คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 รับผิดชอบ (100%)
ผ่านมาสามวันหลังจากที่ชาริกาเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลกะทันหัน วันนี้เป็นวันที่หญิงสาวได้ออกจากโรงพยาบาล โดยมีนันทพัทธ์เป็นคนไปรับกลับบ้านพิมพ์พิลาวัลย์
“ไหวไหมคะน้องชาม ให้พี่อุ้มไหม”
ลูกชายคนเล็กของเจ้าของบ้านเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง ขณะกำลังประคองร่างเล็กเดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับเสนอความช่วยเหลือ ทว่าคนป่วยกลับส่ายหน้าปฏิเสธด้วยรอยยิ้มหวาน แม้จะยังซีดเซียวอยู่ แต่ก็ทำให้พี่ชายพอจะคลายกังวลลงไปได้บ้าง
“ชามไหวค่ะพี่นันท์” คนป่วยเอ่ยขึ้นเสียงแห้ง เพราะยังรู้สึกเคืองๆ คออยู่
“งั้นเดินดีๆ นะคะ เดี๋ยวเป็นล้มเป็นแล้งเอา ไม่อย่างนั้นพี่โดนแม่มิวจอมโหดเฉ่งกระบาลแน่ที่ดูแลลูกสาวของท่านได้ไม่ดี”
ชายหนุ่มเอ่ยถึงมารดาที่สุดแสนจะกำชับเขาให้ดูแลชาริกาดีๆ ถ้าหากหญิงสาวเป็นอะไรมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เขาคงต้องถูกตัดออกจากกองมรดกแน่
“นินทาอะไรแม่รึเปล่าน้องนันท์”
เสียงตะโกนมาแต่ไกลทำให้สองหนุ่มสาวที่กำลังเอ่ยถึงเจ้าของเสียงสะดุ้งจนสุดตัว ก่อนที่ทั้งสองจะเงยหน้าขึ้นไปมองมารดาที่ยืนทำหน้าสงสัยอยู่หน้าประตูบ้านอย่างแหยๆ เพราะตนทำอย่างที่ท่านพูดจริงๆ อย่างไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ
“ยิ้มแบบนี้มันใช่เลย”
ภีรตาได้แต่บ่นกับสายลมและแสงแดด เมื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนที่บ่งบอกได้อย่างดีว่ากำลังนินทาเธออยู่แน่ๆ อย่างไม่ต้องเดา
“ผมเปล่าเลยนะครับคุณแม่มิวสุดสวยของน้องนันท์” คนเป็นลูกประจบ
“เสียสูงแบบนี้ แม่ควรจะเชื่อดีไหมน้องนันท์”
ภีรตาทำหน้างอนลูกชายคนเล็กอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ว่าอย่างไรลูกชายทั้งสองก็เกรงใจและให้เกียรติตนเสมอ แต่ที่พูดแบบนี้ก็เพราะหมั่นไส้เจ้าตัวแสบแค่นั้นเอง
“เชื่อได้แน่นอนครับ” นันทพัทธ์พูดพร้อมกับประคองน้องสาวเดินเข้าไปหามารดาอย่างช้าๆ
ภีรตามองหน้าลูกชายอย่างไม่ค่อยจะเชื่อเสียเท่าไหร่ ก่อนจะหันไปสนใจคนป่วยที่ยืนยิ้มหวานให้ตนอยู่และเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“หนูชามเป็นอย่างไรบ้างลูก หายแล้วจริงๆ นะ”
“ถ้าน้องยังไม่หาย แม่จะให้น้องกลับไปโรงพยาบาลคืนรึไงฮะ” นันทพัทธ์เอ่ยประชดมารดาอย่างไม่จริงจังนัก ออกแนวหยอกล้อกันเสียมากกว่า
ทุกคนในบ้านต่างก็รู้ดีว่าสองแม่ลูกคู่นี้มักจะฟาดฝีปากกันเป็นประจำทุกครั้งเมื่อพบหน้า แต่ทว่าทุกคำพูดที่ใช้สื่อสารกัน ต่างก็มาจากความรักที่ทั้งสองมอบให้แก่กัน เพียงแต่คำพูดที่ใช้มักจะออกมาแนวฮาร์ดคอร์ก็ตาม
“ก็แน่สิ”
คนเป็นแม่ยอมรับ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกสาวมากกว่าสิ่งอื่นใด
“เอาเป็นว่าเราเข้าบ้านกันดีกว่านะฮะ เพราะตอนนี้แดดแรงมาก” ชายหนุ่มโอด
“อ้าวเหรอ ทำไมไม่บอกแม่ล่ะลูก โถ่ๆ น้องชามของแม่คงร้อนแย่เลย”
ภีรตาเดินเข้าไปรับตัวชาริกาจากนันทพัทธ์มาประคองเอง พร้อมกับเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง แล้วพาหญิงสาวเดินเข้าบ้านไป โดยไม่สนใจลูกชายที่มองตามตาละห้อยด้วยความน้อยใจ
“โหแม่มิว ไม่สนใจลูกชายอย่างผมบ้างเลยหรือฮะ ผมเสียใจนะเนี่ย”
ชายหนุ่มโอดอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะเดินตามมารดาและน้องสาวเข้าไปในบ้าน ตลอดทางเดินก็ยังบ่นน้อยใจคนเป็นแม่ไม่หยุดปาก
ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่อยู่ในสายตาของนนทพัทธ์ทุกอย่าง โดยชายหนุ่มยืนมองลงมาจากห้องนอนของตนเองจากชั้นสองของคฤหาสน์ แม้จะไม่รู้ว่าคนทั้งสามพูดคุยหรือเจรจาอะไรกัน
ทว่ารอยยิ้มทั้งปากและแววตาของคนที่เขาแสนชิงชังกลับเป็นรอยยิ้มที่มีความสุข รอยยิ้มหวานนั้นมันทำให้หัวใจเขาเต้นสะดุด เพราะเขาแทบไม่เคยเห็นชาริกายิ้มหวานแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดีครับมีนา”
ชายหนุ่มเหม่อมองท้องฟ้าสีครามอย่างล่องลอย พร้อมกับเอ่ยถึงหญิงสาวคนรักที่ลาจากโลกนี้ไปแล้วอย่างขอคำปรึกษา แม้จะรู้ว่าไม่มีคำตอบใดๆ ตอบกลับมาจากหญิงสาวก็ตามที
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูอยู่หน้าห้องทำให้ร่างบางที่กำลังจะเคลิ้มหลับอยู่รอมร่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาและเอ่ยอนุญาตคนหน้าห้องในที่สุด
“เชิญค่ะ”
หญิงสาวเอ่ยอนุญาตพร้อมกับหลับตาลงเช่นเดิม ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง เมื่อคนที่เดินเข้ามายังไม่ยอมพูดอะไร
“มีอะไรรึเปล่าคะป้านวล”
ชาริกาเอ่ยถาม เมื่อคิดว่าคนที่เข้ามาหาตนยามวิกาลเช่นนี้คือป้านวลที่ตนเคารพรักอีกคน เพราะคิดว่าท่านอาจจะเป็นห่วงเธอมาก เลยเข้ามาดูตนอีกครั้งก่อนเข้านอน แต่เสียงที่ตอบกลับมาทำให้คนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงเบิกตากว้างทันที
“ผมแค่อยากมาดูว่าคุณเป็นอย่างไรบ้าง”
นนทพัทธ์ตอบไป แม้เจ้าของห้องไม่ได้ถามตนก็ตาม ทว่าสรรพนามที่ใช้พูดกับหญิงสาวกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยที่เจ้าตัวก็ยังไม่ทันได้สังเกตตัวเองเช่นกัน
“ฉันยังไม่ตายอย่างที่คุณหวังหรอกค่ะคุณนนทพัทธ์”
ชาริกาเอ่ยประชดประชันออกไป และยังไม่ไว้ใจในท่าทีของเขาที่แสดงอาการเป็นห่วงเธอเช่นนี้ เพราะการที่เธอเข้าโรงพยาบาลก็เป็นเพราะผู้ชายคนนี้
“ผมถามคุณดีๆ แล้วทำไมคุณไม่ตอบผมดีๆ บ้างชาริกา”
ชายหนุ่มเอ่ยออกไปอย่างอ่อนใจกับท่าทีของคนบนเตียง ที่ดูแล้วจะยังโกรธเขาอยู่ ก็แน่ล่ะใครจะหายโกรธคนที่ทำให้ตัวเองเกือบตายได้
“ถ้าแค่คุณอยากรู้ว่าฉันตายรึยัง ฉันก็ตอบไปแล้วว่าฉันยังไม่ตาย” หญิงสาวยังคงตอบแบบประชดประชันไปเช่นเดิมแล้วนอนตะแคงหันหลังหนีนนทพัทธ์ไปเสียดื้อๆ
“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเป็นอย่างไรบ้างจริงๆ ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นอย่างที่คุณเข้าใจเลย”
ชายหนุ่มพูดอย่างอ่อนโยนกับคนป่วย แม้จะต้องพูดกับแผ่นหลังของเจ้าตัวก็ตาม แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมาแม้แต่คำเดียว
นนทพัทธ์ค่อยๆ นั่งลงบนเตียงใหญ่ เอื้อมมือไปแตะแขนเล็กของชาริกา และเอ่ยคำที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากคนใจร้ายคนนี้
“ผมขอโทษ…ผมไม่ได้ตั้งใจให้คุณเจ็บแบบนี้ ผมขอโทษชาริกา…”
เจ้าของชื่อได้แต่เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตัวเองกับประโยคที่ได้ยิน คนอย่างนนทพัทธ์ที่เกลียดเธอยิ่งกว่าไส้เดือนกิ้งกือน่ะหรือที่เอ่ยคำว่าขอโทษออกมา
ชาริกาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง โดยมีคนรู้สึกผิดอย่างนนทพัทธ์คอยช่วยพยุง แม้จะไม่ค่อยเต็มใจ ทว่าชายหนุ่มก็ยังคงดื้อดังช่วยจนนั่งได้สำเร็จ
“ขอบคุณ” หญิงสาวเอ่ยออกไปเสียงเบา
“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจ” ชายหนุ่มอมยิ้มพร้อมกับพูดเสียงนุ่มเช่นเดิม
“คุณมีธุระอะไรถึงเข้ามาหาฉันยามวิกาลเช่นนี้” ชาริกาเปิดประเด็นถามทันที แต่ก็ยังมิมายจิกกัดคนตัวโตไปด้วยที่เข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของคนอื่นเช่นนี้
“ผมตอบคุณไปแล้วว่าผมเข้ามาทำไม”
“คุณก็เห็นแล้วว่าฉันไม่เป็นอะไร ทีนี้ก็กลับห้องคุณไปได้แล้ว” หญิงสาวออกปากไล่ ทว่าคนหน้ามึนก็ยังไม่ยอมขยับกายลุกออกไปจากเตียงเสียที
“ผมตั้งใจว่าจะมานอนเฝ้าคุณ”
นนทพัทธ์เอ่ยความตั้งใจของตัวเองไปทันที และนั่นทำให้เห็นหน้าตาตลกๆ ของคนป่วยที่เบิกตาโตจนลูกตาแทบจะถลนออกมานอกเบ้า พร้อมกับอ้าปากกว้างจนแมลงวันสามารถบินเข้าไปได้ทั้งฝูง
“คะ…คุณจะบ้ารึไง”
“ผมไม่ได้บ้า ผมแค่อยากแน่ใจว่ากลางดึกคุณจะไม่เป็นอะไร” ชายหนุ่มอธิบาย
ถ้าคืนนั้นเขาไม่แวะเข้ามาดูชาริกา คงไม่รู้ว่าเธอแพ้ถั่วหนักจนแทบช็อก และครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาอยากแน่ใจว่าตกดึกแล้วชาริกาจะไม่เป็นเหมือนวันนั้น ทั้งที่หมอก็ยืนยันแล้วว่าหญิงสาวหายดีแล้ว แต่เขาก็อยากอยู่จนกว่าจะแน่ใจว่าเธอปลอดภัย
“ฉันหายดีแล้ว ที่สำคัญคุณจะมานอนที่นี่ได้ยังไง มันไม่เหมาะ” หญิงสาวอธิบายด้วยเหตุผล
“ผมเป็นคนทำให้คุณเป็นแบบนี้ ผมก็ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองสิ” ชายหนุ่มแย้ง ทั้งที่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าจะดื้อดึงนอนเฝ้าเธอให้ได้ไปทำไม ทั้งที่หญิงสาวเองก็ไม่ต้องการ จึงได้แต่ให้เหตุผลตัวเองว่าเพราะความรู้สึกผิด
ชาริกาพยายามจับผิดคนตัวโตว่ามีแผนอะไรอยู่ในใจรึเปล่า เพราะยังไม่ไว้ใจกับท่าทีของคนที่เกลียดตนมาตลอดห้าปี และยังไม่เชื่อว่าเขาจะรู้สึกผิดกับตนจริงๆ
“ผมต้องทำยังไงคุณถึงเชื่อว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ และที่ทำทุกอย่างก็เพราะอยากรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองที่ทำไม่มีไว้กับคุณ ไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝงอย่างที่คุณเข้าใจเลย”
นนทพัทธ์เอ่ยออกมาอย่างรู้ทันความคิดหญิงสาวที่จ้องมองตนอย่างจับผิด
“แล้วแต่คุณจะทำเถอะค่ะ อยากทำอะไรก็เชิญตามสบาย ก็ที่นี่บ้านคุณนี่”
ชาริกาเอ่ยตัดรำคาญ เพราะไม่ว่าจะไล่เขาไปยังไง คนหน้ามึนก็ไม่มีทางทำตามที่บอกอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ลืมที่จะพูดจิกกัดชายหนุ่มไปในท้ายประโยค
นนทพัทธ์อมยิ้มกับน้ำเสียงประชดประชันนั่น ก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวนอนตามคนป่วยไป พร้อมกับแย่งผ้าห่มหนาของคนตัวเล็กมาคลุมกายตนไว้อย่างหน้าด้านๆ
“นี่คุณทำอะไร !”
ชาริกาสะดุ้งตัวลุกขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นนนทพัทธ์ทิ้งตัวลงนอนข้างกายอย่างถือวิสาสะแถมยังมาแย่งผ้าห่มไปอีก
“อ้าว ผมก็นอนน่ะสิถามได้” ชายหนุ่มตีหน้ามึนตอบกลับ และนั่นทำให้คนป่วยปรี๊ดแตก
“คุณจะบ้ารึไง นี่มันเตียงของฉันนะ คุณจะมานอนเตียงเดียวกับฉันได้ยังไง”
“ก็คุณบอกแล้วแต่ผมจะทำ ผมก็นอนนี่ไง คุณจะเอาอะไรกับผมอีก”
นนทพัทธ์ยังตีรวนทำเป็นไม่เข้าใจคำพูดของหญิงสาวที่ต้องการจะสื่อ ในเมื่อเขาเลือกจะนอนเฝ้าไข้เธอ เรื่องอะไรเขาจะต้องไปนอนที่โซฟาให้เมื่อย ในเมื่อมีเตียงใหญ่ แถมมีหมอนข้างร่างนุ่มให้นอนกอดทั้งคนเรื่องอะไรที่เขาจะต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วย
“แต่ไม่ใช่ให้คุณมานอนเตียงเดียวกับฉันแบบนี้ ฉันเป็นผู้หญิง ฉันเสียหายนะคะคุณนนทพัทธ์”
“มากกว่านี้ผมก็ทำมาแล้ว คุณจะอะไรกันนักกันหนาเนี่ย ผมง่วงแล้ว เรานอนกันเถอะนะ” คนหน้ามึนไม่พูดเปล่า ยังแสร้งหาวเสียปากกว้างประกอบคำพูด ก่อนจะคว้าเอวบางให้ล้มตัวนอนไปด้วยกัน และสามกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง โดยไม่ให้สาวเจ้าได้ตั้งตัว
“นี่คุณนนทพัทธ์ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ ปล่อยฉัน !”
ชาริกาพยายามดิ้นให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดแกร่งที่รัดแน่นเสียยิ่งกว่าคีมเหล็ก หญิงสาวทั้งทุบทั้งหยิก ทว่าก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากอ้อมกอดแกร่งแต่อบอุ่นนี้ได้เลย
“คุณจะดิ้นให้เหนื่อยทำไม ถึงอย่างไรผมก็ไม่ปล่อยคุณหรอก” นนทพัทธ์เอ่ยขู่เสียงหวาน พร้อมกับจูบไปที่ขมับชื้นของหญิงสาวอย่างอดใจไม่อยู่
“คนฉวยโอกาส คนเจ้าเล่ห์ อย่าให้ฉันหลุดออกไปได้นะ ฉันจะฆ่าคุณ” ชาริกาขู่กลับ แม้ตนเองจะเป็นรองทุกทาง ทว่าหญิงสาวก็ยังไม่เลิกพยศ
“อุ๊ย น่ากลัวจัง หึหึ”
ชายหนุ่มแกล้งกลัวกับคำขู่ฟ่อของแม่คนร่างบางในอ้อมแขน แต่ก็มีเสียงหัวเราะในลำคอ ซึ่งมันตรงกันข้ามกับคำพูดเสียเหลือเกิน และมันทำให้คนถูกกอดได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธที่เสียรู้คนเจ้าเล่ห์อย่างนนทพัทธ์
ชาริกาหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดแกร่ง แม้ชายหนุ่มจะกอดรัดแน่น กลับไม่ทำให้อึดอัด แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย ทว่าก็ต้องสลัดความรู้สึกนี้ทิ้งไปให้หมดสิ้น เพราะไม่มีทางที่จะรู้สึกดีกับคนที่เกลียดเธอแน่
“พูดง่ายแบบนี้ ค่อยน่ารักหน่อย”
นนทพัทธ์เอ่ยเย้าคนในอ้อมแขนอย่างเอ็นดู ความโกรธความเกลียดที่เคยมีกลับถูกแทนที่ด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายสาว จนทำให้เขาต้องสูดกลิ่นหอมนี้เข้าปอดอยู่บ่อยครั้งคล้ายคนโรคจิต
“ฉันยอมให้คุณนอนบนเตียงด้วยก็ได้ แต่ช่วยปล่อยฉันด้วย จะได้รีบๆ นอนกัน”
ชาริกาเอ่ยตกลงกับคนหน้ามึนคนละครึ่งทาง แน่นอนว่านนทพัทธ์จะต้องทำทุกวิถีทางให้ตัวเองได้นอนที่นี่และบนเตียงนี้ ซึ่งเธอไม่มีปัญญาไปสู้รบกับเขาแน่ จึงได้แต่ตกลงกับเขาคนละครึ่งทาง
“ผมไม่มีทางทำตามความต้องการคุณหรอกนะ เสียใจด้วยครับ”
นนทพัทธ์พูดจบก็ยิ่งกอดหญิงสาวแน่นขึ้น โดยซบใบหน้าหล่อของตนลงที่ซอกคอหอมกรุ่มของชาริกาอย่างเอาแต่ใจ
คนที่ถูกกอดโดยไม่เต็มใจ ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญาและได้แต่นอนนิ่งให้คนหน้ามึนกอดต่อไปอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงและหลับไปในที่สุด
คนที่แกล้งหลับลืมตาขึ้นมาในความมืดสลัวของห้องนอนใหญ่พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองวงหน้าเนียนของคนที่ตนนอนกอดอยู่อย่างรู้สึกผิด
“พี่นนท์ของโทษนะคะน้องชาม”
ชายหนุ่มกระซิบเสียงหวานไปที่ใบหูเล็กของชาริกา ค่อยๆ พลิกตัวของคนหลับสนิทให้หันหน้ามาหาตน พร้อมกับกดจมูกโด่งลงที่แก้มเนียนของหญิงสาวทั้งสองฝั่งอย่างอดใจไม่ไหว
“หลับฝันดีนะคะ”
“อือ อือ”
คนหลับครางออกมาอย่างนึกรำคาญที่ถูกรุกรานแก้มนุ่ม ก่อนจะนอนตะแคงหันหน้าไปทางคนตัวโต พร้อมกับซบอกแกร่งอย่างไม่รู้ตัว
นนทพัทธ์จัดท่าทางให้คนป่วยได้นอนสบาย โดยยกหัวทุยของหญิงสาวให้หนุนแขนของตนเอง พร้อมกับวาดแขนกอดไปที่เอวบาง ค่อยๆ หลับตาลงตามคนในอ้อมแขนไป
ทั้งสองต่างก็ถ่ายเทความอบอุ่นให้กันและกัน โดยลืมเรื่องความแค้นที่อยู่ในใจไปชั่วขณะ เหลือเพียงร่างกายที่ให้หัวใจเป็นสื่อนำทาง
ฝากติดตามด้วยค่า
ความคิดเห็น