ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chaos Legion : Damian and Derpentious

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15 : ป่าวงกต

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 49


                  "เฮ้อ...ขาดซะที"

                  เมเดียสถอนพระทัยอย่างโล่งอกหลังจากที่พยายามอยู่หลายนาทีในการถูกับขอบหินก้อนใหญ่จนเชือกที่ข้อพระหัตถ์ขาด  พระองค์สะบัดเศษเชือกนั้นออกก่อนจะลูบรอยแดงที่ข้อพระหัตถ์ของพระองค์เบาๆ  ความเจ็บพอทุเลาลงไปบ้าง  แต่ความเจ็บพระทัยยังคงคุกรุ่นยามเมื่อนึกถึงบุคคลที่สร้างรอยแดงนี้ไว้  แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมานึกคร่ำครวญถึงความโกรธแค้นให้มันได้อะไร  พระองค์ควรรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่อีกฝ่ายจะตามมาทันจะดีกว่า

                  "มืดแบบนี้จะรู้มั้ยเนี่ยว่าไปทางไหน  ไม่เคยเข้ามาซะด้วยสิ"  พระองค์บ่นกับตัวเองเบาๆ

                  เมเดียสเดิยสแหวกพงหญ้าและต้นไม้หนาทึบไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาเจอกับทางเรียบซึ่งเป็นถนนสำหรับรถม้าหรือเกวียนกองคาราวาน

                  "ถนน!"  เมเดียสตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ  งั้นการหาทางออกก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว  ถ้าเดินตามเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆคงจะต้องเจอกับทางออกจากป่านี้แน่ๆ

                  พระองค์คิดได้เช่นนั้นก็มุ่งตรงไปตามเส้นทางข้างหน้าทันที


    ......................................................


                  เวนเดอรัสควบม้าเดินอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง  พระองค์ลงจากหลังม้าก่อนจะก้มลงหยิบเศษเชือกที่ขาดที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาทอดพระเนตร  พระโอษฐ์แย้มยิ้มขึ้นบางๆ

                  เขาตามมาถูกทางแล้ว  เมเดียสผ่านมาทางนี้จริงๆด้วย  ดูจากเส้นทางที่มีรอยแหวกของหมู่ไม้แล้วอีกฝ่ายต้องมุ่งหน้าไปทางถนนแน่ๆ  ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันก็ง่ายแสนง่ายที่เขาจะตามเจอ

                  เวนเดอรัสหันหลังกลับขึ้นม้าแล้วควบมุ่งหน้าไปยังเส้นทางเบื้องหน้าจนไปถึงถนนใหญ่  ร่องรอยเศษดินและใบไม้ที่กระจัดกระจายตามพื้นถนนบ่งบอกว่ามีคนผ่านมายังเส้นทางนี้และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเมเดียส  พระองค์มองตามร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้จนกระทั่งหายลับไปทางเส้นทางเบื้องหน้า  แต่แทนที่พระองค์จะตามรอยนี้ไป  พระองค์กลับชักบังเหียนม้าหันหลังกลับแล้วมุ่งตรงไปทางเส้นทางตรงกันข้าม

                  ทางด้านเมเดียส  พระองค์ทั้งวิ่งทั้งเดินจนเหนื่อยหอบก็ยังไม่เห็นวี่แววของทางออก  แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหมือนเข้าไปลึกขึ้นเพราะทางทั้งวกวนและซันซ้อนจนไม่แน่ใจว่าเส้นทางนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่  แม้จะเหนื่อยและพระเพลาจะทรงล้าเพียงใดพระองค์ก็ไม่ถอดใจง่ายๆ  พระองค์ไม่ยอมหันหลังกลับไปทางเดิมเด็ดขาดตราบใดที่ยังหนีคนที่พระองค์ชิงชังไม่พ้น

                  เมเดียสนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ข้างทางครู่หนึ่ง  ก่อนจะฮึดลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปยังเส้นทางเดิมต่อ

                  ผ่านไปหลายนาทีที่เมเดียสวิ่งมาตลอดทาง  ก่อนจะชะงักเมื่อทอดพระเนตรเห็นต้นไม้สูงใหญ่คุ้นตาที่ข้างทาง  ต้นไม้ที่เหมือนกับต้นไม้ที่พระองค์นั่งพักเมื่อก่อนหน้านั้น

                  พระขนงของเมเดียสขมวดมุ่นอย่างแปลกใจ  ความสงสัยแล่นริ้วจนทำให้พระองค์มาหยุดอยู่ที่หน้าต้นไม้ต้นนั้น

                  หรือว่าเธอจะคิดไปเอง?

                  จะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อเธอเพิ่งจะวิ่งผ่านตรงนี้ไปแล้วไม่ได้เดินย้อนกลับมาทางเดิมเลยแม้แต่น้อย  ทางข้างหลังที่เพิ่งผ่านมาก็ไม่ได้มีเส้นทางแยกแต่อย่างใด  ตลอดทางก็เป็นเส้นทางสายเดียวมาตลอด  และจะเป็นไปได้ยังไงที่เธอจะกลับมาที่เดิม

                  เร็วเท่าความคิด  พระองค์คว้าก้อนหินก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมาขีดไปบนพื้นผิวของต้นไม้ให้เกิดรอย  ก่อนจะหันหลังมุ่งหน้าเดินต่อไปยังเส้นทางเบื้องหน้า  หากพระองค์ผ่านมาทางนี้อีกครั้งรอยบนต้นไม้จะทำให้รู้ว่าพระองค์กลับมาที่เดิมอย่างที่สงสัยจริงหรือไม่

                  และไม่นานนักเมเดียสก็ได้คำตอบ  เมื่อเส้นทางที่พระองค์เพิ่งผ่านมานำพามาถึงต้นไม้ต้นเดิมอีกครั้ง  พระองค์ทรุดนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง  ทั้งเหน็ดเหนื่อยและท้อใจ  ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถึงวนมาทางนี้ถึงสองครั้งสองครา  ในเมื่อตอนเข้ายังเข้ามาได้ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ที่จะไม่มีทางออก  แล้วทางออกอยู่ไหนกันแน่

                  "เหนื่อยแล้วล่ะสิ"

                  เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้เมเดียสหันขวับทันที  ร่างสูงบนหลังม้ากำลังแย้มโอษฐ์ยิ้มเยาะ

                  "เปลี่ยนใจกลับไปกับข้าดีกว่าน่า  อยู่ในวังของข้าสบายกว่าอยู่ในป่านี่ตั้งเยอะ"

                  "ไม่มีทาง"  เมเดียสตะคอกกลับพลางลุกขึ้น  "ข้าไม่มีวันกลับไปกับเจ้าหรอก  ต่อให้ต้องหลงอยู่ในป่านี่ข้าก็ไม่มีทางไปเหยียบวังของเจ้า"

                  พระองค์หันหลังกลับเตรียมจะออกวิ่งต่อทันที  แต่ก็ต้องชะงักกับประโยคที่ดังไล่หลัง

                  "เปล่าประโยชน์น่า  เจ้าไม่มีทางหาทางออกจากป่านี่เจอหรอก"

                  "ทำไม"

                  "นี่คือป่าวงกต  คนต่างถิ่นอย่างเจ้าไม่รู้จักป่านี้ดีพอเท่ากับคนของเดอเพนเทียสหรอก  พยายามไปก็ไม่มีประโยชน์  ต่อให้ใช้เวลาทั้งเดือนเจ้าก็ออกจากป่านี้ไม่ได้แน่"

                  "ข้าไม่เชื่อ  จะเป็นป่าวงกตหรืออะไรก็ช่าง  ก็ให้รู้ไปสิว่าข้าจะออกจากที่นี่ไม่ได้"  พระองค์โต้กลับ  ก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง  พยายามหาทางออกต่อไปเพื่อลบคำสบประมาทของอีกฝ่าย  แม้จะแปลกใจที่ไม่เห็นเวนเดอรัสตามมา  แต่พระองค์ก็ยังมุ่งหน้าออกวิ่งต่อไปโดยไม่หยุดพัก

                  เมเดียสเริ่มมีหวังเมื่อทะลุออกมาเจอถนนอีกเส้นหนึ่งที่พระองค์ไม่เคยผ่านมาก่อน  เมื่อคิดได้ว่าบางทีถนนสายนี้อาจจะนำไปยังทางออกก็เกิดฮึดสู้ขึ้นมาทันที  รีบเดินลิ่วโดยไม่รอช้าหวังจะได้ออกไปจากป่านี้ให้เร็วที่สุด

                  แต่แล้วความหวังของพระองค์ก็พังทลายลงเมื่อปลายทางที่มาถึงกลับกลายเป็นสถานที่แห่งเดิมที่พระองค์เพิ่งจะหันหลังจากมาเมื่อครู่  และคนๆเดิมก็ยังยืนกอดอกพิงต้นไม้ต้นนั้นด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม  ไม่รู้สึกรู้สา  เหมือนอย่างกับว่ายืนรอพระองค์อยู่และรู้ว่าพระองค์จะต้องกลับมาทางนี้แน่

                  "เป็นไปไม่ได้....."  เมเดียสครางออกมาอย่างสิ้นหวัง  พระพักตร์ซีดเผือด

                  ทำไมเธอถึงกลับมาทางเดิม  จะเป็นไปได้ยังไง  ก็ในเมื่อถนนเส้นเมื่อกี๊เธอยังไม่เคยผ่านมาก่อน  แต่พอเดินมาเรื่อยๆกลับวกมายังถนนเส้นแรกที่เธอเพิ่งจากมา  

                  "ไง  ทีนี้รู้รึยังว่าเจ้าไม่มีทางออกไปจากป่านี้ได้"  เวนเดอรัสตรัสขึ้น  "ข้าบอกแล้วก็ไม่เชื่อ  เป็นยังไงล่ะ  พยายามไปก็เหนื่อยเปล่า  อยากดื้อด้านดีนัก"

                  เมเดียสกัดฟันกรอด  แม้ไม่อยากยอมรับแต่พระองค์ก็แพ้แล้วจริงๆ

                  เวนเดอรัสเดินเข้ามาใกล้  "ทีนี้จะกลับไปกับข้าได้รึยัง  ข้าเบื่อเกมแมวไล่จับหนูเต็มที  เสียเวลามามากแล้ว"   

                  "เรื่องอะไร  เจ้าจะกลับก็กลับไปคนเดียวสิ!"  เมเดียสสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้  หันหลังจะหนีแต่ช้ากว่าเวนเดอรัสที่คว้าแขนของพระองค์ไว้ได้แล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง

                  "เลิกต่อต้านซักที  ข้าชักจะโมโหแล้วนะ"  เวนเดอรัสตวาดอย่างกราดเกรี้ยว  สีพระพักตร์เคร่งขึ้น  "อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้กำลังนะ  จะเดินไปดีๆหรือจะให้ข้าแบกไป"

                  "ข้าไม่ไป!"  เมเดียสพยายามจะกระชากแขนกลับ  แต่นอกจากจะไม่หลุดแล้วอีกฝ่ายยังออกแรงบีบแน่นขึ้นจนพระองค์ต้องนิ่วพระพักตร์ด้วยความเจ็บ

                  "ดี!  เจ้าเลือกเองนะ"  จบคำร่างของเมเดียสก็ลอยหวือขึ้นไปบนบ่ากว้าง  เวนเดอรัสแบกร่างเล็กกว่าเดินไปที่ม้าอย่างง่ายดาย

                  "ปล่อยข้าลงนะ!  ปล่อย!" 

                  เมเดียสร้องเอะอะโวยวาย  ทั้งทุบตีแผ่นหลังกว้างและดิ้นขลุกขลักไปตลอดทาง  ก่อนจะอุทานด้วยความจุกเมื่อถูกเหวี่ยงลงบนหลังม้าอย่างแรง

                  "ข้าเจ็บนะ!"

                  "แล้วไง  ก็ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟังก็ต้องใช้กำลังกันแบบนี้น่ะแหล่ะ"  เวนเดอรัสตรัสอย่างสาแก่ใจ  ก่อนจะขึ้นคร่อมบนหลังม้าแล้วกระตุกบังเหียนให้ม้าออกวิ่ง

                  เมื่อมาถึงที่พักเวนเดอรัสก็แบกร่างของเมเดียสลงมานั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นเดิมก่อนจะนำเชือกมารัดรอบตัวพระองค์ให้ติดกับต้นไม้

                  "เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย"  เมเดียสระล่ำระลักถาม  ขยับไปไหนไม่ได้เพราะพระวรกายถูกรวบติดกับโคนต้นไม้

                  "กับม้าพยศอย่างเจ้าต้องใช้วิธีนี้น่ะแหล่ะถึงจะสาสม  แล้วอย่าคิดจะหนีอีกล่ะ  ไม่อย่างงั้นข้าจะจับเจ้าล่ามไว้แล้วให้ม้าลากไปจนถึงในเมืองให้ชาวเดอเพนเทียสได้เห็นเป็นบุญตาแน่"

                   เวนเดอรัสพูดจบก็หันหลังจากไป  ปล่อยให้เมเดียสต้องนั่งฮึดอัดอย่างขัดใจ  ทำอะไรก็ไม่ได้เพราะเสียเปรียบเต็มประตู

                  ร่างสูงเดินมาที่ต้นไม้อีกต้นหนึ่งซึ่งมีสององครักษ์นั่งอยู่  หนึ่งในนั้นนั่งก้มหน้ากำลังเอาผ้าชุบน้ำประคบที่หลังคอตนเองอยู่

                  "รู้สึกตัวแล้วรึคาล"  เวนเดอรัสตรัสถาม  ประทับลงใกล้ๆ  "ที่คอเป็นยังไงบ้างล่ะ"

                  "ถามได้  ก็เจ็บน่ะสิพะย่ะค่ะ"  คาลตอบ

                  พระองค์ชะโงกดูรอยเขียวช้ำก่อนจะสรวลออกมาเบาๆ  "เขียวเลยนี่  ท่าทางจะมือหนักน่าดู"

                  "ดีนะพะย่ะค่ะที่แม่เจ้าประคุณนั่นใช้แค่ก้อนหินเล็กๆ  ถ้าใช้ท่อนไม้หรือท่อนซุงหมอนี่คงไม่ได้ฟื้นมานั่งโอดครวญอยู่อย่างงี้แน่"  เคอร์เทียสเสริมขึ้นอย่างนึกเห็นใจเพื่อน

                  "เห็นตัวเล็กๆบอบบางแบบนั้นไม่น่าเชื่อเลยว่าฤทธิ์จะเยอะขนาดนี้  นี่ถ้าหม่อนฉันไม่เห็นด้วยตาไม่เจอกับตัวคงไม่เชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงของเมเดียสผู้เก่งกาจ  เจ้าเหนือหัวแห่งเดเมี่ยน  จะเป็นสตรีผู้นั้น"

                  "ข้าถึงบอกไงล่ะว่าใช้ไม้อ่อนกับผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางได้ผลหรอก"  เวนเดอรัสตรัส  "แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆแต่เราก็จะประมาทไม่ได้  เจ้าเองก็เช่นกัน  คาล  ระวังอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกล่ะ"

                  "พะย่ะค่ะ  หม่อมฉันรับปากว่าต่อไปจะรอบคอบและระวังตัวให้มากกว่านี้"  คาลรับคำ

                  "แล้วฝ่าบาทแน่ใจแล้วเหรอพะย่ะค่ะว่าจะนำเมเดียสเสด็จกลับไปที่วังเดอเพนเทียสด้วย  หม่อมฉันเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา"  เคอร์เทียสเอ่ยความเห็น

                  "ข้าตัดสินใจแล้ว  อย่าห่วงเลย  ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง"  พระองค์ตรัสตอบ  "อย่าน้อยการนำบุคคลที่สำคัญที่สุดต่อเดเมี่ยนมาเป็นเชลยก็ทำให้ฝ่ายเราได้เปรียบในการต่อรอง  ทั้งยังทำให้สถานการณ์ภายในของเดเมี่ยนเกิดความวุ่นวายระส่ำระส่าย  ทหารที่จงรักภักดีต่อเมเดียสจะต้องหมดขวัญและกำลังใจในการสู้รบเพราะขาดผู้ที่เป็นหลักสำคัญในการยึดเหนี่ยวจิตใจ  หากเราจะนำทัพกลับไปบุกโจมตีอีกครั้งคราวนี้ชัยชนะก็ไม่ใช่เรื่องยาก"

                  "ฝ่าบาทช่างปราดเปรื่องนัก  แต่หม่อมฉันยังกังวลอยู่อีกเรื่อง"

                  เวนเดอรัสหันพระพักตร์มาสบอย่างสนใจ  "อะไร"

                  "เจ้าชายฟาร์เวล  พระองค์อาจจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฝ่าบาท"

                  "ฟาร์เวล... จริงสินะ  ข้าลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท"  เวนเดอรัสตรัสด้วยสีพระพักตร์ที่เคร่งขึ้น

     "เจ้านั่นอ่อนโยนและใจอ่อนเกินไป  คงคัดค้านการกระทำของข้าแน่  แต่ข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมดู  จะได้ผลหรือไม่ยังไงค่อยคิดกันที่นั่นอีกที"

                  เวนเดอรัสถอนพระทัยอย่างกลัดกลุ้ม  ก่อนจะชำเลืองพระเนตรไปยังร่างที่ถูกผูกติดอยู่กับต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป  พระวรกายที่เอนพิงโคนต้นและพระเนตรที่ปิดสนิทบ่งบอกถึงการเข้าสู่ห้วงนิทราของเจ้าตัว

                  เชื่อเขาเลย  สถานการณ์แบบนี้ยังหลับได้ลงอีก  สงสัยคงจะเพลียจัดจากการวิ่งรอบป่าล่ะมั้ง 

                  พระองค์สรวลในลำคอ  แย้มโอษฐ์เล็กน้อย  ก่อนจะรู้สึกว่าตนเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน  จึงสั่งยุติการสนทนาและแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ใครที่มันเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น



    ..........................................................



                  เสียงเรียกที่ดังข้างกายปลุกให้เมเดียสรู้สึกตัวตื่น  ทันทีที่เปลือกตาบางลืมขึ้นก็ต้องรับกับแสงจ้าของตะวันยามรุ่งอรุณจนต้องหรี่พระเนตรลงเพื่อปรับให้ชินกับแสง  ภาพเงาร่างสูงที่ทอดบังเบื้องหน้าทำให้พระองค์คืนสติเต็มที่  เหยียดพระวรกายยืดตรงขึ้นทันที  ก่อนจะสังเกตว่าเชื่อที่มัดพระองค์ติดกับต้นไม้เมื่อคืนหายไปแล้ว


                  ผลไม้จำนวนหนึ่งกับน้ำหนึ่งกระบอกถูกวางกองไว้ตรงหน้า  ตามด้วยเสียงรับสั่งวางอำนาจของกษัตริย์หนุ่มวัยฉกรรจ์


                  "รีบกินซะ  อีกเดี๋ยวเราจะออกเดินทางกันแล้ว"


                  เมเดียสก้มลงทอดพระเนตรผลไม้ก่อนเมินพระพักตร์ไปทางอื่น  "ข้าไม่กิน"



                  เวนเดอรัสทอดพระเนตรอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ  ก่อนเหยียดยิ้มมุมโอษฐ์  "งั้นก็ตามใจ"


                  ตรัสจบก็ฉุดร่างเมเดียสขึ้นแล้วรวบข้อพระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา  รวดเร็วจนเมเดียสไม่ทันตั้งตัวและขัดขืน


                  "นี่เจ้าทำอะไรเนี่ย!"  เมเดียสตรัสถามอย่างตื่นตระหนก


                  "ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่กิน  งั้นก็ออกเดินทางกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา"  ตรัสพลางกระตุกปลายเชือก  กึ่งฉุดกึ่งลากอีกฝ่ายให้เดินตาม


                  "ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น  ข้าหมายถึงนี่ต่างหาก"  เมเดียสชูข้อพระหัตถ์ที่ถูกมัดขึ้น


                  "ถ้าไม่มัดไว้เจ้าก็หนีน่ะสิ" 


                  "ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย  ยังไงข้าก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว  พวกเจ้ามีตั้งสาม  ส่วนข้าตัวคนเดียว  จะไปสู้อะไรพวกเจ้าได้ล่ะ"  เมเดียสแสร้งทำเสียงอ่อนอย่างยอมจำนน


                  "รู้ก็ดีแล้ว  แต่ยังไงข้าก็ไม่ไว้ใจเจ้าหรอกนะ  เจ้าน่ะทั้งปลิ้นปล้อน  มารยา  อ๊ะๆ  อย่ามาจ้องแบบจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้นสิ  หรือข้าพูดไม่จริง  พวกผู้หญิงถนัดเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วนี่"


                  "ไม่ไว้ใจ?  หึ  ข้าว่าเจ้ากลัวข้ามากกว่า  ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเจ้าจะกลัวผู้หญิงอย่างข้าด้วยเหมือนกัน"  เมเดียสยิ้มเยาะ  แต่ในใจแค่นยิ้มอย่างเป็นต่อ  ลูกผู้ชายร้อยทั้งร้อยยั่วขึ้นอยู่แล้ว  แค่ท้าทายนิดหน่อยขี้คร้านจะรีบแก้มัดให้แทบไม่ทันเพราะไม่อยากให้เธอคิดว่าเขากลัวเธออย่างที่เธอพูดจริงๆ  ทีนี้ล่ะพอมีโอกาสจะได้หนีได้สะดวกหน่อย


                  เวนเดอรัสหยุดเดิน  หันกลับมาหรี่พระเนตรจ้องอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน  "กลัว?  ข้าน่ะเหรอกลัวเจ้า  ไม่มีทางซะล่ะ"


                  นั่นไงล่ะ! 


                  เมเดียสลอบยิ้มในชัยชนะ  แต่พระพักตร์เหวอเมื่ออีกฝ่ายหันกลับไปและเดินต่อโดยไม่มีท่าทีจะแก้มัดให้พระองค์อย่างที่คิดไว้


                  เดินไปได้เพียงก้าวเดียวเวนเดอรัสก็หยุดแล้วหันกลับมาอีกครั้ง  "อ้อ  อีกอย่าง  หากเจ้าคิดจะยั่วยุข้าล่ะก็  บอกไว้เลยว่าเปล่าประโยชน์  ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก  และเรื่องแก้มัดเจ้าน่ะลืมไปได้เลย"


                  เวนเดอรัสตรัสจบก็ออกแรงฉุดปลายเชือกให้เดินต่อ  เมเดียสได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บพระทัยที่แผนของพระองค์ใช้ไม่ได้ผลซ้ำยังต้องเสียหน้าอีกต่างหาก


                  เมื่อทั้งสองมาถึงจุดที่คาลและเคอร์เทียสเตรียมม้าและสัมภาระรอไว้แล้ว  เวนเดอรัสก็อุ้มเมเดียสขึ้นไปประทับบนหลังม้าก่อนพระองค์จะก้าวตามขึ้นไป  เมื่อทุกอย่างพร้อมม้าทั้งสามตัวก็ถูกกระตุกบังเหียนให้ออกเดิน


                  เดินทางไปได้ครู่ใหญ่เวนเดอรัสก็รู้สึกถึงอาการผิดปกติของอีกฝ่ายที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า  ท่าทางกระสับกระส่าย  พระหัตถ์กุมพระอุทร  บิดกายไปมาไม่อยู่สุขทำให้พระองค์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม


                  "เจ้าเป็นอะไรของเจ้า  ยุกยิกไปมาอยู่ได้  เดี๋ยวก็ตกม้าหรอก"


                  "เปล่าซักหน่อย"  เมเดียสเชิดพระพักตร์ตอบ  พระองค์ยังคงรักษาความหยิ่งทะนงในเลือดขัตติยะของพระองค์ไว้ได้ตลอดเวลาแม้ในยามที่ต้องตกอยู่ในสถานะต่ำต้อยกว่าศัตรู


                  "ถ้าเปล่าแล้วเอามือกุมท้องทำไม  แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร"


                  "ก็บอกว่าเปล่าไงเล่า  เซ้าซี้อยู่ได้!"


                  ยังไม่ทันที่เวนเดอรัสจะได้เอ่ยอะไรต่อ  เสียงร้องประท้วงจากพระอุทรของเมเดียสก็ดังขัดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่เบานัก  สีพระพักตร์ของพระองค์แดงจัดด้วยความอับอาย  ส่วนเวนเดอรัสก็อึ้งไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะสรวลออกมาเสียงดังลั่น


                  "นึกว่าอะไร  ที่แท้เจ้าก็หิวนี่เอง"  พระองค์ตรัสกลั้วหัวเราะ  "บอกมาตรงๆซะตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง  มัวท่ามากอยู่ได้  แม้ปากเจ้าจะเอ่ยวาจาโป้ปดแต่ร่างกายเจ้าคงโกหกไม่เป็นหรอกนะ  ร้องซะเสียงดังแบบนั้น  แน่ล่ะ  ก็เมื่อเช้าเจ้าไม่ยอมกินอาหารที่ข้าเอาไปให้เลยนี่"


                  เมเดียสเม้มพระพักตร์แน่น  ทั้งอับอายทั้งโกรธตัวเองที่ร่างกายทรยศด้วยการส่งเสียงร้องที่สร้างความขายหน้าต่อหน้าอีกฝ่าย


                  เมื่อเห็นท่าทางของเมเดียสเวนเดอรัสจึงหยุดสรวล  ควบม้าเข้าไปใกล้หนึ่งในสององครักษ์  เอ่ยปากขอเสบียงมาส่วนหนึ่งก่อนจะยื่นให้เมเดียส


                  "เอ้า  กินซะสิ"


                  เมเดียสมองผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงสดในพระหัตถ์ของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ  ก่อนจะสะบัดพระพักตร์เชิดใส่ตามนิสัย  "ไม่"


                  "รับไปเถอะน่า  อย่าหยิ่งนักเลย  ข้ารู้ว่าเจ้าหิว  เจ้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนะ  เกิดเป็นอะไรไปข้าคงรู้สึกไม่ดี"


                  เมเดียสหันพระพักตร์ไปสบอย่างอึ้งๆ  ทบทวนให้แน่ใจว่าหูพระองค์ไม่ได้ฝาด  ก่อนจะยอมรับแอ๊ปเปิ้ลผลนั้นมาแต่โดยดี


                  คนอย่างเวนเดอรัสก็เป็นห่วงเธอด้วยหรือนี่.....


                  คิดได้แค่นั้นก็ต้องกัดฟันกรอดกับประโยคที่ตามมาของเจ้าตัว


                  "อีกไม่นานก็จะถึงประตูเมืองเดอเพนเทียสแล้ว  เกิดเจ้าเป็นลมเป็นแร้งขึ้นมาข้าขี้เกียจแบกเจ้าเข้าวัง  เห็นผอมๆแบบนี้ตัวหนักไม่ใช่เล่น  ถ้าต้องแบกจริงๆมีหวังทั้งแขนและหลังข้าคงยอกไปหลายวัน


                  "ไร้มารยาท!  ตัวข้าไม่ได้หนักขนาดนั้นซักหน่อย"  เมเดียสตรัสประท้วง  คำรามฮึ่มในลำคออย่างเจ็บพระทัยที่หลงผิดคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นห่วงพระองค์  ผลแอ๊ปเปิ้ลในพระหัตถ์ถูกบีบแน่น  ทอดพระเนตรมันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ  คิดจะขว้างทิ้งแต่เปลี่ยนใจกัดเข้าโอษฐ์แทน


                  เรื่องอะไรเธอจะเป็นลมให้คนพรรค์นั้นแบกเธอล่ะ  อีกอย่าง  แอ๊ปเปิ้ลลูกนี้มันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย  จะขว้างทิ้งก็เสียดาย  แล้วเธอก็หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้วด้วย  ควรจะมีอะไรรองท้องเสียหน่อยจะได้มีแรงสู้กับคนพวกนี้ต่อ


                  คิดแล้วก็เสวยแอ๊ปเปิ้ลลูกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย  ก่อนจะตามมาอีกหลายลูก  จนเวนเดอรัสได้แต่มองอย่างอึ้งๆแต่ก็ไม่ได้ตรัสทักท้วงอะไร



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×