ลิขิตรักลำน้ำไนล์ Re-Up
-
นิยาย-เรื่องยาว :
ฟรีสไตล์/ ซึ้งกินใจ Tags : ลิขิตรักลำน้ำไนล์, อียิปต์, ฟาโรห์, ย้อนเวลา, มัลลิกา
ผู้แต่ง : mallika
My.iD :
https://my.dek-d.com/mallika/writer/
ตอนที่ 45 : บทที่ 14 ตอนที่ 1
บทที่ 14
ลอบสังหาร
ตอนที่ 1
ดวงสุริยันยามเที่ยงตรงส่องแสงแผดร้อนไปทั่วเนินทรายเวิ้งว้าง เบื้องหน้าป้อมปราการแห่งเมืองพาร์ทาร์ เหล่าเชลยศึกชาวนูเบียนับพันคนในเครื่องจองจำแน่นหนานั่งเรียงรายรอรับคำพิพากษาจากผู้ชนะด้วยความหวาดกลัว พวกเขาจะอยู่หรือตายก็ขึ้นกับการตัดสินพระทัยของบุรุษสูงศักดิ์ที่ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ทองแต่เพียงผู้เดียว
ฟาโรห์เมนโนฟิสทอดพระเนตรเชลยศึกของพระองค์ด้วยสีพระพักตร์บึ้งตึง บึ้งตึงเสียจนคนที่รอคำพิพากษาหลั่งเหงื่อเยียบเย็นออกมาท่วมตัว เนื่องด้วยไม่อาจคาดเดาได้ว่าฟาโรห์แห่งอียิปต์จะลงอาญาพวกตนอย่างไรจึงจะสาสมกับโทษานุโทษที่ได้กระทำไว้
เมื่อข่มขู่จนพอพระทัยแล้วก็ทรงเหลือบพระเนตรไปยังร่างอวบอัดในเครื่องทรงหรูหราของเจ้าหญิงแห่งนูเบีย เจ้าหญิงรานีน่านั่งเชิดพระพักตร์อยู่ในหมู่พระญาติด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว ความจริงแล้วนางเป็นหญิงสาวที่ไม่เลวเลยทีเดียว กล้าหาญ งดงาม เปี่ยมด้วยขัตติยะมานะ แต่พระองค์กลับไม่มีความปรารถนาในตัวนางสักนิด
แม้จะทรงนำนางกลับไปยังที่ประทับ แต่ก็มิได้แตะต้องนางให้มัวหมอง ด้วยเพราะพระทัยเฝ้าวนเวียนถึงหญิงสาวสองคน คนแรกคือนางในฝันที่พบในโอเอซิส ส่วนคนที่สองคือพระสนมอัปลักษณ์ที่ซ่อนใบหน้าไว้ใต้หน้ากากทองคำ จนไม่มีแก่ใจจะหาความสุขกับหญิงอื่น
ฟาโรห์หนุ่มเลื่อนสายพระเนตรคมไปยังต้นเหตุของเรื่องซึ่งนั่งหลังตรงอยู่ทางด้านขวาของพระองค์ เจ้าหล่อนนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นทำราวกับว่าอยู่คนเดียว จะว่าไปแล้วชัยชนะในครั้งนี้เป็นเพราะแผนการอันแยบยลของนางแท้ๆ หากไม่มีทางลับเส้นนั้นกองทัพอียิปต์คงไม่สามารถยึดนูเบียกลับคืนมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
####################
เมษาจ้องมองเชลยศึกด้วยสีหน้าเศร้าหมอง บนเนินทรายร้อนระอุ ชาวเมืองนูเบียนับพันคนทั้งชายหญิง เด็กผู้ใหญ่และคนชรา ถูกจับใส่ขื่อคานั่งเรียงแถวเพื่อรอคำพิพากษาของตน บางคนหวาดกลัวจนร้องไห้ออกมา ในขณะที่บางคนนั่งนิ่งก้มหน้ารับชะตากรรมอย่างทะนง หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าหญิงรานีน่าแห่งนูเบีย พระนางเชิดพระพักตร์อย่างไม่กลัวเกรง คนที่ไม่หวั่นต่อความตายเช่นนี้ช่างน่านับถือยิ่งนัก
หญิงสาวชักสายตากลับมาจ้องมองมือตนเองที่ประสานอยู่บนตัก สงครามไม่เคยให้อะไรใครนอกจากความสูญเสีย ผู้ชนะเป็นเจ้า ผู้แพ้เป็นโจร เธอไม่ได้ต้องการเห็นพวกเขาตาย แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะหากเธอยึดนูเบียไม่ได้ภายในเจ็ดวัน คนที่ต้องนั่งรอคำพิพากษาอยู่ตอนนี้คงเป็นเธอหาใช่เจ้าหญิงแห่งนูเบียไม่
‘เอ๋...แต่พระนางจะถูกลงโทษหรือ หลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนสนิทสนมกับฟาโรห์เมนโนฟิสมาหมาดๆ ถ้าทรงลงโทษพระนางได้ลงคอก็พระทัยดำเกินไปละ’
เมษาครุ่นคิดในใจ ก่อนจะหันไปมองฟาโรห์แห่งอียิปต์ เมื่อรู้สึกว่าถูกพระองค์จ้องมอง เธอขยับปากจะเอ่ยขอประทานอภัยโทษแทนเจ้าหญิงรานีน่าและชาวนูเบียทั้งปวง แต่พอเห็นร่องรอยเหนื่อยอ่อนบนพระพักตร์คมคาย ความสงสารพลันเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคืองขึ้นมาทันที
“บ้ากาม” หญิงสาวกระซิบลอดไรฟันแล้วสะบัดหน้าไปอีกทาง เมื่อคืนคงรับถวายงานหนักไปสินะ พระพักตร์ถึงได้ซีดเซียวขนาดนี้ มันน่าหมั่นไส้นัก ถ้ากลับไปยังห้วงเวลาปัจจุบันได้ เธอจะเผาจารึกที่พบในพีระมิดแห่งฟาบาทิ้งให้หมดเลย คอยดูสิ!
ฟาโรห์เมนโนฟิสกะพริบพระเนตรด้วยความประหลาดพระทัยระคนขบขัน พระสนมไอซ์ของพระองค์ค้อนได้น่ามองยิ่งนัก คงยังโกรธเรื่องเมื่อคืนอยู่เป็นแน่ หึงเราสินะ เอาไว้อยู่กันตามลำพังเมื่อไรจะแกล้งให้ยอมรับให้ได้เลย คอยดูสิ!
เจ้าหญิงรานีน่าประทับอยู่บนพระแท่นเคียงข้างพระมารดาและพระอนุชาวัยเยาว์ ทรงลอบทอดพระเนตรไปยังฟาโรห์แห่งอียิปต์และพระสนมหน้ากากทองของพระองค์ด้วยความประหลาดพระทัย
สตรีนางนี้หรือคือผู้บัญชาการรบในครั้งนี้ นางก็เป็นแค่หญิงสาวร่างกายบอบบางหาได้มีหกเศียรแปดกรเสียหน่อย เหตุใดจึงมีกลศึกแยบยลยิ่งนัก นางล่วงรู้ทางลับเข้าเมืองที่แม้แต่เจ้าหญิงอย่างพระนางไม่รู้ หรือว่าความพ่ายแพ้ของนูเบียในครั้งนี้เป็นพระประสงค์ของทวยเทพ
“รานีน่าเจ้าต้องขอร้องพระองค์นะ อย่าปล่อยให้ฟาโรห์แห่งอียิปต์ประหารน้องชายนะลูก” เสียงวิงวอนด้วยความหวาดหวั่นของพระมารดาดึงเจ้าหญิงสูงศักดิ์กลับมาจากห้วงคิดของตนเอง
“ลูกก็เป็นเชลยศึกไม่ต่างจากทุกคน จะมีปัญญาอะไรไปขอร้องพระองค์ได้” เจ้าหญิงแห่งนูเบียรับสั่งอย่างเศร้าสร้อย พระพักตร์สีน้ำผึ้งหม่นหมองจนพระมารดานึกกลัว
“แล้วเมื่อคืนนี้เล่า ใครๆ ก็เห็นว่าทรงอุ้มเจ้าจากไป การรับใช้ของเจ้าไม่ได้ทำให้ทรงพระทัยอ่อนลงบ้างเลยหรือ”
เจ้าหญิงรานีน่าหลุบพระเนตรมองพื้นทรายด้วยไม่รู้จะตอบคำถามของพระมารดาอย่างไร ใช่ ทรงพานางกลับไปยังที่ประทับจริง แต่พระองค์มิได้ทรงรุกรานหรือล่วงเกินใดๆ เลย ทรงแย้มพระสรวลแล้วปลีกตัวออกไป ก่อนจะกลับมาอีกครั้งตอนฟ้าสาง แล้วแบบนี้จะอ้างความสัมพันธ์อันใดมาขอชีวิตให้พระอนุชาเล่า
ทางด้านขวาของพระแท่นทองคำ แม่ทัพฝ่ายขวาโบเฮ็มเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะหันไปสบตากับแม่ทัพฝ่ายซ้ายที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของพระแท่น ขณะนี้ดวงอาทิตย์ลอยตรงศีรษะบอกให้รู้ว่าถึงเวลาพิจารณาโทษของเหล่ากบฏ
“ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” แม่ทัพฝ่ายขวากราบทูลเสียงหนัก
“เอาสิ” ฟาโรห์หนุ่มเอ่ยอนุญาตด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ส่งผลให้ใบหน้าเกรียมแดดของเหล่าเชลยศึกซีดเผือดลงไปอีก
“พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพโบเฮ็มถวายความเคารพแล้วหันไปสบตาแม่ทัพฝ่ายซ้ายซึ่งทำหน้าที่อ่านข้อกล่าวหา แม่ทัพกาเซ็มพยักหน้าแล้วคลี่ม้วนกระดาษออกอ่านด้วยเสียงอันดัง
“กษัตริย์พาทูร์คิดการชั่วช้า บังอาจก่อการกบฏ คิดแข็งเมืองต่ออาณาจักรอียิปต์...”
เมษานั่งฟังท่านแม่ทัพฝ่ายซ้ายอ่านเอกสารในมือของเขาไปเรื่อยๆ เริ่มจากข้อที่หนึ่งจนบัดนี้เกือบจะถึงข้อที่ร้อยแล้ว ทว่าความผิดของชาวนูเบียก็ยังไม่หมดเสียที ยิ่งฟังก็ยิ่งงง ยิ่งฟังก็ยิ่งเบื่อ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ฟังมีความจริงอยู่สักกี่ข้อ
ในความเห็นของเธอชาวนูเบียหาได้มีความผิดใดไม่ พวกเขาแค่ต่อสู้เพื่อรักษาเอกราชของตนเอาไว้ ฝ่ายที่ผิดก็คือกองทัพอันเกรียงไกรของอียิปต์ต่างหากที่ลงทุนกรีฑาไพร่พลลงเรือเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลทรายมายึดครองบ้านเมืองของคนอื่นเขา
หญิงสาวถอนใจอย่างปลงๆ ถึงรู้ว่าใครผิดใครถูก แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ เพราะขืนหลุดปากพูดสิ่งที่คิดออกไปมีหวังหัวหลุดจากบ่าแน่ๆ การเมืองมีเหตุผลของมันเสมอ อียิปต์ยึดนูเบียก็เพราะต้องการยึดเหมืองทองคำและรักษาเส้นทางการค้ากับแอฟริกาไว้ และเหนือสิ่งอื่นใดอียิปต์คิดว่านูเบียเป็นส่วนหนึ่งของอียิปต์ เป็นศักดิ์ศรีที่จะต้องครอบครองดินแดนแห่งนี้ไว้ในอุ้งหัตถ์ตลอดไป
“ขอฝ่าบาทพิจารณาลงโทษพวกกบฏด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ในที่สุดแม่ทัพฝ่ายซ้ายก็จาระไนความผิดของชาวนูเบียจบเสียที เขาถวายบังคมเจ้าเหนือหัว ก่อนจะถอยไปยืนสงบเสงี่ยมในตำแหน่งของตนอีกครั้ง
ฟาโรห์แห่งอียิปต์กวาดสายพระเนตรเยียบเย็นไปยังเหล่าเชลยศึกทั้งหลาย ก่อนจะรับสั่งด้วยพระสุรเสียงเหี้ยมเกรียมจนเมษาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ตัดหัวพวกที่ร่วมก่อการทิ้งให้หมด เผาเมืองให้ราบ ขนทรัพย์สมบัติและกวาดต้อนผู้คนกลับไปเป็นทาสที่อียิปต์ อย่าให้ไอ้อีผู้ใดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
สิ้นรับสั่งพลันบังเกิดเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัวดังระงมไปทั่วเนินทราย เมษากะพริบตาถี่ๆ เพื่อเรียกสติของตนกลับคืนมา เธอไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย ฟาโรห์เมนโนฟิสทรงโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ ชาวเมืองพาร์ทาร์ทั้งเมืองหลายพันชีวิต ทั้งทหารและพลเรือนทุกคนต้องจบชีวิตลงในวันนี้หรือ และที่สำคัญตัวเธอเองก็มีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนี้ด้วย
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องจะกราบทูล” เธอเอ่ยอย่างร้อนรน
“มีอะไร” รับสั่งถามสั้นๆ ดวงเนตรสีน้ำเงินสวยหรี่ลงอย่างประหลาดพระทัย เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอ่ยวาจาเป็นทางการกว่าทุกครั้ง แม้ว่าดวงตากลมโตจะขุ่นคลักไปสักหน่อยก็เถอะ
“การลงโทษชาวนูเบียเยี่ยงนั้นมีแต่จะทำให้พวกเขาโกรธแค้น เมื่อถูกกดดันมากๆ พวกเขาคงไม่แคล้วก่อกบฏขึ้นอีก หม่อมฉันขอความกรุณาให้ทรงผ่อนปรนโทษของพวกเขาลงบ้าง เหลือแค่ยึดทรัพย์และแบ่งปันผู้คนส่วนหนึ่งกลับไปรับใช้ที่อียิปต์ ส่วนเรื่องประหารและเผาเมืองขอให้ละเว้นเถิดเพคะ เพราะลูกเด็กเล็กแดงและคนชราที่ไม่มีความผิดจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ข้าเบื่อการกบฏซ้ำซากเต็มทนแล้ว ปราบแล้วก็ก่อกบฏ กบฏแล้วก็ต้องมาปราบ วนเวียนอยู่แบบนี้ไม่จบสิ้น สู้ตัดไฟแต่ต้นลม ฆ่าทิ้งให้หมด เผาเมืองให้วอด จะได้เข็ดหลาบกันเสียที”
“เป็นธรรมดาของมนุษย์เพคะ ไม่มีใครอยากตกอยู่ใต้ปกครองของชนชาติอื่น การจะแก้ไขเรื่องนี้ต้องใช้พระเมตตามากกว่าพระราชอำนาจ หากเรื่องราวแพร่ขยายไปยังแว่นแคว้นต่างๆ ก็มีแต่คนจะสรรเสริญพระบารมีว่าฝ่าบาทเป็นราชันผู้ทรงคุณธรรม”
เมษายกแม่น้ำทั้งห้ามาโน้มน้าวพระองค์ แต่ฟาโรห์แห่งอียิปต์กลับรับสั่งตัดบทด้วยพระสุรเสียงอันดัง
“พอที ข้าเบื่อจะฟังคำแก้ตัวพวกนี้แล้ว ฆ่ามันทิ้งให้หมดนี่แหละดีที่สุด จะได้ไม่มีใครหน้าไหนลุกขึ้นมาก่อกบฏอีก”
“เอ๊ะ! คุณ ฉันอุตส่าห์พูดภาษาลิเกด้วยตั้งนานนี่ไม่เข้าใจเลยหรือไง เอะอะก็จะฆ่าจะแกง คิดไหมว่ามันบาป ผู้คนพวกนี้เขาทำผิดอะไรกัน เขาแค่ต่อสู้เพื่อบ้านเมืองของตัวเองเท่านั้น ถ้าคุณอยากจะยึดครองที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอียิปต์ คุณก็ต้องทำให้พวกเขารักคุณสิ ไม่ใช่ทำให้เกลียดแบบนี้ เข้าใจไหม” เธอแหวใส่อย่างเหลืออด
“พระสนมพ่ะย่ะค่ะ” ซารัสกระซิบเตือนเสียงแผ่ว แต่เธอไม่มีแก่ใจจะฟังด้วยกำลังโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“ปล่อยฉันซารัส คนแบบนี้ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง” เธอเอ่ยกับราชองครักษ์หนุ่มแต่กลับจ้องมองฟาโรห์พระทัยร้ายตาเขียว
“ใจเย็นๆ ก่อนไอซ์ ฝ่าบาทแค่ขู่ชาวนูเบียเท่านั้น ไม่ทรงทำแบบนั้นจริงๆ หรอก”
“ไม่จริง ฉันไม่เชื่อหรอก คนใจร้ายคนนี้ทำได้ทุกอย่างแหละ”
“นางหญิงอัปลักษณ์ เจ้ากล้าเอ่ยวาจาลบหลู่ข้าต่อหน้ามุขอำมาตราชมนตรีเชียวหรือ” ฟาโรห์เมนโนฟิสทรงกระชากแขนเมษาด้วยความกริ้ว ทุกครั้งแม้นางจะพูดจาก้าวร้าวก็มิทรงกริ้วจริงจัง แต่ครั้งนี้มันเกินไปแล้ว หากไม่ทรงสั่งสอนเสียบ้างคงได้ร่ำลือไปทั่วว่าฟาโรห์แห่งอียิปต์จัดการกับพระสนมเล็กๆ คนหนึ่งยังไม่ได้
“ฉันแค่พูดเรื่องที่ควรจะพูดเท่านั้น ฟาโรห์ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าค้ำแผ่นดินก็จริง แต่หากไม่ฟังคำของคนที่หวังดีก็อย่าหวังว่าจะเป็นราชันที่ดีได้” เธอยังคงเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าต้นแขนจะถูกบีบจนเจ็บร้าวไปหมด
“เจ้ากล้าสั่งสอนข้าเหรอ คงอยากตายมากสินะ” รับสั่งพระสุรเสียงดังพลางเขย่าร่างบางในอุ้งหัตถ์จนหัวสั่นหัวคลอน
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระสนมหวังดีต่อพระองค์ถึงได้กล่าววาจาเยี่ยงนั้น อย่าทรงกริ้วนางเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ซารัสรีบทรุดลงคุกเข่าขอร้อง ก่อนที่ลูอา แม่ทัพฝ่ายขวาโบเฮ็ม แม่ทัพฝ่ายซ้ายกาเซ็ม ทหารหน่วยพิฆาตฟ้า และทหารราชองครักษ์อื่นๆ จะทรุดลงคุกเข่ากับพื้นทรายพลางกราบทูลอย่างพร้อมเพรียง
“ขอฝ่าบาททรงโปรดอภัยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฟาโรห์เมนโนฟิสผลักเมษาลงไปกองบนพื้นทรายต่อหน้าคนสนิททั้งหลาย ก่อนจะทรงตวาดด้วยพระสุรเสียงเกรี้ยวกราด
“พวกเจ้าเห็นนางดีกว่าข้าอย่างนั้นเหรอ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เกล้ากระหม่อมเพียงแต่คิดว่าพระสนมมีความดีความชอบใหญ่หลวง สิ่งที่นางกล่าวล้วนหวังดีต่อฝ่าบาทและอียิปต์พ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพโบเฮ็มกราบทูลเสียงหนัก ดวงตาสัตย์ซื่อสบพระเนตรคมนิ่ง จนแม้แต่เมษายังอดแปลกใจไม่ได้ แม่ทัพฝ่ายขวาปกติเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอ เหตุใดจึงยอมเสี่ยงชีวิตขอพระราชทานอภัยโทษให้เธอ
ฟาโรห์แห่งอียิปต์ทอดพระเนตรเหล่าทหารคนสนิท ก่อนจะทรงหันไปสบนัยน์ตาวาววับภายใต้หน้ากากทองของพระสนมปากกล้า ความกริ้วที่ถูกหักพระพักตร์ต่อหน้าธารกำนัลกลับกลายเป็นความพอพระทัย ในเวลาอันสั้นหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้สามารถครองใจทหารหาญของพระองค์ได้อย่างไร
“ฝ่าบาทเพคะ” เจ้าหญิงรานีน่ากราบทูลพร้อมกับหมอบกราบลงบนพื้นทรายแทบพระบาทเจ้ามหาชีวิตของตน พระสนมหน้ากากทองเป็นคนอื่นยังกล้าเอ่ยปากขออภัยโทษแทนชาวนูเบีย แล้วพระนางเล่าเป็นถึงเจ้าหญิงแห่งนูเบียไยจึงมิกล้าลดทิฐิเพื่อช่วยชีวิตอาณาประชาราษฎร์ของตน
“รานีน่า…” รับสั่งด้วยความประหลาดพระทัย เจ้าหญิงแห่งนูเบียถือองค์เป็นอย่างยิ่ง แต่กลับยอมลดองค์ลงหมอบกราบแทบพระบาทต่อหน้าประชาชนของตน
“หม่อมฉันขอพระราชทานอภัยแทนแม่และน้องชายเพคะ ท่านแม่ของหม่อมฉันสูงอายุแล้ว ส่วนน้องชายก็ยังเล็กนัก พวกเขาไม่มีส่วนรู้เห็นในการศึกครั้งนี้แม้แต่น้อย ตอนนี้ท่านพ่อกับท่านพี่ของหม่อมฉันก็รับอาญาที่ก่อไว้แล้ว ขอฝ่าบาทได้โปรดเมตตาละเว้นพวกเขาทั้งสองและชาวเมืองนูเบียทั้งหมดด้วยเถิดเพคะ รานีน่าขอเอาศีรษะรับรองว่านูเบียจะไม่หาญก่อการกบฏอีกต่อไป”
เจ้าหญิงแห่งนูเบียกราบทูลทั้งน้ำตา ก่อนจะทรงกราบแทบพระบาทอีกครั้งพร้อมๆ กับที่ชาวนูเบียทั้งหมดก้มลงกราบกับพื้นทราย หากเจ้าหญิงของพวกเขายอมรับฟาโรห์แห่งอียิปต์เป็นเจ้าเหนือหัว ชาวนูเบียทั้งมวลก็พร้อมจะยอมรับด้วยเช่นกัน
“ลุกขึ้นเถอะรานีน่า” ฟาโรห์เมนโนฟิสแย้มสรวลด้วยความพอพระทัย
“หม่อมฉันจะไม่ลุกขึ้นจนกว่าฝ่าบาทจะทรงรับปาก” เจ้าหญิงน้อยกราบทูลอย่างแน่วแน่
“หากสิ่งนั้นเป็นประสงค์ของเจ้า เราหรือจะไม่ยอมมอบให้” ทรงประคองเจ้าหญิงแห่งนูเบียขึ้นมาประทับบนบัลลังก์ ก่อนจะรับสั่งพระสุรเสียงก้องไปทั่วลานประหาร “ข้าขอแต่งตั้งเจ้าชายพระองค์น้อยแห่งนูเบียเป็นกษัตริย์ปกครองนูเบียสืบไป และให้ท่านแม่ทัพโบเฮ็มเป็นผู้สำเร็จราชการจนกว่าเจ้าชายน้อยจะอายุครบสิบห้าชันษา”
“ขอบพระทัยเพคะ” เจ้าหญิงรานีน่ากราบทูลด้วยความซาบซึ้ง ฟาโรห์หนุ่มแย้มสรวลบางๆ แล้วหันไปมองแม่ทัพฝ่ายขวา
“ท่านแม่ทัพโบเฮ็ม”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” แม่ทัพร่างใหญ่เงยหน้าขึ้นรอรับพระบัญชา
“ท่านจงจัดพิธีศพเจ้าชายนูห์ทาอย่างสมพระเกียรติ จากนั้นแบ่งสมบัติในท้องพระคลังและผู้คนกึ่งหนึ่งนำกลับไปอียิปต์ สามวันให้หลังข้าจะเดินทางกลับธีบส์”
เมื่อรับสั่งจบก็ทรงประคองเจ้าหญิงโฉมงามเสด็จเข้าเมืองพาร์ทาร์ โดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลไปยังพระสนมหน้ากากทองที่ยืนอยู่ท่ามกลางทหารราชองครักษ์
เมษากัดฟันกรอด มือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ข้างลำตัว ฟาโรห์เมนโนฟิสทรงเจตนาฉีกหน้าเธอต่อหน้าทุกคน ทรงแสดงให้ทุกคนเห็นว่ามีใจกับเจ้าหญิงแห่งนูเบีย ส่วนตัวเธอนั้นหามีความหมายใดต่อพระองค์ไม่ คำขอร้องของเธอไม่มีค่าสักนิด เมื่อเทียบกับคำขอร้องของเจ้าหญิงคนงาม
‘เกลียด เกลียดคนแบบนี้ที่สุด ฉันจะมอบหน้ากากทองให้เจ้าหญิงรานีน่าแล้วกลับไปยุคสมัยของตัวเอง ชาตินี้อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลย’
หญิงสาวคิดแค้นในใจ ก่อนจะเดินกระทืบเท้ากลับไปยังค่ายพักด้วยความน้อยใจระคนขุ่นเคือง
####################
***อ่าน ลิขิตรักลำน้ำไนล์ ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่าน ปาริมา ราชินีไอยคุปต์ ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่าน เพลิงเสน่หา มนตราทะเลทราย ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่าน บันทึกรักสุดผืนทราย ฉบับสมบูรณ์ได้ที่เมพ***
***อ่านนิยายเรื่องอื่นๆ ของมัลลิกา ได้ที่เมพ***
รอ อยากเห็นไอซ์ถอดหน้ากาก อยากเห็นฟาโรหน้าแตกกกก