ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 9 : เสด็จเยือนควาญย่าห์
              เมเดียสตื่นจากการบรรทมในเวลาเช้าตรู่  หลังจากที่สรงน้ำและฉลองพระองค์เสร็จ  พระองค์ก็เสด็จออกจากห้องบรรทมโดยไร้หน้ากากและผ้าคลุมหน้าปกปิดดั่งเคย  สร้างความประหลาดใจและตื่นตะลึงให้กับเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายในวังที่ได้พบเห็น 
              เมเดียสไม่เคยรู้สึกโล่งและสบายใจเท่ากับวันนี้เลย  เพราะเหตุที่ไม่ต้องทนอึดอัดกับหน้ากากและคอยระแวดระวังในการย่างกรายไปในสถานที่ต่างๆว่าจะเจอกับทหารที่ยืนเวรหรือผ่านไปมาในพระราชฐานหรือไม่  และในเมื่อไม่ต้องกลัวเรื่องคำสาปอีกต่อไปแล้ว  พระองค์ก็ถือโอกาสนี้เสด็จออกมาเดินชมวิวทิวทัศน์เล่น  เข้าออกทั้งในพระฐานชั้นในและชั้นนอกได้ตามอัธยาศัย
              \"ตายแล้วฝ่าบาท  เสด็จออกมาเดินเตร็ดเตร่ในพระราชฐานชั้นนอกแบบนี้มันเสี่ยงนะเพคะ  พวกข้าหลวงชายกับทหารเดินไปเดินมามีอยู่เยอะ  แล้วดูสิ  ผ้าคลุมก็ไม่มี  หน้ากากก็ไม่ใส่  ทำไมถึงได้เลินเล่อแบบนี้เนี่ย\"
              หญิงร่างท้วมที่มีตำแหน่งเป็นพระพี่เลี้ยงประจำเสด็จเอ่ยถามแกมต่อว่าด้วยความเป็นห่วงเมื่อเธอมาเห็นพระองค์ประทับอยู่กลางสวนหย่อมภายในพระราชฐานชั้นนอก
              \"ไม่ต้องกังวลหรอกน่าท่านนม  คำสาปอะไรนั่นน่ะมันหายไปแล้ว  ข้าไม่ต้องกลายร่างเป็นยายแก่น่าเกลียดทุกครั้งที่มีบุรุษเห็นหน้าอีกต่อไป\"
              \"ฝ่าบาททรงตรัสว่าไงนะเพคะ\"  วิเรียถามอย่างไม่เชื่อหูตนเอง
              \"ข้าบอกว่าคำสาปในตัวข้ามันหายไปแล้ว\"
              \"จริงเหรอเพคะ!\"  นางเอ่ยด้วยความยินดี  \"งั้นก็เป็นข่าวดีที่สุดในรอบสามปีเลยนะเพคะ  หม่อมฉันขอแสดงความยินดีกับพระองค์ด้วย\"
              \"ขอบใจ\"  เมเดียสตรัสตอบ  พระโอษฐ์แย้มยิ้มอย่างเปิดเผย  \"ท่านรู้มั้ย  วันนี้ข้ารู้สึกสบายใจมากที่สุดเลย\"
              \"ว่าแต่คำสาปทำไมถึงหายไปได้ล่ะเพคะ  พ่อมดราอูลเปลี่ยนใจถอนคำสาปให้พระองค์แล้วหรือ\"
              \"เปล่า  ไม่ใช่เพราะราอูล  มันหายไปเอง\"
              \"งั้นก็น่าแปลกนะเพคะ\"  วิเรียนึกฉงน  \"แต่ยังไงมันก็หายไปแล้ว  ไม่ว่าจะเพราะอะไรมันก็เป็นเรื่องดี  งั้นหม่อมฉันจะไปป่าวประกาศให้ทุกคนในวังได้ทราบโดยทั่วกันนะเพคะ\"
              \"ตามใจท่านเถอะ\"  พระองค์ตรัสอย่างอารมณ์ดี
              ในเช้าวันนั้นข่าวเรื่องคำสาปของพระองค์ก็ถูกแพร่งพรายให้ทราบกันทั่วทั้งวัง  ไม่ว่าจะเป็นบรรดาทหาร  ราชองครักษ์  นางกำนัล  ข้าหลวง  หรือเหล่าเสนบดีในกรม  พอได้ทราบข่าวก็ต่างพากันมาเข้าเฝ้าแสดงความยินดีกันอย่างไม่ขาดสาย  บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่น  การที่กษัตริย์ของพวกเขาอารมณ์ดีแย้มยิ้มเบิกบานอยู่ตลอดเวลาพลอยทำให้เหล่าข้าราชบริพารหัวใจชุ่มชื้นตามไปด้วย
              ด้วยน้ำพระทัยขององค์เหนือหัว  ทำให้งานเลี้ยงในวังถูกเนรมิตขึ้นภายในสวนหย่อมของพระราชฐานชั้นนอก  ข้าราชบริพารต่างดื่มกินฉลองกันอย่างสนุกสนาน  พระองค์ประทานพระบรมราชานุญาตให้ทหารที่ต้องเข้าเวรมาร่วมวงได้เป็นครั้งคราว  แม้แต่นักโทษที่ต้องโทษจองจำจากความผิดสถานเบาก็ถูกปล่อยตัวให้กลับไปอยู่กับครอบครัวดังเดิม
              ค่ำคืนนี้เป็นบรรยากาศแห่งความสุขของเมเดียส  แต่กลับกลายเป็นความเศร้าหมองของใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปในสถานที่ลึกลับที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึงนอกจากเจ้าตัว
                                                                .............................................................
              ตอนสายของวันต่อมา  ภายในท้องพระโรงอันเป็นสถานที่สำหรับว่าราชการและการเข้าเฝ้าของบรรดาอคันตุกะ  ข้าหลวง  และราษฎร  เมเดียสเสด็จประทับยืนอยู่ที่หัวโต๊ะขณะกำลังหารือเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมืองกับพระมหาอุปราช  บรรดาขุนนาง  และเหล่าเสนบดีที่ยืนรายล้อมรอบโต๊ะตัวเดียวกัน  ระหว่างนั้นมีทหารนายหนึ่งมาเข้าเฝ้า  ทำให้การหารือนั้นต้องยุติลงชั่วคราว
              \"ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า  หม่อมฉันมีข่าวด่วนจากเมืองควาญย่าห์มากราบทูลพระองค์พะยะค่ะ\"
              \"ว่ามา\"
              \"สายของเรารายงานมาว่า  เมืองประเทศราชอย่างควาญย่าห์คิดเหิมเกริม  ฉวยโอกาสตอนที่เดเมี่ยนกำลังอ่อนล้าจากการรบกับเดอเพนเทียสซุ่มเตรียมกำลังพลมาบุกเดเมี่ยนในต้นเดือนหน้า  ทั้งยังแอบติดต่อกับประเทศราชอื่นๆ  ยุยงให้มาช่วยกันเสริมทัพเพื่อหวังโค่นเดเมี่ยนพะย่ะค่ะ\"
              \"เจ้าเฒ่าตากาลอสชักจะอวดดีเกินไปแล้ว\"  พระองค์คำราม  \"เห็นว่าเรายอมลดเครื่องราชบรรณาการให้เลยชักเอาใหญ่  ปล่อยไว้ไม่ได้\"
              \"ควาญย่าห์เป็นประเทศราชของเรามาตั้งแต่สมัยพระราชาแอเรียส  ไม่คิดเลยว่าจะกล้าคิดก่อกบฏเช่นนี้\"  เสนาบดีคนหนึ่งพูดขึ้น
              \"ฝ่าบาทจะทรงทำยังไงกับเรื่องนี้พะยะค่ะ\"  เสนาบดีอีกคนหันมาทูลถาม
              เมเดียสนิ่งเงียบอย่างครุ่นคิด  ก่อนจะหันไปบอกกับหนึ่งในเหล่าเสนาบดี  \"เจ้าจงสั่งการให้คนไปเตรียมรถม้ามาหนึ่งคัน  เอาแบบธรรมดาที่สุด  ข้าจะออกเดินทางไปเมืองควาญย่าห์ด้วยตัวเอง\"
              \"ฝ่าบาทจะเสด็จไปด้วยตัวเอง!?  มันเสี่ยงมากนะพะยะค่ะ  ฝ่าบาทเป็นถึงกษัตริย์เดเมี่ยน  ตากาลอสอาจจะถือโอกาสนี้จับฝ่าบาทเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับเดเมี่ยนหรือไม่ก็สังหารท่านทิ้งก็ได้\"
              พระองค์ยิ้มอย่างมีเลศนัย  \"ใครว่าเราจะไปในฐานะกษัตริย์เมเดียสกันล่ะ\" 
              ดำรัสจากองค์เหนือหัวทำให้เหล่าข้าราชบริพารพากันสงสัย
              \"แล้วฝ่าบาทจะไปในฐานะอะไร\"
              พระองค์ไม่ได้ตอบ  แต่หันไปหาหัวหน้าองครักษ์แทน
              \"แฮร์เรส  เตรียมราชองครักษ์ให้ข้าห้าคน  พรุ่งนี้ข้ากับเจ้าและเหล่าองครักษ์จะออกเดินทางไปเมืองควาญย่าห์แต่เช้ามืด\"
                                                                .............................................................
              \"ฝ่าบาทจะไปควาญย่าห์ด้วยฉลองพระองค์ชุดนี้จริงๆน่ะเหรอเพคะ\"  นางกำนัลคนสนิทเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจหลังจากที่ช่วยเมเดียสฉลองพระองค์เสร็จ 
              เมเดียสซึ่งกำลังทอดพระเนตรดูตนเองในชุดนางกำนัลจากกระจกเงาหันมาตรัสตอบ  \"ใช่  ข้าจะใส่ชุดนี้แหล่ะ  เพราะข้าจะไปเข้าเฝ้าเจ้าเฒ่าหัวงูนั่นในฐานะนางกำนัล\"
              \"เฒ่าหัวงู?  ฝ่าบาทหมายถึงกษัตริย์ตากาลอสแห่งควาญย่าห์\" 
              \"ก็มันนั่นแหล่ะจะมีใคร\"  พระองค์ตรัสอย่างนึกรังเกียจ  \"ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเฒ่านั่นไม่ยอมมีมเหสีเป็นตัวเป็นตน  แต่มีนางสนมจำนวนนับไม่ถ้วนจนสร้างเป็นฮาเร็มได้เลยล่ะมั้ง  อายุปาเข้าไป 50 แล้วยังไม่รู้จักเจียมสังขารตัวเอง\"
              \"ในเมื่อตากาลอสขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้แล้วเหตุใดฝ่าบาทถึงไปด้วยตนเองเล่าเพคะ\"  พินเซลเอ่ยถาม  \"รูปโฉมของฝ่าบาทเด่นสะดุดตาถึงเพียงนี้  เกรงว่าตากาลอสนั่นคงไม่นิ่งเฉยต่อฝ่าบาทแน่\"
              \"ก็นั่นล่ะคือสิ่งที่ข้าต้องการ\"
              \"เอ๋?\"  ดำรัสของเมเดียสทำให้นางฉงน
              \"เอาล่ะ  ได้เวลาแล้ว\"  เมเดียสตัดบท  หันมาแตะไหล่คนข้างกาย  \"อ้อ  พินเซล  ข้าต้องขอยืมชื่อของเจ้ามาใช้ชั่วคราวนะ\"
              ดำรัสของเมเดียสสร้างความฉงนให้นางกำนัลพินเซลเป็นครั้งที่สอง  ก่อนที่พระองค์จะเสด็จออกจากห้องแล้วตรงไปยังรถม้าที่จอดรออยู่ ณ ลานหน้าพระราชวัง
              \"ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่มั้ย  ถ้างั้นก็ออกเดินทางเถอะ\"
              หัวหน้าองครักษ์แฮร์เรสเดินมาเปิดประตูรถม้าให้เมเดียส  พระองค์จับมือของเขาที่ยื่นมาช่วยประคองก่อนจะก้าวขึ้นรถม้าไป  พอประทับประจำที่เรียบร้อยแล้วพระองค์ก็เปิดหน้าต่างชะโงกพระพักตร์ออกมาสั่งการกับพระมหาอุปราชที่มายืนส่งเสด็จ
              \"อุปราชซานตี  ข้าแต่งตั้งให้ท่านเป็นผู้แทนพระองค์ชั่วคราว  ระหว่างที่ข้าไม่อยู่จงทำหน้าที่แทนข้า  การตัดสินใจทุกอย่างเกี่ยวกับภาระบ้านเมืองจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจอันชาญฉลาดของท่าน  จงดำเนินการตามแต่ท่านจะเห็นสมควร\"
              มหาอุปราชซานตีค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม  \"ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงไว้ใจกระหม่อม  หม่อมฉันจะปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมิให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย  ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงวิตก\"
              \"ดีมาก\"  เมเดียสตรัส  ก่อนหันไปทางหัวหน้าองครักษ์  \"ออกเดินทางได้\"
              \"ทหาร..หน้าเดิน!\"
              สิ้นเสียงแฮร์เรส  รถม้าขนาดกลางก็เริ่มขยับเดินหน้าออกนอกกำแพงเมืองเพื่อจุดหมายปลายทางสู่เมืองประเทศราชควาญย่าห์  คณะเดินทางครั้งนี้ประกอบไปด้วยเมเดียสที่ทรงอยู่ในฐานะนางกำนัลประจำพระองค์  มีราชองครักษ์ควบม้านำขบวนเสด็จสองนาย  รั้งท้ายขบวนอีกสามนาย  และหัวหน้าองครักษ์แฮร์เรสคอยดูแลรับใช้ใกล้ชิดพระองค์ที่ข้างรถม้า
              เนื่องจากรถม้าที่เคลื่อนผ่านใจกลางเมืองเดเมี่ยนเป็นรถม้าแบบสามัญชน  ชาวบ้านสองข้างทางที่สวนผ่านไปมาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก  หากไม่บอกใครจะรู้ได้ว่าขบวนที่พวกเขาเห็นเป็นขบวนเสด็จของกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจแห่งเดเมี่ยน
                                                                .............................................................
              รถม้าเคลื่อนออกจากเดเมี่ยน  ผ่านดินแดนใกล้เคียงเมืองแล้วเมืองเล่า  ค่ำที่ไหนก็แวะพักแรมที่นั่น  จนกระทั่งมาถึงจุดหมายปลายทางในวันที่สามของการเดินทาง
              ประเทศควาญย่าห์  เป็นดินแดนลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์  แบ่งออกเป็นผืนดิน 60 เปอร์เซ็นต์  และน้ำอีก 40 เปอร์เซ็นต์  ราษฎรส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพชาวประมงและเกษตรกร  ถ้าเทียบกับเดเมี่ยนแล้ว  ควาญย่าห์มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเท่า  แต่ราษฎรที่อาศัยมีไม่มากไปกว่าเดเมี่ยนเท่าใดนัก 
              ตั้งแต่สมัยพระราชาแอเรียสทรงขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์ปกครองเดเมี่ยน  กษัตริย์ตากาลอสที่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ก็บุกมายกทัพโจมตีเพื่อหวังยึดครองดินแดนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสวนแห่งสวรรค์  แต่เพราะความเข็มแข็งในการปกครองและทรงมีพระปรีชาสามารถ  กษัตริย์แอเรียสจึงสามารถนำพาทหารกล้าไปพบกับชัยชนะเหนือควาญย่าห์  ตั้งแต่นั้นมาควาญย่าห์ก็กลายเป็นประเทศราชของเดเมี่ยน  และกษัตริย์ตากาลอสจะต้องสั่งเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่กษัตริย์แอเรียสทุกปีจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
              \"หยุดก่อน\"  ทหารหน้าด่านสั่งหยุดรถม้าเมื่อขบวนเสด็จมาถึงหน้าประตูเมือง  \"ดูจากการแต่งกายแล้วพวกเจ้าจะต้องเป็นคนต่างถิ่น  จงแจ้งมาเดี๋ยวนี้ว่าพวกเจ้าเป็นใคร  มาจากไหน  และมาทำอะไรที่ประเทศนี้\"
              \"พวกข้าคือองครักษ์แห่งเดเมี่ยน  และสตรีในเกวียนคือนางกำนัลผู้แทนพระองค์\"  แฮร์เรสกล่าวกับทหารยาม  \"พวกเรามาขอเข้าเฝ้ากษัตริย์ตากาลอส\"
              เมเดียสเปิดหน้าต่าง  ชะโงกพระพักตร์ออกมาส่งยิ้มหวานให้กับเหล่าทหารเฝ้าประตูเมือง  ทำให้อีกฝ่ายชะงักงันไปชั่วขณะกับใบหน้าที่งดงามราวกับเทพธิดา
              \"พวกเรามาเข้าเฝ้ากษัตริย์ตากาลอสในนามผู้แทนพระองค์  ถ้าพวกท่านไม่เชื่อจะตรวจสอบดูก็ได้\"  พระองค์ตรัสก่อนจะยื่นตราประจำราชวงศ์เดเมี่ยนให้กับทหารผู้เป็นหัวหน้าดู  \"นี่คือตราประจำราชวงศ์ซึ่งองค์เมเดียสมอบให้ไว้เพื่อเป็นเครื่องยืนยัน\"
              ทหารนายนั้นเพ่งพิศดูตรานั่นก่อนจะพยักหน้าแสดงความเชื่อ  เขาหันไปบอกให้ลูกน้องคนหนึ่งควบม้าเร็วไปกราบทูลตากาลอสถึงการมาของอคันตุกะ
              \"พวกเจ้าเข้าไปได้\"  เขาบอก  \"ข้าส่งม้าเร็วล่วงหน้าไปกราบทูลท่านตากาลอสไว้ก่อน  หากพวกท่านไปถึงประตูวังเมื่อไหร่จะมีคนออกมาต้อนรับ\"
              \"ขอบคุณพวกท่านมาก\"  เมเดียสยิ้มหวานให้อีกครั้งก่อนจะหดพระพักตร์กลับเข้าไปในรถม้าเหมือนเดิม
              ขบวนรถม้าแล่นผ่านไปแล้ว  แต่อีกครู่ใหญ่กว่าที่ทหารเฝ้าประตูเมืองทั้งหมดจะหายเคลิบเคลิ้มไปกับรอยยิ้มหวานบาดใจนั่น
              \"พวกแกว่าเจ้าพวกนั้นมาเข้าเฝ้าองค์เหนือหัวของเราทำไม\"  หัวหน้าทหารยามเอ่ยถามกับบรรดาลูกน้อง
              \"นางกำนัลจากเดเมี่ยนเลอโฉมออกขนาดนั้น  สงสัยเมเดียสคงส่งมาเป็นนางสนมให้กับท่านตากาลอสเพื่อเป็นของขวัญในการเจริญพระราชไมตรีแน่เลยท่าน\"
              \"จริงของเอ็ง  สวยๆแบบนั้นคงไม่พ้นมือท่านตากาลอสแน่  ข้าล่ะอิจฉาจริงจริ๊ง\"
              \"ชู่ว..อย่าเสียงดังไปท่าน  ถ้าเกิดมีใครมาได้ยินแล้วเอาไปทูลองค์ท่านล่ะก็  มีหวังหัวพวกเราได้หลุดจากบ่าแน่\"
              \"เออว่ะ  ข้าลืมตัวไปหน่อย\"  หัวหน้าทหารยามพูด  ก่อนจะถอนหายใจอย่างเสียดายเมื่อมองไปทางรถม้าที่แล่นห่างออกไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น