คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
ปี ค.ศ.1806
ท่ามกลางความมืดในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่เงียบเหงา บนถนนร้างราผู้คนและสิ่งมีชีวิต บ้านช่องตามสองข้างทางปิดไฟมืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากไฟตามหัวมุมถนน ผู้คนที่อาศัยในหมู่บ้านต่างพากันเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่ตะวันเริ่มตกดิน ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านภายนอกในยามวิกาลถ้าไม่จำเป็น
ชายร่างท้วมในชุดคลุมสีดำวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาถึงหน้าบ้านแห่งหนึ่ง เขาเคาะประตูแรงๆหลายครั้งเพื่อปลุกคนในบ้านให้ตื่น
รออยู่นานกว่าจะมีเสียงกระซิบเร็ดรอดออกมาจากด้านหลังประตู "นั่นใคร?"
"ฉันเอง ท่านผู้เฒ่า"
"เมแกนเรอะ?" ชายชราเบื้องหลังประตูขานชื่อก่อนจะเปิดประตูรับชายที่อยู่ด้านนอกเข้ามาในบ้าน
เสื้อคลุมของชายร่างท้วมเปียกโชกจนน้ำหยดลงพื้นจนเปียกแฉะ แต่เจ้าของบ้านหาได้ใส่ใจไม่
"มีธุระอะไรดึกดื่นป่านนี้"
"ข้าเจอแล้วท่านผู้เฒ่า ข้าเจอมันแล้ว!" เมแกนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดีพลางหยิบหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู
ทันทีที่ผู้เฒ่าเกรย์แฮมเห็นก็ตาโต "นั่นมัน...!"
ชายชราคว้ามันมาถือไว้ ลูบมันไปมาเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา หนังสือเล่มหนาเตอะ ปกสีดำสนิท ไร้ลวดลาย ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือตัวอักษรซักตัวบนหน้าปก แม้ภายนอกมันจะดูเก่า แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างที่สามารถดึงดูดสายตาให้คนที่พบเห็นอยากเปิดอ่านและครอบครอง
เกรย์แฮมเปิดหนังสือออกดูเพื่อความแน่ใจ ด้านในมีตัวอักษรแปลกๆสีทองจารึกไว้ ตัวอักขระที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถอ่านออก มันเป็นอำนาจและความสามารถพิเศษของตระกูลเบลเวอรี่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดและสืบทอดไปสู่รุ่นต่อๆไปชั่วลูกชั่วหลาน ตัวอักขระดังกล่าวจารึกไว้ในทุกหน้าของหนังสือยกเว้นหน้ากลางของเล่มที่เป็นกระดาษสีขาวว่างเปล่า มีเพียงกรอบรูปสี่เหลี่ยมโล่งๆที่ก่อนหน้านั้นเคยมีรูปภาพรูปหนึ่งและตัวอักขระสีทองล้อมรอบ แต่ในเวลานี้ภาพและตัวอักขระเหล่านั้นหายไป แต่กรอบรูปที่ว่างเปล่านั้นยังคงรอการกลับมาของรูปภาพรูปเดิม
"เจ้าได้มาได้ยังไง"
"เพื่อนของข้าได้มาจากทรานซิลเวเนีย มันถูกซ่อนอยู่ในหอสมุดเก่าแก่แห่งหนึ่ง" เมแกนตอบ "แล้วมันใช่ของจริงหรือเปล่าท่าน"
"ใช่แน่ไม่ผิดเพี้ยน นี่แหล่ะคือสิ่งที่ข้าตามหามานาน"
"ถ้างั้นต่อไปนี้เรื่องร้ายๆในหมู่บ้านเราก็จะหายไปแล้วสิ"
"อย่าเพิ่งแน่ใจอะไร ข้าต้องได้พบตัว 'มัน' ก่อน จากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง"
"หมายความว่าไงท่านผู้เฒ่า ก็ไหนท่านเคยบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นวิธีเดียวที่จะสามารถกำจัดเจ้าปีศาจนั่นได้ไงล่ะ"
"ไม่มีใครหรืออำนาจอะไรสามารถกำจัดมันได้ หนังสือเล่มนี้ทำได้แค่กักขังและสะกดพลังอำนาจมันไว้เท่านั้น"
"อ้าว แล้วถ้าเจ้าปีศาจนั่นมันออกมาได้ล่ะ ทีนี้พวกเราไม่แย่กันหมดเหรอ"
"อำนาจของหนังสือเล่มนี้มีมากกว่าอำนาจของมันหลายเท่า การที่มันจะหลุดออกมาจากการสะกดไม่ใช่เรื่องง่าย ยกเว้นแต่มีผู้ที่สามารถอ่านอักขระเหล่านี้ได้มาคลายสะกดปลดปล่อยอำนาจชั่วร้ายนั้นออกมาอีกครั้ง"
"แต่ก็ไม่มีใครอ่านออกนอกจากท่านไม่ใช่เหรอ"
"ใช่ แต่อย่าลืมว่าความสามารถนี้ปรากฏอยู่ในลูกหลานของตระกูลเบลเวอรี่ทุกรุ่น ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น หลังจากที่สะกดอำนาจชั่วร้ายนั่นได้แล้วเราต้องทำลายหนังสือเล่มนี้ทิ้งซะ"
"แล้วท่านจะลงมือเมื่อไหร่"
"ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น" เกรย์แฮมบอกก่อนจะแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มืดสนิทผ่านหน้าต่าง "คืนพระจันทร์เต็มดวงอีกสามวันข้างหน้าเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด"
.................................................
ท้องฟ้ามืดสนิทไร้ดวงดาวปกคลุม ท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืนมีเพียงแสงนวลจากดวงจันทร์เต็มดวงสาดส่องให้ความสว่าง บนถนนเต็มไปด้วยคบเพลิงพร้อมกับชาวบ้านนับร้อยที่เป็นชายวัยฉกรรจ์ที่พากันออกมาเดินขบวน แต่ละคนต่างส่งเสียงเพื่อเรียกความฮึกเฮิม กลบบรรดาความหวาดกลัวทั้งหลายที่เคยครอบงำคนในหมู่บ้านเหล่านี้มานานนับปี
ผู้หญิงและเด็กยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านเช่นเคยเพราะเป็นคำสั่งจากผู้เฒ่าเกรย์แฮมซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเธอและเด็กๆเหล่านั้นทำได้เพียงแค่ภาวนาให้ผู้เป็นที่รักที่ออกไปร่วมเดินขบวณนี้กลับมาอย่างรอดปลอดภัย พวกเขาเคยสิ้นหวังมานานจากเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน วันนี้ความหวังเล็กๆของพวกเขาได้จุดประกายขึ้นแล้ว
ชาวบ้านทั้งหมดหยุดเดินพร้อมกับที่ผู้เฒ่าเกรย์แฮมที่เดินอยู่หน้าสุดยกมือขึ้นให้สัญญาน ในมือเขาถือหนังสือเล่มสีดำมากอดไว้แนบอก เพ่งมองผ่านความมืดไปยังตรอกข้างหน้า ครู่หนึ่งที่เกิดความเงียบ ก่อนจะมีลมแรงจัดพัดมาวูบหนึ่งจนคบเพลิงในมือของชาวบ้านดับหมด บรรยากาศรอบด้านมืดลงในทันใด เหลือเพียงแสงสลัวจากพระจันทร์ที่ยังส่องสว่างอยู่เบื้องบน เสียงอื้ออึงจากผู้คนเริ่มดังขึ้น และอากาศก็เย็นลงอย่างกะทันหันจนพากันยกมือขึ้นกอดตัวเอง
"เฒ่าเกรย์แฮม ดึกดื่นป่านนี้ทำไมถึงไม่มุดหัวหลบอยู่ในบ้านดังเช่นทุกวันเล่า"
ทันทีที่เสียงเยือกเย็นดังขึ้นฝ่าความมืดในตรอกเบื้องหน้า ชาวบ้านที่ยืนอยู่หลังผู้เฒ่าพากันถอยกรูด เกาะกลุ่มเบียดกันเป็นกระจุก ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว บางคนก็วิ่งหนีกลับบ้านอย่างขวัญหนีดีฝ่อ
บุรุษลึกลับในชุดดำก้าวออกมาจากความมืด ในอ้อมแขนมีร่างหญิงสาวนอนแน่นิ่งไร้สติอยู่ เขาปล่อยร่างนั้นลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี แสงสลัวพอทำให้เห็นว่าที่ลำคอของหญิงสาวดังกล่าวมีร่องรอยถูกกัดและคราบเลือดที่เปรอะเปื้อน สีหน้าของเธอซีดไร้สีเลือด เธอเสียชีวิตแล้วเนื่องจากโดนสูบเลือดจนหมดตัว!
"ลูซิล เจ้าคร่าชีวิตผู้หญิงในหมู่บ้านนี้ไปกว่าร้อยรายแล้ว วันนี้ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้ทำตามใจชอบอีกแล้ว" เกรย์แฮมตะโกนกลับไป
เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังมาจากบุรุษลึกลับ เขาแสยะยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวสีเงินคมกริบ "น่าขำ คนแก่เตรียมละสังขารอย่างเจ้าจะเอาอะไรมาหยุดข้า"
"จัดการมันเลยผู้เฒ่า อย่ามัวชักช้า" เมแกนที่ก้าวมายืนข้างๆชายชราพูดขึ้น
นับเป็นความผิดพลาดของเมแกนอย่างแรง บุรุษลึกลับนามลูซิลละความสนใจจากเกรย์แฮมหันมาจ้องคนปากกล้าเจ้าของวาจาสามหาวแทน และวินาทีนั้นเองก็เหมือนมีมีดที่มองไม่เห็นกำลังกรีดร่างของเมแกนจนเป็นรอยแผลลึกไปทั่วทั้งตัว เจ้าตัวกรีดเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เลือดสดๆหลั่งรินอาบทั่วร่าง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน ภาพที่สยดสยองตรงหน้าเรียกความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านจนบางส่วนพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายหายเข้าไปในความมืด
"เมแกน!" เกรย์แฮมร้องเรียกด้วยความตกใจ วิ่งเข้าไปดูร่างของคนสนิทที่นอนทุรนทุรายอยู่บนพื้น "เจ้าเป็นยังไงบ้าง ทำใจดีๆไว้นะ"
"ท่าน..." เสียงที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบาก รับรู้ว่าตนเองไม่อาจทนพิษบาดแผลได้อีกต่อไป "ช่วย..พวกเรา..ช่วยหมู่บ้านนี้ด้วย..."
สิ้นคำสั่งลาร่างของเมแกนก็แน่นิ่ง ท่ามกลางความเศร้าสลดของชาวบ้าน เกรย์แฮมวางร่างอีกฝ่ายลงกับพื้น ลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับปีศาจใจโฉด
"ต้องโทษคนของเจ้าที่รนหาที่เอง" ลูซิลกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเหี้ยม
"เจ้าปีศาจ! เจ้ามันโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว" เกรย์แฮมต่อว่าอย่างเหลืออด
"เรื่องนั้นข้าไม่เถียง เพราะข้าก็เป็นปีศาจอย่างที่เจ้ากล่าวหาจริงๆ" ลูซิลบอก กวาดสายตาไปยังชาวบ้านที่เหลืออยู่ "พวกเจ้านี่โง่ซะจริง เชื่อคำยุของไอ้แก่นี่เพื่อมาหาที่ตายชัดๆ"
"เจ้าพูดผิดแล้วลูซิล ข้าไม่ได้ยุยงซักนิด พวกเขาอาสามาเองด้วยความเต็มใจเพื่อหวังจะช่วยกันขับไล่เจ้าให้กลับลงนรก!"
เสียงหัวเราะบาดหูดังขึ้นจากลูซิล รอยยิ้มเหี้ยมปรากฏขึ้นที่มุมปาก "ขับไล่งั้นเรอะ? คนแก่อย่างเจ้าเริ่มพูดจาเลอะเลือนขึ้นทุกวัน ข้าว่าเจ้าเอาเวลาเพ้อเจ้อของเจ้ามาหาทางหนีทีไล่จะดีกว่า"
ลมกรรโชกแรงขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้พัดพาเอาร่างของชาวบ้านหลายคนปลิวว่อนไป เกรย์แฮมยึดเสาที่ริมถนนไว้แน่น ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าที่ลมจะสงบลง เปิดโอกาสให้เขาลงมือทำในสิ่งที่ควรทำ
"ข้าหรือเจ้ากันแน่ที่เพ้อเจ้อ เดี๋ยวก็ได้รู้กัน" ขาดคำเกรย์แฮมก็คว้าหนังสือปกสีดำออกมาจากในเสื้อ เขากางหนังสือออก หันหน้ากลางของหนังสือเข้าหาอีกฝ่ายแล้วเริ่มร่ายอักขระที่อยู่ในหนังสือ
"แก!"
ลูซิลตาเบิ่งกว้าง เขาไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีหนังสือเล่มนั้นอยู่ในมือ หนังสือที่เคยสะกดเขาไว้แล้วมีผู้ละโมบในอำนาจซึ่งขายวิญญาณให้กับปีศาจปลดปล่อยเขาออกมา
เมื่อคิดว่าตนเองจะถูกดูดกลับเข้าไปอีกครั้งลูซิลก็ยกแขนขึ้นป้องศีรษะตามสัญชาตญาน ครู่หนึ่งผ่านไปที่เกรย์แฮมร่ายจบ เกิดความเงียบขึ้น เหตุการณ์รอบด้านไม่มีการเปลี่ยนแปลง และลูซิลก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ชาวบ้านพากันตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้แต่เกรย์แฮมเองก็งุนงง ทั้งๆที่มั่นใจว่าเขาร่ายคาถาไม่ผิด แล้วเหตุใดถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ลูซิลลดแขนตนเองลงช้าๆ เขาเองก็แปลกใจที่ตนเองยังคงยืนอยู่ที่เดิม ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างผู้ชนะ
"แหกตาดูบนฟ้าสิ เจ้าพวกโง่!"
เกรย์แฮมแหงนหน้าขึ้นมองตามคำบอก พระจันทร์ในเวลานี้ถูกบดบังด้วยเมฆดำ เป็นเหตุให้คาถาที่เขาร่ายไม่บังเกิดผล เพราะการสะกดปีศาจราตรีนั้น นอกจากหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้แล้ว ต้องอาศัยแสงของพระจันทร์เต็มดวง
บ้าชะมัด! ทำไมเมฆต้องมาบังเอาตอนนี้ด้วยนะ
เกรย์แฮมสบถในใจ
"เสียใจด้วยนะ แผนการของเจ้าล้มเหลวเสียแล้ว" ลูซิลเอ่ยเสียงเหี้ยม ดวงตาสีดำสนิทของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานวาวโรจน์ "ทีนี้ตาข้าบ้างล่ะ"
เพียงแค่ปัดมือเบาๆร่างของเกรย์แฮมก็ลอยหวือไปกระแทกกำแพงด้านข้างทันที ไม่เพียงแค่นั้น ลูซิลโบกมือกลับอีกครั้งร่างของเกรย์แฮมก็ลอยไปกระแทกกำแพงของอีกฝั่ง ก่อนจะถูกปล่อยให้ตกลงบนพื้นในสภาพบอบช้ำ หนังสือปกดำที่หลุดจากมือของเกรย์แฮมถูกเรียกโดยพลังของลูซิล มันลอยขึ้นจากพื้น ก่อนเข้ามาอยู่ในมือของเขาช้าๆ
"ถ้าไม่มีมันก็ไม่มีใครทำอะไรข้าได้"
ทันใดนั้นเองหนังสือในมือของลูซิลก็ติดไฟ เปลวเพลิงสีแดงฉานกำลังลุกไหม้หนังสือต่อหน้าต่อตาทุกคน
"ไม่!" เกรย์แฮมตะโกนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ชันแขนด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดขึ้นมองอีกฝ่ายที่โยนหนังสือที่ลุกใหม้ทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่ใส่ใจด้วยความสิ้นหวัง
จบแล้ว... ความพยายามที่เขาค้นหาหนังสือเล่มนั้นมากว่าหลายสิบปีต้องล้มเหลวภายในเวลาไม่วินาที เขาพลาดเสียแล้ว เขาไม่อาจปกป้องหมู่บ้านแห่งนี้ได้
เมฆดำที่บดบังดวงจันทร์เริ่มคลายตัวลง แสงจันทร์ของพระจันทร์เต็มดวงสาดส่องมายังเหตุการณ์เบื้องล่างได้เต็มที่ เผยให้เห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกและหวาดกลัวของชาวบ้าน ความหวังอันน้อยนิดของพวกเขาถูกทำลายลงแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงแค่หนีเอาตัวรอด
แต่ละคนพากันวิ่งหนีเตลิดให้ไกลที่สุด แต่ลูซิลไม่ยอมปล่อยให้มีคนหลุดรอดออกไปได้ เพียงแค่เขาดีดนิ้วทีเดียวกระจกตามบานหน้าต่างของบ้านและตึกสูงข้างทางก็แตกกระจายออก ก่อนเศษกระจกเหล่านั้นจะลอยละลิ่วพุ่งตรงไปปักร่างของชาวบ้านที่พยายามวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่ละคนทยอยกันทรุดลงไปกองกับพื้น เลือดสีแดงข้นหลั่งนองพื้นถนน เสียงกรีดร้องร่ำไห้ดังระงม เสียงแห่งความสิ้นหวังที่ดังไปทั่วหมู่บ้านเรียกความตื่นกลัวให้ผู้คนที่หลบอาศัยอยู่ภายใน
เด็กหนุ่มวัยสิบห้าคนหนึ่งก้มมองร่างของชายวัยกลางคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้น บนหลังและตามตัวเต็มไปด้วยเศษกระจกที่ปักฝังอยู่บนร่าง
"พ่อ..." เขาพร่ำเรียกผู้เป็นพ่อที่บัดนี้สิ้นลมหายใจอยู่ตรงหน้า ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจและโกรธแค้น ดวงตาแห่งความเกลียดชังจ้องไปยังคนทำ
ลูซิลรู้สึกถึงกระแสแห่งความโกรธแค้นพุ่งตรงมายังเขาจึงหันไปยังที่มา ก่อนจะสบตากับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ขณะนั้นเองที่ลูซิลรู้สึกถึงอะไรบางอย่างจากตัวเด็กนั่น ก่อนเขาจะรู้ว่าคืออะไรร่างของเด็กก็วิ่งตรงเข้าใส่เขาแล้ว
ลูซิลใช้พลังปัดร่างของเด็กชายคนนั้นให้กระเด็นไปทางด้านหลังก่อนเจ้าตัวจะเข้ามาถึงตัวเขาได้ทันท่วงที พออีกฝ่ายทรุดตัวลงไปกองกับพื้นลูซิลก็ก้าวสามขุมเข้าไปหาทันที
"หยุดนะลูซิล เจ้าคิดจะทำร้ายแม้กระทั่งเด็กที่ไม่มีทางสู้รึไง เจ้าเศษสวะขี้ขลาด!"
ลูซิลชะงัก หันกลับมามองต้นเสียงทันที ส่วนเด็กชายคนนั้นค่อยๆพยุงตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล ก่อนสายตาจะหันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่บนพื้นเบื้องหน้า
"ไอ้แก่น่าสมเพช จะตายอยู่แล้วยังทำปากดีอีกนะ ตายช้าๆไม่ชอบชอบตายเร็วๆใช่มั้ย ได้ ข้าจะทำให้เจ้าได้สมหวังเดี๋ยวนี้แหล่ะ"
ลูซิลเปลี่ยนเป้าหมายไปหาเกรย์แฮมแทน เขาก้าวเข้าไปหาร่างชายชราที่นอนหมอบอยู่บนพื้นเพราะความบอบช้ำ แต่ยังไม่ทันถึงตัวเสียงตะโกนจากด้านหลังก็ดังขึ้น
"ไอ้ปีศาจ!"
ลูซิลหันขวับกลับไปมอง ก่อนจะเบิ่งตากว้างอย่างคาดไม่ถึงเมื่อในมือของเด็กคนนั้นมีหนังสือที่เขาคิดว่าถูกเผาไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าสภาพของมันเหมือนไม่มีร่องรอยของการไหม้เลยซักนิด
"แกลืมอะไรไปรึเปล่า" เด็กหนุ่มตะโกนขึ้น
ก่อนที่ลูซิลจะได้ทันตั้งตัว หนังสือเล่มดังกล่าวก็ถูกโยนข้ามหัวลอยละลิ่วไปเข้ามือของเกรย์แฮม ชายชราไม่รอช้า เปิดหนังสือไปหน้ากลางอีกครั้งแล้วเริ่มร่ายคาถาทันที
"ไม่!!"
สายไปแล้วสำหรับลูซิล ด้วยความชะล่าใจทำให้เขาเสียท่าต่อเด็กหนุ่มที่เขาคิดว่าไม่เคยอยู่ในสายตา ร่างทั้งร่างเหมือนจะถูกฉีก ก่อนพลังงานมหาศาลจะพยายามดูดเขาให้เข้าไปในหนังสือ เสียงร่ายมนต์จากปากของเกรย์แฮมตรึงเขาไว้ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนได้ สุดท้ายร่างของเขาก็เริ่มสลายกลายเป็นเพียงกลุ่มหมอกควันและถูดดูดหายเข้าไปในหนังสือพร้อมๆกับที่เกรย์แฮมร่ายคาถาจบ
เหตุการณ์ลุ้นระทึกสิ้นสุดลงเหลือเพียงความเงียบงัน แสงสลัวของพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าสาดส่องลงมาบนพื้นถนนทำให้เห็นถึงร่องรอยของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำมือปีศาจ
หนังสือตกลงบนพื้นพร้อมๆกับที่ร่างของเกรย์แฮมทรุดฮวบ เด็กหนุ่มวิ่งเข้าไปหา ช่วยพยุงร่างชายชราให้ลุกขึ้นช้าๆ
"เป็นยังไงบ้างท่านผู้เฒ่า"
"ข้าไม่เป็นไร ขอบใจ" เกรย์แฮมตอบ หันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาไว้ "แล้วเจ้าล่ะ"
"ข้าไม่เป็นไร แค่ถลอกนิดหน่อย" เขาตอบพลางสำรวจรอยแผลตามแขนขาของตัวเอง
"เจ้าชื่ออะไรหนุ่มน้อย"
"โจเซ่ ฟัลคอน"
"โจเซ่ ข้าจะไม่ลืมว่าเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้" เกรย์แฮมพูดพลางก้มเก็บหนังสือที่ตกอยู่ "ข้าสงสัยซะจริงว่าทำไมหนังสือถึงไม่ถูกเผา ทั้งที่ๆข้าก็เห็นกับตาว่ามันลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงของลูซิล"
"บางทีหนังสือเล่มนี้อาจจะศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่ปีศาจอย่างลูซิลจะทำลายก็ได้" หนุ่มน้อยโจเซ่ให้ความเห็น "แล้วท่านจะทำยังไงกับมัน"
"ก็คงต้องทำลายทิ้ง ข้าจะปล่อยให้หนังสือเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่นและลูกหลานของข้าไม่ได้"
หลังจากนั้นเกรย์แฮมก็สั่งให้ชาวบ้านคนหนึ่งในจำนวนที่ยังรอดชีวิตจุดคบเพลิงขึ้น ก่อนจะนำมาจ่อที่หนังสือ เปลวไฟลุกโชติช่วงครอบคลุมหนังสือไว้ พวกเขาเฝ้ารอจนไฟดับมอดไป แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นสภาพคงเดิมของหนังสือเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
"ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ!" ชาวบ้านคนหนึ่งถามขึ้น
"ข้าเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าหนังสืออาถรรพ์เล่มนี้ไม่สามารถทำลายได้" เกรย์แฮมบอกอย่างหนักใจ
"มิน่าตอนที่เจ้าปีศาจนั่นเผามันถึงไม่ไหม้ไฟ"
"แล้วจะทำยังไงดีล่ะท่าน"
"หนังสือเล่มนี้หากตกไปอยู่ในมือผู้อื่นจะเป็นอันตราย อำนาจชั่วร้ายในหนังสืออาจจะครอบงำผู้ที่ครอบครองมันได้ ดังนั้นข้าจะเก็บไว้เอง"
หนุ่มน้อยโจเซ่ก้มลงมองหนังสือปกดำที่อยู่บนพื้น ลงเบาพัดมาวูบหนึ่งจนหน้ากระดาษปลิวมาหยุดอยู่ที่หน้ากลางสุดของหนังสือ กรอบรูปที่เคยว่างเปล่าบัดนี้ข้างในมีรูปวาดของบุรุษแห่งความหายนะที่มีปีกสีดำสยาย รูปภาพของมันสงบนิ่ง ถ้าดูผิวเผินเหมือนเป็นรูปวาดธรรมดา แต่ตัวอักระสีทองที่จารึกไว้รอบๆทำให้มันดูมีมนต์ขลังและศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด
เด็กหนุ่มจ้องเข้าไปในดวงตาสีดำสนิทของรูปภาพ แว่บหนึ่งที่เขาคิดว่าแววตาของมันส่องประกายวาวโรจน์ แต่เมื่อเขาเพ่งดูดีๆกลับไม่พบความผิดปกติ เขาส่ายหน้าพลางตำหนิตัวเองว่าเลอะเลือนจนตาฝาด ก่อนจะละความสนใจจากหนังสือเล่มนั้นไป
เกรย์แฮมตัดสินใจเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ และมันก็กลายเป็นสมบัติต้องห้ามที่ตกทอดกันมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานในอีกนับร้อยปี
ความคิดเห็น