คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 : เยือนดินแดนเดเมียน
ดินแดนชายฝั่งตะวันออกติดทะเล สวยงามและอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติหลากหลาย บ้านเรือนสองข้างทางตั้งเป็นระเบียบ ไกลออกไปเป็นพื้นที่ทำนาปลูกพืชที่ถูกแบ่งออกเป็นสัดส่วน ฟาร์มและคอกสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ขายและใช้งานถูกกันไว้ให้อยู่ในบริเวณที่เหมาะสม สองข้างทางของถนนมีต้นไม้สูงใหญ่ร่มรื่นตั้งเรียงราย ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสมีอัธยาศัยไมตรี อากาศบริสุทธิ์สะอาด สภาพแวดล้อมมองไปทางไหนก็ล้วนแต่สบายตาและสบายใจ เป็นดินแดนที่เหมาะสมกับสมญานามที่ใครๆที่ได้มาพบเห็นกล่าวไว้ว่า 'สวนแห่งสวรรค์'
ในตัวเมืองเป็นที่ตั้งของพระราชวังขององค์จักรพรรดิ์ ใหญ่โตหรูหราและสง่างาม หอคอยสองข้างสูงเสียดฟ้า เป็นที่ตระการตาของผู้พบเห็น กำแพงวังรายล้อมรอบด้านกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่ เบื้องหลังประตูสองข้างทางเป็นสวนกว้างมากไปด้วยดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง ทางเดินยาวสุดลูกหูลูกตานำไปสู่ตัวพระราชวังสีขาวอันวิจิตรงดงามเป็นพื้นหินรูปหกเหลี่ยมที่ต่อเรียงราย ระหว่างทางบนพื้นจะพบหินหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ที่สลักตราของพระราชวงค์เป็นระยะ เบื้องหน้าพระราชวังเป็นน้ำพุสามชั้นที่ถูกออกแบบนำสมัย ตรงกลางน้ำพุเป็นรูปปั้นเทพีสีขาวบริสุทธิ์ยืนดีดพิณด้วงท่วงท่างดงาม
ห่างจากกำแพงวังไปเล็กน้อยมีตลาดมากไปด้วยผู้คนอุ่นหนาฝาคั่ง ของกินของใช้และสินค้าที่ระลึกตั้งเรียงรายตามแผง เสียงพ่อค้าแม่ค้าและเสียงลูกค้าต่อรองราคาดังเจื้อยแจ้วไม่ขาดปาก ขณะนั้นเอง บนทางเดินที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่เพื่อเลือกซื้อสินค้าต้องพากันหลีกทางให้ม้าใหญ่ 3 ตัวที่เดินเฉียดมาใกล้ คนบนหลังม้าเป็นที่เด่นสะดุดตาสำหรับชาวบ้านแถวนั้นไม่น้อย ร่างสูงใหญ่บนหลังม้าที่นำหน้าอยู่ในอาภรณ์สีดำสนิททั้งตัว มีผ้าคลุมปิดบังหน้าตา แต่ดูจากรูปร่างลักษณะแล้วดูน่าเกรงขามและเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่ชวนเข้าใกล้ อีกสองคนที่ตามหลังมาอยู่ในอาภรณ์และผ้าคลุมสีเทา เรือนกายแกร่งบึกบึนดั่งทหารชาตรี
"พ่อหนุ่มเป็นคนต่างถิ่นสินะ สนใจผ้าสวยๆมั้ยจ๊ะ ซื้อไปฝากลูกฝากเมียที่บ้านก็ได้นะ พวกเขาคงชอบ" เสียงแม่ค้าวัยกลางคนเอ่ยทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ชักชวนให้ซื้อสินค้าเมื่อม้าตัวแรกเดินผ่านแผงลอยของตน
ร่างสูงบนหลังม้าหันมาสบตาด้วยแวบเดียว เพียงแค่สายตานิ่งๆที่ลอดผ่านผ้าคลุมหน้าก็พอที่จะทำให้แม่ค้าผู้นั้นหุบปากสนิทและก้มหน้าก้มตาทำเป็นจัดของบนแผง จนกระทั่งม้าทั้งสามผ่านเลยไปเธอถึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ม้าทั้งสามตัวมาหยุดอยู่ที่ท้ายตลาดห่างจากประตูเมืองไม่มากนัก
"ดินแดนเดเมี่ยน ไม่ผิดหวังเลยที่ได้มาเหยียบถึงนี่" เสียงห้าวของชายชุดดำเปรยออกมา แม้สุ้มเสียงแผ่วเบาราวกระซิบแต่ก็ฟังดูมีอำนาจ
"ฝ่าบาท หม่อมฉันว่าเราอยู่ใกล้ประตูวังเกินไปนะพะยะค่ะ เดี๋ยวทหารยามเฝ้าประตูจะสงสัยเอาได้ ทอดพระเนตรดูเถิด มองมาทางนี้ใหญ่แล้ว" ชายในชุดเทากระซิบให้ได้ยินกันเพียงพวกเขา
"ก็ช่างประไร ถ้ามันสงสัยเราก็อ้างว่าเป็นนักท่องเที่ยวหรือไม่ก็พ่อค้าก็ได้" เขาตอบ "ถ้ามีปัญหามากนักก็จัดการไปเลย ทหารยามแค่นี้คงไม่คนามือราชองครักษ์อย่างพวกเจ้าหรอกนะ"
"โธ่..ฝ่าบาท ถ้าแค่นั้นมันก็ดีสิ แต่หลังประตูยังมีทหารอีกเป็นร้อยเป็นพัน เรามีแค่สามจะไปสู้ไหวได้ยังไง"
"จริงของเจ้า" ร่างสูงใหญ่หัวเราะเบาๆในลำคอแล้วหันกลับไปมองพระราชวังสูงใหญ่ด้วยแววตาวาววับ "แต่แค่หน้าประตูวังแค่นี้ไม่พอหรอก ใจจริงข้าอยากจะเข้าไปดูถึงข้างในด้วยซ้ำ"
"ทำอย่างนั้นไม่ได้นะฝ่าบาท ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมาท่านจะแย่ อย่าลืมสิว่าเราปลอมตัวแฝงเข้ามาในดินแดนแห่งนี้เพื่ออะไร" ชายชุดเทาคนที่สองเอ่ยขึ้นบ้าง
"ข้ารู้น่า ข้าไม่โง่ถึงขนาดเอาชีวิตไปทิ้งไว้ในวังนี่หรอก ในเมื่อข้ายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ"
"หม่อนฉันว่าเรากลับกันเถอะฝ่าบาท วันนี้เราเดินทางสำรวจเมืองนี้มาครึ่งวันแล้วท่านควรพักผ่อนเสียบ้างเพราะพรุ่งนี้ยังต้องออกตระเวณต่อ ถ้าขืนยังด้อมๆมองอยู่หน้าประตูแบบนี้ต่อไปทหารยามสงสัยเราแน่"
"ตกลง งั้นกลับที่พักเถอะ"
ขาดคำชายชุดดำก็หันม้ากลับ ดึงบังเหิยนให้ม้าออกเดิน ชายอีกสองคนบังคับม้าตามหลังไป ทั้งสามไปตามทางเก่าที่เข้าสู่ตลาด ก่อนจะมุ่งหน้าหายไปในฝุ่นควัน
...............................................................
ในท้องพระโรงของพระราชวังสีขาวของบ่ายวันหนึ่ง หญิงชราร่างท้วมกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับทหารคนหนึ่งที่ถือกระดาษม้วนอยู่ในมือ ใบหน้าของนางดูร้อนอกร้อนใจเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ ทั้งสองเข้ามาหยุดอยู่หน้าฉากกั้นซึ่งเป็นม่านแพรบางๆ เบื้องหลังม่านมีเงาเลือนลางของร่างที่นั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของผู้มาเยือน
"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมได้รับสาส์นนี้จากชายต่างถิ่นคนหนึ่งซึ่งอ้างตัวว่าเป็นทหารของเดอเพนเทียส ชายผู้นั้นบอกว่าองค์เหนือหัวของเขาฝากสาส์นลับนี้มาให้ท่าน แล้วกำชับว่าต้องส่งมอบให้ถึงมือพระองค์พะยะค่ะ"
คิ้วเรียวขมวดมุ่น ก่อนที่ร่างโปร่งระหงในอาภรณ์ดุจชายทรงเครื่องกษัตริย์จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสียงนุ่มตรัสถามแผ่วเบา "จากเดอเพนเทียส?"
"พะยะค่ะ"
"ท่านนม ส่งสาส์นนั้นมาให้ข้าทีสิ"
"เพคะ"
หญิงชราร่างท้วมย่อตัวลงถอนสายบัวก่อนจะหยิบม้วนกระดาษในมือของทหาร แล้วแหวกม่านออกเล็กน้อยพอให้ตัวแทรกเข้าไปได้ แล้วส่งม้วนกระดาษนั้นให้กับเมเดียส
มือเรียวคลี่ม้วนกระดาษที่มีตราประทับของราชวงศ์เดอเพนเทียสออกอ่าน ดวงพระเนตรสีฟ้ากวาดมองตัวหนังสือเรื่อยลงมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะเม้มปากแน่น กระดาษในมือถูกขยำอย่างไม่เหลือเค้าโครงเดิม
"คนของเดอเพนเทียสผู้นั้นยังอยู่รึเปล่า!" สุรเสียงแข็งกร้าว บ่งบอกถึงความไม่พอพระทัย
"กระหม่อมให้รออยู่ที่หน้าประตูวังพะยะค่ะ ฝ่าบาทจะให้หม่อมฉันจับตัวมันผู้นั้นมาลงโทษหรือไม่ โปรดรับสั่ง หม่อมฉันจะรีบดำเนินการโดยทันที"
"ไม่ต้อง ไปบอกคนผู้นั้นให้กลับไปบอกองค์เหนือหัวของตนเองด้วยว่า ข้าขอปฏิเสธข้อเสนอ และอย่าได้มาดูถูกกษัตริย์แห่งเดเมี่ยนอย่างข้าอีก มิเช่นนั้นแล้วเราจะได้เห็นดีกัน ต่อให้เป็นเวนเดอรัสหรือพระเจ้าหน้าไหนก็ตาม!"
"น้อมรับคำสั่งพระยะค่ะ" ทหารก้มหัวเคารพก่อนจะหันหลังออกไปทันที แม้จะงุนงงกับคำตรัสของเจ้าเหนือหัวของตนเองก็ตาม
คล้อยหลังทหารแล้วเมเดียสก็หันมาหาคนข้างกาย "ท่านนม ช่วยเอาสาส์นนี้ไปทิ้งให้ไกลจากสายตาข้าที!" รับสั่งเสร็จก็หุนหันออกไปจากห้องทางประตูอีกบาน
หญิงร่างท้วมส่ายศรีษะเล็กน้อยในความใจร้อนและไม่รู้จักเก็บอารมณ์ของผู้ที่ตนเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้ เนื่องจากองค์เมเดียสยังทรงพระเยาว์นัก อาจจะเผลอเรอหรือแสดงอาการของคนในวัยนี้ออกมาบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นางก้มลงเก็บม้วนกระดาษที่ยับย่นขึ้นมาแล้วคลี่ออกอ่านด้วยความสงสัยว่าเพราะสาเหตุใดถึงทำให้องค์เหนือหัวของนางถึงพิโรธนัก...
กราบทูลกษัตริย์ที่ลือล่ำรูปงาม...
พระนามเมเดียสแห่งแดนสรวงสวรรค์...
อนิจจาเมืองท่านหาต้องวอดวายพลัน...
ด้วยน้ำมือองค์ราชันแห่งแดนไกล...
จงรักษาบัลลังก์ไว้ให้มั่น...
พอถึงวันขึ้น 3 ค่ำจะมุ่งใต้...
แต่หากท่านยังคิดรักตัวกลัวตาย...
จงยอมพ่ายมอบเมืองให้แล้วจะเมตตา...
เวนเดอรัส
...............................................................
"ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
เสียงหัวเราะดังลอดออกมาจากห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัด ในห้องมีชายสามคนนั่งล้อมวงสนทนากันรอบโต๊ะ เจ้าของเสียงเป็นชายร่างสูงใหญ่ที่ยืดขาพาดบนโต๊ะด้วยท่าทางสบายๆ กับชายอีกสองคนที่มีสีหน้าลำบากใจแม้อยากจะร่วมหัวเราะไปด้วยก็ตาม
สามคนนี้เป็นคนกลุ่มเดียวกับชายลึกลับที่ปรากฏตัวที่บริเวณท้ายตลาดเมื่อหลายวันก่อน แต่ครั้งนี้อาภรณ์ที่สวมใส่ของแต่ละคนแตกต่างออกไป เป็นชุดลำลองสบายๆและไม่มีผ้าคลุมปกปิดหน้าตา เผยให้เห็นความหล่อเหลาบนใบหน้าคมคายซึ่งแม้ยังคงมีหนวดเคราที่ยังไม่ได้โกนของชายผู้เป็นผู้นำ คิ้วเข้มหนาที่โก่งขึ้นอย่างคนมีลักษณะเอาแต่ใจและมั่นใจในตัวเองสูง ตาเรียวยาวคมปลาบดั่งเหยี่ยว ดวงตาและเส้นผมสีรัตติกาลยิ่งเพิ่มความลึกลับและทรงพลังให้กับบุรุษผู้เป็นเจ้าของ
"ฝ่าบาทเกือบทำให้หม่อมฉันต้องหัวขาดแล้วยังมีอารมณ์มาสรวลอีกเหรอพะยะค่ะ" อีกเสียงดังขึ้นจากเคอร์เทียส หนึ่งในสองขององครักษ์คนสนิท
"ใช่ๆ ตามที่เคอร์เทียสเล่ามาหม่อมฉันแทบใจหายใจคว่ำ ถ้าเกิดองค์เมเดียสทรงพิโรธแล้วเอาเรื่องขึ้นมา เจ้าเคอร์เทียสมีหวัง..." คาลพูดแล้วก็ต้องกลืนน้ำลาย นึกใจเสียแทนสหายสนิทที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่เด็กผู้ซึ่งโดนใช้ให้นำสาส์นเจ้าปัญหานั่นไปส่งให้กับกษัตริย์เมเดียส
"เอาน่าๆ ยังไงเจ้าก็รอดกลับมาไม่ใช่เหรอเคอร์เทียส นับว่าดวงเจ้ายังดีนะที่ยังมีหัวอยู่บนบ่า ไม่เสียแรงที่เป็นคนของข้า" หันไปตรัสด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะกับองครักษ์คู่ใจอีกคน
เจ้าของชื่อยิ้มแหย ไม่รู้จะเสียใจหรือดีใจในคำชมขององค์เหนือหัวของตนดี
"หม่อนฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมฝ่าบาทถึงส่งสาส์นท้าไปแบบนั้น มันไม่เป็นการแหย่หนวดเสือหรือพะยะค่ะ"
"ก็นั่นแหล่ะที่เราต้องการ" เวนเดอรัสตรัสพลางหันมามองชายสองคนที่ทำหน้าเหวอ "ไม่เอาน่า นั่นเป็นแค่การล้อเล่นของเราเท่านั้น ก็แค่อยากจะดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายว่าจะทำยังไง แต่เท่าที่เจ้าเล่ามาข้าว่าเมเดียสนี่ใจเด็ดแล้วก็หัวแข็งน่าดู แบบนี้สิถึงไม่น่าเบื่อ"
"ล้อเล่น!?" คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้เคอร์เทียสหน้าเหวอยิ่งกว่าเก่า ล้อเล่นจนเขาเกือบตายเนี่ยนะ
"ฝ่าบาทเนี่ยทำอะไรไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อน ส่งสาส์นแบบนั้นไปเป็นการดูหมิ่นกันชัดๆ สมควรแล้วที่กษัตริย์แห่งเดเมี่ยนจะพิโรธ ยังดีที่องค์เมเดียสทรงมีเมตตา ไม่อย่างนั้นเคอร์เทียสคงไม่รอดกลับมารายงานและถ่ายทอดข้อความจากองค์เมเดียสให้พวกเราฟังหรอก"
"ความเมตตาคือความอ่อนแอสำหรับกษัตริย์ แต่เอาเถอะ ยังไงข้าก็ต้องนึกขอบใจเมเดียสที่ปล่อยเคอร์เทียสกลับมาโดยไม่มีส่วนไหนบุบสลาย" ทรงตรัสอย่างอารมณ์ดี ก่อนหันมาตบไหล่องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ "ไม่ต้องห่วงน่า ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องตายเปล่าหรอก ข้ารับรอง"
"เอ่อ..ขอบพระทัยฝ่าบาท"
องครักษ์ทั้งสองหันมามองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมาโดยพร้อมเพรียง พวกเขารู้ซึ้งแล้วว่ากษัตริย์ที่พวกเขาเคารพและซื่อสัตย์นักหนานั้นเมตตาและเอ็นดูพวกเขามากเพียงใด...?
"น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้ส่งสาส์นนั้นด้วยตัวเองนะ เคอร์เทียส ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าเมเดียสที่ร่ำลือกันนักหนาว่ารูปงามนั้นจะจริงเท็จซักแค่ไหน แล้วเป็นหญิงหรือชายกันแน่"
"ทหารรักษาการณ์แน่นหนาและเข้มงวดมากฝ่าบาท กระหม่อมเองยังได้แค่ยืนรอที่หน้าประตูวัง" เคอร์เทียสเอ่ยตอบ
"ถ้ารูปงามจริงแล้วจะปิดบังหลบซ่อนทำไม ควรจะอวดโฉมให้คนอิจฉาคลั่งไคล้ยังมีประโยชน์ซะกว่า ข้าว่าตรงกันข้ามมากกว่าล่ะมั้ง คงจะอับอายความอัปลักษณ์ของตัวเองถึงต้องปกปิดและกุข่าวลือเรื่องความงดงามดั่งเทพบุตรเทพยดาอะไรนั่นเพื่อกลบเกลื่อนซะมากกว่า"
"แล้วที่ลือกันว่าองค์เมเดียสเป็นสตรีฝ่าบาทว่าเป็นไปได้หรือไม่"
"มันก็น่าจะทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ แต่ความเป็นไปไม่ได้มีมากกว่า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆคนเดียวจะปกครองแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ให้อยู่รอดมาได้โดยไม่เสียเอกราชให้ใคร แล้วเท่าที่รู้มาอายุก็ยังไม่ถึง 20 ยังเด็กเกินไปที่จะเป็นกษัตริย์ ข้าว่าทั้งหมดนี่ก็คงเป็นแค่ข่าวโคมลอยที่กุขึ้นเพื่อทำให้ศัตรูตายใจมากกว่า ตัวจริงคงจะเป็นชายชาตรีที่โชกโชนสมรภูมิรบไม่น้อยไปกว่าข้าแน่"
"ฝ่าบาททรงตรัสมีเหตุผล หม่อนฉันก็เชื่อเช่นนั้น"
สีหน้าของเวนเดอรัสเคร่งเครียด จมอยู่ในห้วงคิดของตัวเอง เห็นทีความต้องการครั้งนี้ของเขาจะไม่ได้มาได้ง่ายๆเหมือนครั้งที่ผ่านๆมาซะแล้ว ศัตรูที่เขาจะต้องเผชิญหน้าด้วยท่าทางฉลาดและมีไหวพริบไม่ใช่เล่น แตกต่างจากศัตรูที่เขาเคยเผชิญหน้ามาทั้งหมด เวนเดอรัสไม่เคยรู้สึกหนักใจในการตัดสินใจของตนเองเท่าครั้งนี้มาก่อน แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องดี ว่ากันว่าสิ่งที่ได้มาง่ายๆมักไม่ค่อยมีค่า แต่แผ่นดินเดเมี่ยนมันก็มีค่ามากมายมหาศาลควรค่าแก่การลงทุนลงแรงอย่างหนักไม่ใช่หรือไง คู่ต่อสู้ที่ฝีมือสูสีเช่นนี้ทำให้เขายิ่งกระสันต์อยากจะปะทะด้วยอย่างไวที่สุด
เขาแทบจะรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว เขาอยากจะเผชิญหน้ากับเมเดียสและกระชากหน้ากากแห่งความอ่อนแอบอบบางที่เสแสร้งที่เจ้าตัวสร้างขึ้นนั้นให้ได้ แล้วทุกผืนแผ่นดินจะได้ประจักษ์ว่าเขา..เวนเดอรัสผู้นี้ยิ่งใหญ่และเข้มแข็งที่สุด แม้เดเมี่ยนที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งก็ไม่อาจต้านทานได้
ผู้หญิงงั้นรึ... ตลกสิ้นดี! เวนเดอรัสสบถในใจ เจ้าหลอกคนอื่นได้แต่หลอกข้าไม่ได้หรอก เมเดียส ผู้หญิงมีแต่ความอ่อนแอ ไร้สมองและความสามารถ แต่ต่อให้เจ้าเป็นผู้หญิงจริงข้าก็จะไม่ปราณี จะสั่งสอนให้รู้จักบทเรียนว่าผู้หญิงที่ยื่นมือเข้ามายุ่งในการกิจของชายจะมีผลตอบแทนเช่นใด
ความคิดเห็น