วันหนึ่งเมื่อ 6 ปีก่อน อันเป็นวันที่รุ่นพี่จัดงาน รับน้องใหม่ให้กับนักศึกษาปีหนึ่งที่ชายหาด
บางคนเมา หลายคนร้องรำทำเพลงกันอย่างครื้นเครง พลันทุกคนก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงพี่ป๋องร้องขอความช่วยเหลือ พอมองไปตามเสียงเห็นพี่ป๋องกำลังผลุบๆโผล่ๆ อยู่ในทะเลก็พากันขำคิดว่าพี่ป๋องล้อเล่น เพราะน้ำตรงนั้น ลึกแค่เข่าเอง!
รุ่นน้องหลายคนกรูกันมายืนดู คนหนึ่งชนตัวกรรัมภา เธอเซไปหาเนตรสิตางศุ์ที่กำลังตัวสั่นหวาดกลัว ร้องบอก
“เขา...เขา...กำลังเหยียบพี่ป๋องจมน้ำ”
มืิอกรรัมภาจับตัวเนตรสิตางศุ์ทำให้เห็นเจ้าที่นุ่งโจงแดง ไม่ใส่เสื้อ หุ่นกำยำ ตัวสูงใหญ่กำลังเหยียบพี่ป๋องให้จมน้ำ กรรัมภาตะลึงกับภาพที่เห็น หันมองมือตัวเองที่จับแขนเนตรสิตางศุ์อยู่ เธอเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่เธอเห็นคือสัมผัสที่หกของเนตรสิตางศุ์นั่นเอง
ญาณินสังเกตเห็นความผิดปกติของกรรัมภาและเนตรสิตางศุ์ หันไปมองกรรณาที่กำลังร้องกรี๊ดๆ ทำท่าปวดหูอย่างทรมานมาก
“วันนี้...เป็นวันที่พวกเราได้พบและรู้ตัวตนของกันและกันเป็นครั้งแรก” ญาณินที่มีญาณสมาธิติดต่อดวงวิญญาณได้ด้วยการถอดจิต เอ่ยในวันนั้น
สุคนธรสที่มีอาคมจมูกได้กลิ่นวิญญาณ ค้นกระเป๋าหาม้วนสายสิญจน์วิ่งลงทะเลไปช่วยพี่ป๋อง แต่สู้แรงดิ้น ของพี่ป๋องไม่ได้ กรรณาที่มีสัมผัสพิเศษคือหูได้ยินเสียงผีทนไม่ได้วิ่งลงไปช่วยสุคนธรสอีกคน กรรณาพยักหน้าให้สุคนธรสบอกให้จัดการเลย สุคนธรสจึงพนมม้วนสายสิญจน์พันตัวพี่ป๋อง พริบตานั้นทั้งสามก็จมหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน
อึดใจเดียวร่างทั้งสามก็ทะลึ่งพรวดพ้นผิวน้ำ สองสาวพยุงพี่ป๋องขึ้นมาอย่างทุลักทุเล พวกผู้ชายรุ่นพี่รีบลุยลงไปช่วยลากพี่ป๋องขึ้นมานอนบนหาดทราย
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น...ญาณินหลับตา ถอดจิต...ไปยืนพนมมือขอร้องเจ้าที่อย่าทำอะไรพี่ป๋องเลย
“มันต้องตาย! มันไม่มีสัมมาคารวะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
พลันจิตวิญญาณก็เห็นภาพพี่ป๋องไปฉี่รดต้นไม้หลังศาลร้าง เธออ้อนวอนเจ้าที่อย่าเอาพี่ป๋องไปเลย สัญญาว่าพรุ่งนี้จะให้เขาไปขอขมาลาโทษ อ้อนวอน “อโหสิกรรมให้เขาเถิดนะคะ อย่างน้อยยังช่วยให้เขาได้สำนึกและแก้ไขสิ่งผิดพลาดที่เขาได้ทำลงไป นะคะ”
สิ้นเสียงญาณิน ลมพัดกรูมา ญาณินหลับตาหลบลมและทรายที่ปลิวมา พอทุกอย่างสงบ เธอลืมตาก็ไม่เห็นเจ้าที่แล้ว ญาณินยิ้มโล่งใจ
เมื่อจิตกลับเข้าร่าง กายหยาบญาณินลืมตาขึ้น เห็นสี่สาวยืนจ้องตาเป๋งอยู่
“โชคชะตานำมาให้เราทั้งห้าได้พบกัน” ญาณินเอ่ย ทั้งหมดยิ้มให้กันอย่างรู้ว่า ต่างคนต่างก็มีสัมผัสพิเศษ...
ที่บริษัทซิกเซ้นส์ ซึ่งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน ห้าสาวระลึกความหลังด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน...
เนตรสิตางศุ์ น้องนุชสุดท้องของกลุ่มผู้ไร้เดียงสาแต่ดวงตาเห็นผีพูดอย่างสบายใจว่า
“วันนั้น...ผ่านมา 5 ปีแล้วจากวันรับน้องตอนปี 1 จนถึงวันนี้ เนตรไม่มีวันลืม วันที่เนตรรู้ว่า เนตรไม่ได้เป็นตัว ประหลาดอยู่แค่คนเดียวในโลกนี้”
“พวกเราไม่ได้เป็นตัวประหลาด” ญาณินผู้เป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มติง “แต่พวกเราเป็นคนพิเศษ ที่มีพลังพิเศษไม่เหมือนใครต่างหาก”
“แต่ก่อน มันเคยเป็นปมด้อยที่เราพยายามปิดบังไว้ เพราะเราอยากจะเป็นคนธรรมดาเหมือนคนอื่น เรากลัว แล้วก็อายที่จะแตกต่างจากคนอื่น” สุคนธรส ผู้มีอาคมและจมูกได้กลิ่นวิญญาณเอ่ยบ้าง
“บังเอิญเราได้มาเรียนคณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยเดียวกัน เราถึงมาเจอกันได้แล้วกล้าที่จะยอมรับมัน...ไม่งั้น พรสวรรค์เหล่านี้ ก็คงต้องถูกเก็บกดหรือกำจัดให้มันหายไปในที่สุด” กรรัมภาผู้มีสัมผัสพิเศษ เมื่อได้สัมผัสสิ่งใดก็จะเห็นถึงอดีตของสิ่งนั้น เอ่ยอย่างโล่งใจ
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ เป็นการจัดสรรของฟ้าของดิน ออกแบบมาแล้วว่าเรา 5 คนต้องได้มาอยู่ด้วยกัน เป็นเพื่อนกัน ได้ร่วมมือกันใช้พรสวรรค์ของเราเพื่อช่วยเหลือคนอื่น” กรรณาที่หูมีสัมผัสพิเศษสามารถได้ยินเสียงผีจ้อกแจ้กจอแจตลอดเวลาจนต้องเอาหูฟังปิดหูไว้ เอ่ยขึ้นเป็นคนสุดท้ายในกลุ่มกุมาริกาหรือเรียกให้เท่ว่า โกลเด้นเบบี๋ นั่งอยู่บนกิ่งไม้ พูดขึ้นบ้างว่า
“มีเด็กๆ จำนวนมากที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์พิเศษหลายอย่าง แต่ถูกครอบครัวกับสังคมไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ ทำให้เด็กๆ ต้องปิดประตู ปิดหน้าต่าง แล้วขังมันไว้ หรือเปลี่ยนชื่อให้มันว่า...ปมด้อย”
ขณะนั้นเอง ป้าออที่แม่ญาณินส่งมาดูแลลูกและเพื่อนของลูก ถือถาดใส่ผลไม้เข้ามาวางข้างๆสาวๆ เอ่ยชื่นชมว่า
“แต่พวกคุณทั้ง 5 คนยังนับว่าโชคดีที่เติบโตมาเป็นสาวสวยที่น่ารัก สดใส เป็นตัวของตัวเอง และมีทัศนคติที่ดีกับชีวิตนะคะ”
ห้าสาวที่รักนับถือป้าออเหมือนญาติผู้ใหญ่ กรูกันเข้ามาหยิบผลไม้กินกันหนุบหนับ พวกเธอยังเป็นเด็กเสมอเมื่ออยู่กับป้าออ
ที่อีกด้านหนึ่งของห้องกระจกบ้านซิกเซ้นส์พวก หนุ่มๆ กำลังปิ้งย่างกันอยู่ ก๊องง่วนอยู่กับการผสมน้ำจิ้ม
“ทัศนคติ...ใช่เลย! ทัศนคตินี่แหละ ที่ทำให้คนเราสุขหรือทุกข์ ชนะหรือแพ้ สำเร็จหรือล้มเหลว ฉันเองก้าวหน้ามีอนาคตในหน้าที่การงาน เพราะฉันมีทัศนคติที่ดี แล้วฉันก็สอนน้องสาวฉัน ให้เป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดี เพราะฉะนั้น เมื่อเนตรให้โอกาสนายแล้ว ก็ขอให้นายจงรักษาความดี ดุจเกลือรักษาความเค็ม อย่าทำให้น้องสาวฉันผิดหวัง” ณัฐเดชนายตำรวจหนุ่มพี่ชายของเนตรสิตางศุ์ที่รักและหวงน้องสาวราวกับจงอางหวงไข่ สอนแกมปรามหมอวรวรรธ
“ครับ...พี่ครับ ผมจะทำให้ทุกคนเห็นว่าน้องสาวของพี่ได้คู่รักที่เป็นคนดีมีคุณภาพ เปรียบเสมือนทองแท้ที่ทนทานต่อการพิสูจน์ รับรองว่าคุณเนตรจะไม่ผิดหวังเด็ดขาดครับพ้ม!!” หมอวรรธทำท่าตะเบ๊ะนายตำรวจหนุ่มพี่ชายคนรัก
“เหมือนฉันไง” ติณห์ไม่ยอมน้อยหน้า “ใครได้ฉันเป็นแฟน ต้องนับว่าโชคดีมากๆ เพราะฉันรักใครรักจริง รักเดียวใจเดียว เป็นคนซื่อสัตย์ดัดจริต” ติณห์ที่อยู่เมืองนอกมากกว่าเมืองไทย ภาษาไทยไม่แข็งแรงจึงมักใช้ศัพท์ผิดบ่อยๆ จนถูกก๊องและเพื่อนๆ ฮาครืนติงกันเสียงขรม
“แต่ละคน...ไม่ค่อยสรรเสริญเยินยอ หลงตัวเองกันเท่าไหร่เลยนะ ของดีน่ะเขาไม่ต้องโฆษณากันมากหรอก คนดีเขาก็ต้องไม่คุย คนดีต้องเงียบๆ ไม่ขี้อวด” ไตรรัตน์มองหมอวรวรรธกับติณห์ขำๆ
“อย่างพี่ไตรใช่ไหมครับ” ก๊องแทรกขึ้น “ตั้งแต่แต่งงานไป พี่รสเหมือนจะเงียบๆ เรียบร้อย อ่อนหวานขึ้นจมเลย อารมณ์ก็ดี๊ดี ไม่ค่อยดุเหมือนเดิม พี่รสต้องมีความสุขมากแน่ๆ ที่แต่งงานกับพี่”
ไตรรัตน์ไม่คุยอวด แต่ยิ้มกรุ้มกริ่มเอียงคอยักไหล่อย่างภูมิใจแทน
ในกลุ่มสาวๆ...สุคนธรส ตกเป็นเป้าถูกเพื่อนๆรุมซักถาม ให้เล่าชีวิตแต่งงาน ทุกฉาก ทุกเรื่อง ทุกการกระทำ รุมกันรบเร้าแล้วพากันกรี๊ด หัวเราะกันคิกคักทำหน้าทะเล้น
สุคนธรสพูดเหนียมๆ ว่าอยากรู้ไปทำไม ไม่มีอะไรหรอก แต่เพื่อนๆ ไม่ยอม จนป้าอออดกระเซ้าไม่ได้ว่า
“ว้าย...เขินแทน...ถ้าคนห้าวๆ อย่างคุณรสยังพูดไม่ออก แสดงว่าชีวิตรักของคุณ จะต้อง...”
“อเมซซิ่งฟันปาร์คมาก” กรรัมภาต่อให้อย่างคึกในอารมณ์จนเพื่อนๆ พากันกรี๊ดลั่น
พวกหนุ่มๆ ก็ใช่เล่น เคี่ยวเข็ญให้ไตรรัตน์เล่ารสชาติของการแต่งงานให้ฟัง ไตรรัตน์ทำเป็นอำเพราะความจริงตัวเองยังไม่ได้แอ้มเลย เพราะนับแต่แต่งงานมาสุคนธรสก็ถือศีลช่วงเข้าพรรษามาตลอด จนวันนี้ออกพรรษา ไตรรัตน์เตรียมตัวเต็มที่ แต่รอสุคนธรสอาบน้ำ กว่าเธอจะอาบน้ำเสร็จแต่งตัวเซ็กซี่ออกมา เขาก็หลับไปแล้ว
ที่คฤหาสน์ของพิมพิลาส ไฮโซชื่อดัง นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับพันล้าน เกิดเหตุสยองขวัญ เมื่อเธอถูกงูพิษกัดตายที่เรือนกล้วยไม้ในบริเวณบ้านตัวเองกลางดึก
ณัฐเดชไปถึงที่เกิดเหตุก่อน ผู้การมาถึงก็พูดกับณัฐเดชว่า พรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต้องพาดหัวข่าวแต่เรื่องนี้แน่ เมื่อพากันเดินเข้าไปในเรือนกล้วยไม้ที่หมอวรวรรธกำลังถ่ายรูปและเช็กสภาพศพอยู่ หมอลุกขึ้นรายงานว่า
“ผู้ตายน่าจะเสียชีวิตเพราะถูกงูพิษกัด มีรอยเขี้ยวงูที่ต้นคอเธอครับ” หมอชี้ให้ดูปลายนิ้วของพิมพิลาสที่ถลอกยับเยิน “ก่อนจะเสียชีวิต เธอคงดิ้นรนทรมาน ทุรนทุรายมาก เพราะพิษงูทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตเฉียบพลัน อวัยวะในระบบทางเดินหายใจหยุดทำงาน จนสมองขาดออกซิเจนในที่สุดครับผม”
ณัฐเดชถามว่าผู้ตายน่าจะตายมานานเท่าไรแล้ว หมอคาดว่าน่าจะไม่เกินสองชั่วโมง ณัฐเดชดูนาฬิกาเป็นเวลาตีหนึ่งเหตุน่าจะเกิดประมาณห้าทุ่ม ตั้งข้อสังเกตว่า “คุณพิมพ์พิลาสเข้ามาทำอะไรในนี้ตอนดึกๆ แถมฝนยังตกหนักอีกด้วย”
ผู้การพูดทีเล่นทีจริงว่าอาจจะมาดูว่าดอกกล้วยไม้เปียกฝนหรือเปล่ามั้ง
“คุณท่านไม่เคยลงมาในนี้ตอนกลางคืน” เสียงพิสมรแม่บ้านคนสนิทของพิมพ์พิลาสแทรกเข้ามา ในสภาพดวงตาแดงช้ำเพราะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก พิสมรเล่าว่า “ทุกวันคุณท่านรับประทานอาหารเย็นเสร็จก็จะขึ้นห้องนอน ไม่ลงมาอีก คุณท่านทำแบบนี้มายี่สิบสามสิบปีแล้ว ทำไมอยู่ดีๆ วันนี้ถึงลงมา ต้องมีคนลวงคุณท่านลงมาฆ่าแน่ๆ”
ณัฐเดชติงว่ามีรอยเขี้ยวงูที่คอ พิสมรยืนยันว่าในนี้ไม่มีงู ตนดูแลความเรียบร้อยทุกวัน เมื่อเย็นก็เพิ่งเข้ามา ถ้ามีงูตนต้องถูกงูกัดตายไปแล้ว
ผู้การสั่งให้ณัฐเดชไปหางูมายืนยันกับพิสมรหมอวรวรรธรับรองว่าในนี้ไม่มีงูแล้ว ณัฐเดชก็ยืนยันว่าตนระดมกำลังหากันจนทั่วแล้ว ในบ้านนี้ไม่มีงูแน่นอน
“เป็นไปไม่ได้ ในนี้เป็นสถานที่ปิด มีทางเดียวที่จะเข้าได้คือทางประตู แล้วมันจะหายไปได้ยังไง” ผู้การยังไม่เชื่อ
“คุณท่านถูกฆาตกรรม คุณท่านถูกฆาตกรรม” พิสมรตะโกน
บนรถไฟฟ้า กรรณาขึ้นรถมากับก๊อง ถูกก๊องตื๊อขอยืมเงินไปซ่อมมอเตอร์ไซค์ กรรณาไม่ให้ ระหว่างนั้น เธอรู้สึกเหมือนมีใครแอบมองอยู่ พอมองไปก็ไม่เห็นใคร มีแต่ชายใส่สูทชุดดำคนหนึ่งยกนิตยสารขึ้นบังหน้า
กรรณาไม่ติดใจสงสัย จนกระทั่งขณะลงจากรถเธอถูกกระแทกหลังจนข้าวของหล่นกระจาย แล้วชายที่ชนก็ก้มลงช่วยเก็บของถามอย่างห่วงใย
“ขอโทษนะฮะ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” เขาคือ ดร.แผนยุทธ ชายที่กรรณาเห็นเอานิตยสารปิดหน้าบนรถไฟฟ้านั่นเอง กรรณามองเขาตะลึง แผนยุทธคิดว่าเธอเคลิ้มความหล่อของตน แต่ที่แท้เธอได้ยินเสียงกรีดร้องของช่อเพชรจนบาดแก้วหู เมื่อแผนยุทธเอามือแตะแขนกรรณาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า เสียงช่อเพชรก็แผดลั่น
“กรี๊ดดด ไปให้พ้นจากสามีฉันเดี๋ยวนี้นะ ผู้ชายมันหมดโลกแล้วรึไงยะถึงต้องมายุ่งกับสามีชาวบ้าน!”
“หุบปากเสียทีนังผีเสียสติ” กรรณาโกรธจนตะโกนออกไปอย่างไร้ทิศทาง ก๊องกระซิบถามว่าได้ยินเสียงผีหรือ “เออ...ไม่ใช่ผีเฉยๆด้วยนะ แต่เป็นผีปากปลาร้า” พูดแล้วรีบเก็บของเดินไปเลย แผนยุทธมองตามงงๆ ช่อเพชรยังตะโกนไล่
“ไป! ไปให้พ้น!!”
กรรณากลับถึงบ้านอย่างหงุดหงิด เจอเพื่อนๆรอเธอกินอาหารที่เนตรสิตางสุ์ชอบทำแล้วให้ทุกคนกล้ำกลืนกินอยู่
เธอรู้จากเพื่อนๆว่า วันนี้มีลูกค้าใหม่เข้ามามีดีกรีเป็นถึงด็อกเตอร์ทีเดียว กรรัมภาพูดเคลิ้มว่าแค่ฟังเสียงในโทรศัพท์ยังหล่อเลย ฟังแล้วอยากเห็นหน้า
“แม่คนหลายใจ เมื่อวานยังไปดูคอนเสิร์ตปาร์คจุนจีอยู่เลย วันนี้มาเปลี่ยนสเปกเสียแล้ว” กรรณาพูดขำๆกรรัมภาที่กำลังคลั่งไคล้ซุปเปอร์สตาร์เกาหลีปาร์คจุนจี ญาณินเห็นน้องๆหยอกแหย่กันไปมา ฟังแล้วรำคาญตัดบทถามว่า
“พอได้แล้ว...เขาบอกหรือเปล่าจะให้เราทำงานอะไร”
“ยังไม่ได้บอก เขาจะเข้ามาคุยกับเราเองตอนสิบโมง” กรรัมภาบอก ก็พอดีเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น เนตรสิตางศุ์เหลือบดูนาฬิกาบอกว่า ตรงเวลาเป๊ะ!
กรรณาเดินยิ้มหวานไปเปิดประตูให้ พอเห็นหน้าผู้มาเยือนเธอสะอึกเพราะเขาคือชายที่มาพร้อมผีปากปลาร้านั่นเอง
“โลกกลมดีจังนะครับ” แผนยุทธยิ้มหวานให้
เมื่อพาแผนยุทธเข้าไปนั่งสัมภาษณ์ในห้องประชุม ป้าออเอาน้ำเย็นมาให้ท่าทางอ่อนช้อยยิ้มหวาน แผนยุทธยกมือไหว้ขอบคุณ ป้าอออุทานย่อตัวไหว้กลับชม้ายเขิน “อุ้ย...ๆไม่เป็นไรค่ะคุณด็อกเตอร์”
“เรียกผมแผนยุทธดีกว่าครับ เรียกด็อกเตอร์แล้วดูห่างไกล”
กรรณาเสียความรู้สึกเมื่อเห็นหน้าลูกค้าขี้หลีที่เจอกันบนรถไฟฟ้า จนเพื่อนๆมองอย่างสงสัย ญาณินชวนเริ่มงานเลยดีกว่า จะได้ไม่รบกวนเวลาแผนยุทธมากนัก สาวๆช่วยกันพูดออกตัวว่าดูภายนอกพวกตนอาจดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือแต่ความสามารถของพวกตนอยู่ที่สมอง
“ผมอ่านข้อมูลของพวกคุณในอินเตอร์เน็ตแล้ว” กรรัมภาเปิดรูปรีสอร์ตติณห์ในไอแพดให้ดูเพื่อให้เขามั่นใจ แต่เขากลับบอกว่า “ผมไม่ได้อยากให้พวกคุณออกแบบตบแต่งให้ผมครับ”
ห้าสาวตะลึง นึกรู้ทันทีว่าจะให้พวกตนทำอะไร กรรณาบอกก๊องทันที
“ก๊อง...ส่งแขก!!”
ป้าออใจหายรีบเอาจดหมายทวงหนี้สมัยที่บริษัทยังไม่มีงานเข้าให้ดู เพื่อเตือนความจำเตือนสติว่า
“จดหมายทวงหนี้ตั้งแต่สมัยที่บริษัทยังไม่มีงานเข้า ป้าเก็บไว้ทุกฉบับ เอาไว้เตือนใจพวกคุณว่าเวลาไม่มีงาน ไม่มีเงิน เราลำบากกันยังไง” แล้วขอร้องว่า “คุณหนูคะ อย่าเดินหนีเขาเลยนะคะ พวกคุณหนูพูดเสมอว่า มันเป็นหน้าที่ของพวกคุณหนูไม่ใช่หรอคะ”
ห้าสาวชะงัก ญาณินเอ่ยขึ้นว่า “ใช่...เป็นหน้าที่ของพวกเราที่ต้องช่วยเขา พวกเราสิ กลับต้องขอบคุณที่เขามาหาเราให้พวกเราได้ช่วยเขาให้พวกเราได้สะสมบุญ”
“จริงด้วย...พวกเราต้องขอบคุณ...พวกเราต้องเปลี่ยนโมหะโทสะเป็นเมตตาและเวทนา” สุคนธรสเออออทันที
ใครๆ พากันเห็นด้วยยกเว้นกรรณาที่ยังหมั่นไส้ความขี้หลีของแผนยุทธไม่หาย
จึงเป็นหน้าที่ของก๊องที่ต้องไปส่งแขก แต่ยังไม่ทันถึงประตู แผนยุทธจะฝากนามบัตรไว้เผื่อติดต่อภายหลัง ก็ต้องชะงักเมื่อญาณินเดินตามมาบอกว่า
“ไม่ต้องฝากนามบัตรหรอกค่ะคุณแผนยุทธ”
แผนยุทธหันมอง เห็นห้าสาวยืนอยู่ มีป้าออยืนยิ้มดีใจอยู่ข้างหลัง
ปาร์คจุนจีซุปเปอร์สตาร์เกาหลีที่กรรัมภากำลังคลั่งไคล้นั้น เขาคือหลานชายคนเดียวของพิมพิลาส
มีลีจองกุ๊กเป็นผู้จัดการส่วนตัว
จุนจีไม่พอใจลีจองกุ๊กที่ให้เขารับเชิญไปเล่นละครเรื่อง “มายาร้อยใจ” ในเมืองไทย เกี่ยงให้ส่งนักร้องคนอื่นในค่ายไปแทน ลีจองกุ๊กต้องหว่านล้อมอย่างใจเย็นว่า
“จุนจี ละครเรื่องนี้เป็นละครเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเกาหลีกับไทย ประเทศเราถึงต้องส่งซุปเปอร์สตาร์อย่างนายไป เหมือนที่ประเทศไทยก็จะเอานางเอกอันดับหนึ่งของเขามาเล่นกับนายเหมือนกัน ถ้านายไม่เล่น ไม่ใช่แค่นาย ไม่ใช่แค่ฉัน หรือบริษัทที่จะเสียหาย แต่มันเสียหายระดับประเทศเลยนะโว้ย”
พูดแล้วเห็นจุนจีเงียบ ลีจองกุ๊กพูดดักคอว่า “ฉันรู้นะว่าทำไมนายถึงไม่อยากไปเมืองไทย”
“ไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น” จุนจีสวนทันควัน
“ฉันรู้จักนายดี นายปิดบังฉันไม่ได้หรอก ถ้านายไม่อยากไปเจอใครที่เมืองไทย นายก็ไม่ต้องไปเจอ นายแค่ไปทำงานแล้วก็กลับโรงแรมเท่านั้นก็จบ ซุปเปอร์สตาร์ต้องแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ออก นายเคยทำได้มาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมครั้งนี้นายจะทำไม่ได้” ลีจองกุ๊กจับบ่าจุนจีให้กำลังใจ แต่จุนจีก็ยังเครียดหนักใจ
เมื่อจุนจีกลับถึงบ้านพักที่เกาหลี เขาเดินผ่านรูปถ่ายพ่อแม่และตัวเองที่ขยายเป็นภาพติดผนังด้านหนึ่ง ทุกคนในรูปยิ้มแย้มมีความสุข เขาเดินเข้าไปในห้องเห็นเกรียงไกรผู้เป็นพ่อกำลังห่มผ้าให้แม่ที่นอนซมอยู่บนเตียง
แม่ของจุนจีใส่หมวกถักเพราะเพิ่งทำคีโม เกรียงไกรจุ๊ปากไม่ให้จุนจีเสียงดังเพราะแม่เพิ่งหลับ บอกว่าแม่อยากเจอเขา พ่อต้องกล่อมอยู่นานเพิ่งจะยอมนอน จุนจี รู้สึกผิด บอกพ่อว่าคืนนี้จะแคนเซิลงานอยู่กับแม่แทน
“แม่จะยิ่งนอนไม่หลับใหญ่เลย แค่นี้แม่เขาก็โทษตัวเองว่าเป็นตัวปัญหาให้เราสองคนพ่อลูกมากพออยู่แล้ว”
“แม่ไม่ใช่ปัญหา คนอื่นต่างหากที่เป็นปัญหา” จุนจีเผลอเสียงดัง เกรียงไกรกลัวแม่เขาตื่นจึงจูงมือพากันออกไปที่ห้องรับแขก แล้วจึงเล่าว่า
“ทนายของคุณย่าโทร.มาหาพ่อ เขาอยากให้พ่อกลับไปร่วมเปิดพินัยกรรมของคุณย่า พินัยกรรมจะถูกเปิดได้ก็ต่อเมื่อลูกหรือทายาทอยู่ครบ...แกจะไปเมืองไทยอยู่แล้วใช่ไหม แกไปแทนพ่อทีสิ”
จุนจีสวนทันควันว่าตนไม่ไป เกรียงไกรถามว่าหรือจะให้พ่อทิ้งแม่ไป?
“เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขาสิครับ เราไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกแล้ว” เกรียงไกรหว่านล้อมว่าเรื่องผ่านมาหลายปีแล้ว จะโกรธย่าไปตลอดชีวิตเลยรึไง “แล้วผมไม่ควรโกรธหรือครับ เขาทำอะไรกับพวกเราไว้ ผมจำไม่เคยลืม”
เกรียงไกรยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดตนผิดเอง ถ้าตนไม่มัวแต่มุ่งสร้างครอบครัว พาพวกเขากลับเมืองไทยบ่อยๆไปขอโทษคุณย่า ท่านก็ต้องเข้าใจ แต่นี่เราไม่เคยกลับไปเลย
“ผู้หญิงคนนั้นไม่เคยมีเหตุผลอะไรทั้งนั้น เอาแต่ใจตัวเอง พ่อกับแม่เลิกโทษตัวเองได้แล้ว คนที่ต้องโทษคือตัวเขาเองไม่ใช่เรา!” จุนจีตอบอย่างมีอารมณ์ เกรียงไกรปรามลูกว่า
“จุนจี ย่าเขาตายไปแล้ว อย่าพูดถึงท่านแบบนั้น” พูดแล้วเห็นจุนจียังโมโห เลยตัดบท “ถ้าลูกไม่อยากทำเพื่อย่าก็ถือว่าทำเพื่อพ่อกับแม่แล้วกัน”
เห็นจุนจีเงียบ เครียด เกรียงไกรจึงเดินกลับเข้าห้องไปดูแลแม่ต่อ...
แผนยุทธเล่าให้ห้าสาวฟังว่า ทุกคืนตนจะสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนมาร้องเรียกให้ไปอยู่ด้วย เสียงมันก้องๆ และขาดๆ หายๆ ได้ยินทุกคืนจนแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง นอนไม่หลับจนเครียดไปหมด
กรรณาบอกว่าเมียเขาคงอยากชวนไปอยู่ด้วย แผนยุทธมองขวับถามว่ารู้ได้ไงว่าเมียตนตายแล้ว กรรณาเกือบทำความลับแตก แต่ดีกรรัมภาสะกิดเตือน เธอเลยตัดบทว่า “เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกัน” สุคนธรสถามว่าภรรยาเขาเสียตั้งแต่เมื่อไร
“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต” แล้วแผนยุทธก็เล่าสภาพที่พิมอรเสียชีวิตให้ฟังว่า เธอขับรถตกคลองและเสียชีวิตในรถ เล่าแล้วน้ำตาซึมจนห้าสาวพลอยเศร้าไปด้วย
ฟังเรื่องราวจากแผนยุทธแล้ว ห้าสาวตกลงจะช่วยเขา ป้าออหน้าตาตื่นมากระซิบถามสุคนธรสว่า
“คุณหนูคะ จะทำในบริษัทเลยเหรอคะ!”
“ค่ะป้า” สุคนธรสตอบ แล้วห้าสาวก็นั่งล้อมรอบแผนยุทธ ปิดม่านหน้าต่างหมดทุกบาน ตั้งสมาธิแน่วแน่ แล้วสุคนธรสก็เอ่ยเชิญ “ข้าพเจ้าขอเชิญดวงวิญญาณที่ติดตามคุณแผนยุทธเข้ามา ณ ที่แห่งนี้”
ก๊องรีบไปดึงผ้ายันต์ออก ป้าออก็รีบปลดสายสิญจน์ลงแล้ววิ่งอ้าวออกจากบริเวณนั้นไปทันที ท่านเจ้าที่เองถึงกับสะดุ้งเมื่อมองไปนอกรั้วเห็นเงาดำทะมึน พริบตานั้น ผีช่อเพชรพุ่งเข้ามาในบ้านอย่างเร็ว ท่านเจ้าที่พึมพำ
“สาวๆ เจองานหินอีกแล้ว...”
ห้าสาวแทบวงแตก เมื่อสุคนธรสย่นจมูกอย่างเหม็นเขียวมาก กรรณาแสบแก้วหูจนล้มกลิ้งไปกับพื้น ญาณิน
มองน้ำในแก้วที่กระเพื่อมจนเกือบกระฉอก
ผีช่อเพชรมองห้าสาวด่าอย่างแค้นใจ “อีพวกแม่มด พวกแกจะทำอะไร! พวกแกจะทำเสน่ห์ใส่ผัวฉันรึไง!!” ผีช่อเพชรพูดทีก็กรี๊ดที กรี๊ดแต่ละทีทั้งบ้านก็สะเทือนไปหมด กระจกหน้าต่างลั่นเกือบแตก ไมโครเวฟเปิดปิดควันเริ่มขึ้นที่เครื่อง
“คุณต้องการอะไรจากคุณแผนยุทธ ทำไมถึงไม่ไปสู่สุคติ” ญาณินถามอย่างรู้ว่าวิญญาณถูกเชิญเข้ามาแล้ว แต่ทุกอย่างกลับสั่นสะเทือนหนักขึ้น สุคนธรสเรียก“แก้ม...” กรรัมภาพยักหน้าอย่างรู้กัน ถอดถุงมือจับแขนแผนยุทธหมับ มองลึกเข้าไปในดวงตาเขา แล้วตัวเองกลับตกใจต้องรีบชักมือกลับ ญาณินถามว่าเห็นอะไรบ้าง
“งานศพ...แต่เห็นแว่บเดียวมันก็มืดหมดเลย มืดมากจนน่ากลัว” กรรัมภาทำหน้าสยอง
“ช่วยด้วย! ฉันไม่ไหวแล้ว!!” กรรณาร้องลั่น ทันใดนั้นไมโครเวฟระเบิดบึ้ม! แก้วน้ำแตกเพล้ง! กระจกสั่นรัวเหมือนจะแตกให้ได้
สุคนธรสเรียกก๊องทันที เจ้าที่บอกก๊องให้รีบปิดยันต์เร็วๆ กรรณาแก้วหูจะแตกแล้ว ก๊องรีบปิดยันต์อย่างฉับไว
วินาทีนั้น ทุกอย่างก็กลับเงียบสงบ ทุกคนนิ่งเหมือนหยุดหายใจ กรรัมภาถามว่าเขาไปแล้วหรือ ญาณิน ร้องบอกกรรณาว่าเขาไปแล้ว แต่กรรณาหมดสติไปแล้ว มีเลือดซึมออกหู กำเดาไหลออกมาเต็มมือป้าออที่มาดูแล แผนยุทธตกใจหน้าซีดงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แผนยุทธไม่เชื่อว่าจะเป็นวิญญาณของพิมอรภรรยาที่ขับรถตกคลองจมน้ำตาย และเธอไม่น่าหึงตนรุนแรงขนาดนั้น เพราะตนไม่เคยนอกใจภรรยา แผนยุทธปิดหน้าร้องไห้อย่างอาลัยรักพิมอร เขาคาดว่าผีตนนั้นอาจไม่ใช่วิญญาณของพิมอรเพราะชาติก่อนตนเจ้าชู้มาก
“ไม่ใช่หรอกค่ะ กระแสของเขาอาฆาตและเข้มข้นมาก คงเป็นปัจจุบันเหมือนเราๆ นี่แหละ ข้อสันนิษฐานนี้ตกไปได้เลย” กรรัมภาพูดอย่างเชื่อมั่น
“เราก็อยากพิสูจน์ให้ได้ว่าอะไรที่ทำให้เธอคั่งแค้นและเจ็บปวด ถ้าไม่ใช่ด้วยความหึงหวงอย่างที่คุณว่า” ญาณินมองแผนยุทธอย่างท้าทาย
แผนยุทธยังปากแข็งยืนยันว่าตนเป็นผู้ชายที่มีรักเดียวใจเดียวหนึ่งในไม่กี่คนที่พวกเธอจะหาได้บนโลกใบนี้
แต่พอตัดสินใจรับงานนี้ กรรณาก็ขอบายเพราะเหม็นหน้าด็อกเตอร์ขี้หลี ญาณินอ้างว่าตนต้องไปดูแลรีสอร์ต สุคนธรสบอกว่าขืนตนโดนอีกรอบชีวิตแต่งงานจบสิ้นแน่
ห้าสาวมองกันไปมาต่างไม่อยากรับเคสนี้ ป้าออตัดสินให้จับสลากกัน พอจะเริ่ม กรรัมภาก็กรี๊ดขึ้นมาบอกว่าตนลืมไปเอาชุดที่เตรียมใส่ไปรับจุนจีที่สนามบิน พูดแล้ววิ่งตื๋อไปเลย สุคนธรสฉวยโอกาสขอไปด้วย
“เออ...ฉันก็ต้องไปเมืองกาญจน์แล้วล่ะ นัดคุณติณห์ไว้ไปก่อนนะ” ญาณินฉากไปเนียนๆ
กรรณายืนกรานไม่ทำ เนตรสิตางศุ์อาสาจะไปทำอะไรร้อนๆ ให้ดื่มอาการหูอักเสบจะได้ดีขึ้นแล้วรีบลุกตามไป
“อ้าว...ไปกันหมดเลย...แล้วตกลงเคสนี้ใครจะเป็นคนรับผิดชอบล่ะ” ป้าออมองหน้าก๊อง
“เอ๊ะ...มันมีอาหารอะไรที่กินแล้วหูหายอักเสบด้วยเหรอป้า” ก๊องถามแล้วทั้งสองก็มองหน้ากันงงๆ
ญาณินไปที่ไซด์งานก่อสร้างรีสอร์ต ถูกติณห์ทำเซอร์ไพรส์ ด้วยการให้คนงานหยุดงานมายืนออบังเขาไว้ พอญาณินมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น คนงานก็แหวกออกเป็นทางให้ติณห์ถือช่อดอกไม้มาขอแต่งงานกับเธอ
“ฉันอยากให้รีสอร์ตของคุณเสร็จเรียบร้อยก่อน” ญาณินขอเวลา ติณห์ดีใจอุ้มญาณินหมุนไปมา ป่าวร้องให้พวกคนงานช่วยเป็นพยานด้วย คุณหลวงกับกุมาริกาพากันเต้นไปรอบๆ คุณหลวงตะโกนด้วยความดีใจว่า
“ฉันจะได้ไปเกิดแล้ว...”
ติณห์อุ้มญาณินเข้าไปในบ้านอย่างร่าเริง พอวางญาณินลงติณห์ก็ชะงักงัน เมื่อเห็นมิรันตีผู้เป็นแม่นั่งหลังตรงคอแข็งอยู่ มีทนายสมชาติยืนตัวลีบอยู่ใกล้ๆ
“มัมมี้!?” ติณห์อุทานทั้งตกใจทั้งดีใจ ส่วนคุณหลวงที่ตามเข้ามา พอเห็นลูกสาวก็อุทานหน้าตึงทันที “นังมิรันตี!”
ญาณินยกมือไหว้ มิรันตีเชิดหน้าคอแข็งบอกชื่อเสียงเรียงนามตัวเองยาวเหยียด
“ฉัน...มิรันตี พิชัยภักดี สจ๊วร์ต เดอ ลา แมร์ ไฮเดนเบิร์ก แต่เธอเรียกฉันง่ายๆ ว่ามิสซิสไฮเดนเบิร์กก็ได้” คุณหลวงบ่นว่าทำไมนามสกุลเยอะนัก เหมือนมิรันตีจะรู้ อธิบายว่า “ไม่ต้องงง ฉันใส่ทุกนามสกุล ของทุกสามี ที่ฉันแต่งงานด้วย ส่วยติณห์ เขาแค่นามสกุลสจ๊วร์ตเท่านั้น แล้วเธอล่ะ ชื่อนามสกุลอะไร”
ติณห์รู้ว่ามิรันตีกำลังต้อนญาณิน เขารีบเปลี่ยนบรรยากาศถามว่ามัมมี้ไม่กอดลูกก่อนหรือ พอมิรันตีหลงกลหันกอดติณห์ก็รำพึงรำพันถึงความสุขที่จะได้อยู่ด้วยกัน พยายามหาเรื่องชวนคุยให้แม่ลืมๆ เรื่องที่จะต้อนญาณิน ถามว่ามัมมี้มาได้ยังไงทำไมไม่โทร.บอกจะได้ไปรับ
มิรันตีบอกว่ามาถึงหลายวันแล้วแต่ไปทำธุระไปเปิดหูเปิดตามาถึงได้รู้อะไรมาเยอะแยะ พูดพลางหางตาไปทางญาณินอย่างจำได้ว่าได้เห็นที่งานแต่งงานของสุคนธรส
มิรันตีบอกว่าจะอยู่เมืองไทยอีกนานเท่านาน เพราะเป็นห่วงกิจการที่ติณห์ทำมันใหญ่เกินกว่าที่เขาจะดูแลตามลำพัง
“มัมมี้ภูมิใจกับรีสอร์ตของผมแล้วใช่ไหมครับ มัมมี้เข้าใจแกรนด์ปาแล้วใช่ไหม แกรนด์ปาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาร่ำลือกัน ตอนนี้ผมกำลังเขียนหนังสือประวัติชีวิตของแกรนด์ปาอยู่ เราจะพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มัมมี้มาก็ดีแล้วครับ ผมจะได้ปรึกษาในสิ่งที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับแกรนด์ปา”
มิรันตีบอกว่าเรื่องนั้นไม่มีปัญหาแต่ให้ญาณินที่เป็นคนนอกออกไปก่อน ตนมีเรื่องส่วนตัวในครอบครัวที่ต้องคุยกัน พอติณห์บอกว่า “แม่ครับญาณินไม่ใช่คนนอกนะ ครับ เรา...จะแต่งงานกัน” เท่านั้น มิรันตีก็หน้าตึงทันที
มิรันตีถามถึงทองที่คุณหลวงซ่อนไว้ พอสมชาติบอกว่าอยู่ที่ธนาคารก็เตือนให้ระวังจะถูกคนหยิบฉวยเอาไป ติณห์ถามว่ารีสอร์ตตนเป็นอย่างไรบ้าง อวดว่าญาณินเป็นคนออกแบบ และคุมงานก่อสร้างทั้งหมด มิรันตีก็เบ้หน้าว่า
“มิน่า ถึงเหมือนโรงเรียนอนุบาล”
ญาณินหน้าชาเหมือนถูกตบ ไม่เพียงเท่านั้น มิรันตียังถามเธอว่าพ่อแม่ไม่มีหรือถึงได้มาอยู่ที่นี่
หาเรื่องด่าว่าถ้าเป็นลูกสาวตนทำตัวแบบนี้ตนไม่ยอมปล่อยไว้เด็ดขาดเดี๋ยวคนอื่นจะดูถูกเอา ญาณินหน้าชาเป็นครั้งที่สอง ติณห์เห็นบรรยากาศไม่ดีจึงชวนแม่ไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ส่วนญาณินก็ต้องไปคุมงานต่อ
“ใบฝากทองอยู่ที่ไหน ฉันต้องการดูเดี๋ยวนี้” มิรันตีหันไปรุกทนายสมชาติต่อ ทนายอึกอักรับคำไม่เต็มเสียงแล้วรีบเดินออกไป คุณหลวงมองดูเหตุการณ์แล้วพึมพำหนักใจ...
“คราวที่แล้วปัญหามันยังอยู่ภายนอกบ้าน แต่คราวนี้มันเข้ามาอยู่ในบ้านเลย”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น