ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักอลวัน หอพักอลเวง

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3 : โรงเรียนเซนต์มาร์ติเนท

    • อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 49



                  "เซนต์มาร์ติเนท?" 

                  เสียงหญิงสาวทวนขึ้นจากสิ่งที่ตนได้ยิน  หลังอาหารเย็น  เธอและอาของเธอมานั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่น  บิลเล่าเรื่องคดีล่าสุดที่ได้รับจ้างให้หลานสาวฟัง

                  "ใช่  ทำไมเหรอ"  บิลถามหลานสาว

                  "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ  แค่ไม่อยากจะเชื่อว่าโรงเรียนดังๆแบบนั้นจะมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นด้วย  ผ่านมาตั้งครึ่งปีแล้วทำไมเจสไม่เห็นเคยได้ยินข่าวนี้เลยล่ะคะ"  เจสสิก้าแปลกใจ

                  "ก็เพราะทางผู้บริหารของโรงเรียนเค๊าปิดข่าวกันน่ะสิ  โรงเรียนชื่อดังแบบนั้นมีข่าวฆาตกรรมเกิดขึ้นคงจะกลัวเสียชื่อเสียง  อีกอย่าง  นักเรียนที่นั่นก็เป็นลูกคนดังๆหรือคนมีอิทธิพลทั้งนั้น"  บิลอธิบาย  "ขนาดผู้ตายยังเป็นถึงลูกอดีตเอกอัคราชทูตเลย"

                  "เจสเคยได้ยินว่าผู้อำนวยการโรงเรียนนั้นคือรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม  จริงมั๊ยคะ" 

                  "อืม...ถูกต้อง"  บิลบอก  "อาเองก็ค่อนข้างสนิทสนมกับท่านเหมือนกันนะ  สมัยก่อนที่ท่านจะเป็นรัฐมนตรี  ท่านเคยเป็นผู้บัญชาการกรมตำรวจมาก่อน  ส่วนอาก็เป็นลูกน้อง  เราเคยร่วมงานกันมาแล้วหลายครั้ง  อานับถือและเคารพท่านเหมือนญาติผู้ใหญ่คนนึงเลยล่ะ"

                  "ดีจัง  ถ้าอย่างนี้เจสก็มีสิทธิ์น่ะสิ"  เจสสิก้าพูดพร้อมยิ้มอย่างตื่นเต้น  ยิ้มที่ดูมีเบื้องหลังแอบแฝง

                  "หือม์?"  บิลเลิกคิ้วมองเจสสิก้าอย่างสงสัย  "มีสิทธิ์อะไร"

                  เจสสิก้ากอดแขนประจบอาของตนก่อนเอ่ยขึ้น  "เจสได้ยินว่าโรงเรียนนั้นไม่รับนักเรียนภายนอกเข้าไฮสคูล  นอกจากเป็นลูกหลานของผู้มีอิทธิพลหรือไม่ก็ได้รับกรณีพิเศษจากผู้อำนวยการและผู้บริหารของโรงเรียน  แต่อารู้จักกับท่านผอ.  ถ้าอาเอ่ยปากขอรับรองว่าท่านต้องช่วยแน่ๆ  เจสรับรอง"

                  (**เซนต์มาร์ติเนท  เป็นโรงเรียนชั้นสูงที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงโด่งดัง  มีผู้บริหารที่มีตำแหน่งใหญ่โต  นักเรียนของโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นลูกหลานของนักการเมือง  ผู้มีอิทธิพลต่างๆ  หรือไม่ก็ผู้ที่มีชื่อเสียง  นอกนั้นก็เป็นนักเรียนที่มีความสามารถดีเด่นทั้งด้านการศึกษาและกีฬา  รวมถึงความสามารถพิเศษอื่นๆอีกด้วย  กฎระเบียบของเรียนนี้เข้มงวด  การรับนักเรียนใหม่ก็เข้มงวดด้วยเช่นกัน  ระบบการเรียนการสอนของเซนต์มาร์ติเนทมีสองระดับ  คือ  จูเนียร์ไฮสคูล(เกรดเจ็ด-เก้า)และไฮสคูล(เกรดสิบ-สิบสอง)  และจะรับนักเรียนใหม่เฉพาะระดับจูเนียร์ฯเท่านั้น  ระดับไฮสคูลไม่เปิดรับคนภายนอก  นอกจากจะเป็นนักเรียนชั้นจูเนียร์ฯของเซนต์มาร์ติเนทที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเท่านั้น  แต่ก็มีข้อยกเว้น  โดยสามารถรับบุคคลภายนอกเข้ามาได้เนื่องจากได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษจากผู้บริหารของโรงเรียนหรือผู้อำนวยการเท่านั้น) 

                  "หา!  นี่เรา....."

                  "ใช่ค่ะ  เจสอยากเข้าโรงเรียนนั้นค่ะอา"  เจสสิก้าทำเสียงออดอ้อน

                  "โรงเรียนไฮสคูลดังๆก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ  ทำไมต้องเป็นโรงเรียนนั้นด้วย"  บิลถามอย่างไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลานสาว

                  "แต่มันไม่เหมือนกันนี่คะ  เซนต์มาร์ติเนทน่ะมีประสิทธิภาพด้านการเรียนการสอนเป็นเลิศ  ด้านกีฬาก็ด้วย  อาก็รู้นี่คะว่าเจสอยากเป็นนักกีฬาของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงด้านนี้  ถ้าเจสได้เข้าโรงเรียนนั้นนะรับรองเจสต้องมีโอกาสรุ่งแน่"
      
                  "แต่เจสก็รู้นี่ว่าโรงเรียนนั้นเคยมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น  อาไม่อยากให้เจสไปเรียนที่นั่นหรอกนะ  มันเสี่ยงเกินไป"

                  "โธ่...อาคะ  คดีนั่นน่ะมันเกิดที่หอพักชายนะคะ  ถ้าเจสไปอยู่เจสก็ต้องอยู่หอพักหญิง  มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยซักนิด" 

                  "แต่ยังไงก็อันตรายอยู่ดี  ยิ่งเข้าเรียนที่นั่นแล้วต้องไปอยู่หอพัก  ไม่ได้อยู่ในความดูแลของอา  ไกลหูไกลตาอาด้วย  อาเป็นห่วง"  บิลค้าน

                  "เจสโตแล้วนะคะ  เจสดูแลตัวเองได้  อีกอย่างมันก็ไม่ได้ไกลซักหน่อย  รัฐก็รัฐเดียวกัน  วันสุดสัปดาห์เค๊าก็ปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านได้อยู่แล้ว  ไม่เห็นน่าเป็นห่วงตรงไหนเลย"

                  "แต่ตั้งแต่เด็กจนโต  เจสไม่เคยอยู่ห่างอาเกินหนึ่งเดือนเลยนะ  อาเป็นห่วงจริงๆนี่"

                  "อา...เจสทราบดีค่ะว่าอาห่วงเจส  แต่เจสดูแลตัวเองได้  อาลืมแล้วเหรอคะว่าระหว่างเราเคยมีเงื่อนไขอะไรต่อกัน  อาให้เจสไปเรียนศิลปะป้องกันตัวก็เพื่อให้เจสสามารถดูแลตัวเองได้ไม่ใช่เหรอคะ  ตอนนี้โอกาสก็มาถึงแล้ว  ให้เจสได้พิสูจน์ตัวเองเถอะนะคะอา  เจสสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี  ไม่ก่อเรื่อง  แล้วก็จะไม่ทำให้อาต้องเดือดร้อนหรือเป็นห่วง"

                  "แต่....."

                  "นะคะ  อา  นะ  น๊า"  เจสสิก้าทำออดอ้อนเต็มที่  กอดเอวอาแน่น

                  บิลถอนหายใจเฮือกอย่างปลงๆ  เป็นห่วงก็เป็นห่วง  แต่ความสุขและความพอใจของหลานสาวก็สำคัญกว่า  อีกอย่าง  เขาเป็นต้องแพ้ลูกอ้อนของหลานสาวทุกครั้ง  "ก็ได้ๆ"

                  "จริงนะคะ!  รักอาที่สุดในโลกเลย!"  เจสสิก้าตะโกนด้วยความดีใจ  กอดอาแน่นและหอมแก้มดังฟอด

                  "อาจะลองติดต่อขอกับท่านให้  แต่อาไม่รับปากนะว่าจะสำเร็จหรือเปล่า"

                  "ค่ะ  แค่นี้เจสก็ดีใจแล้วค่ะ  แต่อาซะอย่าง  ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้อยู่แล้ว  ขอบคุณนะคะอา"  พูดจบก็นอนหนุนตักอา  หลับตาพริ้มอย่างมีความสุข

                  บิลนั่งมองหลานรักของตนเองพลางลูบหัวอย่างเอ็นดู  เจสสิก้ามีความสุขเขาก็พลอยมีความสุขไปด้วย  อะไรที่เจสสิก้าต้องการไม่ว่ายากเย็นแค่ไหนเขาก็จะหามาให้ได้  ทำต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อชดเชยที่เจสสิก้าต้องเสียทั้งพ่อและแม่ไป  เจสสิก้าไม่มีทั้งพ่อและแม่  แต่เขานี่แหล่ะจะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เจสสิก้าเอง  เรื่องแค่นี้เขาทำเพื่อเธอได้อยู่แล้ว  แต่ลึกๆแล้วการจะปล่อยหลานรักที่ตนเองเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กให้ไปอยู่ไกลหูไกลตาเขาก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้


    ......................................................


                  เช้าวันต่อมาท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายกลางมหานครนิวยอร์ก  ถนนคราคร่ำไปด้วยรถยนต์  เสียงแตรบีบไล่ท่ามกลางสี่แยกไฟแดงที่มีรถจอดนิ่งสนิทอยู่ยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาสร้างความรำคาญหูให้ผู้คนบนฟุตบาทที่เดินกันขวักไขว่  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถหยุดการสัญจรของผู้คนที่เร่งรีบได้  กลับยิ่งเพิ่มความรวดเร็วในการเดินเพื่อหลีกให้พ้นจากเสียงรบกวนและความวุ่นวายในบริเวณนั้น  ทำให้คนที่เดินสวนกันไปมาบนทางเท้าที่คับแคบแทบจะชนกัน

                  ถึงสภาพแวดล้อมที่แสนวุ่นวายจะสร้างความหงุดหงิดและรำคาญใจให้กับคนในเมือง  แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มร่างสูงผู้นี้ที่กำลังเดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงานส่วนตัวด้วยอารมณ์เบิกบานอย่างบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยและสุขภาพจิตที่ดี  เมื่อนั่งลงเรียบร้อยแล้วก็เอนกายหลับตาลงอย่างสบายใจ  รอคอยให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าก่อนที่จะเริ่มต้นทำงาน

                  วันนี้บิลเข้าสำนักงานแต่เช้าตรู่เนื่องด้วยมีนัดกับผู้ช่วยส่วนตัวเรื่องงานชิ้นล่าสุดที่ได้รับจ้างวาน  แต่อีกสาเหตุนึงก็คือเขาถูกหลานสาวตัวดีปลุกแต่เช้าเพราะจะขออนุญาตไปเดทกับเพื่อนชายที่เรียนด้วยกันมาก่อนจะจบจูเนียร์ไฮสคูล  หลานสาวออดอ้อนอยู่นานกว่าที่เขาจะออกปากอนุญาต  แต่ยังไม่ทันที่เขาจะซักไซร้ไล่เลียงถึงคู่เดทเจ้าตัวดีก็แผ่นแนบออกจากบ้านพร้อมทั้งขึ้นรถชายหนุ่มที่แล่นออกไปจากตัวบ้านแทบจะทันทีที่หญิงสาวหย่อนก้นลงเบาะ 

                  บิลได้แต่มองตามหลานสาวด้วยความระอาปนขบขัน  ก็ในเมื่อแต่งตัวเตรียมพร้อม  นัดแนะคู่เดทซะเรียบร้อยถึงขนาดขับรถมาจอดรอถึงหน้าบ้าน  แต่เพิ่งจะมาเอ่ยปากขออนุญาตเนี่ยนะ  เตรียมพร้อมซะขนาดนั้นถึงจะไม่อนุญาตก็คงจะดื้อรั้นจะไปให้ได้อยู่ดี  แบบนี้ก็ไม่ต่างจากการที่เรียกว่ามัดมือชกสินะ  เมื่อคิดได้อย่างนั้นบิลก็ต้องส่ายหัวพลางหัวเราะหึหึในลำคอ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะทั้งหวงและห่วงไม่ให้ออกไปไหนตามลำพังกับผู้ชายง่ายๆแบบนี้หรอก  แต่ตอนนี้หลานสาวของเขาดูแลตัวเองได้แล้ว  อีกอย่างเจสสิก้าก็ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ฝ่ายชายมาแตะเนื้อต้องตัวเกินงามได้ง่ายๆ  ทำให้เขายิ่งวางใจ  แต่ก็น่าแปลก  ไม่ใช่ว่าหลานสาวของเขาจะไม่สวยหรือไม่มีเสน่ห์  ตรงกันข้ามซะด้วยซ้ำ  แต่กลับไม่มีแฟนหรือคบหาใครจริงๆจังๆซักคน  มีก็แต่คู่เดทชั่วครั้งชั่วคราวที่น้อยคนจะมีโอกาสได้เดทกับเธอ

                  ระหว่างที่บิลกำลังเคลิ้มๆหลับอยู่บนเก้านี่ตัวนุ่มก็มีเสียงเคาะประตูตามด้วยร่างของผู้ช่วยคนสนิทที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน  บิลลืมตาขึ้นมอง  ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจในท่าทางของคนตรงหน้า

                  "บอสครับ"  เรย์แลนด์เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกังวล

                  "มีอะไรรึ  เรย์  ท่าทางนายเหมือนมีเรื่องกังวลใจนะ"  บิลเอ่ยถาม

                  "ผมติดต่อแม็กคลินเพื่อจะเรียกตัวมาพบบอส  แต่ทางบ้านของแม็กคลินแจ้งว่าเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์"

                  "ประสบอุบัติเหตุ!"  บิลทวนเสียงดัง  นึกเป็นห่วงลูกน้องจนลืมนึกถึงปัญหาเรื่องงานที่จะเกิดขึ้น  "แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า  แล้วตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหน"

                  "ก็...สาหัสพอดูครับ  ได้ยินว่ากระดูกแขนขวาหักกับซี่โครงหักสองซี่  ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลแฮมมิ่งเซนส์  อาการพ้นขีดอันตรายแล้วแต่ต้องพักรักษาตัวเป็นเดือน"

                  บิลนั่งนิ่ง  ใบหน้าฉายแววเครียด  หลังจากได้ยินว่าพ้นขีดอันตรายแล้วก็ค่อยเบาใจลงเล็กน้อย  แต่เมื่อนึกถึงปัญหาเรื่องงานความกังวลก็เกิดขึ้น  "แล้วเรื่องงานที่จะมอบหมายให้แม็กคลินทำจะเอาไงดีล่ะเนี่ย  คนที่เหมาะกับงานนี้ก็มีหมอนั่นคนเดียวซะด้วย  นอกนั้นก็อายุยี่สิบห้าขึ้นไปทั้งนั้น"

                  เรย์แลนด์มีท่าทางเครียดไม่แพ้ผู้เป็นเจ้านาย  นิ่งฟังด้วยสีหน้าครุ่นคิด  ก่อนจะเอ่ยความเห็น  "ถ้างั้นผมขอรับอาสาทำงานนี้เองครับ  ถึงแม้ผมจะอายุมากกว่าแม็กคลิน  แต่ก็มากกว่าเขาไม่กี่ปี  นอกจากเขาแล้วผมก็อายุน้อยที่สุดในสำนักงานนี้"

                  "นายเนี่ยนะ?"  บิลทวนคำอย่างไม่เชื่อว่าได้ยินกับหู  ก่อนจะส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง  "เป็นไปไม่ได้หรอกเรย์  นายน่ะอายุก็ปาเข้าไปตั้งยี่สิบสามแล้ว  จะไปปลอมตัวเป็นเด็กอายุสิบห้าสิบหกได้ยังไง  ความสูงก็ไม่ใช่น้อยๆ  ไม่มีใครเค๊าเชื่อหรอกน่า  ถ้าให้ปลอมไปเป็นนักศึกษาก็ว่าไปอย่าง"

                  น้ำเสียงจริงจังกึ่งหยอกเย้าทำให้เรย์แลนด์แสดงอารมณ์ไม่ถูก  จึงต้องทำหน้านิ่งขรึมก่อนจะขยับยิ้มยั่วและย้อนตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกับอีกฝ่าย  "แล้วถ้าอย่างนั้นใครจะรับผิดชอบหน้าที่นี้ล่ะครับถ้าไม่ใช่ผม  หรือว่าบอสจะทำหน้าที่นี้เอง  แต่อายุปูนนี้แล้วคงปลอมเข้าไปเป็นนักเรียนไม่ได้หรอกนะครับนอกจากอาจารย์ไม่ก็ภารโรง"

                  บิลนิ่งอึ้งกับคำย้อนของอีกฝ่าย  ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน  "ฮ่าๆๆ  จะบ้าเรอะ  อย่างฉันนี่นะจะปลอมไปเป็นนักเรียน  ภารโรงยิ่งแล้วใหญ่  อย่ามาดูถูกกันเชียวนะเฟ้ย  มาดอย่างฉันเนี่ยต้องระดับผู้บริหารหรือไม่ก็อาจารย์ใหญ่"

                  เรย์แลนด์ส่ายหน้าในความขี้โอ่หลงตัวเองของเจ้านายตน  ก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้  "พูดถึงอาจารย์  ผมว่าคงต้องเปลี่ยนแผนจากที่ส่งคนของเราปลอมเข้าไปเป็นนักเรียนต้องเปลี่ยนเป็นอาจารย์แล้วล่ะครับ  ถึงแม้จะมีโอกาสเข้าถึงตัวฆาตกรและที่เกิดเหตุน้อยกว่า  แต่ก็ยังดีกว่าเข้าไปสืบในโรงเรียนนั้นไม่ได้เลย"

                  "จริงของนาย"  บิลเห็นด้วย  "ถ้าอย่างนั้นฉันมอบหน้าที่ให้นายเป็นคนหาคนที่เหมาะสมมารับหน้าที่นี้ก็แล้วกัน  จากนั้นก็ให้มาพบฉันพรุ่งนี้ก่อนสิบโมง  แล้วรีบดำเนินการให้เร็วที่สุดเพราะอีกไม่กี่นานก็ถึงเวลาเปิดภาคเรียนแล้ว"

                  "ครับบอส"  เรย์แลนด์รับคำ  ก่อนนึกขึ้นได้  "แล้วเรื่องแม็กคลินล่ะครับ  บอสจะไปเยี่ยมรึเปล่า"

                  "ไปสิถามได้  จะไปเดี๋ยวนี้เลยด้วย  ถึงยังไงเขาก็เป็นลูกน้องของฉันทำงานให้ฉันมาหลายครั้งหลายหนแล้ว"  บิลตอบ  "แล้วนายก็ต้องไปกับฉันด้วย  ไปเคลียร์งานที่ค้างให้เรียบร้อย  อีกสิบนาทีเราจะออกจากนี่ที่"

                  "ได้ครับ"  เรย์แลนด์รับคำก่อนจะโค้งให้บิลและออกจากห้องไป

                  อีกเกือบสิบนาทีต่อมาทั้งสองก็นั่งรถออกจากสำนักงานมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลแฮมมิ่งเซนส์โดยบิลเป็นคนขับ  ระหว่างทางทั้งสองยังคงคุยกันถึงเรื่องงานและการวางแผน

                  "แล้วเรื่องการติดต่อส่งคนของเราเข้าไปเป็นนักเรียนล่ะครับ  ผมได้ยินว่าระดับไฮสคูลของโรงเรียนนั่นเข้ายากจะตายไป  เท่าที่รู้มาในระยะสองปีที่ผ่านมายังไม่มีการรับนักเรียนเข้าใหม่ซักคน  ผมว่าเรื่องนี้ก็น่าจะมีปัญหาไม่น้อย"  เรย์แลนด์เอ่ยถามขณะที่รถยังคงแล่นอยู่

                  "เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง  ฉันจัดการเอง  ฉันรู้จักกับผู้อำนวยการของที่นั่นเลยพอจะใช้เส้นสายได้  อีกอย่างถ้าท่านรู้ว่าเราเข้ามาเพื่อสืบคดีและจับกุมตัวฆาตกรที่ยังลอยนวลอยู่ในโรงเรียนรับรองท่านต้องยินดีให้ความร่วมมือแน่"  บิลบอกอย่างมั่นใจ  "อีกอย่าง  ถึงยังไงฉันก็ต้องติดต่อเรื่องนี้ให้ยัยเจสอยู่แล้ว  จะได้ทำเรื่องพร้อมกันซะทีเดียวเลย"

                  "หือ?  เจสสิก้าเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยหรือครับ"  เรย์แลนด์ถามอย่างแปลกใจ

                  "ก็ยัยเจสน่ะสิ  นึกยังไงก็ไม่รู้อยู่ๆก็มาบอกว่าอยากจะเข้าโรงเรียนนั่น  ไอ้เราก็ตบปากรับคำไปแล้วด้วย  ช่วยไม่ได้นี่  ในเมื่อเธออยากจะเข้าฉันก็ไม่อยากขัด"

                  "เจสสิก้าจะเข้าโรงเรียนนั้นหรอครับ"  เรย์แลนด์นึกกังวลขึ้นมาทันที  "จะดีเหรอครับ  ตอนนี้ที่นั่นอันตรายจะตายไป  ตัวฆาตกรยังลอยนวลแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครด้วย  อย่างนี้เสี่ยงเกินไปนะครับ"

                  "ชั้นก็เตือนเจสแล้ว  แต่ทำไงได้ในเมื่อเธอยืนยันที่จะเข้าฉันก็เลยต้องตามใจ  ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันค้านเต็มที่เลย  ไม่มีทางปล่อยให้เธอไปไกลหูไกลตาหรอก  แต่ตอนนี้กับตอนนั้นมันไม่เหมือนกันแล้ว  ยัยเจสก็โตพอที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว  แล้วยัยนั่นก็บอกเองว่าเธอดูแลตัวเองได้  จะไม่ทำให้ต้องเป็นห่วง  ฉันก็เลยต้องยอมในที่สุด"  บิลบอกอย่างปลงๆ

                  เรย์แลนด์นั่งเงียบ  ไม่ตอบและไม่ถามอะไรอีกเลย  ครุ่นคิดถึงเรื่องเจสสิก้าอยู่ในใจ  สีหน้าแสดงออกถึงความกังวลและเป็นห่วง  ซึ่งบิลคิดว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของเรย์แลนด์ดี  แม้จะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันแต่เรย์แลนด์ก็เป็นเหมือนพี่ชายของเจสสิก้า  คงกังวลและเป็นห่วงเรื่องหญิงสาวไม่น้อยไปกว่าเขา  แต่จริงๆแล้วนั้นบิลไม่รู้เลยว่าความรู้สึกที่แท้จริงของเรย์แลนด์ที่มีต่อเจสสิก้านั้นไม่ใช่แค่เพียงพี่ชายธรรมดาๆเท่านั้น


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×