ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Chaos Legion : Damian and Derpentious

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 : เจ้าหญิงผู้ต้องคำสาป

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 49



                  สามปีก่อน...

                  งานเฉลิมฉลองครบ 15 ชรรษาของเจ้าหญิงเมเดียสถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราใหญ่โตภายในท้องพระโรงของพระราชวัง  มีแขกคนใหญ่คนโตมากมายถูกรับเชิญมาร่วมงาน  มีทั้งเชื้อพระวงศ์  ขุนนางสูงศักดิ์  ตลอดจนถึงเศรษฐีที่คุ้นเคยกับคนในราชวงศ์  หนุ่มสาวหลายคู่พากันเต้นรำอย่างสนุกสนาน  แม้แต่เมเดียสซึ่งเป็นตัวเอกของงานก็เพลินเพลินไปกับบรรยากาศที่ครึกครื้นรื่นเริง  นอกกำแพงวังประชาชนก็ร่วมกันฉลองแสดงความยินดีกับเจ้าหญิง  มีร้านค้ามากมายตั้งเรียงรายขายสินค้าที่ระลึก  มีซุ้มให้ราษฎรร่วมกันเขียนคำอวยพรที่จะถูกนำไปถวายให้กับเจ้าหญิงในวัง  อาหารการกินมากมายที่พระราชานำมาเลี้ยงให้ประชาชนตั้งเรียงรายบนโต๊ะที่ยาวสุดลูกหูลูกตา  ที่ขาดไม่ได้คือสุราที่คู่กับการฉลองถูกนำมาตั้งซ้อนกันหลายถัง  มากมายชนิดที่ว่าดื่มยันเช้าก็ยังไม่หมด

                  ขณะที่งานฉลองในท้องพระโรงกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน  แขกคนหนึ่งที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้นกลางงาน  สร้างความตื่นตระหนกให้กับบรรดาแขกต่างๆ  โดยเฉพาะพระราชากับพระราชินี

                  "พ่อมดราอูล!"

                  ชายร่างสูงในชุดคลุมมีฮู้ทสีดำก้มศีรษะคำนับ  "ถวายพระพรฝ่าบาท  กระหม่อมมาร่วมแสดงความยินดีกับเจ้าหญิงเมเดียส  ขอให้เจ้าหญิงทรงพระเจริญ  มีพระชนม์มายุยิ่งยืนนาน"  พูดจบแก้วเหล้าทรงสูงก็ปรากฏขึ้นในมือของราอูล  เขาชูแก้วขึ้นก่อนจะยกดื่มจนหมด

                  "ขอบใจเจ้ามากที่มาร่วมงาน  แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ข้าไม่ทันได้เตรียมการต้อนรับเจ้าอย่างสมเกียร์ติ"  พระราชาแอเรียสตรัสกับอีกฝ่าย

                  "ไม่เป็นไรหรอกฝ่าบาท  หม่อมฉันเข้าใจ  รายชื่อแขกของท่านมีมากมายเสียจนจะลืมใครซักคนสองคนไม่ใช่เรื่องแปลก  อีกอย่าง  การมาของหม่อมฉันออกจะกระทันหันไปซักหน่อย  แต่ถึงยังไงหม่อมฉันก็มาแล้ว  ขอเชิญฝ่าบาทและแขกผู้มีเกียร์ติทุกท่านดื่มกันต่อตามสบาย"

                  ความตึงเครียดในงานลดลงแล้ว  การดื่มกินและเสียงพูดคุยจึงดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

                  ราอูลนั่งอยู่ที่เก้าอี้บุกำมะหยี่อย่างดีห่างจากกลุ่มคน ณ มุมหนึ่งของห้อง  มือยกแก้วสุราขึ้นดื่ม  แต่สายตาจับจ้องไปที่เจ้าหญิงคนสำคัญอย่างไม่วางตา  จนเจ้าตัวรู้สึกตัวและหันพระเนตรมาสบเขาจึงยิ้มให้แต่ได้รับการตอบรับเป็นความเฉยชา

                  "เสด็จพ่อ  ลูกขอออกไปเต้นรำนะเพคะ"  เมเดียสตรัสขอกับพระบิดา  เพราะรู้สึดอึดอัดกับสายตาที่ราอูลส่งมา

                  "ก็เอาสิ"  พระองค์ตอบแล้วหันไปเรียกองครักษ์ข้างกาย  "เจ้าไปเต้นรำกับลูกข้าหน่อย

                  "พะยะค่ะ"

                  ระหว่างที่เมเดียสเต้นรำอยู่กลางเฟลอร์  สายตาของราอูลก็ยังคงจับจ้องอยู่ตลอด  แต่ความเพลินเพลินก็พอจะทำให้ความอึดอัดของพระองค์ทุเลาลงไปบ้าง  จนเวลาผ่านไปได้ครู่หนึ่งราอูลก็เดินเข้ามาใกล้  ทำให้การเต้นรำของพระองค์หยุดลง

                  พ่อมดหนุ่มคำนับหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าแล้วเอ่ยถ้อยคำอ่อนหวาน  "ให้เกียร์ติหม่อมฉันได้เต้นรำกับพระองค์บ้างจะได้ไหม  ฝ่าบาท"

                  เมเดียสชักสีหน้าไม่พอพระทัย  "ข้าไม่เต้นแล้ว  เบื่อ!"

                  เจ้าหญิงเดินหนีไปท่ามกลางความงุนงงขององครักษ์คู่เต้น  ราอูลยิ้มอย่างไม่ถือสาก่อนจะเดินกลับที่นั่งของตน

                  "อ้าว  ทำไมถึงรีบกลับมาล่ะลูก  เต้นรำไม่สนุกแล้วหรือ"  พระราชาตรัสถามเมื่อพระธิดากลับมาประทับข้างกาย

                  "เปล่าหรอกเพคะ  หม่อมฉันแค่เมื่อย  เลยอยากมานั่งพัก"  เมเดียสตอบพระบิดาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม  ต่างจากอารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวเพราะไม่ชอบหน้าพ่อมดราอูลตั้งแต่แรกเห็น  แล้วยิ่งเกลียดเมื่ออีกฝ่ายถือวิสาสะจ้องเธอโดยไม่มีมารยาท

                  งานเฉลิมฉลองดำเนินไปจวบจนกระทั่งสมควรแก่เวลา  บรรดาแขกทยอยกลับไปจนหมด  ในท้องพระโรงตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่สามคนพ่อลูกที่นั่งสนทนากัน

                  "โตเป็นสาวแล้วนะลูกแม่"  พระราชินีพูดกับเมเดียสพลางลูบเกศาสีน้ำตาลที่ยาวสลวยจรดหลังของพระองค์ด้วยความรักใคร่

                  "พ่อว่าเราควรจะเริ่มเรียนวิชาการปกครองได้แล้วนะ  อีกหน่อยจะได้มาช่วยพ่อบริหารบ้านเมืองไง"

                  "ไม่เอานะเสด็จพ่อ  หม่อมฉันไม่อยากเรียน"

                  "อ้าว  ถ้าไม่เรียนแล้วอีกหน่อยจะมาปกครองประเทศแทนพ่อได้ยังไงล่ะ"

                  "เสด็จพ่อยังต้องอยู่อีกนานนี่  ไม่เห็นต้องพึ่งหม่อมฉันเลย  อีกอย่าง  เรื่องการปกครองเป็นเรื่องของผู้ชาย  แต่หม่อมฉันเป็นผู้หญิง"  เมเดียสอธิบาย  "เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ยังไม่แก่ซักหน่อย  ทำไมไม่มีโอรสเพิ่มอีกซักคนล่ะเพคะ  จะได้โตทันใช้"

                  "เดี๋ยวเถอะ  แก่แดดนักนะเรา"  พระราชินีดุพระธิดาอย่างไม่จริงจังนัก  ขณะที่เมเดียสสรวลเบาอย่างชอบใจ

                  "เจ้าหญิงดำรัสถูกต้องแล้ว  การปกครองเป็นเรื่องของบุรุษเพศ  มิใช่สตรีเพศ  ยิ่งสตรีที่งดงามอย่างพระองค์ด้วยแล้วล่ะก็เหมาะจะเป็นชายาที่คอยปรนนิบัติสวามีน่าจะมีประโยชน์กว่า"

                  เสียงที่แทรกขึ้นทำลายบรรยากาศอบอุ่นเป็นของพ่อมดราอูลที่ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าที่ประทับของทั้งสามพระองค์

                  "นี่เจ้ายังอยู่อีกรึ"  พระราชาตรัสถาม

                  "หม่อมฉันยังไม่ได้ทูลเรื่องสำคัญต่อฝ่าบาทเลยยังกลับไม่ได้  และนี่เป็นสาเหตุที่หม่อมฉันมางานในวันนี้"

                  "เจ้ามีเรื่องอะไรก็ว่ามา"

                  "ฝ่าบาททรงจำสัญญาที่ให้ต่อหม่อมฉันเมื่อ 15 ปีก่อนได้หรือไม่"

                  "สัญญา?"  พระราชาตรัสทวน  พยายามทบทวนความทรงจำก่อนจะนึกขึ้นได้  "อ้อ  ข้าจำได้"

                  คำสัญญาเมื่อ 15 ปีก่อนเกิดขึ้นในวันที่พระราชินีทรงคลอดพระธิดา  การคลอดเป็นไปอย่างยากลำบากจนสุดท้ายเจ้าหญิงเมเดียสวัยแบเบาะก็ได้ออกมาลืมตาดูโลก  แต่เคราะห์ร้ายที่พระราชินีเสียเลือดมาก  ซ้ำยังร่างกายอ่อนเพลียหนักอาจมีพระชนม์ชีพอยู่ไม่พ้นคืนนั้น  แม้แต่แพทย์หลวงกี่คนต่อกี่คนก็ไม่อาจจะเยียวยาได้  ด้วยความไม่อยากสูญเสียมเหสีอันเป็นที่รักไป  พระองค์จึงใช้ทางเลือกสุดท้ายคือขอให้พ่อมดราอูลช่วยเหลือ  และในที่สุดพระราชินีก็ปลอดภัยด้วยอิทธิฤิทธิ์มนต์ดำ  หลังจากนั้นราอูลทูลขอสิ่งแลกเปลี่ยนจากพระราชาและพระองค์ก็ตกลง  แต่เขายังไม่ได้บอกว่าต้องการสิ่งใด  บอกเพียงแต่ว่าอีก 15 ปีให้หลังจะมารับสิ่งที่เขาจะขอ

                  "หม่อมฉันขอทวงสัญญา"

                  "แล้วเจ้าปรารถนาสิ่งใด"

                  ราอูลเหลือบมองเจ้าหญิงเมเดียสองค์งามแล้วยิ้มให้  ก่อนตอบ  "กระหม่อมปรารถนาพระธิดาของพระองค์"

                  "ว่าไงนะ!"

                  "ฝ่าบาททรงได้ยินถูกต้องแล้ว  สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนาและทูลขอต่อฝ่าบาทคือเจ้าหญิงเมเดียส"

                  "บังอาจ!"  สุรเสียงคำรามลั่นอย่างโกรธจัด  "เจ้ากล้าดียังไงมาขอลูกสาวของข้าไปเป็นชายาเจ้า  ช่างไม่เจียมกะลาหัวซะเลยนะ"

                  "แต่ฝ่าบาทเคยทูลหม่อมฉันว่าจะให้สิ่งที่หม่อมฉันปรารถนา"

                  "ใช่  ข้าเคยพูด  แต่สิ่งที่เจ้าขอข้าให้ไม่ได้"

                  "งั้นฝ่าบาทจะผิดคำสัญญา?"  ราอูลถาม  "กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำนะฝ่าบาท"

                  "ข้ารู้  และข้าไม่ได้คิดจะผิดสัญญาต่อเจ้า"  พระองค์ตอบ  "ทำไมเจ้าไม่ขออย่างอื่นล่ะ  จะเป็นทรัพย์สิน  เงินทอง  อำนาจลาภยศ  หรือสาวงามซักกี่คนก็ได้  ข้าหามาให้เจ้าได้หมด"

                  พอราอูลได้ฟังก็หัวเราะเสียงดังลั่น  "อะไรทำให้ฝ่าบาทคิดว่าหม่อมฉันจะขอสิ่งเหล่านั้นกับพระองค์  ทั้งๆที่รู้ว่าพ่อมดผู้เก่งกาจอย่างหม่อมฉันก็สามารถหาของเหล่านั้นมาเองได้เพียงแค่ร่ายมนต์เพียงบทเดียว"

                  พระกรของพระราชากำแน่นด้วยความเจ็บพระทัยและเสียหน้า  "งั้นเจ้าจะเอาอะไร!"

                  "หม่อมฉันทูลฝ่าบาทไปแล้ว  และจะยืนยันคำเดิม  คือเจ้าหญิงเมเดียสเท่านั้น"

                  "ไม่มีวัน!"

                  เสียงใสดังขึ้นแทน  ก่อนที่พระราชาจะได้ตรัสอะไรออกไป  เมเดียสเสด็จก้าวลงมาจากที่ประทับ  ดำเนินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าชายผู้เป็นพ่อมด

                  "ไม่ว่าเสด็จพ่อจะรับปากเจ้าหรือไม่ข้าก็ไม่มีวันเป็นของเจ้า  อย่าฝันไปหน่อยเลย"

                  "การที่ได้เห็นและอยู่ใกล้พระองค์เช่นนี้ก็เหมือนฝันอยู่แล้ว  กระหม่อม"  ราอูลยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

                  "หึ  แต่ข้าคิดตรงข้ามกับเจ้า"  พระองค์พูดพลางถอยออกมาอย่างรังเกียจ  "ข้าไม่อยากอยู่ใกล้เจ้าแม้เพียงวินาทีเดียว  แค่หน้าเจ้าข้าก็ขยะแขยงจนไม่อยากมอง  เจ้ามันไม่เจียมตัวคิดบังอาจมาเสนอหน้าเทียบกับข้า  อย่าฝันเลยว่าข้าจะยอมลดตัวไปเกลือกกลั้วกับพ่อมดโสโครกที่ดีแต่เล่นกลอย่างเจ้า!"

                  ราอูลฉุนกึกที่ได้ยินคำดูถูกของเมเดียส  เขากัดฟันกรอด  เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ก้องกังวาลจนกระจกรอบด้านสั่นไหวเพราะไอมนต์ของความโกรธที่แผ่ออกมาจากตัวของพ่อมดหนุ่ม  "ถอนคำพูดของท่านเดี๋ยวนี้  เจ้าหญิง!"

                  นอกจากจะไม่เกรงกลัวแล้วพระองค์ยังหันมายิ้มเย้ยหยัน  "ข้าไม่ถอนคำพูด  เจ้าจะทำไม  เจ้าพ่อมดโสโครก!"

                  "ดี!  ในเมื่อเจ้าเลือกแล้วจะมาหาว่าข้าโหดร้ายไม่ได้!"

                  ราอูลชูมือขึ้นเหนือศีรษะ  ทันใดนั้นไม้เท้าด้ามยาวที่มีลูกแก้วสีดำประดับอยู่ที่ยอดก็ปรากฏขึ้นในมือ  เขาพึมพำร่ายคาถาบางอย่างขึ้นก่อนชี้หัวลูกแก้วไปทางเมเดียสที่กำลังยืนตกตะลึงอยู่

                  "ไม่!!"  พระราชาตะโกนห้าม

                  แต่สายไปเสียแล้ว  แสงสีทองสว่างวาบพุ่งออกจากลูกแก้วตรงไปยังร่างของเมเดียส  จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความสว่างไสวและถูกปกคลุมด้วยหมอกเทาที่หนาทึบจนไม่สามารถจะมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อีก

                  ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าที่ไอหมอกจะจางหายไป  ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือร่างของเจ้าหญิงเมเดียสที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้น  พระพักตร์ซีดเผือกด้วยความกลัวและตกพระทัย

                  พระราชาและพระราชินีรีบเสด็จมาใกล้พระธิดาของพระองค์  เมเดียสก้มมองพระกรทั้งสองข้างของพระองค์เองก่อนลูบพระวรกายและพระพักตร์เพื่อสำรวจหาสิ่งผิดปกติ  แต่ก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลงอะไร

                  "เจ้าทำอะไรลูกข้า!"  พระราชาตวาด

                  ราอูลเสกให้ไม้เท้าในมือหายไป  ก่อนอธิบาย  "นี่คือบทลงโทษของเจ้าหญิงที่ดูถูกหม่อมฉัน  คำสาปที่จะติดตัวพระองค์ตลอดไป  มันจะส่งผลให้ร่างกายเจ้าหญิงเปลี่ยนแปลงเมื่อมีชายใดได้เห็นใบหน้าที่งดงามของพระองค์  ผิวหนังพระองค์จะเหิ่ยวย่นเหมือนคนแก่  เส้นผมจะขาวโพลนไปทั้งหัว  เล็บมือเล็บเท้าจะยื่นยาวเหมือนสัตว์ประหลาด  พระองค์จะอัปลักษณ์เสียจนไม่เหลือเค้าโครงเจ้าหญิงแสนงามคนเก่า  จนกว่าจะครบสามวันที่อาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไป  ตราบใดที่ยังไม่ถูกชายใดเห็นหน้าเข้าอีก"

                  "มันจะมากไปแล้วนะ  ถอนคำสาปของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!"

                  "ในเมื่อก่อนหน้านี้เจ้าหญิงไม่ถอนคำพูดตามที่หม่อมฉันขอ  หม่อมฉันก็จะไม่ถอนคำสาปตามที่ฝ่าบาทสั่งเช่นกัน"

                  "ลูกข้ายังเด็ก  พูดอะไรออกไปอาจไม่ทันได้คิด  ข้าขอโทษแทนลูกข้าด้วย  อย่าให้นางต้องเจอกับเรื่องแบบนี้เลย  ถอนคำสาปเสียเถอะ  ได้โปรด"  ราชินีขอร้องทั้งน้ำตา

                  "หม่อมฉันเป็นคนพูดคำไหนคนนั้น  ไม่สามารถทำตามที่พระนางขอได้  ทรงอภัยให้หม่อมฉันด้วย"

                  พระราชินีทรงกันแสงออกมาอย่างสุดกลั้น  สวมกอดพระธิดาที่ตัวสั่นด้วยความกลัว  ส่วนพระราชาได้แต่เสียพระทัยที่พระองค์ไม่สามารถช่วยอะไรพระธิดาได้เลย

                  ราอูลมองภาพนั้นด้วยจิตใจที่หวั่นไหว  "นับว่าหม่อมฉันยังปราณีต่อเจ้าหญิงอยู่บ้าง  การสำแดงฤทธิ์ของคำสาบจะละเว้นพระราชาไว้คน  แน่นอน  รวมถึงหม่อมฉันด้วย  แต่กับชายอื่นคำสาบจะคงออกฤทธิ์เช่นเดิม  และสุดท้าย  ถึงแม้หม่อมฉันจะไม่ถอนคำสาป  แต่มันก็จะเสื่อมไปเองเมื่อถึงเวลา"

                  "เวลาอะไร"  พระราชาตรัสถามอย่างมีความหวังขึ้นมาบ้าง

                  "เมื่อถึงเวลานั้นตัวเจ้าหญิงก็จะรู้เอง"

                  "ไม่จริง!"  เมเดียสผุดลุกขึ้นหลังจากที่ตั้งสติได้  "เจ้าโกหก  คำสาปอะไรข้าไม่เชื่อ  มันไม่จริง!"

                  เมเดียสพรวดพราดออกไปจากห้อง  ทันทีที่ประตูห้องท้องพระโรงเปิดออกพระองค์ก็ต้องเผชิญหน้ากับทหารยามที่ยืนเฝ้าหน้าประตู

                  เกิดความเงียบขึ้นอึดใจ  ก่อนที่เรื่องไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น  เสียงกรีดร้องของเมเดียสและเสียงอุทานด้วยความตกใจต่อภาพที่เห็นของเหล่าทหารเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าคำสาปนั้นคือเรื่องจริง  และเป็นครั้งแรกที่เจ้าหญิงเมเดียสตระหนักได้ว่าคำพูดเพียงประโยคเดียวก็สามารถจะนำฝันร้ายมาสู่ตัวได้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×