คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 รู้สึกผิด (100%)
ร่างสูงเกือบสองเมตรนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงกว้างอย่างข่มตาไม่ลง เพราะนึกกังวลไปถึงคนตัวเล็กที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ด้วยความไม่สบายใจชายหนุ่มจึงลุกเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องๆ หนึ่งที่อยู่ติดกัน
ชายหนุ่มยกมือจะเคาะบานประตู แต่ก็ต้องชะงักไว้กลางอากาศ เพราะเริ่มลังเลว่าตนจะเคาะดีหรือไม่ หรือว่าจะเดินกลับห้องตัวเองเช่นเดิม
“ยัยนั่นจะเป็นอะไรไหมนะ”
นนทพัทธ์พึมพำอยู่หน้าบานประตูค่อยๆ บิดลูกบิดประตู และนึกแปลกใจที่วันนี้ชาริกาไม่ได้ล็อคประตู ปกติหญิงสาวจะระวังเรื่องนี้มาก
ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ และความเงียบนี้ทำให้เขาได้ยินเสียงคนร้องสะอื้นอยู่ท่ามกลางความมืดของห้อง
นนทพัทธ์รีบสาวเท้าเดินตรงไปยังที่มาของเสียง พร้อมกับกดสวิตซ์โคมไฟบนหัวเตียงให้สว่าง ก่อนจะตกใจจนแทบลืมหายใจ
“ชาริกา!”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งข้างคนที่นอนเพ้อไม่ได้ศัพท์อยู่บนเตียงกว้าง ทว่าคนบนเตียงกลับไม่ได้ยินที่เขาเรียกเสียเลย
นนทพัทธ์มองร่างบางบนเตียงอย่างรู้สึกผิด ร่างที่เคยขาวนวลบัดนี้กลับแดงเป็นจ้ำๆ ตลอดเรือนร่าง ใบหน้าที่บวมเปล่งจนมองไม่เห็นลูกตา โดยเฉพาะริมฝีปากที่บวมเจ่อขึ้นมาอย่างไม่เหลือเค้าเดิม
“ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”
ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เขาไม่ได้ต้องการให้ชาริกาเจ็บหนักถึงขนาดนี้ เขาต้องการเพียงให้หญิงสาวคันตามเนื้อตามตัวจนนอนไม่หลับทั้งคืน แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะแพ้นมถั่วเหลืองที่เขาผสมลงไปในนมวัวมากขนาดนี้
“ฮือๆ ชามเจ็บจังเลยค่ะคุณพ่อคุณแม่” หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงดิ้นกระสับกระส่ายด้วยความทรมาน พร้อมกับเพ้อถึงบุพการีที่เธอเห็นท่านนั่งอยู่ข้างๆ กายในเวลานี้
“พาชามไปอยู่ด้วยนะคะ ชามเจ็บเหลือเกิน ฮือๆ”
นนทพัทธ์สะอึกกับคำพูดที่เปล่งออกมาจากปากที่บวมเจ่อ แม้จะฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ ทว่าประโยคที่หญิงสาวพูดเมื่อครู่กลับชัดเจนเหลือเกินในความรู้สึกเขา
เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาควรจะรีบพาชาริกาไปส่งโรงพยาบาล ก่อนที่อาการของหญิงสาวจะรุนแรงมากกว่านี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็ช้อนกายสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนและรีบเดินออกจากห้องลงไปที่โรงรถทันที
“เฮ้ยไอ้นนท์ ! น้องชามเป็นอะไรวะ”
นันทพัทธ์ที่เห็นพี่ชายอุ้มน้องสาวที่เขารักอีกคนออกมาจากห้องนอนด้วยความเร่งรีบก็นึกเป็นห่วง เพราะเขาเองก็กำลังจะเข้าไปหาชาริกา เพื่อดูอาการของหญิงสาวถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่ แต่ก็มาเจอนนทพัทธ์อุ้มสาวเจ้าออกมาจากห้องเสียก่อน
“รีบไปเอารถออกเถอะไอ้นันท์ อย่ามาถามมาก” นนทพัทธ์เอ่ยเร่งน้องชาย เมื่อนันทพัทธ์มัวแต่ยืนถาม ทว่าไม่ยอมเข้ามาช่วย
“จะเอารถออกไปไหน” ชายหนุ่มยังถามอย่างสงสัยโดยไม่ดูสถานการณ์
“ไปโรงพยาบาล !” แฝดพี่เอ่ยตะโกนเสียงดัง เพราะรำคาญกับความขี้สงสัยของน้องชายฝาแฝด “มึงจะไปได้รึยัง หรือจะรอให้ชาริกาตายก่อน”
“เออๆ”
นันทพัทธ์ตอบรับแล้ววิ่งไปหยิบกุญแจรถสปอร์ตของตนเองในห้อง และวิ่งลงตามหลังพี่ชายไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองหนุ่มพาชาริกาไปส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะอาการหญิงสาวค่อนข้างน่ากลัว ถ้าหากปล่อยนานไปกว่านี้เธออาจจะเป็นอันตรายได้
สองพี่น้องนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย โดยเฉพาะคนเป็นพี่ที่รู้สึกผิดต่อหญิงสาวยิ่งนัก ถ้าหากเธอเป็นอะไรไป เขาคงขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตรกรอย่างที่เคยตราหน้าชาริกาไว้แน่
‘ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ’
นนทพัทธ์ได้แต่กล่าวขอโทษหญิงสาวในใจกับการกระทำที่แสนโง่ของตนเอง ได้แต่ภาวนาในใจให้เธอปลอดภัย ไม่เช่นนั้นเขาคงรู้สึกผิดต่อชาริกามากแน่ๆ
“หนูชามเป็นอย่างไรบ้างลูก”
ภีรตาที่วิ่งหน้าตื่นมาพร้อมกับสามี เอ่ยถามลูกชายทั้งสองคนอย่างไม่เจาะจงถามใครเป็นพิเศษ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของชาริการที่ตนรักดั่งลูกสาวมากกว่าอะไรทั้งสิ้น
“นั่นสิ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” คันธารัตน์ถามซ้ำคำถามของภีรตา เพราะเป็นห่วงหญิงสาวไม่แพ้กับภรรยา
“หมอยังไม่ออกมาเลยครับ ไม่รู้ว่าน้องชามเป็นอะไรมารึเปล่า” นันทพัทธ์ตอบท่านทั้งสองออกไปอย่างกังวลไม่แพ้กัน เพราะสภาพอาการของน้องสาวมันช่างหนักหนาเหลือเกิน
“แล้วนนท์รู้ได้ยังไงว่าน้องไม่สบาย”
คนเป็นพ่อตั้งข้อสงสัย เพราะรู้ว่าคนทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกันเสียเท่าไหร่ ทว่าเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชาริกาก็จะมีนนทพัทธ์อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยเป็นคนแรกๆ แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกมาเสียก่อน พร้อมกับผู้ชายที่ใส่ชุดกราวสีขาวที่ดูภูมิฐาน
“ชาริกาเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ”นนทพัทธ์เอ่ยถามแพทย์เจ้าของไข้อย่างร้อนรน
“ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่หมออยากให้ญาติๆ ระวังเรื่องหารของคนไข้มากๆ นะครับ เพราะคนไข้มีอาการแพ้ถั่วอย่างรุนแรง และคนไข้อยู่ในช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำเนื่องจากไม่สบาย ทำให้อาการแพ้รุนแรงมากกว่าปกติ แม้คนไข้จะกินยาแก้แพ้ไปแล้วก็ตาม” หมอเจ้าของไข้เอ่ยอธิบายให้กับทุกคนฟังอย่างละเอียด
“ลูกสาวของดิฉันแพ้ถั่วเหรอคะคุณหมอ” ภีรตาเอ่ยถาม เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหญิงสาวที่ตนรักเหมือนลูกจะมีอาการแพ้ถั่ว
“ครับ คนไข้แพ้ถั่วทุกชนิด”คุณหมอยืนยัน
“แต่จะเป็นไปได้ยังไงคะ ในเมื่อตอนมื้อเย็นอาหารที่เราทานไม่มีถั่วเป็นส่วนประกอบแม้แต่อย่างเดียว”
“หมอก็ไม่ทราบว่าคนไข้ไปเผลอทานอาหารที่มีส่วนผสมของถั่วเข้าได้อย่างไร แต่หมออยากให้ญาติๆ ระวังด้วยนะครับ เพราะถ้าหากคนไข้เผลอทานเข้าไปมากๆ อาจจะทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้นะครับ”
“แล้วน้องสาวผมจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหนครับ” นันทพัทธ์เอ่ยถาม
“หมออยากให้รอดูอาการอีกสักสองสามวันก่อนครับ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรก็กลับบ้านได้ครับ”คุณหมอตอบออกไปด้วยรอยยิ้มอย่างปลอบใจ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวนะครับ ญาติๆ สามารถไปรอคนไข้ที่ห้องพักฟื้นได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ” ภีรตายกมือไหว้ขอบคุณหมอผู้อาวุโส ซึ่งสามหนุ่มทั้งสามก็ทำเช่นเดียวกัน
“น้องชามไปเผลอกินถั่วตอนไหนเนี่ย” นันทพัทธ์เอ่ยบ่นขึ้นมาลอยๆ พร้อมกับตั้งข้อสงสัยกับความที่จะเป็นไปได้
“นั่นสิ” คนเป็นแม่เอ่ยเห็นด้วย เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าชาริกาไปเผลอกินถั่วตั้งแต่ตอนไหน นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที จึงหันไปถามความคิดเห็นของลูกชายคนโต
“พี่นนท์รู้รึเปล่าลูกว่าน้องไปเผลอกินถั่วตอนไหน”
“อ่ะ…เอ่อ…ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับแม่มิว” ชายหนุ่มเอ่ยโกหกออกไป เพราะไม่กล้าพอที่จะบอกมารดาไปว่าตนเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้
“แล้วพี่นนท์รู้ได้ยังไงว่าน้องไม่สบาย” ภีรตาถามต่อกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบซึ่งนันทพัทธ์เองก็สนใจในประเด็นนี้เช่นกัน
“เอ่อ…พอดีว่าผมเดินผ่านไปพอดี แล้วได้ยินเสียงของชาริกาเลยเข้าไปดูครับ แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น”
นนทพัทธ์โกหกไปอีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนขบวนไปยังห้องพักฟื้นของชาริกา เมื่อพยาบาลเข็นเตียงที่มีคนป่วยนอนหน้าซีด ทว่าใบหน้ายังบวมเป่งอยู่ไปยังห้องที่ได้จองไว้
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีพรุ่งนี้ผมมีประชมแต่เช้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างทางที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องพักฟื้นของชาริกา
“ไม่ไปดูน้องก่อนหรือลูก” คนเป็นแม่ถาม แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่นนทพัทธ์จะปฏิเสธที่จะไปดูอาการของชาริกา
เนื่องจากรู้ว่าลูกชายโทษหญิงสาวมาตลอดว่าเป็นคนที่ทำให้มีนาหญิงคนรักลาจากโลกนี้ไป ทำให้ชายหนุ่มมักจะหลีกเลี่ยงทุกสถานการณ์ที่มีชาริการวมอยู่ด้วย
“ไม่ดีกว่าครับ ชาริกาก็ปลอดภัยแล้ว ผมคงไม่จำเป็นต้องอยู่” เขาไม่อยากอยู่ เพราะไม่กล้าสู้หน้าของหญิงสาว เนื่องจากเมื่อเห็นหน้าบวมเป่งนั้นทีไร เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก
“กลับดีๆ นะลูก” นางเอ่ยบอกลูกชายอย่างเป็นห่วง
“ครับ” นนทพัทธ์ตอบรับ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่รู้ว่ามีน้องชายฝาแฝดเดินตามหลังมาติดๆ
“เดี๋ยวก่อนไอ้นนท์”
“มีอะไร”
ชายหนุ่มหันหลังกลับมาถามอย่างนึกรำคาญ เพราะตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ขันมาล้อเล่นแต่อย่างใด ทว่าเมื่อหันมาเห็นสีหน้าของน้องชายก็นึกแปลกใจ
ไม่บ่อยนักที่คนอารมณ์ดีขี้เล่นและจอมกะล่อนของบ้านอย่างนันทพัทธ์จะมีสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ แล้วเหตุใดน้องชายฝาแฝดถึงมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างนี้
“แกทำอะไรไว้ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะนนท์” แฝดน้องเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจัง
“แกหมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจ” นนทพัทธ์ยังทำเป็นไม่เข้าใจกับสิ่งที่น้องชายพูด แม้จริงๆ แล้วเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้เชียวล่ะ
“หึ แกคิดว่าฉันไม่รู้รึยังไงว่าแกทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ อย่าลืมสินนท์ว่าเราเป็นแฝดกัน แกคิดอะไรฉันย่อมเดาใจแกออกหมด หรือว่าแกจะเถียงว่าที่น้องชามแพ้ถั่วหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันแบบนี้ เถียงสิว่าไม่ได้มาจากนมวัวที่ผสมนมถั่วเหลืองของแก”
นันทพัทธ์พูดออกมาจนพี่ชายฝาแฝดพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ไม่ว่าเขาคิดหรือจะทำอะไรน้องชายฝาแฝดของเขามักรู้และเดาทางได้เสมอ เช่นเดียวกับเขาที่เดาทางของอีกฝ่ายถูกเช่นเดียวกัน
“แล้วยังไง” นนทพัทธ์ยื่นอกรับ พร้อมกับถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“รอบนี้แกเล่นแรงเกินไปแล้วนะ” ชายหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ เมื่อไม่เห็นแววสำนึกผิดของพี่ชายแม้แต่น้อย
นันทพัทธ์พยายามไม่ก้าวก่ายเรื่องของพี่ชาย เพราะต่างก็โตกันแล้ว แม้แต่เรื่องที่นนทพัทธ์แกล้งชาริกา เขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งถ้าหากเรื่องนั้นมันไม่เกินเลยไป แต่เรื่องนี้เขาปล่อยผ่านไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากหญิงสาวอาการหนักจนถึงขั้นหามส่งโรงพยาบาล
ตลอดระยะเวลาทานอาหารอยู่บนโต๊ะ แม้เขาจะตั้งหน้าตั้งตาทานโดยไม่สนใจรอบข้าง แต่การกระทำของทุกคนร่วมโต๊ะก็ไม่ได้รอดสายตาเขาไป ไม่เว้นแม้แต่การกระทำของนนทพัทธ์และชาริกา
ทว่าเขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่ชายฝาแฝดจะแกล้งชาริกาหนักจนถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาล และถ้าหากมาช้ากว่านี้หญิงสาวอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง” ชายหนุ่มตอบกลับไปเสียงแข็ง เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้
“เลิกคิดซะเถอะเรื่องแก้แค้น แกไม่ได้สูญเสียคนเดียวนะนนท์ น้องชามเองเธอก็สูญเสียพ่อแม่ไปเหมือนกัน แถมทั้งโลกกลับเหลือตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ที่สำคัญน้องชามไม่ได้เป็นคนผิดในเรื่องนี้ มันคืออุบัติเหตุ”
“แกไม่ได้เป็นฉัน แกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก”ชายหนุ่มเว้นจังหวะการพูด “ความสูญเสียที่ไม่มีวันเรียกกลับคืนมาได้ คนที่รักจากไปทั้งที่เพิ่งจะคุยกันผ่านไปไม่ถึงนาที ยังไม่ทันได้ล่ำลา แกรู้ไหมว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แกรู้ไหมว่าฉันต้องทนทรมานแค่ไหนกว่าจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ถึงทุกวันนี้”
“แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเจ็บไม่ต่างจากเมื่อห้าปีก่อน…”นนทพัทธ์พูดออกมาเสียงแผ่ว เพราะทุกคำพูดมันบาดลึกไปถึงหัวใจ
นันทพัทธ์มองหน้าพี่ชายที่น้ำตาคลอหน่วยด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่น่าพูดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนเลย เพราะมันจะทำให้พี่ชายเขาเจ็บแบบนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องพูด ไม่เช่นนั้นคนที่ไม่ได้ผิดอย่างชาริกาจะต้องทนรับกรรมกับเรื่องที่ตนไม่ได้ก่อต่อไปไม่มีวันจบสิ้น
“แต่ฉันก็ยังยืนยันว่าน้องชามไม่ได้เป็นคนผิดในเรื่องนี้ แกลองกลับไปอ่านสรุปสำนวนคดีใหม่อีกครั้ง แกอาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”
ชายหนุ่มพูดจบก็โยนกุญแจรถสปอร์ตของตัวเองให้พี่ชาย เพราะรู้ว่านนทพัทธ์ไม่ได้เอารถตัวเองมา ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องพักฟื้นของชาริกาอีกครั้ง
นนทพัทธ์คว้ารับกุญแจรถของน้องชายตามสัญชาตญาณ แม้ตอนแรกจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ในมือก็เข้าใจ และนึกขอบคุณน้องชาย
ทว่าสิ่งที่นันทพัทธ์พูดเมื่อครู่มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ในเมื่อเขาอ่านสำนวนคดีกี่รอบๆ มันก็มาจากชาริกา เพราะมีนาหักรถหลบเจ้าลูกแมวที่หญิงสาวลงไปจับ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุสะเทือนขวัญขึ้น
“ฉันทำใจยกโทษให้คนที่เป็นต้นเหตุให้มีนาต้องตายได้หรอกนะนันท์ แต่เรื่องที่ฉันเล่นแรงเกินไปฉันยอมรับและรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่แน่อนาคตฉันอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้”
ชายหนุ่มเอ่ยตามหลังน้องชายไปกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ แต่แล้วนนทพัทธ์ก็หยุดคิดถึงเรื่องนี้ที่ทำให้ตนเจ็บ จึงเลือกที่จะเดินไปยังรถหรูของน้องชายและขับตรงไปยังที่แห่งหนึ่งที่เขามักจะไปประจำยามเครียดหรือเหนื่อยล้าจากการทำงาน
“สถานสงเคราะห์บ้านวรกานต์สิทธิ์”
ฝากติดตามด้วยค่าา
ความคิดเห็น