คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : คดีฆาตกรรมปริศนา
เวลาสิบเอ็ดโมงเช้าของวันจันทร์ รถ BMW สีดำคันใหญ่แล่นมาจอด ณ ลานจอดรถหลังอาคารสีส้มซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า สำนักงานนับสืบเอกชนคอนเนลลี่ ทันทีที่รถจอดสนิทชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก็ก้าวออกมาจากรถด้วยมาดบุคลิกเฉียบ ท่าทางน่าเกรงขาม หน้าตาเคร่งขรึมแต่หล่อเหลา ผมสีน้ำตาลเสยอย่างเรียบร้อยไปด้านหลัง สวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวเนื้อบาง เนคไทสีควันบุหรี่ กางเกงสแล็กสีดำ และรองเท้าเงาวับ
ชายหนุ่มออกจากลานจอดรถมุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้าของอาคารสีส้ม ทันทีที่ไปถึงหน้าประตู ยามที่ยืนเฝ้ากุลีกุจอรีบเปิดประตูให้แล้วโค้งทักทาย
"อรุณสวัสดิ์ครับ คุณคอนเนลลี่" ยามเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
"อรุณสวัสดิ์"
ชายหนุ่มทักตอบเสียงเรียบแล้วเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน พนักงานที่อยู่บริเวณชั้นหนึ่งของสำนักงานเมื่อเห็นชายหนุ่มต่างก็โค้งทักทาย ชายหนุ่มเดินตรงไปที่ลิฟท์ แล้วกดชั้นห้า
สำนักงานแห่งนี้มีทั้งหมดห้าชั้น ชั้นแรกเป็นที่พักรับรองสำหรับลูกค้าที่มาติดต่อให้สืบคดี ชั้นที่สองเป็นห้องอาหารสำหรับพนักงาน ชั้นสามเป็นที่ทำงานของลูกจ้างและนักสืบในบริษัท ชั้นสี่ไว้สำหรับเก็บอุปกรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่และเอกสารสำคัญต่างๆ และชั้นห้าเป็นสำนักงานของผู้บริหาร ห้องทำงานและห้องพักส่วนตัวของประธาน รวมถึงห้องพักรับรองแขก VIP ด้วย
เมื่อลิฟท์เปิดออกที่ชั้นห้า ชายหนุ่มก็ก้าวออกจากลิฟท์แล้วเดินไปที่ห้องทำงานทางฝั่งตรงข้าม ภายในชั้นไม่มีใครอยู่เลยเนื่องจากเป็นชั้นเฉพาะของประธานเท่านั้น นอกจากตัวประธานเองแล้ว บุคคลที่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบคือหลานของเขาและผู้ช่วยส่วนตัวเท่านั้น นอกจากนั้นต้องขออนุญาตจากประธานหรือไม่ก็ถูกเรียกตัวจึงจะสามารถขึ้นมาได้
ในห้องทำงานถูกตกแต่งอย่างโล่งๆ ด้านหลังโต๊ะทำงานขนาดใหญ่เป็นประจกใสที่ใช้เป็นกำแพงซึ่งออกแบบพิเศษให้สามารถมองเห็นเหตุการณ์ภายนอกจากด้านในได้ด้านเดียว แต่ด้านนอกไม่สามรถมองเข้ามาได้ และแน่นอนย่อมเป็นกระจกกันกระสุนด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มวางกระเป๋าทำงานลงบนโต๊ะแล้วนั่งบนเก้าอี้นวมตัวนุ่ม หลังจากนั้นไม่นานเสียงเคาะประตูจากด้านนอกก็ดังขึ้นตามด้วยประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดออก จังหวะเดียวกับชายหนุ่มเจ้าของห้องที่กำลัง.....
"ฮ้าว..ว..ว"
"ฮะแฮ่ม อรุณสวัสดิ์ครับ บอส" เจ้าของร่างโปร่งแลดูหนุ่มกว่าที่เพิ่งเข้ามาเอ่ยทักขณะมองอากัปกิริยาของผู้เป็นเจ้านายที่กำลังหาวปากกว้างพร้อมกับยืดแขนยืดขาปิดขี้เกียจ
"อรุณสวัสดิ์ เรย์" ผู้ที่ถูกเรียกว่าบอสหรือบิลทักตอบขณะลุกขึ้นบิดเอว
"ทำกิริยาไม่สมกับเป็นบอสเลยนะครับ ระวังเถอะถ้าลูกน้องมาเห็นคุณทำแบบนี้จะเลิกเคารพยำเกรงกันหมด"
บิลส่ายหน้าในความเข้มงวดเกินเหตุของผู้ช่วยหนุ่ม "ไม่เอาน่า เรย์ ให้ตีหน้าเคร่งตลอดทั้งวันฉันก็เมื่อยแย่สิ อีกอย่าง...ไม่มีใครขึ้นมาบนนี้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตฉันนอกจากนายซะหน่อย"
"ก็จริงอยู่ครับ แต่....."
"ช่างเถอะๆ" คอนเนลลี่บอกปัดอย่างหน่ายๆ "ว่าแต่นายมีเรื่องอะไรงั้นเหรอถึงได้ขึ้นมาแต่เช้าเชียว"
"นี่ไม่เช้าแล้วนะครับ นี่มันสิบเอ็ดโมงแล้ว ตะวันส่องก้นแล้วยังบอกว่าเช้าได้อีก" ผู้ช่วยหนุ่มแขวะ แม้ในด้านหน้าที่เรย์แลนด์กับบิลจะเป็นลูกน้องและเจ้านาย แต่ความสัมพันธ์และความสนิทสนมระหว่างพวกเขาก็เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทที่มีแซวมีแขวะกันได้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งพวกเขายังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย
"วะ นายนี่ มาแขวะกันอีก ก็คนมันง่วงนี่หว่า เมื่อคืนดึกไปหน่อย พอตื่นมาปุ๊บก็แฮงค์ปั๊บลากสังขารมาถึงนี่ได้ก็บุญแล้ว"
"บอสจะเที่ยวหาความสำราญหรือทำอะไรผมไม่มีสิทธิ์ห้าม แต่คราวหน้าคราวหลังก็รู้จักมีขอบเขตบ้างสิครับ อายุปูนนี้แล้วนะครับ ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเอาแต่เที่ยวไปวันๆ"
"วะ ไอ้นี่ นายเป็นผู้ช่วยหรือเป็นพ่อชั้นกันแน่วะเนี่ย มาถึงก็ด่าฉอดๆ" บิลประท้วง
"ไม่ได้ด่าครับ เรียกว่าตักเตือนต่างหาก" เรย์แลนด์แย้ง
"โอ๊ย...พอๆ จะเถียงกันอีกนานมั้ยเนี่ย ตกลงมีเรื่องอะไรฮึ" บิลตัดบทอย่างนึกรำคาญ เขาเถียงกับผู้ช่วยคนนี้ทีไรเป็นต้องแพ้ทุกที ซ้ำยังทำท่าจะยาวยืดไปอีกนานถ้าเขายังไม่เป็นฝ่ายถอยทัพไปเองในที่สุด
"งานครับ เมื่อเช้ามีลูกค้าเข้ามาติดต่อให้เราช่วยสืบคดี" เรย์แลนด์ตอบแล้วนั่งลงที่เก้าอี้อีกด้านหนึ่งของโต๊ะโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเชิญนั่ง
"อืม...คดีแบบไหน" บิลถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในยามปกติเขาจะดูสบายๆ ขี้เล่น แต่เมื่อในเวลางานแล้วล่ะก็เขาค่อนข้างเคร่งขรึม เอาจริงเอาจังจนดูเป็นคนละคนเลยดูเดียว
"คดีฆาตกรรมครับ"
บิลเลิกคิ้ว นัยน์ตาแวววาวด้วยความถูกใจ คดีที่เขาชอบสืบมากที่สุดคือคดีฆาตกรรม ยิ่งการฆาตกรรมที่ยิ่งซับซ้อนและอันตรายเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเขาคิดว่ามันเป็นการท้าทาย
"คนว่าจ้างคือคุณนายเมเดอร์สัน แม่ม่ายอดีตภรรยาเอกอัคราชทูตที่เสียชีวิตไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อสองปีก่อน" เรย์แลนด์บอกพร้อมส่งแฟ้มบางๆที่เขาถือเข้ามาด้วยให้ผู้เป็นเจ้านายตรงหน้า "แล้วเมื่อครึ่งปีก่อนลูกชายวัยสิบห้าปีถูกฆ่าตายโดยไม่ทราบสาเหตุ เรื่องนี้ตำรวจกำลังดำเนินคดีอยู่ แต่ไม่มีความคืบหน้า เธอหัวเสียกับเรื่องนี้มาก ทนรอต่อไปไม่ไหวเลยมาติดต่อทางเราให้เราช่วยหาตัวฆาตกร"
บิลรับฟังไปพร้อมเปิดแฟ้มดูควบคู่ไปด้วยอย่างสนใจ ในแฟ้มมีทั้งประวัติผู้ว่าจ้าง ประวัติลูกชายซึ่งเป็นผู้ตาย เบาะแสที่ทางตำรวจมี และข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวกับคดี
"ตั้งครึ่งปีเชียวรึ อะไรกัน ตำรวจสมัยนี้ทำงานเฉื่อยแฉะขนาดนี้เลยหรือเนี่ย" บิลบ่น "แล้วคุณนายเมเดอร์สันนั่นมาติดต่อตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ"
"เมื่อเช้า ตอนเก้าโมงครับ" เรย์แลนด์ตอบสั้น
"เมื่อเช้า?" บิลทวนเสียงสูง เมื่อเช้า... แล้วไอ้ข้อมูลในแฟ้มอย่างละเอียดยิบที่เขาถืออยู่นี่ล่ะ ใช้เวลาหาและรวมรวบเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เขาจะมาเองรึ ก็รู้อยู่หรอกว่าหมอนี่ทำงานรวดเร็วและแม่นยำมาตลอด แต่เร็วถึงขนาดนี้... ไม่เสียแรงที่ไว้วางใจให้เป็นผู้ช่วยแฮะ
"ทำไมหรือครับ" เรย์แลนด์ถามอย่างเอะใจเมื่อเห็นนายของตนเงียบไป
"เปล่าๆ ฉันแค่นึกชื่นชมในความรวดเร็วของนายน่ะ"
"ขอบคุณครับ"
"เอาล่ะ ว่าต่อซิ" บิลวกกลับมาเรื่องงาน
"สาเหตุที่ตำรวจยังหาตัวฆาตกรไม่ได้นั้นเนื่องจากคดีนี้ซับซ้อน ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ตัวคนร้ายทั้งในที่เกิดเหตุและที่ตัวผู้ตายซักชิ้น มีการโยงถึงคนหลายคน แล้วแต่ละคนก็เป็นนักเรียนรุ่นราวคราวเดียวกับผู้ตายหมด"
"หือม์?" บิลทำเสียงในลำคอเป็นเชิงถาม เรย์แลนด์จึงอธิบายต่อ
"ผู้ตายถูกฆ่าตายที่หอพักนักเรียนชายของโรงเรียนมัธยมชื่อดัง เซนต์มาร์ติเนท ครับ" (martinet = ผู้เคร่งครัดในระเบียบวินัย)
"เซนต์มาร์ติเนท" บิลทวนคำ แค่ชื่อสถานที่เกิดเหตุก็น่าสนใจแล้ว ขนาดโรงเรียนชื่อดังที่มีแต่นักเรียนระดับสูงที่พร้อมด้วยสติปัญญา ความสามารถ และพรสวรรค์จากหลายๆด้านแบบนั้นยังมีเรื่องฆาตกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีก ผู้ตายก็เป็นนักเรียนโรงเรียนนี้ด้วยเช่นกัน แล้วคนร้ายล่ะ... คนร้ายจะเป็นคนในโรงเรียนหรือคนนอกกันนะ
ระหว่างที่ชายหนุ่มผู้เป็นอากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็เป็นอันต้องสะดุดกระทันหันเพราะมีเสียงใสแว่วเข้ามาพร้อมกับสาวน้อยร่างบางที่ยืนยิ้มร่าเริงอยู่หน้าประตู
"คุณอาคะ!"
"เจส!"
สาวน้อยเจสสิก้าวิ่งตรงเข้าไปหาบุคคลผู้ถูกเรียกว่าอาซึ่งยืนอ้าแขนรอรับ เจสสิก้าเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นอาด้วยรอยยิ้ม บิลกอดหลานสาวด้วยความรักและคิดถึง ก่อนที่ทั้งคู่จะคลายอ้อมกอดจากกันและกัน
"คิดถึงอาจังเลยค่ะ" เจสสิก้าพูดพร้อมยิ้มกว้าง
บิลหัวเราะเบาๆ "อาก็คิดถึงเรา แต่แหม...ปากบอกว่าคิดถึง แต่ทิ้งอาไปเที่ยวกับเพื่อนๆซะหลายวันเลย อย่างนี้อาจะเชื่อดีไหมเนี่ย" น้ำเสียงกึ่งประชดกึ่งงอน
"โธ่...อาคะ คิดถึงสิคะ ไม่งั้นเจสคงไม่รีบกลับมาก่อนกำหนดหรอกค่ะ" หลานสาวอ้อน
"จริงน่ะ" บิลยิ้มกว้างอย่างพอใจ "ว่าแต่ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้างล่ะ สนุกไหม"
"สนุกมากค่ะ เจสไปฮอลลีวู้ด สตรีท, ไนแอการ่า, แกรนแคนยอน, เซียร์ส ทาวเวอร์ แล้วถ้าไม่รีบกลับมาก่อนก็กะว่าจะไปสะพานโกลเด้นเกตต่อ" เจสสิก้าเล่าอย่างตื่นเต้น
"โอ้โห! หลานอา ชีพจรรองเท้าจริงๆ ใช้เวลาครึ่งเดือนในช่วงปิดเทอมไปมากี่รัฐกันเนี่ย"
"แหม...แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ ยังมีที่ที่เจสอยากไปแต่ยังไม่ได้ไปอีกตั้งเยอะแน่ะ แล้วอีกตั้งนานกว่าจะเปิดเทอม ยังมีเวลาตัดสินใจเลือกโรงเรียนไฮสคูลที่จะเรียนต่ออีกตั้งเดือนครึ่ง" เจสสิก้าบอก ก่อนจะหันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่ในห้อง "เรย์! อยู่ที่นี่ด้วยก็ไม่บอก ไม่เห็นให้ซุ่มให้เสียงบ้างเลย เจสก็นึกว่าคุณไม่อยู่ซะอีก ขอโทษนะคะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณเจสสิก้า" เรย์แลนด์ยิ้มน้อยๆ "สบายดีนะครับ"
"ค่ะ เจสสบายดี แต่เจสบอกเรย์หลายครั้งหลายหนแล้วว่าอย่าเรียกเจสว่าคุณ เรย์อายุมากกว่าเจสนะคะ แล้วเรย์ก็เป็นเหมือนพี่ชายเจสด้วย ดังนั้นเรียกว่าเจสเฉยๆเถอะค่ะ" เจสสิก้ายิ้มหวานให้ชายหนุ่ม
"ครับ...คุ...เอ่อ...เจส"
แม้เรย์แลนด์เป็นผู้ช่วยคนสนิทของบิล แต่เขามีอายุเพียงยี่สิบสามปี เมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยเดียวกับบิล เรย์แลนด์ก็มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้บิลตามคำชักชวนของเขา เรย์แลนด์เพิ่งเข้ามาทำงานที่สำนักงานนักสืบแห่งนี้ได้เพียงปีเดียว แต่เขาก็รู้จักกับเจสสิก้าตั้งแต่ที่เธอยังเด็ก อายุเพียงหกขวบ ตั้งแต่ที่อาของเธอรับเธอมาเลี้ยงเลยก็ว่าได้ ดังนั้นการที่เขากับบิลติดต่อไปมาหาสู่กันมาตลอดตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องจะพบเจอและสนิทกับเจสสิก้าด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
เจสสิก้าก็สนิทสนมกับเรย์แลนด์มาตั้งแต่เด็ก เขามักเป็นเพื่อนเล่นกับเธอในยามที่เธอเหงา หรือเวลาที่อาของเธอมีงานเรย์แลนด์ก็จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอทำให้เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยว เจสสิก้านับถือเรย์แลนด์เป็นพี่ชายคนหนึ่ง ดังนั้นเรย์แลนด์จึงเป็นผู้ชายที่เธอรักและสนิทที่สุดรองจากอาของเธอ
แต่ทว่าเจสสิก้าไม่เคยรู้เลยว่าชายที่เธอนับถือเป็นพี่ชายตอนนี้ไม่ได้มองเธอเป็นแค่เพียงน้องสาว เมื่อแรกที่เรย์แลนด์ได้เจอเจสสิก้า เธออายุหกขวบและเขามีอายุสิบสามปี เขารู้สึกถูกชะตากับเธอแต่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นรักแรกพบได้หรือไม่ เพราะเขาเองก็ยังเด็ก ยังไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากนัก แต่เมื่อเขาและเธอโตบโตขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มแน่ใจความรู้สึกของตัวเองว่าเขารักเธอ โดยเฉพาะยิ่งเจสสิก้าโตเป็นสาวก็ยิ่งสวยขึ้นจนเขาหวั่นไหว ความสวยน่ารักของเธอไม่มีใครที่ได้พบเห็นแล้วไม่ชอบ บวกกับความร่าเริง เข้มแข็งและอ่อนโยนในเวลาเดียวกันก็ยิ่งทำให้เขาหลงเสน่ห์เธอเข้าเต็มเปา แต่ความใกล้ชิดกันเกินไปนั้นทำให้เจสสิก้าไม่รับรู้ถึงความรู้สึกนั้น เขาเองก็เก็บเงียบ ไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้แม้แต่บิล เพราะเขารำลึกไว้เสมอว่าเขาเป็นได้เพียงแค่พี่ชายคนหนึ่งของเธอเท่านั้น
"อย่างนั้นล่ะค่ะ ดีมาก" เจสสิก้าบอกพร้อมเข้าไปกอดแขนชายหนุ่มแล้วยิ้มหวาน ทำให้ชายหนุ่มใจเต้น "นี่...เรย์ พรุ่งนี้ก็วันเกิดเรย์แล้วนะ"
"อ้อ...จริงสินะ เจสจำได้หรือครับ ผมเองยังลืมเลย"
"จำได้สิคะ วันเกิดเรย์พี่ชายสุดที่รักทั้งทีลืมได้ยังไง เนี่ยเจสอุตส่าห์รีบกลับมาให้ทันเพื่อเรย์เลยนะคะ พรุ่งนี้เราไปฉลองวันเกิดกันสามคนนะ" เจสสิก้าอ้อน แม้ชายหนุ่มดีใจแต่เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบเมื่อได้ยินคำว่าพี่ชาย
"แล้วแต่เจสสิครับ"
"ฮะแฮ่ม! น้อยๆหน่อย ยัยเจส" เสียงบิลขัดขึ้นทำลายบรรยายกาศที่ดูเหมือนจะหวานของบุคคลสองคน โดยทำให้ตัวเขากลายเป็นคนนอกโดยสิ้นเชิง "ก่อนหน้านั้นเรายังบอกว่ารีบกลับมาเพราะคิดถึงอาอยู่แหมบๆ แล้วดูสิ เผลอแป๊บเดียวเปลี่ยนไปบอกว่ารีบกลับเพราะเรย์ซะแล้ว แสดงว่าที่คิดถึงอาก็ไม่จริงน่ะสิ คุยกระหนุงกระหนิงกันสองคนอาเลยกลายเป็นหัวหลักหัวตอไปเลย"
เจสสิก้าได้ยินดังนั้นจึงรีบเข้ามากอดอาเพื่อเอาอกเอาใจ "โธ่...อาคะ ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย เจสรีบกลับมาเพราะทั้งคู่น่ะแหล่ะค่ะ อาอย่าน้อยใจสิคะ นะ นะ"
เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่บิลแพ้ลูกอ้อนของหลานสาวตัวดี "หึหึ ก็ได้ๆ อาเชื่อ" เขาพูดพร้อมกับลูกผมหลานสาวอย่างเอ็นดู "ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะพาเรย์เค๊าไปเลี้ยงฉลองวันเกิดกันที่ไหนดีล่ะ ฮึ"
"ที่จริงควรให้เจ้าของวันเกิดเป็นคนตัดสินใจ แต่เรย์บอกว่าแล้วแต่เจส งั้น...เอาเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่อาเคยพาเจสไปเมื่อตอนวันเกิดเจสดีมั๊ยคะ" เจสสิก้าถามอาของตน เมื่อเขาพยักหน้าเห็นด้วยเธอจึงหันไปถามเรย์แลนด์ "ว่าไงคะ เรย์"
"ก็ดีครับ" เรย์แลนด์ตามใจหญิงสาว
"เป็นอันว่าทุกคนเห็นด้วย ถ้างั้นเจสจะโทรไปจองโต๊ะเองนะคะ เอาเป็นตอนประมาณ 2 ทุ่มก็แล้วกัน" หญิงสาวบอกพร้อมกับยกมือถือขึ้นโทรทันที ท่าทางเอาจริงเอาจังของเธอทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนยิ้มขำ หลังจากนั้นไม่นานเจสสิก้าก็วางหู "เรียบร้อยแล้วนะคะ ถ้างั้นเจสกลับบ้านก่อนดีกว่า กลับมาจากไปเที่ยวก็ตรงดิ่งมานี่นี่เลย ยังไม่ได้พักเลยซักแอะ"
บิลส่ายหน้าพลางหัวเราะอย่างเอ็นดูหลานสาว "งั้นก็กลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวอาจะให้เดวิด(คนขับรถประจำตัวของเจสสิก้า)ขับรถไปส่งที่บ้านแล้วกัน ส่วนอามีงานต้องคุยกับเรย์เค๊าต่อน่ะ"
"งาน? มีลูกค้ามาติดต่อให้สืบอีกแล้วเหรอคะ แล้วคราวนี้เรื่องอะไรคะเนี่ย" เจสสิก้าถามอย่างอยากรู้ตามนิสัย
"ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า ไปๆ กลับไปพักผ่อนซะสิ ไหนบ่นว่าเหนื่อยนักหนาไง" บิลตบหัวหลานสาวเบาๆอย่างระอา
"แหม..อาก็ ไม่เห็นเป็นไรเลย เจสเข้าออกสำนักงานนี้มาตั้งแต่เด็ก บางคดีเจสก็มีส่วนช่วยนะคะอย่าลืม" หญิงสาวประท้วง
"รู้แล้วว่าหลานสาวอาน่ะเก่ง แหม..ได้ทีล่ะคุยเชียว เถอะน่า กลับไปพักผ่อนซะ แล้วเย็นนี้อากลับไปจะเล่าให้ฟังเอง"
"แน่นะคะ"
"คร้าบ สัญญา"
"ดีค่ะ ถ้างั้นเจสไปนะคะ บ๊ายบายค่ะอา" พูดจบเธอก็เขย่งตัวขึ้นจูบลาที่แก้มอาของตนแผ่วเบา ก่อนจะหันไปลาเรย์แลนด์แล้วทำแบบเดียวกัน "บ๊ายบายค่ะ เรย์ แล้วพรุ่งนี้เจอกันนะคะ"
"แล้วเจอกันครับ" เรย์แลนด์ลาตอบ แม้เจสสิก้าจะทำแบบนี้ทุกครั้งเมื่อเอ่ยลาเขาหรืออาของเธอ แต่เขาก็อดระงับใจไม่ให้เต้นแรงไม่ได้ แม้ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่ภายในของเขานั้นดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้น
แล้วหญิงสาวก็เดินออกจากห้องไป.....
ความคิดเห็น