คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15 : ป่าวงกต
"เฮ้อ...ขาดซะที"
เมเดียสถอนพระทัยอย่างโล่งอกหลังจากที่พยายามอยู่หลายนาทีในการถูกับขอบหินก้อนใหญ่จนเชือกที่ข้อพระหัตถ์ขาด พระองค์สะบัดเศษเชือกนั้นออกก่อนจะลูบรอยแดงที่ข้อพระหัตถ์ของพระองค์เบาๆ ความเจ็บพอทุเลาลงไปบ้าง แต่ความเจ็บพระทัยยังคงคุกรุ่นยามเมื่อนึกถึงบุคคลที่สร้างรอยแดงนี้ไว้ แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมานึกคร่ำครวญถึงความโกรธแค้นให้มันได้อะไร พระองค์ควรรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนที่อีกฝ่ายจะตามมาทันจะดีกว่า
"มืดแบบนี้จะรู้มั้ยเนี่ยว่าไปทางไหน ไม่เคยเข้ามาซะด้วยสิ" พระองค์บ่นกับตัวเองเบาๆ
เมเดียสเดิยสแหวกพงหญ้าและต้นไม้หนาทึบไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็มาเจอกับทางเรียบซึ่งเป็นถนนสำหรับรถม้าหรือเกวียนกองคาราวาน
"ถนน!" เมเดียสตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ งั้นการหาทางออกก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว ถ้าเดินตามเส้นทางนี้ไปเรื่อยๆคงจะต้องเจอกับทางออกจากป่านี้แน่ๆ
พระองค์คิดได้เช่นนั้นก็มุ่งตรงไปตามเส้นทางข้างหน้าทันที
......................................................
เวนเดอรัสควบม้าเดินอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งมาหยุดอยู่ข้างก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งเมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง พระองค์ลงจากหลังม้าก่อนจะก้มลงหยิบเศษเชือกที่ขาดที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาทอดพระเนตร พระโอษฐ์แย้มยิ้มขึ้นบางๆ
เขาตามมาถูกทางแล้ว เมเดียสผ่านมาทางนี้จริงๆด้วย ดูจากเส้นทางที่มีรอยแหวกของหมู่ไม้แล้วอีกฝ่ายต้องมุ่งหน้าไปทางถนนแน่ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันก็ง่ายแสนง่ายที่เขาจะตามเจอ
เวนเดอรัสหันหลังกลับขึ้นม้าแล้วควบมุ่งหน้าไปยังเส้นทางเบื้องหน้าจนไปถึงถนนใหญ่ ร่องรอยเศษดินและใบไม้ที่กระจัดกระจายตามพื้นถนนบ่งบอกว่ามีคนผ่านมายังเส้นทางนี้และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเมเดียส พระองค์มองตามร่องรอยที่ถูกทิ้งไว้จนกระทั่งหายลับไปทางเส้นทางเบื้องหน้า แต่แทนที่พระองค์จะตามรอยนี้ไป พระองค์กลับชักบังเหียนม้าหันหลังกลับแล้วมุ่งตรงไปทางเส้นทางตรงกันข้าม
ทางด้านเมเดียส พระองค์ทั้งวิ่งทั้งเดินจนเหนื่อยหอบก็ยังไม่เห็นวี่แววของทางออก แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งเหมือนเข้าไปลึกขึ้นเพราะทางทั้งวกวนและซันซ้อนจนไม่แน่ใจว่าเส้นทางนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แม้จะเหนื่อยและพระเพลาจะทรงล้าเพียงใดพระองค์ก็ไม่ถอดใจง่ายๆ พระองค์ไม่ยอมหันหลังกลับไปทางเดิมเด็ดขาดตราบใดที่ยังหนีคนที่พระองค์ชิงชังไม่พ้น
เมเดียสนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ข้างทางครู่หนึ่ง ก่อนจะฮึดลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปยังเส้นทางเดิมต่อ
ผ่านไปหลายนาทีที่เมเดียสวิ่งมาตลอดทาง ก่อนจะชะงักเมื่อทอดพระเนตรเห็นต้นไม้สูงใหญ่คุ้นตาที่ข้างทาง ต้นไม้ที่เหมือนกับต้นไม้ที่พระองค์นั่งพักเมื่อก่อนหน้านั้น
พระขนงของเมเดียสขมวดมุ่นอย่างแปลกใจ ความสงสัยแล่นริ้วจนทำให้พระองค์มาหยุดอยู่ที่หน้าต้นไม้ต้นนั้น
หรือว่าเธอจะคิดไปเอง?
จะเป็นไปได้ยังไงก็ในเมื่อเธอเพิ่งจะวิ่งผ่านตรงนี้ไปแล้วไม่ได้เดินย้อนกลับมาทางเดิมเลยแม้แต่น้อย ทางข้างหลังที่เพิ่งผ่านมาก็ไม่ได้มีเส้นทางแยกแต่อย่างใด ตลอดทางก็เป็นเส้นทางสายเดียวมาตลอด และจะเป็นไปได้ยังไงที่เธอจะกลับมาที่เดิม
เร็วเท่าความคิด พระองค์คว้าก้อนหินก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมาขีดไปบนพื้นผิวของต้นไม้ให้เกิดรอย ก่อนจะหันหลังมุ่งหน้าเดินต่อไปยังเส้นทางเบื้องหน้า หากพระองค์ผ่านมาทางนี้อีกครั้งรอยบนต้นไม้จะทำให้รู้ว่าพระองค์กลับมาที่เดิมอย่างที่สงสัยจริงหรือไม่
และไม่นานนักเมเดียสก็ได้คำตอบ เมื่อเส้นทางที่พระองค์เพิ่งผ่านมานำพามาถึงต้นไม้ต้นเดิมอีกครั้ง พระองค์ทรุดนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง ทั้งเหน็ดเหนื่อยและท้อใจ ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดถึงวนมาทางนี้ถึงสองครั้งสองครา ในเมื่อตอนเข้ายังเข้ามาได้ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ที่จะไม่มีทางออก แล้วทางออกอยู่ไหนกันแน่
"เหนื่อยแล้วล่ะสิ"
เสียงทุ้มที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้เมเดียสหันขวับทันที ร่างสูงบนหลังม้ากำลังแย้มโอษฐ์ยิ้มเยาะ
"เปลี่ยนใจกลับไปกับข้าดีกว่าน่า อยู่ในวังของข้าสบายกว่าอยู่ในป่านี่ตั้งเยอะ"
"ไม่มีทาง" เมเดียสตะคอกกลับพลางลุกขึ้น "ข้าไม่มีวันกลับไปกับเจ้าหรอก ต่อให้ต้องหลงอยู่ในป่านี่ข้าก็ไม่มีทางไปเหยียบวังของเจ้า"
พระองค์หันหลังกลับเตรียมจะออกวิ่งต่อทันที แต่ก็ต้องชะงักกับประโยคที่ดังไล่หลัง
"เปล่าประโยชน์น่า เจ้าไม่มีทางหาทางออกจากป่านี่เจอหรอก"
"ทำไม"
"นี่คือป่าวงกต คนต่างถิ่นอย่างเจ้าไม่รู้จักป่านี้ดีพอเท่ากับคนของเดอเพนเทียสหรอก พยายามไปก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ใช้เวลาทั้งเดือนเจ้าก็ออกจากป่านี้ไม่ได้แน่"
"ข้าไม่เชื่อ จะเป็นป่าวงกตหรืออะไรก็ช่าง ก็ให้รู้ไปสิว่าข้าจะออกจากที่นี่ไม่ได้" พระองค์โต้กลับ ก่อนจะวิ่งหนีเข้าไปในพุ่มไม้ข้างทาง พยายามหาทางออกต่อไปเพื่อลบคำสบประมาทของอีกฝ่าย แม้จะแปลกใจที่ไม่เห็นเวนเดอรัสตามมา แต่พระองค์ก็ยังมุ่งหน้าออกวิ่งต่อไปโดยไม่หยุดพัก
เมเดียสเริ่มมีหวังเมื่อทะลุออกมาเจอถนนอีกเส้นหนึ่งที่พระองค์ไม่เคยผ่านมาก่อน เมื่อคิดได้ว่าบางทีถนนสายนี้อาจจะนำไปยังทางออกก็เกิดฮึดสู้ขึ้นมาทันที รีบเดินลิ่วโดยไม่รอช้าหวังจะได้ออกไปจากป่านี้ให้เร็วที่สุด
แต่แล้วความหวังของพระองค์ก็พังทลายลงเมื่อปลายทางที่มาถึงกลับกลายเป็นสถานที่แห่งเดิมที่พระองค์เพิ่งจะหันหลังจากมาเมื่อครู่ และคนๆเดิมก็ยังยืนกอดอกพิงต้นไม้ต้นนั้นด้วยสีพระพักตร์ยิ้มแย้ม ไม่รู้สึกรู้สา เหมือนอย่างกับว่ายืนรอพระองค์อยู่และรู้ว่าพระองค์จะต้องกลับมาทางนี้แน่
"เป็นไปไม่ได้....." เมเดียสครางออกมาอย่างสิ้นหวัง พระพักตร์ซีดเผือด
ทำไมเธอถึงกลับมาทางเดิม จะเป็นไปได้ยังไง ก็ในเมื่อถนนเส้นเมื่อกี๊เธอยังไม่เคยผ่านมาก่อน แต่พอเดินมาเรื่อยๆกลับวกมายังถนนเส้นแรกที่เธอเพิ่งจากมา
"ไง ทีนี้รู้รึยังว่าเจ้าไม่มีทางออกไปจากป่านี้ได้" เวนเดอรัสตรัสขึ้น "ข้าบอกแล้วก็ไม่เชื่อ เป็นยังไงล่ะ พยายามไปก็เหนื่อยเปล่า อยากดื้อด้านดีนัก"
เมเดียสกัดฟันกรอด แม้ไม่อยากยอมรับแต่พระองค์ก็แพ้แล้วจริงๆ
เวนเดอรัสเดินเข้ามาใกล้ "ทีนี้จะกลับไปกับข้าได้รึยัง ข้าเบื่อเกมแมวไล่จับหนูเต็มที เสียเวลามามากแล้ว"
"เรื่องอะไร เจ้าจะกลับก็กลับไปคนเดียวสิ!" เมเดียสสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ หันหลังจะหนีแต่ช้ากว่าเวนเดอรัสที่คว้าแขนของพระองค์ไว้ได้แล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง
"เลิกต่อต้านซักที ข้าชักจะโมโหแล้วนะ" เวนเดอรัสตวาดอย่างกราดเกรี้ยว สีพระพักตร์เคร่งขึ้น "อย่าบังคับให้ข้าต้องใช้กำลังนะ จะเดินไปดีๆหรือจะให้ข้าแบกไป"
"ข้าไม่ไป!" เมเดียสพยายามจะกระชากแขนกลับ แต่นอกจากจะไม่หลุดแล้วอีกฝ่ายยังออกแรงบีบแน่นขึ้นจนพระองค์ต้องนิ่วพระพักตร์ด้วยความเจ็บ
"ดี! เจ้าเลือกเองนะ" จบคำร่างของเมเดียสก็ลอยหวือขึ้นไปบนบ่ากว้าง เวนเดอรัสแบกร่างเล็กกว่าเดินไปที่ม้าอย่างง่ายดาย
"ปล่อยข้าลงนะ! ปล่อย!"
เมเดียสร้องเอะอะโวยวาย ทั้งทุบตีแผ่นหลังกว้างและดิ้นขลุกขลักไปตลอดทาง ก่อนจะอุทานด้วยความจุกเมื่อถูกเหวี่ยงลงบนหลังม้าอย่างแรง
"ข้าเจ็บนะ!"
"แล้วไง ก็ในเมื่อเตือนแล้วไม่ฟังก็ต้องใช้กำลังกันแบบนี้น่ะแหล่ะ" เวนเดอรัสตรัสอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะขึ้นคร่อมบนหลังม้าแล้วกระตุกบังเหียนให้ม้าออกวิ่ง
เมื่อมาถึงที่พักเวนเดอรัสก็แบกร่างของเมเดียสลงมานั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นเดิมก่อนจะนำเชือกมารัดรอบตัวพระองค์ให้ติดกับต้นไม้
"เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย" เมเดียสระล่ำระลักถาม ขยับไปไหนไม่ได้เพราะพระวรกายถูกรวบติดกับโคนต้นไม้
"กับม้าพยศอย่างเจ้าต้องใช้วิธีนี้น่ะแหล่ะถึงจะสาสม แล้วอย่าคิดจะหนีอีกล่ะ ไม่อย่างงั้นข้าจะจับเจ้าล่ามไว้แล้วให้ม้าลากไปจนถึงในเมืองให้ชาวเดอเพนเทียสได้เห็นเป็นบุญตาแน่"
เวนเดอรัสพูดจบก็หันหลังจากไป ปล่อยให้เมเดียสต้องนั่งฮึดอัดอย่างขัดใจ ทำอะไรก็ไม่ได้เพราะเสียเปรียบเต็มประตู
ร่างสูงเดินมาที่ต้นไม้อีกต้นหนึ่งซึ่งมีสององครักษ์นั่งอยู่ หนึ่งในนั้นนั่งก้มหน้ากำลังเอาผ้าชุบน้ำประคบที่หลังคอตนเองอยู่
"รู้สึกตัวแล้วรึคาล" เวนเดอรัสตรัสถาม ประทับลงใกล้ๆ "ที่คอเป็นยังไงบ้างล่ะ"
"ถามได้ ก็เจ็บน่ะสิพะย่ะค่ะ" คาลตอบ
พระองค์ชะโงกดูรอยเขียวช้ำก่อนจะสรวลออกมาเบาๆ "เขียวเลยนี่ ท่าทางจะมือหนักน่าดู"
"ดีนะพะย่ะค่ะที่แม่เจ้าประคุณนั่นใช้แค่ก้อนหินเล็กๆ ถ้าใช้ท่อนไม้หรือท่อนซุงหมอนี่คงไม่ได้ฟื้นมานั่งโอดครวญอยู่อย่างงี้แน่" เคอร์เทียสเสริมขึ้นอย่างนึกเห็นใจเพื่อน
"เห็นตัวเล็กๆบอบบางแบบนั้นไม่น่าเชื่อเลยว่าฤทธิ์จะเยอะขนาดนี้ นี่ถ้าหม่อนฉันไม่เห็นด้วยตาไม่เจอกับตัวคงไม่เชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงของเมเดียสผู้เก่งกาจ เจ้าเหนือหัวแห่งเดเมี่ยน จะเป็นสตรีผู้นั้น"
"ข้าถึงบอกไงล่ะว่าใช้ไม้อ่อนกับผู้หญิงคนนั้นไม่มีทางได้ผลหรอก" เวนเดอรัสตรัส "แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆแต่เราก็จะประมาทไม่ได้ เจ้าเองก็เช่นกัน คาล ระวังอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกล่ะ"
"พะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับปากว่าต่อไปจะรอบคอบและระวังตัวให้มากกว่านี้" คาลรับคำ
"แล้วฝ่าบาทแน่ใจแล้วเหรอพะย่ะค่ะว่าจะนำเมเดียสเสด็จกลับไปที่วังเดอเพนเทียสด้วย หม่อมฉันเกรงว่าอาจจะเกิดเรื่องวุ่นวายตามมา" เคอร์เทียสเอ่ยความเห็น
"ข้าตัดสินใจแล้ว อย่าห่วงเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง" พระองค์ตรัสตอบ "อย่าน้อยการนำบุคคลที่สำคัญที่สุดต่อเดเมี่ยนมาเป็นเชลยก็ทำให้ฝ่ายเราได้เปรียบในการต่อรอง ทั้งยังทำให้สถานการณ์ภายในของเดเมี่ยนเกิดความวุ่นวายระส่ำระส่าย ทหารที่จงรักภักดีต่อเมเดียสจะต้องหมดขวัญและกำลังใจในการสู้รบเพราะขาดผู้ที่เป็นหลักสำคัญในการยึดเหนี่ยวจิตใจ หากเราจะนำทัพกลับไปบุกโจมตีอีกครั้งคราวนี้ชัยชนะก็ไม่ใช่เรื่องยาก"
"ฝ่าบาทช่างปราดเปรื่องนัก แต่หม่อมฉันยังกังวลอยู่อีกเรื่อง"
เวนเดอรัสหันพระพักตร์มาสบอย่างสนใจ "อะไร"
"เจ้าชายฟาร์เวล พระองค์อาจจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของฝ่าบาท"
"ฟาร์เวล... จริงสินะ ข้าลืมคิดเรื่องนี้ไปสนิท" เวนเดอรัสตรัสด้วยสีพระพักตร์ที่เคร่งขึ้น
"เจ้านั่นอ่อนโยนและใจอ่อนเกินไป คงคัดค้านการกระทำของข้าแน่ แต่ข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมดู จะได้ผลหรือไม่ยังไงค่อยคิดกันที่นั่นอีกที"
เวนเดอรัสถอนพระทัยอย่างกลัดกลุ้ม ก่อนจะชำเลืองพระเนตรไปยังร่างที่ถูกผูกติดอยู่กับต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป พระวรกายที่เอนพิงโคนต้นและพระเนตรที่ปิดสนิทบ่งบอกถึงการเข้าสู่ห้วงนิทราของเจ้าตัว
เชื่อเขาเลย สถานการณ์แบบนี้ยังหลับได้ลงอีก สงสัยคงจะเพลียจัดจากการวิ่งรอบป่าล่ะมั้ง
พระองค์สรวลในลำคอ แย้มโอษฐ์เล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกว่าตนเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน จึงสั่งยุติการสนทนาและแยกย้ายกันไปพักผ่อนที่ใครที่มันเพื่อเก็บแรงไว้สำหรับเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น
..........................................................
เสียงเรียกที่ดังข้างกายปลุกให้เมเดียสรู้สึกตัวตื่น ทันทีที่เปลือกตาบางลืมขึ้นก็ต้องรับกับแสงจ้าของตะวันยามรุ่งอรุณจนต้องหรี่พระเนตรลงเพื่อปรับให้ชินกับแสง ภาพเงาร่างสูงที่ทอดบังเบื้องหน้าทำให้พระองค์คืนสติเต็มที่ เหยียดพระวรกายยืดตรงขึ้นทันที ก่อนจะสังเกตว่าเชื่อที่มัดพระองค์ติดกับต้นไม้เมื่อคืนหายไปแล้ว
ผลไม้จำนวนหนึ่งกับน้ำหนึ่งกระบอกถูกวางกองไว้ตรงหน้า ตามด้วยเสียงรับสั่งวางอำนาจของกษัตริย์หนุ่มวัยฉกรรจ์
"รีบกินซะ อีกเดี๋ยวเราจะออกเดินทางกันแล้ว"
เมเดียสก้มลงทอดพระเนตรผลไม้ก่อนเมินพระพักตร์ไปทางอื่น "ข้าไม่กิน"
เวนเดอรัสทอดพระเนตรอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อนเหยียดยิ้มมุมโอษฐ์ "งั้นก็ตามใจ"
ตรัสจบก็ฉุดร่างเมเดียสขึ้นแล้วรวบข้อพระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์ด้วยเชือกอย่างแน่นหนา รวดเร็วจนเมเดียสไม่ทันตั้งตัวและขัดขืน
"นี่เจ้าทำอะไรเนี่ย!" เมเดียสตรัสถามอย่างตื่นตระหนก
"ก็เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่กิน งั้นก็ออกเดินทางกันเลยจะได้ไม่เสียเวลา" ตรัสพลางกระตุกปลายเชือก กึ่งฉุดกึ่งลากอีกฝ่ายให้เดินตาม
"ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ข้าหมายถึงนี่ต่างหาก" เมเดียสชูข้อพระหัตถ์ที่ถูกมัดขึ้น
"ถ้าไม่มัดไว้เจ้าก็หนีน่ะสิ"
"ไม่เห็นต้องทำแบบนี้เลย ยังไงข้าก็หนีไม่ได้อยู่แล้ว พวกเจ้ามีตั้งสาม ส่วนข้าตัวคนเดียว จะไปสู้อะไรพวกเจ้าได้ล่ะ" เมเดียสแสร้งทำเสียงอ่อนอย่างยอมจำนน
"รู้ก็ดีแล้ว แต่ยังไงข้าก็ไม่ไว้ใจเจ้าหรอกนะ เจ้าน่ะทั้งปลิ้นปล้อน มารยา อ๊ะๆ อย่ามาจ้องแบบจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้นสิ หรือข้าพูดไม่จริง พวกผู้หญิงถนัดเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วนี่"
"ไม่ไว้ใจ? หึ ข้าว่าเจ้ากลัวข้ามากกว่า ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเจ้าจะกลัวผู้หญิงอย่างข้าด้วยเหมือนกัน" เมเดียสยิ้มเยาะ แต่ในใจแค่นยิ้มอย่างเป็นต่อ ลูกผู้ชายร้อยทั้งร้อยยั่วขึ้นอยู่แล้ว แค่ท้าทายนิดหน่อยขี้คร้านจะรีบแก้มัดให้แทบไม่ทันเพราะไม่อยากให้เธอคิดว่าเขากลัวเธออย่างที่เธอพูดจริงๆ ทีนี้ล่ะพอมีโอกาสจะได้หนีได้สะดวกหน่อย
เวนเดอรัสหยุดเดิน หันกลับมาหรี่พระเนตรจ้องอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน "กลัว? ข้าน่ะเหรอกลัวเจ้า ไม่มีทางซะล่ะ"
นั่นไงล่ะ!
เมเดียสลอบยิ้มในชัยชนะ แต่พระพักตร์เหวอเมื่ออีกฝ่ายหันกลับไปและเดินต่อโดยไม่มีท่าทีจะแก้มัดให้พระองค์อย่างที่คิดไว้
เดินไปได้เพียงก้าวเดียวเวนเดอรัสก็หยุดแล้วหันกลับมาอีกครั้ง "อ้อ อีกอย่าง หากเจ้าคิดจะยั่วยุข้าล่ะก็ บอกไว้เลยว่าเปล่าประโยชน์ ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอก และเรื่องแก้มัดเจ้าน่ะลืมไปได้เลย"
เวนเดอรัสตรัสจบก็ออกแรงฉุดปลายเชือกให้เดินต่อ เมเดียสได้แต่กัดฟันด้วยความเจ็บพระทัยที่แผนของพระองค์ใช้ไม่ได้ผลซ้ำยังต้องเสียหน้าอีกต่างหาก
เมื่อทั้งสองมาถึงจุดที่คาลและเคอร์เทียสเตรียมม้าและสัมภาระรอไว้แล้ว เวนเดอรัสก็อุ้มเมเดียสขึ้นไปประทับบนหลังม้าก่อนพระองค์จะก้าวตามขึ้นไป เมื่อทุกอย่างพร้อมม้าทั้งสามตัวก็ถูกกระตุกบังเหียนให้ออกเดิน
เดินทางไปได้ครู่ใหญ่เวนเดอรัสก็รู้สึกถึงอาการผิดปกติของอีกฝ่ายที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหน้า ท่าทางกระสับกระส่าย พระหัตถ์กุมพระอุทร บิดกายไปมาไม่อยู่สุขทำให้พระองค์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม
"เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ยุกยิกไปมาอยู่ได้ เดี๋ยวก็ตกม้าหรอก"
"เปล่าซักหน่อย" เมเดียสเชิดพระพักตร์ตอบ พระองค์ยังคงรักษาความหยิ่งทะนงในเลือดขัตติยะของพระองค์ไว้ได้ตลอดเวลาแม้ในยามที่ต้องตกอยู่ในสถานะต่ำต้อยกว่าศัตรู
"ถ้าเปล่าแล้วเอามือกุมท้องทำไม แน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร"
"ก็บอกว่าเปล่าไงเล่า เซ้าซี้อยู่ได้!"
ยังไม่ทันที่เวนเดอรัสจะได้เอ่ยอะไรต่อ เสียงร้องประท้วงจากพระอุทรของเมเดียสก็ดังขัดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่เบานัก สีพระพักตร์ของพระองค์แดงจัดด้วยความอับอาย ส่วนเวนเดอรัสก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสรวลออกมาเสียงดังลั่น
"นึกว่าอะไร ที่แท้เจ้าก็หิวนี่เอง" พระองค์ตรัสกลั้วหัวเราะ "บอกมาตรงๆซะตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง มัวท่ามากอยู่ได้ แม้ปากเจ้าจะเอ่ยวาจาโป้ปดแต่ร่างกายเจ้าคงโกหกไม่เป็นหรอกนะ ร้องซะเสียงดังแบบนั้น แน่ล่ะ ก็เมื่อเช้าเจ้าไม่ยอมกินอาหารที่ข้าเอาไปให้เลยนี่"
เมเดียสเม้มพระพักตร์แน่น ทั้งอับอายทั้งโกรธตัวเองที่ร่างกายทรยศด้วยการส่งเสียงร้องที่สร้างความขายหน้าต่อหน้าอีกฝ่าย
เมื่อเห็นท่าทางของเมเดียสเวนเดอรัสจึงหยุดสรวล ควบม้าเข้าไปใกล้หนึ่งในสององครักษ์ เอ่ยปากขอเสบียงมาส่วนหนึ่งก่อนจะยื่นให้เมเดียส
"เอ้า กินซะสิ"
เมเดียสมองผลแอ๊ปเปิ้ลสีแดงสดในพระหัตถ์ของอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อนจะสะบัดพระพักตร์เชิดใส่ตามนิสัย "ไม่"
"รับไปเถอะน่า อย่าหยิ่งนักเลย ข้ารู้ว่าเจ้าหิว เจ้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้วนะ เกิดเป็นอะไรไปข้าคงรู้สึกไม่ดี"
เมเดียสหันพระพักตร์ไปสบอย่างอึ้งๆ ทบทวนให้แน่ใจว่าหูพระองค์ไม่ได้ฝาด ก่อนจะยอมรับแอ๊ปเปิ้ลผลนั้นมาแต่โดยดี
คนอย่างเวนเดอรัสก็เป็นห่วงเธอด้วยหรือนี่.....
คิดได้แค่นั้นก็ต้องกัดฟันกรอดกับประโยคที่ตามมาของเจ้าตัว
"อีกไม่นานก็จะถึงประตูเมืองเดอเพนเทียสแล้ว เกิดเจ้าเป็นลมเป็นแร้งขึ้นมาข้าขี้เกียจแบกเจ้าเข้าวัง เห็นผอมๆแบบนี้ตัวหนักไม่ใช่เล่น ถ้าต้องแบกจริงๆมีหวังทั้งแขนและหลังข้าคงยอกไปหลายวัน
"ไร้มารยาท! ตัวข้าไม่ได้หนักขนาดนั้นซักหน่อย" เมเดียสตรัสประท้วง คำรามฮึ่มในลำคออย่างเจ็บพระทัยที่หลงผิดคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นห่วงพระองค์ ผลแอ๊ปเปิ้ลในพระหัตถ์ถูกบีบแน่น ทอดพระเนตรมันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ คิดจะขว้างทิ้งแต่เปลี่ยนใจกัดเข้าโอษฐ์แทน
เรื่องอะไรเธอจะเป็นลมให้คนพรรค์นั้นแบกเธอล่ะ อีกอย่าง แอ๊ปเปิ้ลลูกนี้มันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย จะขว้างทิ้งก็เสียดาย แล้วเธอก็หิวจนไส้จะขาดอยู่แล้วด้วย ควรจะมีอะไรรองท้องเสียหน่อยจะได้มีแรงสู้กับคนพวกนี้ต่อ
คิดแล้วก็เสวยแอ๊ปเปิ้ลลูกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ก่อนจะตามมาอีกหลายลูก จนเวนเดอรัสได้แต่มองอย่างอึ้งๆแต่ก็ไม่ได้ตรัสทักท้วงอะไร
ความคิดเห็น