ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Curse of the Vampire

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 49



                       ปี ค.ศ.1806 

                       ท่ามกลางความมืดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เงียบเหงา  บนถนนร้างราผู้คนและสิ่งมีชีวิต  บ้านช่องตามสองข้างทางปิดไฟมืดสนิท  มีเพียงแสงสลัวจากไฟตามหัวมุมถนน  ผู้คนที่อาศัยในหมู่บ้านต่างพากันเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่ตะวันเริ่มตกดิน  ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านภายนอกในยามวิกาลถ้าไม่จำเป็น

                       ชายร่างท้วมในชุดคลุมสีดำวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาถึงหน้าบ้านแห่งหนึ่ง  เขาเคาะประตูแรงๆหลายครั้งเพื่อปลุกคนในบ้านให้ตื่น

                       รออยู่นานกว่าจะมีเสียงกระซิบเร็ดรอดออกมาจากด้านหลังประตู  "นั่นใคร?"

                       "ฉันเอง  ท่านผู้เฒ่า"

                       "เมแกนเรอะ?"  ชายชราเบื้องหลังประตูขานชื่อก่อนจะเปิดประตูรับชายที่อยู่ด้านนอกเข้ามาในบ้าน

                       เสื้อคลุมของชายร่างท้วมเปียกโชกจนน้ำหยดลงพื้นจนเปียกแฉะ  แต่เจ้าของบ้านหาได้ใส่ใจไม่

                       "มีธุระอะไรดึกดื่นป่านนี้"

                       "ข้าเจอแล้วท่านผู้เฒ่า  ข้าเจอมันแล้ว!"  เมแกนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีพลางหยิบหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู

                       ทันทีที่ผู้เฒ่าเกรย์แฮมเห็นก็ตาโต  "นั่นมัน...!"

                       ชายชราคว้ามันมาถือไว้  ลูบมันไปมาเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา  หนังสือเล่มหนาเตอะ  ปกสีดำสนิท  ไร้ลวดลาย  ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือตัวอักษรซักตัวบนหน้าปก  แม้ภายนอกมันจะดูเก่า  แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่สามารถดึงดูดสายตาให้คนที่พบเห็นอยากเปิดอ่านและครอบครอง

                       เกรย์แฮมเปิดหนังสือออกดูเพื่อความแน่ใจ  ด้านในมีตัวอักษรแปลกๆสีทองจารึกไว้  ตัวอักขระที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถอ่านออก  มันเป็นอำนาจและความสามารถพิเศษของตระกูลเบลเวอรี่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและสืบทอดไปสู่รุ่นต่อๆไปชั่วลูกชั่วหลาน  ตัวอักขระดังกล่าวจารึกไว้ในทุกหน้าของหนังสือยกเว้นหน้ากลางของเล่มที่เป็นกระดาษสีขาวว่างเปล่า  มีเพียงกรอบรูปสี่เหลี่ยมโล่งๆที่ก่อนหน้านั้นเคยมีรูปภาพรูปหนึ่งและตัวอักขระสีทองล้อมรอบ  แต่ในเวลานี้ภาพและตัวอักขระเหล่านั้นหายไป  แต่กรอบรูปที่ว่างเปล่านั้นยังคงรอการกลับมาของรูปภาพรูปเดิม

                       "เจ้าได้มาได้ยังไง"

                       "เพื่อนของข้าได้มาจากทรานซิลเวเนีย  มันถูกซ่อนอยู่ในหอสมุดเก่าแก่แห่งหนึ่ง"  เมแกนตอบ  "แล้วมันใช่ของจริงหรือเปล่าท่าน"

                       "ใช่แน่ไม่ผิดเพี้ยน  นี่แหล่ะคือสิ่งที่ข้าตามหามานาน"

                       "ถ้างั้นต่อไปนี้เรื่องร้ายๆในหมู่บ้านเราก็จะหายไปแล้วสิ"

                       "อย่าเพิ่งแน่ใจอะไร  ข้าต้องได้พบตัว 'มัน' ก่อน  จากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง"

                       "หมายความว่าไงท่านผู้เฒ่า  ก็ไหนท่านเคยบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถกำจัดเจ้าปีศาจนั่นได้ไงล่ะ"

                       "ไม่มีใครหรืออำนาจอะไรสามารถกำจัดมันได้  หนังสือเล่มนี้ทำได้แค่กักขังและสะกดพลังอำนาจมันไว้เท่านั้น"

                       "อ้าว  แล้วถ้าเจ้าปีศาจนั่นมันออกมาได้ล่ะ  ทีนี้พวกเราไม่แย่กันหมดเหรอ"

                       "อำนาจของหนังสือเล่มนี้มีมากกว่าอำนาจของมันหลายเท่า  การที่มันจะหลุดออกมาจากการสะกดไม่ใช่เรื่องง่าย  ยกเว้นแต่มีผู้ที่สามารถอ่านอักขระเหล่านี้ได้มาคลายสะกดปลดปล่อยอำนาจชั่วร้ายนั้นออกมาอีกครั้ง"

                       "แต่ก็ไม่มีใครอ่านออกนอกจากท่านไม่ใช่เหรอ"

                       "ใช่  แต่อย่าลืมว่าความสามารถนี้ปรากฏอยู่ในลูกหลานของตระกูลเบลเวอรี่ทุกรุ่น  ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น  หลังจากที่สะกดอำนาจชั่วร้ายนั่นได้แล้วเราต้องทำลายหนังสือเล่มนี้ทิ้งซะ"

                       "แล้วท่านจะลงมือเมื่อไหร่"

                       "ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น"  เกรย์แฮมบอกก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสนิทผ่านหน้าต่าง  "คืนพระจันทร์เต็มดวงอีกสามวันข้างหน้าเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด"


    .................................................


                       ท้องฟ้ามืดสนิทไร้ดวงดาวปกคลุม  ท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืนมีเพียงแสงนวลจากดวงจันทร์เต็มดวงสาดส่องให้ความสว่าง  บนถนนเต็มไปด้วยคบเพลิงพร้อมกับชาวบ้านนับร้อยที่เป็นชายวัยฉกรรจ์ที่พากันออกมาเดินขบวน  แต่ละคนต่างส่งเสียงเพื่อเรียกความฮึกเฮิม  กลบบรรดาความหวาดกลัวทั้งหลายที่เคยครอบงำคนในหมู่บ้านเหล่านี้มานานนับปี 

                       ผู้หญิงและเด็กยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านเช่นเคยเพราะเป็นคำสั่งจากผู้เฒ่าเกรย์แฮมซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน  พวกเธอและเด็กๆเหล่านั้นทำได้เพียงแค่ภาวนาให้ผู้เป็นที่รักที่ออกไปร่วมเดินขบวณนี้กลับมาอย่างรอดปลอดภัย  พวกเขาเคยสิ้นหวังมานานจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน  วันนี้ความหวังเล็กๆของพวกเขาได้จุดประกายขึ้นแล้ว

                       ชาวบ้านทั้งหมดหยุดเดินพร้อมกับที่ผู้เฒ่าเกรย์แฮมที่เดินอยู่หน้าสุดยกมือขึ้นให้สัญญาน  ในมือเขาถือหนังสือเล่มสีดำมากอดไว้แนบอก  เพ่งมองผ่านความมืดไปยังตรอกข้างหน้า  ครู่หนึ่งที่เกิดความเงียบ  ก่อนจะมีลมแรงจัดพัดมาวูบหนึ่งจนคบเพลิงในมือของชาวบ้านดับหมด  บรรยากาศรอบด้านมืดลงในทันใด  เหลือเพียงแสงสลัวจากพระจันทร์ที่ยังส่องสว่างอยู่เบื้องบน  เสียงอื้ออึงจากผู้คนเริ่มดังขึ้น  และอากาศก็เย็นลงอย่างกะทันหันจนพากันยกมือขึ้นกอดตัวเอง

                       "เฒ่าเกรย์แฮม  ดึกดื่นป่านนี้ทำไมถึงไม่มุดหัวหลบอยู่ในบ้านดังเช่นทุกวันเล่า"

                       ทันทีที่เสียงเยือกเย็นดังขึ้นฝ่าความมืดในตรอกเบื้องหน้า  ชาวบ้านที่ยืนอยู่หลังผู้เฒ่าพากันถอยกรูด  เกาะกลุ่มเบียดกันเป็นกระจุก  ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว  บางคนก็วิ่งหนีกลับบ้านอย่างขวัญหนีดีฝ่อ

                       บุรุษลึกลับในชุดดำก้าวออกมาจากความมืด  ในอ้อมแขนมีร่างหญิงสาวนอนแน่นิ่งไร้สติอยู่  เขาปล่อยร่างนั้นลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี  แสงสลัวพอทำให้เห็นว่าที่ลำคอของหญิงสาวดังกล่าวมีร่องรอยถูกกัดและคราบเลือดที่เปรอะเปื้อน  สีหน้าของเธอซีดไร้สีเลือด  เธอเสียชีวิตแล้วเนื่องจากโดนสูบเลือดจนหมดตัว!

                       "ลูซิล  เจ้าคร่าชีวิตผู้หญิงในหมู่บ้านนี้ไปกว่าร้อยรายแล้ว  วันนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้ทำตามใจชอบอีกแล้ว"  เกรย์แฮมตะโกนกลับไป

                       เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังมาจากบุรุษลึกลับ  เขาแสยะยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวสีเงินคมกริบ  "น่าขำ  คนแก่เตรียมละสังขารอย่างเจ้าจะเอาอะไรมาหยุดข้า"

                       "จัดการมันเลยผู้เฒ่า  อย่ามัวชักช้า"  เมแกนที่ก้าวมายืนข้างๆชายชราพูดขึ้น

                       นับเป็นความผิดพลาดของเมแกนอย่างแรง  บุรุษลึกลับนามลูซิลละความสนใจจากเกรย์แฮมหันมาจ้องคนปากกล้าเจ้าของวาจาสามหาวแทน  และวินาทีนั้นเองก็เหมือนมีมีดที่มองไม่เห็นกำลังกรีดร่างของเมแกนจนเป็นรอยแผลลึกไปทั่วทั้งตัว  เจ้าตัวกรีดเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด  เลือดสดๆหลั่งรินอาบทั่วร่าง  กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน  ภาพที่สยดสยองตรงหน้าเรียกความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านจนบางส่วนพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายหายเข้าไปในความมืด

                       "เมแกน!"  เกรย์แฮมร้องเรียกด้วยความตกใจ  วิ่งเข้าไปดูร่างของคนสนิทที่นอนทุรนทุรายอยู่บนพื้น  "เจ้าเป็นยังไงบ้าง  ทำใจดีๆไว้นะ"

                       "ท่าน..."  เสียงที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบาก  รับรู้ว่าตนเองไม่อาจทนพิษบาดแผลได้อีกต่อไป  "ช่วย..พวกเรา..ช่วยหมู่บ้านนี้ด้วย..."

                       สิ้นคำสั่งลาร่างของเมแกนก็แน่นิ่ง  ท่ามกลางความเศร้าสลดของชาวบ้าน  เกรย์แฮมวางร่างอีกฝ่ายลงกับพื้น  ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับปีศาจใจโฉด

                       "ต้องโทษคนของเจ้าที่รนหาที่เอง"  ลูซิลกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยม

                       "เจ้าปีศาจ!  เจ้ามันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว"  เกรย์แฮมต่อว่าอย่างเหลืออด

                       "เรื่องนั้นข้าไม่เถียง  เพราะข้าก็เป็นปีศาจอย่างที่เจ้ากล่าวหาจริงๆ"  ลูซิลบอก  กวาดสายตาไปยังชาวบ้านที่เหลืออยู่  "พวกเจ้านี่โง่ซะจริง  เชื่อคำยุของไอ้แก่นี่เพื่อมาหาที่ตายชัดๆ"

                       "เจ้าพูดผิดแล้วลูซิล  ข้าไม่ได้ยุยงซักนิด  พวกเขาอาสามาเองด้วยความเต็มใจเพื่อหวังจะช่วยกันขับไล่เจ้าให้กลับลงนรก!"

                       เสียงหัวเราะบาดหูดังขึ้นจากลูซิล  รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นที่มุมปาก  "ขับไล่งั้นเรอะ?  คนแก่อย่างเจ้าเริ่มพูดจาเลอะเลือนขึ้นทุกวัน  ข้าว่าเจ้าเอาเวลาเพ้อเจ้อของเจ้ามาหาทางหนีทีไล่จะดีกว่า"

                       ลมกรรโชกแรงขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้พัดพาเอาร่างของชาวบ้านหลายคนปลิวว่อนไป  เกรย์แฮมยึดเสาที่ริมถนนไว้แน่น  ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าที่ลมจะสงบลง  เปิดโอกาสให้เขาลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ

                       "ข้าหรือเจ้ากันแน่ที่เพ้อเจ้อ  เดี๋ยวก็ได้รู้กัน"  ขาดคำเกรย์แฮมก็คว้าหนังสือปกสีดำออกมาจากในเสื้อ  เขากางหนังสือออก  หันหน้ากลางของหนังสือเข้าหาอีกฝ่ายแล้วเริ่มร่ายอักขระที่อยู่ในหนังสือ

                       "แก!" 

                       ลูซิลตาเบิ่งกว้าง  เขาไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีหนังสือเล่มนั้นอยู่ในมือ  หนังสือที่เคยสะกดเขาไว้แล้วมีผู้ละโมบในอำนาจซึ่งขายวิญญาณให้กับปีศาจปลดปล่อยเขาออกมา

                       เมื่อคิดว่าตนเองจะถูกดูดกลับเข้าไปอีกครั้งลูซิลก็ยกแขนขึ้นป้องศีรษะตามสัญชาตญาน  ครู่หนึ่งผ่านไปที่เกรย์แฮมร่ายจบ  เกิดความเงียบขึ้น  เหตุการณ์รอบด้านไม่มีการเปลี่ยนแปลง  และลูซิลก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม

                       ชาวบ้านพากันตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น  แม้แต่เกรย์แฮมเองก็งุนงง  ทั้งๆที่มั่นใจว่าเขาร่ายคาถาไม่ผิด  แล้วเหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

                       ลูซิลลดแขนตนเองลงช้าๆ  เขาเองก็แปลกใจที่ตนเองยังคงยืนอยู่ที่เดิม  ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง  ก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างผู้ชนะ

                       "แหกตาดูบนฟ้าสิ  เจ้าพวกโง่!"

                       เกรย์แฮมแหงนหน้าขึ้นมองตามคำบอก  พระจันทร์ในเวลานี้ถูกบดบังด้วยเมฆดำ  เป็นเหตุให้คาถาที่เขาร่ายไม่บังเกิดผล  เพราะการสะกดปีศาจราตรีนั้น  นอกจากหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้แล้ว  ต้องอาศัยแสงของพระจันทร์เต็มดวง

                       บ้าชะมัด!  ทำไมเมฆต้องมาบังเอาตอนนี้ด้วยนะ

                       เกรย์แฮมสบถในใจ

                       "เสียใจด้วยนะ  แผนการของเจ้าล้มเหลวเสียแล้ว"  ลูซิลเอ่ยเสียงเหี้ยม  ดวงตาสีดำสนิทของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานวาวโรจน์  "ทีนี้ตาข้าบ้างล่ะ"

                       เพียงแค่ปัดมือเบาๆร่างของเกรย์แฮมก็ลอยหวือไปกระแทกกำแพงด้านข้างทันที  ไม่เพียงแค่นั้น  ลูซิลโบกมือกลับอีกครั้งร่างของเกรย์แฮมก็ลอยไปกระแทกกำแพงของอีกฝั่ง  ก่อนจะถูกปล่อยให้ตกลงบนพื้นในสภาพบอบช้ำ  หนังสือปกดำที่หลุดจากมือของเกรย์แฮมถูกเรียกโดยพลังของลูซิล  มันลอยขึ้นจากพื้น  ก่อนเข้ามาอยู่ในมือของเขาช้าๆ

                       "ถ้าไม่มีมันก็ไม่มีใครทำอะไรข้าได้"  

                       ทันใดนั้นเองหนังสือในมือของลูซิลก็ติดไฟ  เปลวเพลิงสีแดงฉานกำลังลุกไหม้หนังสือต่อหน้าต่อตาทุกคน

                       "ไม่!"  เกรย์แฮมตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง  ชันแขนด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดขึ้นมองอีกฝ่ายที่โยนหนังสือที่ลุกใหม้ทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจด้วยความสิ้นหวัง

                       จบแล้ว... ความพยายามที่เขาค้นหาหนังสือเล่มนั้นมากว่าหลายสิบปีต้องล้มเหลวภายในเวลาไม่วินาที  เขาพลาดเสียแล้ว  เขาไม่อาจปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ได้

                       เมฆดำที่บดบังดวงจันทร์เริ่มคลายตัวลง  แสงจันทร์ของพระจันทร์เต็มดวงสาดส่องมายังเหตุการณ์เบื้องล่างได้เต็มที่  เผยให้เห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวของชาวบ้าน  ความหวังอันน้อยนิดของพวกเขาถูกทำลายลงแล้ว  ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หนีเอาตัวรอด

                       แต่ละคนพากันวิ่งหนีเตลิดให้ไกลที่สุด  แต่ลูซิลไม่ยอมปล่อยให้มีคนหลุดรอดออกไปได้  เพียงแค่เขาดีดนิ้วทีเดียวกระจกตามบานหน้าต่างของบ้านและตึกสูงข้างทางก็แตกกระจายออก  ก่อนเศษกระจกเหล่านั้นจะลอยละลิ่วพุ่งตรงไปปักร่างของชาวบ้านที่พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอด  แต่ละคนทยอยกันทรุดลงไปกองกับพื้น  เลือดสีแดงข้นหลั่งนองพื้นถนน  เสียงกรีดร้องร่ำไห้ดังระงม  เสียงแห่งความสิ้นหวังที่ดังไปทั่วหมู่บ้านเรียกความตื่นกลัวให้ผู้คนที่หลบอาศัยอยู่ภายใน

                       เด็กหนุ่มวัยสิบห้าคนหนึ่งก้มมองร่างของชายวัยกลางคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น  บนหลังและตามตัวเต็มไปด้วยเศษกระจกที่ปักฝังอยู่บนร่าง

                       "พ่อ..."  เขาพร่ำเรียกผู้เป็นพ่อที่บัดนี้สิ้นลมหายใจอยู่ตรงหน้า  ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจและโกรธแค้น  ดวงตาแห่งความเกลียดชังจ้องไปยังคนทำ

                       ลูซิลรู้สึกถึงกระแสแห่งความโกรธแค้นพุ่งตรงมายังเขาจึงหันไปยังที่มา  ก่อนจะสบตากับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง  ขณะนั้นเองที่ลูซิลรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากตัวเด็กนั่น  ก่อนเขาจะรู้ว่าคืออะไรร่างของเด็กก็วิ่งตรงเข้าใส่เขาแล้ว 

                       ลูซิลใช้พลังปัดร่างของเด็กชายคนนั้นให้กระเด็นไปทางด้านหลังก่อนเจ้าตัวจะเข้ามาถึงตัวเขาได้ทันท่วงที  พออีกฝ่ายทรุดตัวลงไปกองกับพื้นลูซิลก็ก้าวสามขุมเข้าไปหาทันที

                       "หยุดนะลูซิล  เจ้าคิดจะทำร้ายแม้กระทั่งเด็กที่ไม่มีทางสู้รึไง  เจ้าเศษสวะขี้ขลาด!"

                       ลูซิลชะงัก  หันกลับมามองต้นเสียงทันที  ส่วนเด็กชายคนนั้นค่อยๆพยุงตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล  ก่อนสายตาจะหันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่บนพื้นเบื้องหน้า

                       "ไอ้แก่น่าสมเพช  จะตายอยู่แล้วยังทำปากดีอีกนะ  ตายช้าๆไม่ชอบชอบตายเร็วๆใช่มั้ย  ได้  ข้าจะทำให้เจ้าได้สมหวังเดี๋ยวนี้แหล่ะ"

                       ลูซิลเปลี่ยนเป้าหมายไปหาเกรย์แฮมแทน  เขาก้าวเข้าไปหาร่างชายชราที่นอนหมอบอยู่บนพื้นเพราะความบอบช้ำ  แต่ยังไม่ทันถึงตัวเสียงตะโกนจากด้านหลังก็ดังขึ้น

                       "ไอ้ปีศาจ!"

                       ลูซิลหันขวับกลับไปมอง  ก่อนจะเบิ่งตากว้างอย่างคาดไม่ถึงเมื่อในมือของเด็กคนนั้นมีหนังสือที่เขาคิดว่าถูกเผาไปแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่าสภาพของมันเหมือนไม่มีร่องรอยของการไหม้เลยซักนิด

                       "แกลืมอะไรไปรึเปล่า"  เด็กหนุ่มตะโกนขึ้น 

                       ก่อนที่ลูซิลจะได้ทันตั้งตัว  หนังสือเล่มดังกล่าวก็ถูกโยนข้ามหัวลอยละลิ่วไปเข้ามือของเกรย์แฮม  ชายชราไม่รอช้า  เปิดหนังสือไปหน้ากลางอีกครั้งแล้วเริ่มร่ายคาถาทันที

                       "ไม่!!"

                       สายไปแล้วสำหรับลูซิล  ด้วยความชะล่าใจทำให้เขาเสียท่าต่อเด็กหนุ่มที่เขาคิดว่าไม่เคยอยู่ในสายตา  ร่างทั้งร่างเหมือนจะถูกฉีก  ก่อนพลังงานมหาศาลจะพยายามดูดเขาให้เข้าไปในหนังสือ  เสียงร่ายมนต์จากปากของเกรย์แฮมตรึงเขาไว้ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้  สุดท้ายร่างของเขาก็เริ่มสลายกลายเป็นเพียงกลุ่มหมอกควันและถูดดูดหายเข้าไปในหนังสือพร้อมๆกับที่เกรย์แฮมร่ายคาถาจบ

                       เหตุการณ์ลุ้นระทึกสิ้นสุดลงเหลือเพียงความเงียบงัน  แสงสลัวของพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าสาดส่องลงมาบนพื้นถนนทำให้เห็นถึงร่องรอยของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำมือปีศาจ

                       หนังสือตกลงบนพื้นพร้อมๆกับที่ร่างของเกรย์แฮมทรุดฮวบ  เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปหา  ช่วยพยุงร่างชายชราให้ลุกขึ้นช้าๆ

                       "เป็นยังไงบ้างท่านผู้เฒ่า"

                       "ข้าไม่เป็นไร  ขอบใจ"  เกรย์แฮมตอบ  หันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาไว้  "แล้วเจ้าล่ะ"

                       "ข้าไม่เป็นไร  แค่ถลอกนิดหน่อย"  เขาตอบพลางสำรวจรอยแผลตามแขนขาของตัวเอง

                       "เจ้าชื่ออะไรหนุ่มน้อย"

                       "โจเซ่  ฟัลคอน"

                       "โจเซ่  ข้าจะไม่ลืมว่าเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้"  เกรย์แฮมพูดพลางก้มเก็บหนังสือที่ตกอยู่  "ข้าสงสัยซะจริงว่าทำไมหนังสือถึงไม่ถูกเผา  ทั้งที่ๆข้าก็เห็นกับตาว่ามันลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงของลูซิล"

                       "บางทีหนังสือเล่มนี้อาจจะศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่ปีศาจอย่างลูซิลจะทำลายก็ได้"  หนุ่มน้อยโจเซ่ให้ความเห็น  "แล้วท่านจะทำยังไงกับมัน"

                       "ก็คงต้องทำลายทิ้ง  ข้าจะปล่อยให้หนังสือเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นและลูกหลานของข้าไม่ได้"

                       หลังจากนั้นเกรย์แฮมก็สั่งให้ชาวบ้านคนหนึ่งในจำนวนที่ยังรอดชีวิตจุดคบเพลิงขึ้น  ก่อนจะนำมาจ่อที่หนังสือ  เปลวไฟลุกโชติช่วงครอบคลุมหนังสือไว้  พวกเขาเฝ้ารอจนไฟดับมอดไป  แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นสภาพคงเดิมของหนังสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน

                       "ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ!"  ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น

                       "ข้าเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าหนังสืออาถรรพ์เล่มนี้ไม่สามารถทำลายได้"  เกรย์แฮมบอกอย่างหนักใจ

                       "มิน่าตอนที่เจ้าปีศาจนั่นเผามันถึงไม่ไหม้ไฟ"

                       "แล้วจะทำยังไงดีล่ะท่าน"

                       "หนังสือเล่มนี้หากตกไปอยู่ในมือผู้อื่นจะเป็นอันตราย  อำนาจชั่วร้ายในหนังสืออาจจะครอบงำผู้ที่ครอบครองมันได้  ดังนั้นข้าจะเก็บไว้เอง"

                       หนุ่มน้อยโจเซ่ก้มลงมองหนังสือปกดำที่อยู่บนพื้น  ลงเบาพัดมาวูบหนึ่งจนหน้ากระดาษปลิวมาหยุดอยู่ที่หน้ากลางสุดของหนังสือ  กรอบรูปที่เคยว่างเปล่าบัดนี้ข้างในมีรูปวาดของบุรุษแห่งความหายนะที่มีปีกสีดำสยาย  รูปภาพของมันสงบนิ่ง  ถ้าดูผิวเผินเหมือนเป็นรูปวาดธรรมดา  แต่ตัวอักระสีทองที่จารึกไว้รอบๆทำให้มันดูมีมนต์ขลังและศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด

                       เด็กหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของรูปภาพ  แว่บหนึ่งที่เขาคิดว่าแววตาของมันส่องประกายวาวโรจน์  แต่เมื่อเขาเพ่งดูดีๆกลับไม่พบความผิดปกติ  เขาส่ายหน้าพลางตำหนิตัวเองว่าเลอะเลือนจนตาฝาด  ก่อนจะละความสนใจจากหนังสือเล่มนั้นไป

                       เกรย์แฮมตัดสินใจเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้  และมันก็กลายเป็นสมบัติต้องห้ามที่ตกทอดกันมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานในอีกนับร้อยปี


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×