คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 กลั่นแกล้ง (100%)
หลังจากที่นันทพัทธ์พาชาริกาไปโรงพยาบาลและกลับมาพร้อมกับความโล่งใจที่หญิงสาวไม่เป็นอะไรมาก เพียงแค่ผักผ่อนไม่เพียงพอและเครียด ทำให้ร่างกายอ่อนแอจนล้มป่วยไป และตอนนี้คนป่วยก็นอนพักผ่อนอยู่ในห้องส่วนตัว โดยมีป้านวลคอยแวะมาดูเป็นครั้งคราวด้วยความเป็นห่วง
“คุณหนูชามขา ได้เวลาอาหารเย็นแล้วค่ะ คุณท่านทั้งสองก็กลับมาแล้ว คุณหนูลุกไหวไหมคะ” ป้านวลถามเสียงนุ่ม
“ไหวค่ะป้านวล” คนป่วยพยุงตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง รู้สึกอาการดีขึ้นกว่าตอนเช้ามาก หลังจากได้นอนพักเต็มอิ่ม แต่ก็ยังรู้สึกมึนๆ หัวอยู่บ้าง
“คุณหนูเตรียมตัวลงไปทานข้าวได้แล้วนะคะ จะได้ทานยาตารมที่หมอสั่ง”
“ค่ะป้านวล เดี๋ยวอีกสิบนาทีชามจะตามลงไปนะคะ” หญิงสาวบอกเสียงหวาน ก่อนจะลุกเดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเอง
ชาริกาเดินจับราวบันไดบ้านและก้างลงอย่างช้าๆ เพราะยังรู้สึกมึนหัวอยู่ ทว่าเดินลงได้ไม่กี่ขั้นก็ต้องหยุดนิ่ง เมื่อมีเสียงดังขึ้นตามหลังมา
“ขนาดไปหาหมอแล้วโรคสำออยยังรักษาไม่หายอีกเหรอ”
เจ้าของเสียงทุ้มยืนกอดอกมองร่างบางที่ก้าวลงบันไดช้าๆ เหมือนไม่มีแรงอย่างนึกสมเพชเพราะคิดว่าหญิงสาวแกล้งทำ เพราะเมื่อเช้าชาริกายังมีแรงมายั่วยวนเขา แสดงว่าเธอไม่ได้เป็นอะไรมากนอกจากโรคสำออย
“หยิ่ง ! ทั้งที่ไม่มีอะไรให้หยิ่ง”
นนทพัทธ์ตะโกนออกไปอย่างโมโห เมื่อคนที่ต้องการแดกดันกลับไม่สนใจตน ยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมามอง
ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มคิดกลับผิดมหันต์ เพราะทุกย่างก้าวที่ลงเท้าบนบันได ชาริกานั้นต้องทนกล้ำกลืนฝืนทนมากเพียงใด บันไดไม้ที่เรียบลื่นกลับเหมือนมีขวางหนามวางอยู่เต็มพื้นกระดาน เพราะมันเจ็บปวดเหลือเกินทุกก้าวเดินที่วางน้ำหนักเท้า มันบาดลึกถึงหัวใจดวงน้อยที่อ่อนแรงนี้จะแทบจะหยุดเต้นอยู่รอมร่อ
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดรึยังไง !”
ชายหนุ่มยังตะโกนอย่างต่อเนื่อง ทว่าคนป่วยกลับไม่คิดจะสนใจ จึงได้แต่กำหมัดแน่น รอเวลาที่จะทำให้หญิงสาวเจ็บจุกจนพูดไม่ออก ก่อนจะพูดเสียงลอดไรฟันออกมาด้วยความโกรธขึ้ง
“เราจะได้เห็นดีกันแน่ ชาริกา”
ที่ห้องรับประทานอาหารของบ้านพิมพ์พิลาวัลย์ สมาชิกของของบ้านต่างก็นั่งลงประจำที่ของตนเองอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยเฉพาะลูกชายคนเล็กของบ้านที่นานๆ ครั้งจะเห็นหน้า เพราะส่วนใหญ่นันทพัทธ์มักจะอยู่ที่คอนโดฯ ส่วนตัวเป็นหลักจึงไม่ค่อยเข้าบ้านบ่อยนักต่างจากพี่ชาย
คันธารัตน์ประมุขของบ้านนั่งอยู่หัวโต๊ะ โดยมีภรรยาสุดสวยอย่างภีรตานั่งอยู่ขนาบข้างตรงข้ามกับลูกชายคนเล็ก ส่วนข้างกายก็มีร่างบางอย่างชาริกานั่งขนาบอยู่ ทุกคนต่างก็รอลูกชายคนโตที่ยังไม่ลงมาเสียที แม้จะให้เด็กในบ้านขึ้นไปตามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามาเสียที
“ทำไมพี่นนท์ยังไม่ลงมาเสียทีนี่”
เสียงคุณผู้หญิงของบ้านบ่นถึงลูกชาย พร้อมกับชะเง้อคอมองไปที่ประตู ทว่าก็ปราศจากร่างสูงของนนทพัทธ์ จึงหันไปถามคนข้างกายที่เพิ่งเข้ามานั่งเมื่อครู่นี้
“หนูชามเห็นพี่เขารึเปล่าลูก”
ชาริกาอึกอักไม่รู้จะตอบเช่นไรดี เพราะเพิ่งเจอเขาพูดจากระทบกระทั่งมาเมื่อครู่นี้เอง แต่กลับไม่เห็นคนตัวโตเดินตามลงมา ทั้งที่เขาก็ออกจากห้องมาพร้อมเธอ ทว่ายังไม่ทันได้ตอบก็เห็นร่างของคนที่ทุกคนกำลังรอเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจนคงมองหัวใจกระตุก เพราะน้อยครั้งจะเห็นคนยิ้มยากยิ้มหวานขนาดนี้
“ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ พอดีเพิ่งเคลียร์งานเสร็จเลยลงมาช้า”
นนทพัทธ์ปดและไม่ได้เคลียร์งานตามที่พูดไป แต่เขามัวแต่เอาเวลาไปสงบสติอารมณ์ให้เย็นลง เพื่อที่จะได้ปั้นยิ้มต่อหน้าทุกคนได้ ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ จนเผลอแสดงด้านมืดใส่แม่กาฝากของบ้านกลางโต๊ะอาหารก็เป็นได้แค่คิดว่าต้องมองหน้าฆาตกรระหว่างทานข้าว เขาก็แทบไม่รู้สึกอยากอาหาร ถ้าไม่เห็นแก่บอดามารดาเขาไม่มีทางลงมาร่วมโต๊ะกับผู้หญิงน่ารักเกียจคนนี้แน่
“อย่าหักโหมมากสิลูก”
คนเป็นแม่เอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง เพราะลูกชายโหมงานหนักแบบนี้ตั้งแต่สูญเสียคนรักไป ซึ่งนางกลัวลูกชายจะเครียดหนักจนล้มป่วยไปอีกคน ทว่าก็ไม่สามารถห้ามปรามในเรื่องนี้ได้ ในเมื่อนนทพัทธ์ไม่ได้ทำตามที่นางบอกเลยแม้แต่น้อย
“ครับแม่มิว”
นนทพัทธ์รับคำเพื่อให้ท่านสบายใจ ก่อนจะนั่งลงข้างน้องชายฝาแฝดที่นั่งกัดช้อน มองดูอาหารบนโต๊ะเสียงตาเยิ้มน้ำลายเสาะ ชายหนุ่มรับส่ายหัวไปมาอย่างระอากับนิสัยของนันทพัทธ์ที่ไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่เด็กจนโต แต่แล้วรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนหน้าหล่อก็จางหายไปกลายเป็นเส้นตรง เมื่อเผลอสบตาเข้ากับกาฝากของบ้าน
“เอ้า ทานข้าวกันเถอะก่อนที่เจ้านันท์มันจะกลืนช้อนลงท้องแทนข้าว” คันธารัตน์เอ่ยขึ้น เมื่อทุกคนมาครบ พร้อมกับเอ่ยเย้าลูกชายคนเล็กที่มองอาหารบนโต๊ะจนน้ำลายเสาะ
“ผมรอคำนี้มานานแล้วครับป๋า” นันทพัทธ์พูดจบก็จัดการกับกุ้งตัวโตตรงหน้าทันทีอย่างไม่รีรออะไรอีก
“ทานเยอะๆ นะหนูชาม จะได้ทานยา” ภีรตาตักกุ้งตัวโตใส่จานชาริกาอย่างเอาใจ
“ขอบคุณค่ะคุณท่าน”
ชาริกาวางช้อนลง พนมมือไหว้ผู้มีพระคุณอย่างอ่อนหวาน ซึ่งการกระทำที่แสนอ่อนหวานนี้อยู่ในสายตาของนนทพัทธ์ตลอด ชายหนุ่มได้แต่เบ้ปากอย่างไม่ชอบใจกับความขี้ประจบนี้
“นี่ผัดคะน้าของโปรดของน้องชาม ทานเยอะๆ นะครับ” นนทพัทธ์ตักผักคะน้าใส่จานข้าวของคนตรงตนเองด้วยรอยยิ้มแสนหวาน ทว่าสายตากลับตรงข้ามกับรอยยิ้ม
ชาริกาได้แต่อ้อมแอ้มขอบคุณคนมีน้ำใจที่แสนไม่จริงใจไปอย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ได้ตักผักใบสีเขียวตรงหน้าเข้าปาก เพราะเธอไม่ชอบกินผักคะน้า เนื่องจากมันทั้งขมและเหม็นเขียว
“ทำไมไม่ทานล่ะครับ หรือว่ารังเกียจที่พี่ตักให้” คนมีน้ำใจพูดกดดัน และยิ้มอย่างสะใจ เมื่อเห็นหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของคนไม่ชอบกินผักคะน้า
ทั้งบ้านไม่มีใครรู้ว่าชาริกาไม่ชอบกินผักคะน้า เนื่องจากหญิงสาวไม่เคยบอกใคร และพยายามหลีกเลี่ยงผักชนิดนี้อยู่เสมอ การที่เขาเป็นคนช่างสังเกตและมีความละเอียดทำให้รู้ว่ายัยกาฝากของบ้านไม่ชอบกินผักคะน้า รวมถึงหลายๆ อย่างที่เธอไม่ชอบ
“ทำไมไม่กินล่ะลูก”
ภีรตาเอ่ยถาม พร้อมกับรู้สึกปลื้มใจที่ลูกชายคนโตแสดงความอ่อนโยนกับชาริกา เพราะคิดว่าชายหนุ่มจะลืมความแค้นที่มีทั้งหมดลงแล้ว
“เอ่อ…ปะ…เปล่าค่ะ”
หญิงสาวปฏิเสธ ก่อนจะตักผักใบสีเขียวเข้าปากอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อลงฟันเคี้ยวคำแรกก็แทบจะคายทิ้ง เพราะมันขมปร่าจนเต็มปาก แต่ก็ต้องสู้ทนเคี้ยวต่อไปเมื่อเห็นสีหน้าและแววตาแสดงความสมเพชจากคนที่ตักมันมาให้เนื่องจากไม่อยากให้เขาสมหวังที่แกล้งตนได้
หลักจากที่กลืนเจ้าผักใบเขียวลงท้องจนหมดก็รีบตักข้าวเปล่ายัดปากตามหลังไปคำใหญ่ หวังให้ความขมในปากจางลง ก่อนจะดื่มน้ำตามไปจนหมดแก้ว แต่ความขมในปากก็ยังเหลืออยู่ไม่จางไปไหน ชาริกาได้แต่เจ็บใจที่นนทพัทธ์รู้จุดอ่อนของเธอทุกอย่าง ตรงข้ามกัน เธอกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย คิดแล้วก็ได้แต่เจ็บใจ ให้กินมะระทั้งลูกก็ยังไม่ขมเท่ากับกินผักคะน้าเลย
ทุกคนบนโต๊ะต่างก็รับประทานอาหารกันตามปกติ โดยเฉพาะนันทพัทธ์ที่รักการกินจนแทบไม่สนใจใครบนโต๊ะอาหารเลยจวบจนถึงเวลาของว่างที่ทุกคนทานเสร็จลูกชายคนเล็กของบ้านถึงได้เงยหน้าจากจานข้าวของตนเองมาพูดคุยกับคนร่วมโต๊ะ
“น้องชามคะ กินข้าวเสร็จแล้วต้องทานยาด้วยนะคะ” คนเป็นพี่เอ่ยเตือน เหมือนผู้ใหญ่เตือนเด็ก ซึ่งชาริกาก็ยิ้มหวานตอบชายหนุ่มกลับไปอย่างยียวน
“ค่า คุณพ่อรูปหล่อจอมกะล่อน” พูดจบหญิงสาวก็รับยาจากป้านวลที่เตรียมไว้ให้ และจัดการกับมันอย่างว่าง่าย
‘สำ-ออย’
นนทพัทธ์พูดออกมาไม่ให้ได้ยินเสียง กับความน่าหมั่นไส้ของยัยกาฝากและน้องชายฝาแฝดตน ทว่าคนที่ถูกว่ากลับแปลมันออกว่าชายหนุ่มพูดว่าอะไรและต้องการว่าใคร แต่คนที่ตั้งใจว่ากระทบเธอเมื่อครู่กลับลุกเดินออกจากโต๊ะอาหารไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“จะรีบไปไหมของมันวะเนี่ย” นันทพัทธ์เอ่ยตามหลังพี่ชายที่เห็นหลังไวๆ เดินเข้าไปในครัว “หรือว่ามันยังไม่อิ่มเลยไปหาอะไรกินต่อในครัว”
“พี่นนท์เขาไม่ได้สวาปามเหมือนแกหรอกนะน้องนันท์” คนเป็นแม่เอ่ยแขวะ
“ป๋าดูแม่มิวสิฮะ ว่าน้องนันท์อีกแล้วอ่ะ” คนโตแต่ตัวหันไปฟ้องบิดาหวังจะหาพักพวก แต่เมื่อเจอคำตอบกลับของคนเป็นพ่อก็สะบัดหน้าหันอย่างงอนๆ
“ป๋าว่าแม่เราก็พูดถูกแล้วนี่เจ้านันท์” คันธารัตน์เอ่ยสนับสนุนภรรยา เห็นลูกชายคนเล็กก็คิดไปถึงตนเองตอนหนุ่มๆ เพราะนิสัยนี่ถอดแบบกันมาซะเหมือนเด๊ะเลย
“ถ้าแกไม่มีข่าวกับผู้หญิงทุกวัน แม่ก็คิดว่าน้องนันท์ของแม่เป็นสาวแล้วเสียอีก มีอย่างที่ไหนผู้ชายแรดกว่าผู้หญิงจริงๆ อีก”
ภีรตาเอ่ยแขวะบุตรชาย เพราะนันทพัทธ์นั้นมีข่าวกับผู้หญิงทุกวันเป็นว่าเล่น บางรายถึงกับบุกมาถึงที่บ้าน มาเฝ้าหน้าบ้านเป็นวันๆ ก็มี จึงอดที่จะพูดไม่ได้
“แม่อ่ะน้องนันท์ไม่ได้แรดซะหน่อย น้องนันท์ก็แค่ใช้ชีวิตให้คุ้มก็แค่นั้น”
ชายหนุ่มแก้ตัวอย่างค่างๆ คูๆ แต่กิริยาการพูดการจากลับยิ่งทำให้คนเป็นแม่กุมขมับ เพราะหน้านางแรดมาก ประจวบเหมาะกับหน้าที่หวานคมอย่างลงตัว ก็ยิ่งทำให้การกระทำนั้นมันน่าหมั่นไส้ขึ้นไปอีก
ทว่าสองแม่ลูกที่กำลังถกเถียงกันก็ต้องแปลกใจ เมื่อเห็นนนทพัทธ์ถือถาดใส่นมสีขาวขุ่นเดินออกมาจากห้องครัว พร้อมกับวางลงต่อหน้าทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ของชาริกาและของตนเอง
“แม่ๆ” นันทพัทธ์ยกมือฝั่งทางด้านที่พี่ชายนั่งมาป้องปาก พร้อมกับเรียกมารดาเสียงเบา เมื่อคนเป็นแม่หันมามองจึงเริ่มพูดต่อ
“ไอ้พี่นนท์ของน้องนันท์มันไม่สบายรึเปล่า ทำไมมันถึงดูแปลกๆ”
“แม่ก็ว่าคิดแบบนั้นเหมือนกัน แม่ว่าพี่นนท์ของน้องนันท์ต้องกินยาลืมเขย่าขวดแน่ๆ เลย”
ภีรตาเองก็ยกมือขึ้นมาป้องปากคุยกับลูกชายคนเล็กอย่างเมามันเช่นกัน โดยมาคันธารัตน์ที่อยู่หัวโต๊ะได้แต่ส่ายหน้ากับความน่ารักของภรรยาและลูกชาย
“เฮ้อนินทากันดังขนาดนี้คงไม่ต้องกระซิบแล้วมั้งครับ แม้แต่แม่บ้านในครัวยังได้ยิน”
คนถูกนินทาพูดลอยๆ และนั่นทำให้สองแม่ลูกที่กำลังกระซิบกระซาบกันได้แต่หันมายิ้มแหยๆ โดยมีชาริกาที่นั่งอมยิ้มกับความน่ารักของครอบครัวผู้มีพระคุณ
“ดังมากเลยเหรอลูก” คนเป็นแม่ถามเสียงอ่อน แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ด้วยความเขินไปให้อีกครั้ง เมื่อได้ยินคำตอบจากปากของลูกชาย
“มากครับ”ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ พร้อมกับกลั้นยิ้มเมื่อเห็นมารดาหน้าเจื่อนลง นี่เขาจะบาปรึเปล่าที่แกล้งบุพการีเช่นนี้
“ว่าแต่มึงเอานมมาทำไมวะ” คนเป็นน้องเอ่ยถามด้วยความสงสัย ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นพี่ชายฝาแฝดจะมีน้ำใจแบบนี้
“ก็ทานนม ‘วัว’ อุ่นๆ ก่อนนอน จะได้หลับสบายไงครับ” นนทพัทธ์เฉลยข้อสงสัยก่อนทุกคน และแอบยิ้มที่มุมปาก เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
‘หึ อย่างเพิ่งดีใจไปชาริกา’
ชายหนุ่มหมายมาดไว้ในใจ ก่อนจะยิ้มหวานส่งไปให้มารดาที่กำลังมองมายังตนอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“ทำไมมองผมแบบนั้นละครับแม่มิว”
“ก็พี่นนท์ของแม่น่ารักที่สุดเลยไงลูก” ภีราตายิ้มหวานกลับไปให้ลูกชาย แล้วหันมาเล่นงานลูกชายคนเล็กต่อ “แกก็หัดเอาเยี่ยงอย่างของพี่ชายไว้นะน้องนันท์ ไม่ใช่ลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยไปวันๆ”
“มันเกี่ยวอะไรกับการที่ไอ้นนท์มันเอานมมาให้เนี่ย”
นันทพัทธ์ได้แต่โอดครวญ เมื่อมารดาสามารถเอาเรื่องนมมาโยงกับเรื่องผู้หญิงได้ แม่เขานี่ล้ำสุดๆก่อนจะรีบเอ่ยตัดบทเพราะกลัวจะเข้าตัวมากกว่านี้ “ดื่มๆ กันเถอะครับ ก่อนที่มันจะเย็นซะก่อน”
ทุกคนบนโต๊ะต่างก็ยกแก้วนมของตนเองขึ้นดื่ม แม้จะรู้สึกอิ่ม ทว่าก็ดื่มเพื่อแทนน้ำใจของนนทพัทธ์ที่อุตส่าห์ยกมาให้ ยกเว้นเพียงชาริกาที่ยังลังเลไม่กล้ายกแก้วขึ้นดื่ม เพราะรู้สึกว่าทำไมนมแก้วของตนถึงออกเป็นสีขาวเหลืองแบบขุ่นๆ แทนที่จะเป็นสีขาวขุ่นแบบนมวัวทั่วไป
“ทำไมไม่ดื่มล่ะครับน้องชาม ไอ้คนหยิ่งมันอุตส่าห์เอามาให้” นันทพัทธ์ถามออกไปพร้อมกับแขวะพี่ชายไปด้วยอย่างไม่นึกระแวงและสงสัยอะไร
“เอ่อ…ค่ะ”
ชาริกาตัดสินใจยกแก้วนมตรงหน้าขึ้นดื่ม เพียงแค่คำแรกที่กลืนลงคอ เธอก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่คือ ‘นมวัวผสมนมถั่วเหลือง’
“ดื่มให้หมดนะครับน้องชาม ไม่งั้นพี่เสียใจแย่หรือว่าน้องรักเกียจคะ” นนทพัทธ์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหญิงสาวกำลังจะวางแก้วลงตามเดิม
“เอ่อ…แต่ชามทานยาแล้ว และชามก็อิ่มมากด้วยค่ะ”
หญิงสาวตอบกลับพยายามหาทางเลี่ยง แต่ทว่าก็ไม่กล้าบอกใครว่าตนเองแพ้ถั่วทุกชนิด ไม่เว้นแม่แต่นมถั่วเหลืองที่ผสมกับนำวัวตรงหน้านี้ด้วย เพราะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาตั้งแต่ต้นแล้ว จึงไม่กล้าจะบอกใคร เพราะกลัวคนอื่นจะคิดว่าตนรักเกียจตามที่คนเจ้าเล่ห์กล่าวหา
“พี่เข้าใจครับ” นนทพัทธ์ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
“ก็ได้ค่ะ”
ชาริกาจำใจยกแก้วนมตรงหน้าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแก้ว เพราะถ้าหากไม่ดื่มตอนนี้ ผู้ชายใจร้ายตรงหน้าก็จะหาเรื่องกดดันให้ดื่มจนได้ และถ้าหากเรื่องมันยิ่งยาวสาวความยืดต่อไปก็จะทำให้ผู้มีพระคุณล้นหัวไม่สบายใจได้ เพราะท่านรู้ว่าเธอกับนนทพัทธ์ไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่
‘หวังว่าเขาคงไม่ได้ผสมมันลงไปเยอะหรอกนะ’ ชาริกาคิดในใจ
หญิงสาวไม่รู้ว่านนทพัทธ์รู้ได้อย่างไรว่าตนแพ้ถั่วหรือแม้กระทั่งไม่ชอบกินผักคะน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่คิดฆ่าตนด้วยนมแก้วนี้ หรือถ้าหากเขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้แล้วเพราะเป็นตนเองที่โง่ยอมเดินตามแผนของคนใจร้ายเอง
‘ถ้าชามตายจริงๆ คุณพ่อคุณแม่มารับชามไปอยู่ด้วยนะคะ’หญิงสาวคิดอย่างเหม่อลอยนึกถึงบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้ว
นนทพัทธ์มองคนที่ตนเองแสนชังยกแก้มนมที่ตนได้ผสมนมถั่วเหลืองลงไปด้วยสองในห้าของนมวัวด้วยความสะใจ
‘คืนนี้เธอไม่ได้นอนแน่ เพราะจะคันทั้งคืนจนนอนไม่หลับ หึหึ’ คนเจ้าแผนการคิดในใจอย่างผู้ถือชัยชนะ
‘ช่วยไม่ได้นะชาริกาที่โดนแบบนี้ เพราะเธอมายั่วโมโหฉันก่อน’
“ชามขอตัวไปนอนพักก่อนนะคะ” ชาริกาเอ่ย เพราะไม่อยากอยู่ตรงนี้นานไปกว่านี้ เมื่อเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออกและคันคอขึ้นมา
“หายไวๆ นะลูก”
ภีรตาเอ่ยพร้อมกับรวบตัวหญิงสาวที่ตนรักเหมือนลูกมากอดไว้ด้วยความเอ็นดู ซึ่งหญิงสาวก็กอดตอบเช่นกัน เพราะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งยามที่ได้รับอ้อมกอดนี้
“ค่ะคุณท่าน” ชาริการับคำ ก่อนจะผละตัวออกและรีบเดินขึ้นบันไดกลับห้องตัวเอง เพื่อที่จะได้หายาแก้แพ้ไว้ทาน
“จะรีบไปไหน”
นนทพัทธ์ที่เดินตามขึ้นมาคว้าแขนเล็กไว้ก่อนที่หญิงสาวจะทันได้เปิดประตูเข้าห้องส่วนตัวไปอย่างเฉียดฉิว
“ปล่อยฉันนะ” หญิงสาวเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก เพราะรู้สึกเจ็บที่ลำคอ
“ที่แท้ก็เล่นบทสำออย ไหนล่ะแพ้ถั่ว ไม่เห็นจะมีอาการอย่างว่า แถมยังดูแข็งแรงยิ่งกว่าคนป่วยเสียอีก”
ชายหนุ่มพูดพร้อมกับกวาดสายตามองร่างกายของหญิงสาวที่ไม่เห็นมีผื่นขึ้นเหมือนคนแพ้ทั่วไปเลยจึงคิดว่าชาริกานั้นไม่ได้แพ้ถั่วอย่างที่เขาคิด
“ยอมรับแล้วสินะว่าคุณจงใจแกล้งฉัน” คนถูกแกล้งถามเสียงแข็ง เมื่อรู้ว่าสิ่งที่คิดไม่ได้ห่างจากความจริงเท่าไหร่ หรือจะพูดว่าความจริงเป็นดังเช่นที่คิดทุกอย่างก็ได้ เขาต้องการแกล้งเธอ
“ก็แค่อยากรู้ว่าคนแถวนี้จะแพ้จริงอย่างที่ฉันเข้าใจรึเปล่า”ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ แถมยังยื่นอกรับอย่างภูมิใจอีกเสียด้วย
“แต่ที่เห็น” ชายหนุ่มเว้นจังหวะการพูด พร้อมกับมองสำรวจร่างบางอีกครั้ง “ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร นอกจากโรค…สำออย”
“รู้แล้วก็ปล่อยฉันได้แล้ว” หญิงสาวพูดไปเสียงแข็ง พยายามรักษาระดับเสียงให้คงที่ เพราะไม่อยากให้คนใจร้ายตรงหน้ารู้ว่าเธอกำลังอ่อนแอทั้งกายและใจ
“ฉันก็ไม่อยากจะจับหรอกนะกับเนื้อตัวสกปรกแบบเธอน่ะ” นนทพัทธ์สะบัดแขนนุ่มที่ตนเองเผลอจับไว้นานออกไปอย่างไม่เบามือนัก ก่อนจะพูดข่มขู่หญิงสาวตามเจตนารมณ์ของตน “นี่แค่น้ำจิ้ม อย่าทำให้ฉันโมโห ไม่อย่างนั้นเธอจะอยู่ที่บ้านหลังนี้อย่างไม่มีความสุขแน่ ฉันรับประกันได้”
นนทพัทธ์พูดจบก็เดินกลับไปยังห้องตนเองตามเดิม ไม่ไม่คิดหันกลับมาสนใจคนตัวเล็กที่ยืนน้ำตาไหลอยู่เบื้องหลังแม้แต่น้อย
“ฉันไม่เคยอยู่บ้านหลังนี้อย่างมีความสุขแบบสุดใจสักครั้งเดียว เพราะฉันรู้ว่าตัวเองเป็นแค่กาฝากอย่างที่คนพูดใส่หน้าฉันทุกครั้ง แถมยังเป็นฆาตกรฆ่าพ่อแม่และคนรักคนอีกด้วย”
หญิงสาวเปิดประตูเข้าห้องของตนเองอย่างทุลักทะเล ทั้งอาการแพ้ถั่วที่เริ่มออกอาการ บวกกับอาการไม่สบายที่ยังไม่หายขาด ก็ทำให้ร่างเล็กแทบจะทรุดลงไปกับพื้น
ทว่าชาริกาก็ใจแข็งเดินตรงไปที่เตียงนอนหลังใหญ่กลางห้อง พร้อมกับเปิดลิ้นชักเล็กบนหัวเตียงหยิบยาแก้แพ้เข้าปากและดื่มน้ำตามไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งกายออันหนักอึ้งของตนเองลงบนเตียงนุ่มทันที เมื่อไม่สามารถฝืนสังขารที่ไม่ไหวได้อีกต่อไป
“คุณพ่อคุณแม่ขา ฮือๆ ชามเจ็บ ชามทรมานเหลือเกินค่ะ”
ชาริกาได้แต่เพ้อถึงบิดามารดาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มนวล เพราะตอนนี้ร่างกายนี้ช่างแสนทรมานยิ่งนัก มันหนักอึ้งมีมีใครมรล่ามโซ่ไว้
หญิงสาวได้แต่เพ้อถึงบุพการีที่ได้ล่วงลับไปแล้วอย่างทรมาน โดยไม่มีใครรู้ว่าร่างเล็กนี้เจ็บปวดเพียงใด ถ้าเธอเลือกได้ก็อยากจะหลุดพ้นสภาพที่แสนทรมานนี้ซะ แม้จะต้องตายก็ยอม
ฝากติดตามด้วยค่าา
ความคิดเห็น