ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร้ายซ่อน...รัก

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 รู้สึกผิด (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 31 มี.ค. 59




     

    ร่างสูงเกือบสองเมตรนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงกว้างอย่างข่มตาไม่ลง เพราะนึกกังวลไปถึงคนตัวเล็กที่นอนอยู่ห้องข้างๆ ด้วยความไม่สบายใจชายหนุ่มจึงลุกเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องๆ หนึ่งที่อยู่ติดกัน

    ชายหนุ่มยกมือจะเคาะบานประตู แต่ก็ต้องชะงักไว้กลางอากาศ เพราะเริ่มลังเลว่าตนจะเคาะดีหรือไม่ หรือว่าจะเดินกลับห้องตัวเองเช่นเดิม

    “ยัยนั่นจะเป็นอะไรไหมนะ”

    นนทพัทธ์พึมพำอยู่หน้าบานประตูค่อยๆ บิดลูกบิดประตู และนึกแปลกใจที่วันนี้ชาริกาไม่ได้ล็อคประตู ปกติหญิงสาวจะระวังเรื่องนี้มาก

    ชายหนุ่มค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปอย่างเงียบเชียบ และความเงียบนี้ทำให้เขาได้ยินเสียงคนร้องสะอื้นอยู่ท่ามกลางความมืดของห้อง

    นนทพัทธ์รีบสาวเท้าเดินตรงไปยังที่มาของเสียง พร้อมกับกดสวิตซ์โคมไฟบนหัวเตียงให้สว่าง ก่อนจะตกใจจนแทบลืมหายใจ

    “ชาริกา!

    ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งข้างคนที่นอนเพ้อไม่ได้ศัพท์อยู่บนเตียงกว้าง ทว่าคนบนเตียงกลับไม่ได้ยินที่เขาเรียกเสียเลย

    นนทพัทธ์มองร่างบางบนเตียงอย่างรู้สึกผิด ร่างที่เคยขาวนวลบัดนี้กลับแดงเป็นจ้ำๆ ตลอดเรือนร่าง ใบหน้าที่บวมเปล่งจนมองไม่เห็นลูกตา โดยเฉพาะริมฝีปากที่บวมเจ่อขึ้นมาอย่างไม่เหลือเค้าเดิม

    “ฉันไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้”

    ชายหนุ่มเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เขาไม่ได้ต้องการให้ชาริกาเจ็บหนักถึงขนาดนี้ เขาต้องการเพียงให้หญิงสาวคันตามเนื้อตามตัวจนนอนไม่หลับทั้งคืน แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะแพ้นมถั่วเหลืองที่เขาผสมลงไปในนมวัวมากขนาดนี้

    “ฮือๆ ชามเจ็บจังเลยค่ะคุณพ่อคุณแม่” หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงดิ้นกระสับกระส่ายด้วยความทรมาน พร้อมกับเพ้อถึงบุพการีที่เธอเห็นท่านนั่งอยู่ข้างๆ กายในเวลานี้

    “พาชามไปอยู่ด้วยนะคะ ชามเจ็บเหลือเกิน ฮือๆ”

    นนทพัทธ์สะอึกกับคำพูดที่เปล่งออกมาจากปากที่บวมเจ่อ แม้จะฟังไม่ค่อยได้ศัพท์ ทว่าประโยคที่หญิงสาวพูดเมื่อครู่กลับชัดเจนเหลือเกินในความรู้สึกเขา

    เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าเขาควรจะรีบพาชาริกาไปส่งโรงพยาบาล ก่อนที่อาการของหญิงสาวจะรุนแรงมากกว่านี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็ช้อนกายสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนและรีบเดินออกจากห้องลงไปที่โรงรถทันที

    “เฮ้ยไอ้นนท์ ! น้องชามเป็นอะไรวะ”

    นันทพัทธ์ที่เห็นพี่ชายอุ้มน้องสาวที่เขารักอีกคนออกมาจากห้องนอนด้วยความเร่งรีบก็นึกเป็นห่วง เพราะเขาเองก็กำลังจะเข้าไปหาชาริกา เพื่อดูอาการของหญิงสาวถึงอาการป่วยที่เป็นอยู่ แต่ก็มาเจอนนทพัทธ์อุ้มสาวเจ้าออกมาจากห้องเสียก่อน

    “รีบไปเอารถออกเถอะไอ้นันท์ อย่ามาถามมาก” นนทพัทธ์เอ่ยเร่งน้องชาย เมื่อนันทพัทธ์มัวแต่ยืนถาม ทว่าไม่ยอมเข้ามาช่วย

    “จะเอารถออกไปไหน” ชายหนุ่มยังถามอย่างสงสัยโดยไม่ดูสถานการณ์

    “ไปโรงพยาบาล !” แฝดพี่เอ่ยตะโกนเสียงดัง เพราะรำคาญกับความขี้สงสัยของน้องชายฝาแฝด “มึงจะไปได้รึยัง หรือจะรอให้ชาริกาตายก่อน”

    “เออๆ”

    นันทพัทธ์ตอบรับแล้ววิ่งไปหยิบกุญแจรถสปอร์ตของตนเองในห้อง และวิ่งลงตามหลังพี่ชายไปอย่างรวดเร็ว

    ทั้งสองหนุ่มพาชาริกาไปส่งโรงพยาบาลใกล้บ้าน เพราะอาการหญิงสาวค่อนข้างน่ากลัว ถ้าหากปล่อยนานไปกว่านี้เธออาจจะเป็นอันตรายได้

    สองพี่น้องนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินอย่างกระวนกระวาย โดยเฉพาะคนเป็นพี่ที่รู้สึกผิดต่อหญิงสาวยิ่งนัก ถ้าหากเธอเป็นอะไรไป เขาคงขึ้นชื่อว่าเป็นฆาตรกรอย่างที่เคยตราหน้าชาริกาไว้แน่

    ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ

    นนทพัทธ์ได้แต่กล่าวขอโทษหญิงสาวในใจกับการกระทำที่แสนโง่ของตนเอง ได้แต่ภาวนาในใจให้เธอปลอดภัย ไม่เช่นนั้นเขาคงรู้สึกผิดต่อชาริกามากแน่ๆ

    “หนูชามเป็นอย่างไรบ้างลูก”

    ภีรตาที่วิ่งหน้าตื่นมาพร้อมกับสามี เอ่ยถามลูกชายทั้งสองคนอย่างไม่เจาะจงถามใครเป็นพิเศษ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของชาริการที่ตนรักดั่งลูกสาวมากกว่าอะไรทั้งสิ้น

    “นั่นสิ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” คันธารัตน์ถามซ้ำคำถามของภีรตา เพราะเป็นห่วงหญิงสาวไม่แพ้กับภรรยา

    “หมอยังไม่ออกมาเลยครับ ไม่รู้ว่าน้องชามเป็นอะไรมารึเปล่า” นันทพัทธ์ตอบท่านทั้งสองออกไปอย่างกังวลไม่แพ้กัน เพราะสภาพอาการของน้องสาวมันช่างหนักหนาเหลือเกิน

    “แล้วนนท์รู้ได้ยังไงว่าน้องไม่สบาย”

    คนเป็นพ่อตั้งข้อสงสัย เพราะรู้ว่าคนทั้งสองไม่ค่อยลงรอยกันเสียเท่าไหร่ ทว่าเมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นกับชาริกาก็จะมีนนทพัทธ์อยู่ร่วมในเหตุการณ์ด้วยเป็นคนแรกๆ แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตอบ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกมาเสียก่อน พร้อมกับผู้ชายที่ใส่ชุดกราวสีขาวที่ดูภูมิฐาน

    “ชาริกาเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ”นนทพัทธ์เอ่ยถามแพทย์เจ้าของไข้อย่างร้อนรน

    “ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วครับ แต่หมออยากให้ญาติๆ ระวังเรื่องหารของคนไข้มากๆ นะครับ เพราะคนไข้มีอาการแพ้ถั่วอย่างรุนแรง และคนไข้อยู่ในช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำเนื่องจากไม่สบาย ทำให้อาการแพ้รุนแรงมากกว่าปกติ แม้คนไข้จะกินยาแก้แพ้ไปแล้วก็ตาม” หมอเจ้าของไข้เอ่ยอธิบายให้กับทุกคนฟังอย่างละเอียด

    “ลูกสาวของดิฉันแพ้ถั่วเหรอคะคุณหมอ” ภีรตาเอ่ยถาม เพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหญิงสาวที่ตนรักเหมือนลูกจะมีอาการแพ้ถั่ว

    “ครับ คนไข้แพ้ถั่วทุกชนิด”คุณหมอยืนยัน

    “แต่จะเป็นไปได้ยังไงคะ ในเมื่อตอนมื้อเย็นอาหารที่เราทานไม่มีถั่วเป็นส่วนประกอบแม้แต่อย่างเดียว”

    “หมอก็ไม่ทราบว่าคนไข้ไปเผลอทานอาหารที่มีส่วนผสมของถั่วเข้าได้อย่างไร แต่หมออยากให้ญาติๆ ระวังด้วยนะครับ เพราะถ้าหากคนไข้เผลอทานเข้าไปมากๆ อาจจะทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้นะครับ”

    “แล้วน้องสาวผมจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหนครับ” นันทพัทธ์เอ่ยถาม

    “หมออยากให้รอดูอาการอีกสักสองสามวันก่อนครับ ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรก็กลับบ้านได้ครับ”คุณหมอตอบออกไปด้วยรอยยิ้มอย่างปลอบใจ

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วหมอขอตัวนะครับ ญาติๆ สามารถไปรอคนไข้ที่ห้องพักฟื้นได้เลยนะครับ”

    “ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ” ภีรตายกมือไหว้ขอบคุณหมอผู้อาวุโส ซึ่งสามหนุ่มทั้งสามก็ทำเช่นเดียวกัน

    “น้องชามไปเผลอกินถั่วตอนไหนเนี่ย” นันทพัทธ์เอ่ยบ่นขึ้นมาลอยๆ พร้อมกับตั้งข้อสงสัยกับความที่จะเป็นไปได้

    “นั่นสิ” คนเป็นแม่เอ่ยเห็นด้วย เพราะนึกไม่ออกจริงๆ ว่าชาริกาไปเผลอกินถั่วตั้งแต่ตอนไหน นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกเสียที จึงหันไปถามความคิดเห็นของลูกชายคนโต

    “พี่นนท์รู้รึเปล่าลูกว่าน้องไปเผลอกินถั่วตอนไหน”

    “อ่ะเอ่อผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับแม่มิว” ชายหนุ่มเอ่ยโกหกออกไป เพราะไม่กล้าพอที่จะบอกมารดาไปว่าตนเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้

    “แล้วพี่นนท์รู้ได้ยังไงว่าน้องไม่สบาย” ภีรตาถามต่อกับคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบซึ่งนันทพัทธ์เองก็สนใจในประเด็นนี้เช่นกัน

    “เอ่อพอดีว่าผมเดินผ่านไปพอดี แล้วได้ยินเสียงของชาริกาเลยเข้าไปดูครับ แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น”

    นนทพัทธ์โกหกไปอีกครั้ง ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนที่ทั้งหมดจะเคลื่อนขบวนไปยังห้องพักฟื้นของชาริกา เมื่อพยาบาลเข็นเตียงที่มีคนป่วยนอนหน้าซีด ทว่าใบหน้ายังบวมเป่งอยู่ไปยังห้องที่ได้จองไว้

    “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ พอดีพรุ่งนี้ผมมีประชมแต่เช้า” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นระหว่างทางที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปยังห้องพักฟื้นของชาริกา

    “ไม่ไปดูน้องก่อนหรือลูก” คนเป็นแม่ถาม แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่นักที่นนทพัทธ์จะปฏิเสธที่จะไปดูอาการของชาริกา

    เนื่องจากรู้ว่าลูกชายโทษหญิงสาวมาตลอดว่าเป็นคนที่ทำให้มีนาหญิงคนรักลาจากโลกนี้ไป ทำให้ชายหนุ่มมักจะหลีกเลี่ยงทุกสถานการณ์ที่มีชาริการวมอยู่ด้วย

    “ไม่ดีกว่าครับ ชาริกาก็ปลอดภัยแล้ว ผมคงไม่จำเป็นต้องอยู่” เขาไม่อยากอยู่ เพราะไม่กล้าสู้หน้าของหญิงสาว เนื่องจากเมื่อเห็นหน้าบวมเป่งนั้นทีไร เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปอีก

    “กลับดีๆ นะลูก” นางเอ่ยบอกลูกชายอย่างเป็นห่วง

    “ครับ” นนทพัทธ์ตอบรับ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่รู้ว่ามีน้องชายฝาแฝดเดินตามหลังมาติดๆ

    “เดี๋ยวก่อนไอ้นนท์”

    “มีอะไร”

    ชายหนุ่มหันหลังกลับมาถามอย่างนึกรำคาญ เพราะตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ขันมาล้อเล่นแต่อย่างใด ทว่าเมื่อหันมาเห็นสีหน้าของน้องชายก็นึกแปลกใจ

    ไม่บ่อยนักที่คนอารมณ์ดีขี้เล่นและจอมกะล่อนของบ้านอย่างนันทพัทธ์จะมีสีหน้าเคร่งเครียดขนาดนี้ ถ้าหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ แล้วเหตุใดน้องชายฝาแฝดถึงมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างนี้

    “แกทำอะไรไว้ก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนะนนท์” แฝดน้องเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจัง

    “แกหมายความว่ายังไง ฉันไม่เข้าใจ” นนทพัทธ์ยังทำเป็นไม่เข้าใจกับสิ่งที่น้องชายพูด แม้จริงๆ แล้วเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้เชียวล่ะ

    “หึ แกคิดว่าฉันไม่รู้รึยังไงว่าแกทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ อย่าลืมสินนท์ว่าเราเป็นแฝดกัน แกคิดอะไรฉันย่อมเดาใจแกออกหมด หรือว่าแกจะเถียงว่าที่น้องชามแพ้ถั่วหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหันแบบนี้ เถียงสิว่าไม่ได้มาจากนมวัวที่ผสมนมถั่วเหลืองของแก”

    นันทพัทธ์พูดออกมาจนพี่ชายฝาแฝดพูดไม่ออก เพราะสิ่งที่ชายหนุ่มพูดมานั้นถูกต้องทุกอย่าง ไม่ว่าเขาคิดหรือจะทำอะไรน้องชายฝาแฝดของเขามักรู้และเดาทางได้เสมอ เช่นเดียวกับเขาที่เดาทางของอีกฝ่ายถูกเช่นเดียวกัน

    “แล้วยังไง” นนทพัทธ์ยื่นอกรับ พร้อมกับถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน

    “รอบนี้แกเล่นแรงเกินไปแล้วนะ” ชายหนุ่มกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ เมื่อไม่เห็นแววสำนึกผิดของพี่ชายแม้แต่น้อย

    นันทพัทธ์พยายามไม่ก้าวก่ายเรื่องของพี่ชาย เพราะต่างก็โตกันแล้ว แม้แต่เรื่องที่นนทพัทธ์แกล้งชาริกา เขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งถ้าหากเรื่องนั้นมันไม่เกินเลยไป แต่เรื่องนี้เขาปล่อยผ่านไปไม่ได้แล้ว เนื่องจากหญิงสาวอาการหนักจนถึงขั้นหามส่งโรงพยาบาล

    ตลอดระยะเวลาทานอาหารอยู่บนโต๊ะ แม้เขาจะตั้งหน้าตั้งตาทานโดยไม่สนใจรอบข้าง แต่การกระทำของทุกคนร่วมโต๊ะก็ไม่ได้รอดสายตาเขาไป ไม่เว้นแม้แต่การกระทำของนนทพัทธ์และชาริกา

    ทว่าเขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าพี่ชายฝาแฝดจะแกล้งชาริกาหนักจนถึงขั้นต้องส่งโรงพยาบาล และถ้าหากมาช้ากว่านี้หญิงสาวอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

    “แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง” ชายหนุ่มตอบกลับไปเสียงแข็ง เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้

    “เลิกคิดซะเถอะเรื่องแก้แค้น แกไม่ได้สูญเสียคนเดียวนะนนท์ น้องชามเองเธอก็สูญเสียพ่อแม่ไปเหมือนกัน แถมทั้งโลกกลับเหลือตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ที่สำคัญน้องชามไม่ได้เป็นคนผิดในเรื่องนี้ มันคืออุบัติเหตุ”

    “แกไม่ได้เป็นฉัน แกไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของฉันหรอก”ชายหนุ่มเว้นจังหวะการพูด “ความสูญเสียที่ไม่มีวันเรียกกลับคืนมาได้ คนที่รักจากไปทั้งที่เพิ่งจะคุยกันผ่านไปไม่ถึงนาที ยังไม่ทันได้ล่ำลา แกรู้ไหมว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน แกรู้ไหมว่าฉันต้องทนทรมานแค่ไหนกว่าจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนได้ถึงทุกวันนี้”

    “แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกเจ็บไม่ต่างจากเมื่อห้าปีก่อน”นนทพัทธ์พูดออกมาเสียงแผ่ว เพราะทุกคำพูดมันบาดลึกไปถึงหัวใจ

    นันทพัทธ์มองหน้าพี่ชายที่น้ำตาคลอหน่วยด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่น่าพูดถึงเรื่องเมื่อห้าปีก่อนเลย เพราะมันจะทำให้พี่ชายเขาเจ็บแบบนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก เขาจำเป็นต้องพูด ไม่เช่นนั้นคนที่ไม่ได้ผิดอย่างชาริกาจะต้องทนรับกรรมกับเรื่องที่ตนไม่ได้ก่อต่อไปไม่มีวันจบสิ้น

    “แต่ฉันก็ยังยืนยันว่าน้องชามไม่ได้เป็นคนผิดในเรื่องนี้ แกลองกลับไปอ่านสรุปสำนวนคดีใหม่อีกครั้ง แกอาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้น”

    ชายหนุ่มพูดจบก็โยนกุญแจรถสปอร์ตของตัวเองให้พี่ชาย เพราะรู้ว่านนทพัทธ์ไม่ได้เอารถตัวเองมา ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องพักฟื้นของชาริกาอีกครั้ง

    นนทพัทธ์คว้ารับกุญแจรถของน้องชายตามสัญชาตญาณ แม้ตอนแรกจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เมื่อมองเห็นสิ่งที่อยู่ในมือก็เข้าใจ และนึกขอบคุณน้องชาย

    ทว่าสิ่งที่นันทพัทธ์พูดเมื่อครู่มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว ในเมื่อเขาอ่านสำนวนคดีกี่รอบๆ มันก็มาจากชาริกา เพราะมีนาหักรถหลบเจ้าลูกแมวที่หญิงสาวลงไปจับ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุสะเทือนขวัญขึ้น

    “ฉันทำใจยกโทษให้คนที่เป็นต้นเหตุให้มีนาต้องตายได้หรอกนะนันท์ แต่เรื่องที่ฉันเล่นแรงเกินไปฉันยอมรับและรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่แน่อนาคตฉันอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้”

    ชายหนุ่มเอ่ยตามหลังน้องชายไปกับความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ แต่แล้วนนทพัทธ์ก็หยุดคิดถึงเรื่องนี้ที่ทำให้ตนเจ็บ จึงเลือกที่จะเดินไปยังรถหรูของน้องชายและขับตรงไปยังที่แห่งหนึ่งที่เขามักจะไปประจำยามเครียดหรือเหนื่อยล้าจากการทำงาน

    “สถานสงเคราะห์บ้านวรกานต์สิทธิ์
     

    ฝากติดตามด้วยค่าา

     

     



     
     
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×