจของตนเองเท่าครั้งนี้มาก่อน  แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี  ว่ากันว่าสิ่งที่ได้มาง่ายๆมักไม่ค่อยมีค่า  แต่แผ่นดินเดเมี่ยนมันก็มีค่ามากมายมหาศาลควรค่าแก่การลงทุนลงแรงอย่างหนักไม่ใช่หรือไง  คู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีเช่นนี้ทำให้เขายิ่งกระสันต์อยากจะปะทะด้วยอย่างไวที่สุด

                  เขาแทบจะรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว  เขาอยากจะเผชิญหน้ากับเมเดียสและกระชากหน้ากากแห่งความอ่อนแอบอบบางที่เสแสร้งที่เจ้าตัวสร้างขึ้นนั้นให้ได้  แล้วทุกผืนแผ่นดินจะได้ประจักษ์ว่าเขา..เวนเดอรัสผู้นี้ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งที่สุด  แม้เดเมี่ยนที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งก็ไม่อาจต้านทานได้

                  ผู้หญิงงั้นรึ... ตลกสิ้นดี!  เวนเดอรัสสบถในใจ  เจ้าหลอกคนอื่นได้แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก  เมเดียส  ผู้หญิงมีแต่ความอ่อนแอ  ไร้สมองและความสามารถ  แต่ต่อให้เจ้าเป็นผู้หญิงจริงข้าก็จะไม่ปราณี  จะสั่งสอนให้รู้จักบทเรียนว่าผู้หญิงที่ยื่นมือเข้ามายุ่งในการกิจของชายจะมีผลตอบแทนเช่นใด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×